web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 91
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 105
Total: 105

ผู้เขียน หัวข้อ: Red Project 1 Chapter 4 : แลกเปลี่ยน  (อ่าน 2748 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ anhann

  • Moderator
  • ขาประจำ
  • *****
  • กระทู้: 174
    • Crimson Maiden Les-books
Red Project 1 Chapter 4 : แลกเปลี่ยน
« เมื่อ: 27 มกราคม 2014 เวลา 00:23:02 »
Chapter  4  :   แลกเปลี่ยน

“ปล่อยฉันสิ..  ไอ่พวกบ้า.!!  ปล่อยฉัน.!!” 

เสียงห้าวที่ตะโกนร้องอย่างไม่พอใจดังออกมาจากห้อง-ห้องหนึ่งซึ่งอยู่ ณ ปลายทางเดิน  ยังผลให้หญิงสาวที่อยู่ในระหว่างการเดินทางมายังห้อง-ห้องนั้น  ต้องหยุดชะงักการเคลื่อนไหว   ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลที่กลมโต  โชว์ให้เห็นถึงความรู้สึกผิดและเสียใจในแววตา   แต่เพียงไม่นาน  มือเรียวสวยของหนึ่งของตนก็ถูกยกขึ้นเพื่อขยับแว่นบนใบหน้าสวยหวานให้กระชับมากขึ้น  หรือแค่เพื่อจะบรรเทาอาการไม่สู้ดีที่เกิดขึ้นภายในใจ  เสียงถอนหายใจเบาๆดังออกมา  พร้อมการก้าวขาเดินต่อไปยังทางข้างหน้าอีกครั้ง

“สวัสดีครับ..ด๊อกเตอร์..” 

เสียงซึ่งเอ่ยทักเธอ  ขณะที่มายืนอยู่ด้านหน้าของห้องซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง  ทำให้เจ้าของร่างบางที่สวยสง่าเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ พลางพยักหน้าน้อยๆให้เจ้าของเสียง  ตอบรับการเอ่ยทักของเขา  ซึ่งยกมือข้างหนึ่งขึ้นจรดศีรษะในท่าทำความเคารพแบบทหาร

“สวัสดี..คาร์ลอส   เป็นยังไงบ้างคะ..”  เสียงอันนุ่มนวลและหวานอยู่ในที  เอ่ยคำถามออกมา  กับหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของตน  คนเดียวกันกับที่เป็นตัวแทนของสองคนที่เอ่ยคำทักทาย   ใช่..ฝ่ายนั้นเข้าใจในคำตอบที่เธอต้องการ   

“เธอแข็งแรงดีครับ..ด็อกเตอร์   ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิด..”

คำตอบสร้างรอยยิ้มขึ้นอีกครั้งบนริมฝีปากสวยของหญิงสาว  ก่อนโต้ตอบบทสนทนา  “นั่นเป็นคำอธิบายอย่างดีเลยว่า..ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงของเธอ  ดังก้องไปทั่วทางเดิน..” 
ชายหนุ่มสองคนตรงหน้าซึ่งทำหน้าที่เฝ้าอารักขาด้านหน้าของประตูห้อง  หันมองหน้ากันอย่างประหม่า  คล้ายกับว่าประโยคที่เธอพูด  ทำให้พวกเขารู้สึกสำนึกผิดกับอะไรบางอย่าง  ใช่..ที่ปล่อยให้เชลยส่งเสียงดังออกไปรบกวนผู้อื่นเช่นนี้

“เอ่อ..คือ..  ด๊อกเตอร์ครับ..  พวกเรา----”  นายทหารหนุ่มคนเดิม  เจ้าของชื่อ “คาร์ลอส”  พยายามที่จะเอ่ยชี้แจง  เพื่อแสดงความรับผิดชอบ  แต่คำของเขาก็ไม่อาจจบลง  เพราะมือหนึ่งของหญิงสาวตรงหน้า  ยกขึ้นปราม   และพยักหน้าให้  คล้ายเป็นอะไรที่รู้กัน   หน้าที่ต่อมานั้น  คือการเปิดประตูให้เจ้าของร่างบาง  โดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งเป็นคำพูดจา

นาทีต่อมา  ด๊อกเตอร์สาวก็พบตัวเองอยู่ภายในห้องสีขาว  หญิงสาวถอนหายใจยาวเมื่อสายตาจากดวงตาสีเขียวน้ำทะเลที่มองผ่านเลนส์ใสของแว่น  แสกนมาถึงร่างของใครคนหนึ่ง   ซึ่งกำลังจ้องมองเธอกลับมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร  ยอมรับเลยว่า  หูของตัวเองได้ยินเสียงของหัวใจซึ่งเปลี่ยนจังหวะการเต้นเป็นถี่ขึ้น  แม้คนผู้นั้นที่จ้องมองกันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ  จะไม่สามารถที่จะเดินผ่านกระจกใสซึ่งมีความหนากว่าสามนิ้ว   ออกมาทำอะไรเธอได้ก็ตาม 

“ปล่อยฉันออกไปนะ..ยัยบ้า.!” เสียงของหญิงสาวที่อยู่ด้านในตะโกนดังขึ้น  ทำลายความเงียบของห้องในทันใด   ร่างของผู้มาใหม่สะดุ้งเล็กน้อยด้วยอาการตกใจ  แต่ก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ในไม่ถึงนาที  มิเชลขยับตัวเข้ามาลดระยะห่างของตัวเองกับคนอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของกระจกหนาบานใหญ่ซึ่งจะว่าไปก็คือที่คุมขังดีๆนี่เอง

“คุยกันดีๆก่อนได้มั้ยคะ..คุณเอเวอร์..”  ด็อกเตอร์สาวเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพตามอย่างที่เคยเป็น   แต่ก็ได้เห็นเพียงคิ้วเรียวสีแดงของหญิงสาวเบื้องหน้าขมวดเข้าหากัน   มือทั้งสองข้างของหล่อนที่แนบอยู่กับกระจกบานหนาที่เพื่อใช้ทุบตีมันหลายต่อหลายครั้งเมื่อครู่  ถูกดึงกลับไป  อยู่ในท่ากอดอก   เด็กสาวที่มีเพียงชุดเสื้อคลุมสีขาวครอบคลุมอยู่บนเรือนร่างมองเธอกลับมาอย่างดูแคลน

“ฉันไม่ต้องการคุยกับเธอ”   เอเวอร์ตอบกลับมาทันควัน  แต่เธอก็ยังไม่หมดเรื่องที่จะพูด   จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งเป็นเสียงที่ดังกว่าเดิม  “พวกลูกสมุนของบริษัทอุบาทว์..เนบิวล่า!”  เธอไม่สนใจว่าคนที่อยู่อีกด้านของกระจกจะปวดหูกับเสียงของตัวเองหรือไม่  ทั้งๆที่รู้ว่าห้องนี้มีช่องให้เสียงสามารถออกไปได้อยู่ตรงด้านบนของบานประตู   

ถ้อยคำเสียดสีประชัดประชัน   ถึงว่ามันจะมากระทบกระเทือนจิตใจ  แต่ก็ไม่อาจแสดงมันออกมาทางสีหน้าของตัวเอง  เจ้าของดวงตาสีเขียวน้ำทะเลผู้มีความสวยสง่าและมารยาทงดงาม  จึงต้องพยายามทำตัวของเธอให้ดูดีที่สุดกับเหตุการณ์เช่นนี้   ด๊อกเตอร์สาวเผยยิ้มน้อยๆตอบรับการพูดจาจากผู้อยู่ตรงหน้าอย่างใจเย็น  แม้จะเห็นว่าเป็นเรื่องยากมากกว่าที่คาดการณ์ไว้   ด้วยอีกฝ่าย  แสดงทีท่าขัดแย้งอย่างชัดเจนออกมาเช่นนี้   ยิ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรีบจัดการสถานการณ์ให้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างรวดเร็ว

“คุณเอเวอร์คะ  ฉันขอแนะนำว่า..  คุณควรจะใจเย็นกว่านี้นะคะ” 

ดวงตาสีนิลของผู้ที่ตกอยู่ในฐานะเชลยยิ่งเพิ่มความลุกวาวด้วยโทสะที่พุ่งพล่านขึ้นมาในนาทีที่ได้ยินเสียงอันนุ่มหูเอ่ยพูดออกมาแบบนี้  แต่ในที่สุด  ความดื้อรั้นก็แพ้พ่ายให้กับเหตุผลซึ่งระลึกได้ภายในใจ   ใช่..ฉันจะต้องหลุดออกจากที่นี่ให้ได้  และทำงานให้สำเร็จ   เพื่อพวกเราทุกคน..   แต่ไม่ทันที่จะหายจากอารมณ์ของความขุ่นเคือง  เรื่องใหม่ก็เข้ามา   พาให้เกิดความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นในหัวใจ

“นั่นล่ะค่ะ  ดีแล้วนะคะ..  ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับคุณแล้วนะคะ”

“มีอะไร..  ว่ามา..” เอเวอร์เอ่ยถามอย่างไม่หยุดคิด  ดวงตาสีนิลของตนมองตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น  จนเหลือระยะห่างจากระหว่างร่างของเธอและหญิงสาว  แค่เพียงกระจกกั้น  และเมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง  เธอก็แทบอยากจะมีพลังมากพอที่จะทำลายกระจกบานใหญ่และออกไปจากที่นี่ด้วยตัวเอง

“แลกกับอิสระของคุณ..  ช่วยบอกเหตุผลที่คุณกับพวก  เข้ามาร่วมชิงตัวคนสำคัญของเรา   ให้ฉันฟังหน่อย..ได้มั้ยคะ..”

--The Red Project—

ดวงตาสีเขียวมรกตเปิดขึ้นช้าๆ ยังรู้สึกถึงความหนักของเปลือกตาตัวเอง   ความพร่าเบลอจากการมองเห็นทำให้เธอต้องกระพริบตาหลายต่อหลายครั้ง  เพื่อปรับความคมชัดของสายตา  ...อา..นี่ฉันตายรึยังนะ...  เธอถามตัวเอง

และเมื่อประสิทธิภาพของการมองเห็นกลับมาชัดเจนอีกครั้ง   สายตาจากดวงตาคู่สวยซึ่งยังคงไม่อาจเปิดได้เต็มที่ก็หนีจากแสงไฟสว่างจ้าบนเพดานสีขาวเหมือนกับสีของห้อง  เพื่อมองไปรอบๆ  และพบว่า..มันคุ้นตา   กับบรรยากาศ  แม้กระทั่งเครื่องมือมากมายภายในห้องนี้   

ริมฝีปากอิ่มเอิบเผยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข  เมื่อสายตาเธอมองผ่านสิ่งต่างๆมาเจอกับร่างที่อยู่ไม่ห่างไกลจากตัวเอง   เธอรู้เห็นแล้วว่าเป็นใครที่นั่งอยู่ตรงนี้  ผู้ที่เป็นเจ้าของมือที่เกาะกุมมือเธอไว้ไม่ห่าง  ผู้ที่ซบใบหน้าสวยๆอยู่ตรงขอบเตียงของเธอ  คนที่เธอเฝ้าคิดถึงตลอดเวลา  แม้ในความฝัน..

ฉันรักคุณนะ  ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้ได้  ทั้งที่ใครๆเรียกฉันเป็นหุ่นยนต์..  หรือฉันเป็นหุ่นยนต์ที่มีหัวใจ..   

“ผู้การ..” เสียงหวานๆเอ่ยขึ้นแค่เพียงเบาๆ ราวกับไม่ต้องการจะปลุกคนหลับให้ตื่นขึ้น  แต่ก็อดไม่ได้เลยกับความรู้สึกซึ่งอยากจะสัมผัสแก้มขาวราวหิมะที่แลดูนุ่มเนียนนั่น   เรือนร่างสวยงามที่เกือบจะปราศจากอาภรณ์มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวปกปิดไว้ให้คลายความหนาวจากเครื่องปรับอากาศก็ค่อยๆขยับขึ้นจากที่นอน  ให้มือเรียวข้างหนึ่งของเธอซึ่งเหลือว่างอยู่จากการถูกจับไว้ด้วยมือที่ใหญ่กว่า   ได้มาวางทาบเบาๆบนศีรษะของคนที่ยังอยู่ในท่าฟุบกับเตียง  สการ์เลตเลื่อนลงมาเรื่อยๆ  จนกระทั่งสามารถสัมผัสกับความอุ่นของแก้มขาวอันนุ่มมือจนได้

ผู้ถูกสัมผัสขยับร่างเล็กน้อย  เป็นปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่ารับรู้ว่าถูกเธอจับ   สการ์เลตจึงรีบชักกลับในทันใด  แต่มันก็ยังคงยกลอยค้างอยู่ในอากาศเพียงรอคอยว่าผู้ที่อยู่ในสายตาจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป  และแล้วเธอก็ยิ้มได้อย่างเต็มที่  เมื่อได้สบสายตากับดวงตาสีฟ้าครามที่กำลังพยายามเปิดขึ้นแม้จะดูอ้อนล้าสักเพียงใด   ผู้หญิงตรงหน้าเธอลุกขึ้นมานั่งหลังตรง  แต่ยังต้องใช้มือข้างหนึ่งของเขายันไว้กับเตียง  เพื่อช่วยในการทรงตัว   เพราะยังต้องการเวลาปรับสภาพร่างกายที่เพิ่งผ่านพ้นจากช่วงการเผลอหลับระหว่างการเฝ้าไข้

“สการ์เลต..?” 

เสียงจากเขายังคงน่าฟังเช่นเคย  ไม่เปลี่ยนไปเลย  แม้มันจะออกมาเพียงแผ่วเบา  ด้วยเนื้อเสียงอันนุ่มนวลของเขา   กับรอยยิ้มจากริมฝีปากสวยที่เชื้อเชิญ   โปรเจ็คพิเศษจึงพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง  ถึงจะยังรู้สึกถึงความอ่อนล้าทางร่างกาย  แต่มันก็เพียงเล็กน้อย  ความแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา  เป็นผลพลอยได้ที่ดีกับเธอ  ใบหน้าสวยหวานพยักหน้าตนน้อยๆให้อีกฝ่าย  คล้ายเป็นสัญญาณที่รู้กัน  ร่างที่นั่งอยู่กับเก้าอี้นั้นจึงขยับลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงด้วยกันแทน

“เป็นยังไงบ้าง..”  เสียงอันนุ่มนวลเอ่ยถาม  แววตาจากดวงตาสีฟ้าครามแฝงไว้ด้วยความห่วงใย  เหมือนน้ำเสียงของตัวเอง  แต่มือทั้งสองข้างที่เกร็งเล็กน้อยเพราะความรู้สึกบางอย่างในหัวใจกลับขยับเคลื่อนไหว  เพื่อหยิบผ้าเพียงผืนเดียวที่หลุดหล่นมาอยู่บนตักของคนตรงหน้าขึ้นมา  และคลุมร่างที่เล็กกว่าเอาไว้  แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เชยชมความงดงามอันนั้น  ของหญิงสาวที่มีผิวพรรณขาวอมชมพูและสรีระอันน่าดูชม

“สบายดีแล้วค่ะ..”  เสียงหวานๆกระซิบกลับมา  ระหว่างใบหน้าหวานตรงปลายคางมาอยู่บนบ่าข้างหนึ่งของคนตรงหน้า  สการ์เลตถือโอกาสกอดร่างของหญิงสาวไว้  ขณะที่สองแขนยาวของหล่อนแทรกมาข้างลำตัวทั้งสองข้างของเธอ   เพราะความพยายามที่จะนำผ้าห่มมาห่อหุ้มตัวให้  คงหวังให้เธอคลายจากความหนาวของแอร์คอนดิชั่นเนอร์  ทั้งที่มันไม่ได้จำเป็นเลยสำหรับมนุษย์พิเศษอย่างเธอ  ที่เขาเองก็น่าจะรู้   

ร่างที่ใหญ่กว่าขยับเล็กน้อยคล้ายต้องการให้อีกฝ่ายปล่อยตัว   แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้และหยุดขัดขืน  ยอมที่จะอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน  สการ์เลตปิดเปลือกตาลงอย่างผ่อนคลาย   เพราะได้สองมือของคนที่กอดตอบกลับมาลูบเบาๆที่แผ่นหลังอันเปลือยเปล่าให้  เวลานี้เองที่เธอได้โอกาสปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากสายท่อที่ต่อมาจากเครื่องมือต่างๆตรงท่อนแขนข้างหนึ่งไปด้วยเพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว  เมื่อฟื้นแล้วแบบนี้

“คิดถึงจังนะคะ”   มนุษย์ทดลองแต่มีหัวใจส่งเสียงกระซิบเอ่ยออกมา  พาให้เธอได้รับการกระชับวงกอดให้แน่นมากยิ่งขึ้น   และรู้สึกถึงมือหนึ่งซึ่งลูบเบาๆที่ศีรษะให้  คล้ายจะบอกว่าเข้าใจและรู้สึกไม่ต่างกัน   

เจ้าของร่างเล็กกว่าผ่อนลมหายใจยาวๆออกมาอย่างมีความสุขและขยับตัวของเธอเล็กน้อย  ใบหน้าหวานถูกดึงกลับมา  หวังสบตากับดวงตาสีฟ้าคราม  มองจ้องมันลึกๆราวกับต้องการอะไรจากมันและเจ้าของมันด้วย   และแล้วมนุษย์ทดลองคนสวยก็ได้ในสิ่งที่หวังโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยบอกเป็นคำพูดจา   ริมฝีปากสวยจากคนตรงหน้าขยับเข้ามามอบสัมผัสให้กับริมฝีปากของเธอ   จูบแม้จะแผ่วเบาแต่กลับรุกเร้าให้เธอต้องการมันมากขึ้น  อยากรู้สึกถึงมันให้มากกว่านี้

คู่กรณีของเธอมีอาการการขัดขืนในนาทีแรกที่ถูกสัมผัสหนักๆจากเธอ   แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นการตอบสนองกลับมา   กลายเป็นว่าตอนนี้พวกเธอสองคนแลกความรู้สึกในหัวใจของกันและกันผ่านสัมผัสที่ริมฝีปากและการกอดรัดอย่างรักใคร่   สองร่างคล้ายไม่ต้องการจะห่างออกจากกัน   จุมพิตเนิ่นนานจนเหมือนไม่ต้องการอากาศหายใจ   หากร่างกายไม่ขอร้องพวกเธอ  ให้ละออกจากกันเพื่อเติมเต็มมันลงในปอดอีกครั้ง

“กลับ..  กลับไปนอนพักเถอะนะ  เพิ่งจะหาย..  ร่างกายของเธอยังต้องการการพักฟื้น..”  ผู้การสาวตัดใจเอ่ยคำฝืนความรู้สึก  ถึงจะรู้สึกว่าพูดได้ไม่เต็มเสียงก็ยังพยายาม  เธอพยายามควบคุมจังหวะการหายใจใหม่  แต่ไม่สำเร็จกับการจัดการการเต้นของหัวใจตน   ที่มันเหมือนจะหลุดออกมานอกอกให้ได้  มันตื่นเต้นเหลือเกิน  กับแค่จูบเท่านั้น..   

ดวงตาสีฟ้าครามไม่กล้าจะมองตรงๆไปยังดวงตาคู่สวยของผู้หญิงตรงหน้า   เพราะเกรงว่าจะต้องแพ้พ่ายกับสายตาอ้อนวอนจากฝ่ายนั้น   ร่างสูงพยายามลุกขึ้นจากเตียง  หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจจะต้องทำลายหรือทำร้ายโปรเจ็คสำคัญด้วยมือตัวเอง  โดยไม่ได้ตั้งใจ  หากแต่บลูอายส์ก็ต้องหันกลับมาให้ความสนใจกับคนที่รั้งเธอไว้ด้วยการจับที่ข้อมือ  และก่อนจะได้พูดอะไรออกมาแย้งได้อีก  ก็พบว่าเธอถูกจับลงมานอนลงกับเตียงคนไข้ได้ง่ายๆ โดยมีร่างกายซึ่งปราศจากอาภรณ์ของเจ้าหล่อนอยู่เบื้องบน 

โอ้..เทพธิดาของฉัน สวยอะไรขนาดนี้..  ถึงในใจจะกู่ร้องออกไปแบบนี้แล้ว  แต่ก็พยายามจะหนีตัวเองต่อไป 

“สการ์เลต..  จะทำอะไร”  เธอถามละล่ำละลั่กออกมา  หวาดกลัวแววตาของผู้หญิงตรงหน้าเหลือใจ  สการ์เลตมีเรี่ยวแรงกลับมาแล้วแบบนี้  เธอก็ดีใจ  หากแต่ในใจก็กลัวใจหล่อนเหมือนกัน 

แต่คงไม่ต้องกลัวแล้วล่ะมั้ง..  รู้นี่ว่า..หล่อนต้องการอะไร..

“ขอรางวัลปลอบใจให้ฉันหน่อยนะคะ..ผู้การ”

ถึงขนาดนี้แล้ว  จะไม่ยอมให้ก็คงไม่ได้  บลูอายส์จึงพยักหน้าให้แต่โดยดี  และออกคำสั่งออกมากับอุปกรณ์ในห้องนี้ที่รอฟังแค่คำสั่งจากเสียงของเธอเอง

“ปิดกล้องวงจรปิดในห้องนี้ทุกตัวและล็อกประตูให้แน่นหนาด้วย”  จากนั้นก็หันกลับมาสนใจผู้ที่อยู่เบื้องหน้าต่อ ตอบรับคำขอของหล่อนอย่างเต็มใจ  หากแต่ยังไม่วายส่งเสียงกระซิบออกมาให้หล่อนยิ้มหวาน

“อย่าเล่นกับฉันแรงนะ  ฉันอ่อนแอกว่าเธอนะ..สการ์เลต”

“รับรองเลยค่ะ..ผู้การ”

เป็นอีกครั้งที่เธอปล่อยตัวเองไปกับความผ่อนคลายแบบนี้  แม้รู้ดีว่ามันไม่ถูกต้องนัก  เธอไม่ควรจะทำอะไรที่ดูไร้สาระแบบนี้  แต่ก็นะ  หัวใจมันห้ามไม่ได้เลยสักที   และตอนนี้ถ้าจะขอได้รับความอบอุ่นจากใครสักคนที่กอดกันแบบนี้  มันจะมากไปหรือไง..

--The Red Project—

“เธอควรจะเปลี่ยนชุดดีกว่านะ..” 

ร่างสูงในชุดเสื้อโค้ทตัวยาวสีขาวที่กำลังยืนกอดอกอยู่ให้ห้องตามลำพังอย่างไม่รู้จะทำอะไร  หันมองหาเจ้าของเสียงนี้ที่ดังขึ้นหลังจากการเกิดของเสียงเปิดประตู   ดวงตาสีฟ้าอมเขียวซึ่งกำลังมองดูสิ่งต่างๆภายในห้องอย่างพิจารณา  ก็ต้องมาหาร่างของผู้มาใหม่นั่น  จากนั้นก็มองผ่านใบหน้าคมเข้มนั่นไป  มาหยุดอยู่ตรงสิ่งของในมือของเขา

“ขอบใจนะ”  เสียงนุ่มๆพึมพำเบาๆตอบกลับคนตรงหน้า  วาเลนไทน์รู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะรับของจากคนแปลกหน้า  เพราะยังรู้สึกไม่ไว้วางใจหล่อนเท่าไหร่  แต่ในที่สุดก็ยอมรับมันมา  มันคงจะดีกว่าหรือไม่ใช่  ถ้าได้ใส่อะไรแทนเสื้อโค้ทตัวนี้ที่เหมือนไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรเท่าไหร่เลย

“พอจะจำได้มั้ยว่า..เธอเป็นใคร..”  ผู้หญิงคนเดิมในชุดกึ่งทหารคอมมานโดเอ่ยถามขึ้นมา  ราเวนพยายามหันสายตัวเองออกจากคนตรงหน้าไปสนใจกับอย่างอื่นภายในห้องแทน  เพื่อลดอาการแปลกประหลาดที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นในใจ  เพราะการมีใครสักคนมายืนใส่เสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่มีให้เห็นกันบ่อยๆนี่  แถมผู้หญิงคนนี้ก็ช่างน่ามองเสียจริง  ทั้งที่เป็นผู้หญิงเหมือนๆกัน  เรือนร่างของหล่อนงดงามหมดจด  เหมือนผลงานชิ้นเอกของเทพเจ้าสักองค์ประทานให้มา  ผิวหรือก็ขาวผ่องเป็นยองใย  สรีระก็สะโอดสะอง  ความสูงของหล่อนไม่ได้ทำร้ายความสวยแบบนี้ไปเลยสักนิด  นี่หรือ  ผลงานชิ้นเยี่ยมของเคอร์เนียร์  หล่อนทำได้ยังไงนะ

“ไม่สักนิด..” 

คนกำลังเพ้อกระพริบตาจนได้เมื่อได้ยินคำตอบของคำถามที่ตัวเองลืมไป  ราเวนหันกลับมามองหน้าเจ้าของเสียงที่โชคดีว่า  อยู่ในชุดเสื้อผ้าเต็มตัวแล้ว  ไม่ทำให้หัวใจปั่นป่วนได้อีกต่อไป
แต่อะไรนะ..  หล่อนว่า...จำอะไรไม่ได้เลยหรือ..  แย่ล่ะสิเนี่ย..

และเพราะมัวแต่คิดอะไรไปคนเดียว  จึงได้ยินเสียงจากแขกดังขึ้นอีกครั้งให้ต้องกระพริบตา 

“เฮ้..เป็นอะไรไป..  ทำไมเงียบไปล่ะ..” 

เจ้าของดวงตาและสติที่หลุดลอย  ถูกดึงกลับมาสู่ปัจจุบันด้วยเสียงอันน่าฟังของคนตรงหน้าที่มายืนใกล้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้   และด้วยความสูงของตัวเองกับคนที่ยืนกอดอกประจันหน้ากัน  มันเห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง  ใบหน้าคมเข้มจึงต้องเงยขึ้นเล็กน้อย  เพื่อความคมชัดของสายตาในการมองหน้ากัน

“เปล่า..  ไม่ได้เป็นอะไร  กำลังคิดว่า เธอน่าจะได้ทานอะไรสักหน่อยน่ะ   ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา  ยังไม่ได้มีอะไรลงท้องเลยไม่ใช่รึ..”   หูของราเวนได้ยินเสียงของตัวเองเอ่ยคำตอบที่คิดว่าดีที่สุดแล้วออกไป  อย่างน้อยก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของคนซึ่งกำลังมองด้วยสายตาแปลกๆ  คล้ายกับเริ่มไม่ไว้วางใจ   แต่ใบหน้าสวยของหญิงสาวเบื้องหน้าก็พยักหน้าน้อยๆกลับมา   เธอจึงค่อยๆละออกจากความใกล้ที่เกือบทำให้หัวใจวายแบบนี้เพื่อที่จะออกไปยังทางออกของห้อง

“เฮ้..เดี๋ยวก่อนสิ..” 

ราเวนหยุดชะงักระหว่างทาง เพราะเสียงรั้งเรียกไว้จากด้านหลัง   ทำให้เธอต้องหันไปมอง  เลิกคิ้วน้อยๆกลับไปให้คนที่มองหน้ากันอยู่ตรงนั้นคล้ายจะตั้งคำถามกลับไป  แปลกในที่ใบหน้าขาวๆนั่นมีสีแดงระเรื่อที่สองแก้มระหว่างที่เอ่ยพูด   

“ยังไม่รู้ชื่อเธอเลยนะ..  อุตส่าห์ให้ฉันมาอยู่ด้วยที่นี่...”

จากนั้นราเวนก็พบว่า  เธอได้ทำสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำนักกลับไปให้ผู้หญิงคนนี้  คือยิ้มให้หล่อนอย่างจริงใจระหว่างที่ตอบคำถามให้  ก่อนจะพาตัวเองหายไปหลังบานประตู
 
“ราเวน  สแนปเปอร์..  เธอเรียกฉันว่า ‘ราเวน’ เฉยๆก็พอ”

...โอ้..  เธอไม่น่าเกิดมาแบบนี้เลยนะ..บรอนซ์   น่าเสียดายจริงๆ....


End  Chapter  4.




ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครเม้นท์  ก็ยังอยากมา    :31: :31: :31:



เจอกันได้อีกที่ที่นี่นะคะ https://www.facebook.com/Crimsonmaiden, https://twitter.com/Anh29, http://leslybooks.lnwshop.com/ (ร้านหนังสือ)

 

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.