web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 197
Most Online Ever: 230
(26 เมษายน 2024 เวลา 05:53:50 )
Users Online
Members: 0
Guests: 183
Total: 183

ผู้เขียน หัวข้อ: Backpack In Love Chapter 04  (อ่าน 1689 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Backpack In Love Chapter 04
« เมื่อ: 07 มกราคม 2014 เวลา 10:09:16 »

Chapter 4

วันศุกร์:
เช้าตรู่วันนี้ปอนด์ปลุกให้เพื่อนสาวร่วมห้องชาวญี่ปุ่นตื่นแต่เช้าเพื่ออกมาดูการตักบาตรข้าวเหนียวของชาวหลวงพระบางกัน ฮานะอิดออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมตื่นตามสาวเซอร์ เมื่อเดินออกจากซอยบ้านพักก็พบว่าสองข้างถนนของหลวงพระบางยามเช้ามืดเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่นั่งรอให้พระภิกษุและสามเณรเดินรอรับการบิณฑบาตข้าวเหนียวอยู่อย่างเนืองแน่น ปอนด์และฮานะถ่ายรูปเหล่านั้นไว้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ทว่า...

“หนูๆ ใส่บาตรบ่” หญิงกลางคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาสองสาวเพื่อเชิญชวนใส่บาตร

“เท่าใด๋” ปอนด์ถามกลับ

“5 พันกีบ”

สาวเซอร์หันไปคุยกับฮานะอย่างหารือ สาวยุ่นพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เพราะอยากจะลองทำทุกอย่างที่ชาวบ้านทำกัน ดังนั้นสองสาวจึงร่วมวงตักบาตรข้าวเหนียวร่วมกับชาวบ้านด้วย

เมื่อหญิงสาวทั้งสองเข้าไปอยู่ในแถวและพระเดินมา จู่ๆ ก็มีป้านิรนามจากไหนไม่รู้อีก 2 คน เอาผลหมากรากไม้ ขนม และดอกไม้มาวางไว้บนโตกที่ใส่กระติบข้าวเหนียวของสองสาวจนเต็ม แล้วบอกให้ทั้งสองใส่สิ่งของทุกอย่างลงในบาตรพระจนหมด พระเดินมาไวมากจนสองสาวลนลานทำอะไรไม่ทันได้แต่ส่งสิ่งของทั้งหมดลงในบาตร เมื่อพระหมด ของใส่บาตรหมดก็ถึงเวลาคิดเงิน

“คิดเบิ๊ดทุกอย่างก็คนละร้อยหกสิบพันกีบ”

“คนละร้อยหกสิบพันกีบ...” ปอนด์ทวนคำพูดของป้าให้เป็นตัวเลขในหัวแล้วก็ตกใจ

“เฮ้ย! แสนหกหมื่น!” (ราวๆ 420 บาท)

“แม่นแล่ว คนละแสนหกหมื่นกีบ”

“อะไรอ่ะป้าไหนบอกว่าห้าพันไง!” สาวไทยโวย

“ก็ข้าวเหนียวโดนๆ มันห้าพัน ส่วนอย่างอื่นแม่ก็คิดตามราคา”

“เฮ้ยได้ไง... เล่นงี้เลยเหรอป้า” ปอนด์ยังคงไม่ยอมแพ้กับการแก้ตัวแบบข้างๆ คูๆ ของป้า

“น่าเนอะ ถือว่าซอยแม่นำ”

“เง้ออ”

สาวเซอร์หันไปอธิบายให้ฮานะฟังด้วยอารมณ์หงุดหงิด สาวยุ่นทำหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วมองไปที่ป้าทั้งสามคนด้วยอาการมึนงง แล้วถามปอนด์กลับว่าจะเอายังไงดี ตอนแรกสาวเซอร์ยืนยันว่าจะไม่จ่าย แต่สาวยุ่นบอกว่าให้จ่ายไปเถอะ เพราะเธอไม่อยากมีเรื่อง

“อ้ะ... จ่ายก็จ่าย เห็นแก่ฮานะจังนะเนี่ย”

“จ่ายพวกเขาไปเถอะปอนด์ซัง ไม่หงุดหงิดนะคะ เดี๋ยวฉันจะเลี้ยงกาแฟคุณเอง” ฮานะคล้องแขนสาวเซอร์อย่างเอาใจพลางพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน

ปอนด์ยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทางขี้อ้อนของสาวยุ่น แล้วทั้งสองก็ควักเงินราคา 160,000 กีบ  ให้กับป้าๆ มหาภัย

“จำไว้เลยนะป้า เล่นเอาหมดตัว อดเที่ยวน้ำตกกับถ้ำเลย” ปอนด์พูดพึมพำ ก็เงินส่วนนี้เป็นเงินที่เธอกันไว้เป็นค่ารถสำหรับเดินทางไปเที่ยวน้ำตกตาดกวางสีที่อยู่นอกเมือง และค่าเรือไปเที่ยวถ้ำติ่งที่นั่งเรือผ่านเมื่อวาน แต่ในเมื่อเอามาจ่ายค่าตักบาตรหมดแล้ว ก็หมดกัน

“ฮานะจัง ขอโทษนะที่ทำให้ต้องเสียเงินไปด้วย ขอโทษจริงๆ” ปอนด์พูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

สาวญี่ปุ่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ”

แล้วฮานะก็เดินจูงมือสาวเซอร์ให้เข้าไปในตลาดเช้าเพื่อคลายความหงุดหงิด เธอยอมเสียเงินในส่วนนั้นไป ถึงแม้จะเป็นค่าโง่ แต่ก็นับว่าคุ้มที่จะได้เรียนรู้ว่า การค้าขาย การแข่งขัน และธุรกิจ ได้เข้ามาครอบงำวิถีชีวิตของคนในเมืองนี้เสียแล้ว พวกเธอเจอเพียงแคนี้ดีกว่าที่จะต้องเสียอะไรไปมากกว่านี้ ปอนด์ไม่ผิดที่ชวนเธอตักบาตร สาวเซอร์ปรึกษาเธอว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ ถ้าอยากทำก็จะตอบรับ ไม่อยากทำก็จะปฏิเสธ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำ เธอจึงทำ เธอไม่โทษปอนด์ เธอไม่โทษตัวเอง แต่เธอถือว่าเธอกำลังเรียนรู้ ฮานะรู้สึกดีที่มีคนอย่างปอนด์คุยด้วย มีคนมาถามไถ่ คอยดูแลเอาใจใส่ และฟังข้อเสนอของเธอเสมอว่าอยากทำอะไรหรือไม่อยากทำอะไร เธอรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ญี่ปุ่นที่มีคนบอกให้เธอทำทุกอย่าง

ส่วนทางด้านปอนด์ที่ยังหงุดหงิดอยู่ เมื่อได้ฮานะที่เดินจูงมืออยู่ข้างๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาด รอยยิ้มอายๆ และเสียงหัวเราะ เสียงถามไถ่ว่า อันนั้นอะไร อันนี้อะไร มันมีไว้ทำอะไร ใช้ยังไง กินได้เหรอ ที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เธอยิ้มออก ปอนด์เป็นคนเฉยๆ ไม่ง้อคน ไม่ตามใจคน แต่เมื่อเธออยู่กับฮานะ เมื่อวานนี้เธอกลับง้อผู้หญิงคนนี้ และเมื่อกี้นี้เธอตามใจผู้หญิงคนนี้ ใส่ใจและห่วงใยความรู้สึกของคนๆ นี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อน

เมื่อออกจากตลาดเช้า พวกเธอเดินตรงมาที่สุดถนน เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำโขง กระแสธารหลักของเขตอินโดจีน

“หิวรึยัง” ปอนด์ถามเพื่อนร่วมทาง

“นิดหน่อย ไปหาร้านกาแฟกันเถอะ ฉันจะเลี้ยงกาแฟปอนด์ซังเอง” ฮานะพูดพลางดึงมือสาวเซอร์ให้เดินย้อนกลับไปทางเดิม แต่ปอนด์ขืนมือไว้ทำให้สาวยุ่นตัวเล็กประหลาดใจ

“ร้านกาแฟอยู่นี่ ทางนี้” สาวไทยบุ้ยใบ้ไปทางซ้ายมือของถนน ที่มีโต๊ะและเก้าอี้เก่าๆ ตั้งวางไว้อยู่

“ร้านกาแฟเหรอ”

“ใช่ ร้านนี้มีชื่อเสียงมากเลย รุ่นพี่ของฉันเขียนเอาไว้ ชื่อว่าร้านกาแฟประชานิยม” พูดจบปอนด์ก็ดึงมือของฮานะเดินตรงไปยังเพิงหลังหนึ่ง ร้านกาแฟซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของร้านขายขนมปังบาแก๊ต  และร้านขายพวกหมูปิ้ง ไก่ปิ้ง และตับปิ้ง ทั้งหลายแหล่

กาแฟลาวกลิ่นหอมลองเตะจมูกหญิงสาวทั้งสองทันทีเมื่อนั่งลง ทั้งคู่สั่งกาแฟมานั่งคิดคู่กับปาท่องโก๋ ซึ่งฮานะก็ลองกินทุกอย่าง โดยทำตามปอนด์ที่ดูเหมือนกับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการกินของเธอ

“นี่ปอนด์ซัง ว่าจะถามตั้งนานแล้วคุณพูดภาษาลาวได้ด้วยเหรอ”

“เปล่าหรอก ภาษาไทยน่ะ ก็มีภาษาลาวปนบ้างนิดหน่อย” สาวเซอร์ตอบพลางมองหน้าสาวยุ่น

“ภาษาไทยกับภาษาลาวมีรากฐานเดียวกัน ใกล้เคียงกัน 80% พวกเราเข้าใจซึ่งกันและกัน คนไทยที่อยู่ในภาคอีสานจะพูดภาษาที่คล้ายกับภาษาลาว แต่คนลาวส่วนใหญ่ก็เข้าใจภาษาไทย รู้มั้ยเพราะอะไร”

ฮานะส่ายหน้า

“พวกเขาดูทีวีที่มาจากเมืองไทย ฟังเพลงไทย ใช้ของที่ผลิตในไทยน่ะสิ”

“จริงเหรอ”

“อื้อ... รู้มั้ยว่าลาวเคยเป็นประเทศที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ด้วยสงคราม การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเข้าสู่ภาวะสงครามอีกครั้งในช่วงสงครามอินโดจีน แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นประเทศมาเป็นระบอบสังคมนิยมทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปได้ค่อนข้างล่าช้าจากการปิดประเทศ ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากประเทศต่างๆ ไทย เวียดนาม กัมพูชาและจีน ถือว่าเป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับลาว จะว่าไปแล้วคนไทยกับคนลาวก็ไม่แตกต่างกัน วัฒนธรรม ภาษาใกล้เคียงกัน คนลาวจึงรับเอาวัฒนธรรมจากไทยมามากที่สุด”

ปอนด์ยกกาแฟขึ้นจิบ

“ตอนนี้ลาวมีสถานีโทรทัศน์แค่ช่องเดียว ความบันเทิงทางด้านเพลงก็เพิ่งจะพัฒนา ส่วนเรื่องของด้านอื่นๆ ก็ยังไม่ไปถึงไหน การพัฒนาเรื่องของข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ในระดับที่จำกัด เขาเลยต้องหาทรัพยากรจากบ้านใกล้เรื่องเคียงมาใช้ เช่น ดูทีวีไทย ทีวีเวียดนาม ฟังเพลงไทย หรือใช้สินค้าที่ผลิตในเมืองไทย”

“อื้อ...”

“แต่ฉันชอบที่นี่นะ โดยเฉพาะเรื่องของผู้คนที่น่ารักและเป็นมิตร เดินไปไหนก็ปลอดภัย ไม่ค่อยมีขโมย พวกนี้หาได้ยากแล้วล่ะในเมืองไทย อ้อ... ยกเว้น ป้า 3 คนเมื่อตะกี้นะ”
ฮานะหัวเราะออกมา “ฉันว่ามันเป็นเพราะการท่องเที่ยว ที่ทำให้เขาต้องดิ้นรน ที่อื่นๆ ก็น่าจะเป็นเหมือนกันนะ ถ้าให้ฉันเดา”

“ใช่เลย ที่อื่นๆ ก็เป็น และอาจจะยิ่งกว่านี้ ฉันภาวนาว่าไม่อยากให้ที่นี่เปลี่ยนไปในทางที่เป็นธุรกิจมากขึ้น สังคมเมือง ระบบ ทุนนิยมกำลังจะเข้ามาในประเทศนี้ ถ้ารัฐบาลดูแลไม่ดี ลาวอาจะเป็นเหมือนกับไทย ที่ผู้คนเน้นทางด้านวัตถุและบริโภคนิยม”

“เหมือนในญี่ปุ่น” สาวยุ่นพูดสั้นๆ แล้วยกแก้วกาแฟดื่มจนหมด

-----------------

หลังจากนั้นสองสาวก็เดินเที่ยวในเมืองหลวงพระบางกัน หลวงพระบางจะแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือด้านที่เป็นเมืองที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งโดยมีน้ำคานเป็นตัวกั้น ส่วนด้านที่คนนิยมมาท่องเที่ยวคือส่วนที่ยกให้เป็นมรดกโลก

หลวงพระบางมีวัดน้อยใหญ่มากมายรวมแล้วกว่า 40 วัดที่ตั้งอยู่ในเขตที่เป็นมรดกโลก ทั้งสองเริ่มต้นที่ วัดโพนไซ ซะนะสงคาม (วัดโพนชัย ชนะสงคราม) เป็นวัดที่อยู่กลางใจเมือง แต่ช่วงที่ทั้งสองเข้าไปคือก่อน 8 โมงเช้าวัดยังไม่เปิดให้เข้าชม ซึ่งคนที่เข้าชมจะต้องเสียเงินคนละ 20,000 กีบ  เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านนอก เมื่อแลกเงินเพิ่มเสร็จแล้วสาวไทยและสาวยุ่นก็เดินตรงไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหลวงพระบาง ซึ่งเป็นพระราชวังเก่าของพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ ตามที่คัมภีร์ Lonely Planet บอกเอาไว้ วิวในพิพิธภัณฑ์สวยมาก โดยเฉพาะแนวต้นปาล์มที่เรียงตัวเป็นแถวคู่ตอนลึกแบบจงใจปลูก

ทั้งสองเดินเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์และถ่ายรูปคู่กันเป็นที่ระลึกเมื่ออกมาจากตัวตึกแล้ว (ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ราคา 30,000 กีบ ประมาณ 100 บาท) หลังจากนั้นก็ออกมาเดินเที่ยวในบริเวณรอบๆ ปอนด์ก้มลงเก็บดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งแล้วยื่นให้ฮานะ

“อันนี้เรียกว่าดอกจำปาลาว เป็นดอกไม้ประจำชาติของลาว”

“สวยจัง”

สาวเซอร์หยิบดอกจำปาลาวขึ้นมาอีกดอกแล้วเหน็บไว้ที่ยางรัดผมของฮานะ “สวยดีเนอะ ดอกไม้ทั้งสองดอกเลย”

“เอ๋”

“ชื่อของฮานะจังแปลว่าดอกไม้ไม่ใช่เหรอ ดอกจำปาลาวก็สวย ฮานะจากญี่ปุ่นก็สวย” ปอนด์พูดแล้วยิ้มให้ เล่นเอาหัวใจคนฟังเต้นแรงอีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะที่ชม” สาวยุ่นก้มหน้าตอบด้วยความเขินอาย ส่วนคนพูดเมื่อกี้ก็หัวเราะแฮะๆ เอามือเกาศีรษะแบบเขินๆ

‘ตูพูดอะไรเสี่ยวแดกแบบนั้นไปได้ไงฟะ แต่น่ารักจริงๆ นี่หว่า มีแฟนรึยังเนี่ย จีบได้มั้ยค๊า ถึงฉันจะไม่ใช่ผู้ชาย แต่คนนี้ขอหนูเถอะ’ ปอนด์คิด

‘เค้ากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย อย่าบอกนะว่าชอบฉัน จีบได้นะคะ ถ้าคนน่ารักอย่างคุณจีบ ถึงจะเป็นผู้หญิงด้วยกันฉันก็ไม่ถือ’ นี่คือความคิดของสาวยุ่น

เลือดฝาดสีแดงแต่งแต้มบนใบหน้าของคนทั้งคู่ ยิ่งเมื่อได้กุมมือกันก็ทำให้ออกอาการเขินอายมากขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น

“ฮานะจังถ้าอยากเดินเที่ยวคนเดียวก็บอกนะ ฉันเกรงใจน่ะ” สาวเซอร์พูด ด้วยเหตุที่ว่าคนที่เดินทางเที่ยวคนเดียวก็มักจะชอบเดินคนเดียวไปดูสิ่งที่สนใจตามความชอบของตัวเอง

สาวยุ่นหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย รอยยิ้มของเธอเลือนหายไป

‘ปอนด์ซังไม่อยากเดินกับฉันแล้วเหรอ ทั้งๆ ที่ฉันอยากอยู่ใกล้ๆ แท้ๆ’ เธอคิด

“ถ้าฉันทำให้ปอนด์ซังลำบากใจ งั้นเดี๋ยวเราแยกกันก็ได้นะ” ฮานะพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาเจือไปด้วยความน้อยใจ

‘อ้าวเฮ้ย ตูพูดอะไรออกไปอีกแล้วเนี่ย! ไอ้ปอนด์เอ้ย รีบแก้ตัวเร็ว’

เมื่อปอนด์เห็นสีหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็หน้าเสียทันที ในสมองเธอรีบหาทางง้อทันที

“เอ่อ... ฉันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่อยากเดินเที่ยวกับฮานะจังนะ คือ... ฉันหมายถึงว่าเวลาคนที่เดินทางมาคนเดียวเนี่ย เค้ามักจะเดินดูสิ่งที่ตัวเองชอบหรือสนใจ ฉันเลยคิดว่าฮานะจังอาจจะมีสถานที่ในดวงใจอยู่แล้ว ถ้าเดินกับฉัน ฮานะจังอาจจะไม่ได้ไปที่ตรงนั้น” สาวเซอร์พูดอย่างรวดเร็วพลางมองหน้าสาวยุ่นไปด้วย

“เอ่อ... ฉันไม่มีที่ไหนที่อยากดูหรอกเป็นพิเศษหรอก บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย ไกด์บุ๊คก็ยังไม่ได้อ่านด้วย” ฮานะตอบพลางสบตาปอนด์ไปด้วย

“เหรอ... แล้วอีกอย่างเอ่อ... ฉันกลัวว่าถ้าฮานะจังไปกับฉัน ฉันกลัวว่าฮานะจังจะเบื่อ เพราะฉันเป็นพวกชอบเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ แล้วก็... ช่วงนี้หน้าแล้ง แดดร้อนแล้วก็แดดแรงด้วย ฉันเลยกลัวว่าถ้าฮานะจังไปกับฉัน ฮานะจังจะเหนื่อยแล้วก็ไม่สบาย” สาวไทยพูดอีกครั้ง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล

สาวญี่ปุ่นส่ายหน้า เธออมยิ้มเล็กน้อย

‘ที่แท้ก็เป็นห่วงฉันนี่เอง ปอนด์ซังนี่น่ารักจังเลย แถมยังใจดีอีกด้วย’ ฮานะคิดแล้วพูดว่า

“ไม่เบื่อหรอกค่ะ ฉันอยู่กับปอนด์ซังแล้วสนุกดี เพราะปอนด์ซังมีเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้ฉันฟัง แล้วไม่ต้องกลัวฉันจะเหนื่อยด้วย เพราะอยู่ที่ญี่ปุ่นฉันเดินบ่อย ยาฉันก็เอาติดตัวมา ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่สบาย”

พอสาวญี่ปุ่นพูดจบก็ส่งยิ้มหวานๆ ให้ ทำเอาคนรับนั้นแทบละลายไปตรงนั้น ‘อ้ากกกกกก น่าร้าก ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้’

“ฉันเดินเที่ยวกับปอนด์ซังได้มั้ยคะ” สาวยุ่นถาม

“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” สาวเซอร์ตอบแล้วยิ้มให้ หลังจากนั้นพวกเธอก็ออกเดินไปตามเส้นทางของเมืองหลวงพระบาง

-----------------
สองสาวเดินเลาะไปตามริมน้ำคานก็ไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ริมถนนจึงแวะพักกัน เพราะกาแฟกับปาท่องโก๋ที่กินไปเมื่อตอนเช้าตรู่นั้นไม่อยู่ท้อง เฝ๋อ และข้าวเปียก ถูกสั่งมากินและลงไปกองลงในกระเพาะ ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็รู้ข้อมูลกันว่าต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่มีแฟน

‘ปอนด์ซัง/ ฮานะจังยังไม่มีแฟน ดีจังเลย’ ทั้งคู่คิดในใจ

“มีแฟนแล้วหรือยัง หากว่ายัง อยากจะขอให้เจ้าซ่อยพิจารณา คนๆ นี้ให้เข้าไปอยู่ในหัวใจ สายตาหวานๆ ฮอยยิ้มหวานๆ อยากให้คนหวานๆแบบเจ้ามาเป็นหวานใจ”
เพลงหวานของวงแซว (วง Cell) ดังขึ้นมาจากวิทยุของแม่หญิงเจ้าของร้าน ทำให้คนฟังออกอย่างสาวไทยใจเต้นแรงมากขึ้น มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข เกือบจะทำท่าบัลเล่ต์สวอนเลกก์ซะแล้ว ส่วนฮานะที่ฟังไม่ออกก็ได้แต่นั่งทำหน้างงว่าทำไมสาวไทยถึงดูท่าทางผิดปกติ

เติมพลังเสร็จพวกเราก็เดินเลาะตามฝั่งน้ำคานไปเรื่อยๆ จนมาถึงหลักศิลาจารึก (เฮ้ย เค้าเรียกว่าป้ายต่างหาก) ขององค์การยูเนสโก้ที่อยู่สุดถนนสักกะรินและด้านหน้าทางลงสะพานไม้ที่มีป้ายบอกว่า ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งคือ Mae Khong Beach ที่เป็นสะพานไม้กะลั่วๆ ดูไม่มั่นคง แต่เสียค่าข้ามคนละ 1,000 กีบ ปอนด์ถามฮานะว่าอยากไปดูมั้ย สาวยุ่นส่ายหน้า ทั้งสองเลยถ่ายรูปที่ริมน้ำคาน ที่เป็นปากแม่น้ำที่จะไหลไปสู่แม่น้ำโขงแล้วเดินกลับขึ้นมา ไปยังวัดซึ่งคัมภีร์บอกว่าเป็น High Light คือ วัดเชียงทอง

เงิน 20,000 กีบ ถูกจ่ายเพื่อเป็นค่าเข้าชมวัด อากาศยามเที่ยงร้อนจัดจนเหงื่อไหลไคลย้อย ปอนด์เดินจูงมือฮานะเข้าไปในสิม เพื่อไหว้พระประธาน (อธิบายการไหว้พระแบบไทยๆ ให้คนญี่ปุ่นเข้าใจ) แล้วออกมาชมหอไตรและหอพระนอน ปิดท้ายด้วยสิมสีทองหรือชื่อเต็มๆ ว่า พระบรมโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ที่ไว้เป็นที่เก็บราชรถลากเมรุของพระมหากษัตริย์

“ลองนี่มั้ย” สาวเซอร์ชี้ไปที่กระบอกเซียมซี

“มีไว้ทำอะไรเหรอ”

“บอกอนาคต ในเมืองไทยก็มี”

“เอาสิ”

แบงค์สีเขียวราคา 1,000 กีบ 2 ใบถูกหย่อนลงใส่ตู้ ฮานะทำตามปอนด์ที่บอกให้อธิษฐานก่อนแล้วเขย่ากระบอกไม้เพื่อให้แท่งไม้เล็กๆ ติดตัวเลขที่อยู่ด้านในหล่นลงมาบนพื้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าบังเอิญที่สองสาวได้หมายเลขเดียวกัน นั่นก็คือหมายเลข 9

“เค้าบอกว่าอะไรเหรอ” ฮานะถามขณะที่ปอนด์กำลังยืนขมวดคิ้วอ่านคำทำนายจากใบเซียมซี

สาวเซอร์เพ่งอยู่นาน จนกระทั่งต้องเอาแว่นสายตาออกมาใส่ แล้วก็ส่ายหน้า “อ่านไม่ออก”

“ว้า... นี่ปอนด์ซังใส่แว่นด้วยเหรอ”

“ก็ใส่เฉพาะเวลาทำงานหน้าคอมน่ะ” สาวเซอร์พูดพลางเก็บแว่นตาลงกล่องแว่นแล้วยัดใส่กระเป๋า

“ไปหาคนอ่านให้ฟังดีกว่า มาเถอะ” ทั้งสองเดินไปตรงที่ขายตั๋ว ปอนด์ซื้อโปสการ์ด 2 – 3 ใบแล้วก็ขอให้แม่หญิงคนหนึ่งอ่านใบเซียมซีให้ฟัง

ใบเสี่ยงโชคใบที่ 9

ได้เบอร์ 9 ที่เคยเศร้าเหงาและหงอย    ที่ต้องคอยอยู่ใกล้โลกโศกไม่เสร็จ
เงินไม่มีหนี้ไม่มาน้ำตาเล็ด      เอาเข่าเช็ดช้ำชอกยอกหัวใจ
เคยอกหักรักคุดไม่หยุดแห้ว      ไม่มีแล้วเคราะห์สิ้นอย่าสงสัย
ต่อแต่นี้สมสุขไร้ทุกข์ภัย         ถามเนื้อคู่อยู่ไม่ไกลใกล้ๆ เอย
(จากเรื่องเพื่อนสนิท)

“แหม๋ ได้ใบดีคั่กแท้น้อ แต่งเมื่อใดอย่าลืมบอกเอื้อยนำ (แหมได้ใบดีจัง แต่งงานเมื่อไหร่อย่าลืมบอกพี่นะ)” แม่หญิงคนที่อ่านให้ฟังส่งใบเซียมซีคืนให้ปอนด์ที่ยืนหน้าแดงแล้วหัวเราะเล็กน้อย

ใบหน้าของสาวเซอร์แดงก่ำเมื่อคำทำนายจบลง ‘เนื้อคู่อยู่ไม่ไกล โว้ยย... จะบอกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เนี่ยอ่ะเหรอ แล้วจะแปลให้ฟังยังไงดีวะตู เขินเว้ย!’

“นี่ๆ ปอนด์ซัง เค้าบอกว่าอะไรเหรอ” ฮานะกระตุกแขนเสื้อถาม

“เอ่อ คือ...” สาวเซอร์อ้ำอึ้ง ‘ง่า... หนูมะกล้า... เขินเว้ย เขิน’

สาวยุ่นมองไปที่ใบหน้าอันแดงก่ำของเพื่อนร่วมเดินทางก็ยิ่งแปลกใจ เธอคิดว่าคำทำนายใบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ หมายเลข 9 ใบที่เธอกับปอนด์เสี่ยงทายได้

“บอกมาเถอะปอนด์ซัง” ฮานะคะยั้นคะยอจนสาวเซอร์ต้องแปลให้ฟังจนได้ เมื่อคำแปลจบลง ปอนด์ก็เดินหนีด้วยความอายตรงไปยังประตูทางออก ทิ้งให้สาวแดนปลาดิบยืนหน้าแดงอยู่คนเดียวอยู่นานสองนานกว่าจะเดินไปสมทบ

‘เนื้อคู่... ใบเสี่ยงทายบอกเนื้อคู่อยู่ไม่ไกล อย่าบอกนะว่า... คนๆ นี้’ ฮานะเหลือบสายตามองคนที่เดินหน้าแดงด้วยความเขินและความร้อนของอากาศอยู่ข้างๆ

เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากวัดเชียงทองก็มานั่งพักที่ร้าน Luangprabang Restaurant & Bakery ร้านหรู ไฮโซ น่านั่ง แต่ขอโทษของอร่อยที่สุดก็คือเค้กที่ฮานะสั่งมากิน ส่วนไอศกรีมและกาแฟที่ปอนด์สั่งมานั้น รสชาติไม่ได้เรื่อง

ระหว่างที่นั่งพัก สาวเซอร์ใช้มีดพกเล่มเล็กตัดขวดน้ำออกครึ่งหนึ่งเพื่อไว้เป็นภาชนะใส่น้ำ

“เอาไว้ทำอะไรเหรอ”

“วาดรูป”

“ปอนด์ซังวาดรูปเป็นด้วยเหรอ!”

“วาดสีน้ำน่ะ ทำเป็นโปสการ์ด ไม่ค่อยสวยหรอก แต่ใจรัก” ปอนด์ตัดขวดน้ำพลางตอบพลาง แต่แล้วใบมีดคมๆ ก็เฉือนเข้านิ้วโป้งของเธอเอง

“อุ๊บ...”

“อุ้ย ไม่เป็นอะไรนะ” ฮานะที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ ดึงนิ้วโป้งข้างที่โดนมีดเฉือนขึ้นมาดูแล้วทำในสิ่งที่ปอนด์ไม่คาดคิด!

‘อ๋า... ฮานะจางงงงงงงง ทำอะไรเนี่ยยยยยยย เค้าเขินนะตัวเองงงงง’ สาวเซอร์ร้องในใจ เพราะว่าสาวยุ่นน่ารักคนนี้ใช้ริมฝีปากตัวเองดูดเลือดออกจากนิ้วของปอนด์นะสิ

ฮานะบ้วนเลือดที่เธอดูดออกจากนิ้วมือของปอนด์ลงบนกระดาษทิชชู่ หลังจากนั้นก็ใช้กระดาษทิชชู่ปิดที่บาดแผลเอาไว้ เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบแผ่นพลาสเตอร์สีสดใสออกมาแผ่นหนึ่ง

“จะทำแผลให้นะคะ” สาวยุ่นบอกปอนด์ที่นั่งหน้าแดงก่อนที่จะดึงกระดาษทิชชู่ออกแล้วแปะ

พลาสเตอร์ปิดลงบนแผล

“เอ่อ... ขอบคุณนะ” สาวเซอร์พึมพำ

‘อ้ากกกก เมื่อกี้เปลี่ยนจากนิ้วเป็นปากฉันได้มั้ยอ่า... ปากนุ่มจังเลย’

“ไม่เป็นไรค่ะ” ฮานะตอบ หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะนึกได้ว่าทำอะไรลงไป สาวแดนปลาดิบใช้มือทั้งสองปิดปากตัวเองแล้วหน้าแดง ‘นี่ฉัน... ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย ให้ตายสิ’
 
ทั้งคู่ที่หน้าแดงเป็นครั้งที่ 3 ของวันก็ก้มหน้าก้มตากินของที่อยู่ตรงหน้าต่อไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน หัวใจก็เต้นแรงขึ้น

‘นี่ฉันกำลังตกหลุมรักคนๆ นี้อยู่รึเปล่า’ ทั้งคู่คิดในใจ

-----------------

พักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็เดินไปยังวัดพูสี ซึ่งเป็นวัดอยู่บนเนินเขา กลางใจเมืองหลวงพระบาง เสียค่าเข้าอีก 20,000 กีบ บนพูสี ทั้งสองสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทั่วเมืองหลวงพระบางได้

ปอนด์หามุมวาดรูป โดยกระดาษ 100 ปอนด์ที่ตัดขนาดเท่ากับโปสการ์ดมาแปะไว้ด้วยกระดาษกาวทั้ง 4 ด้านลงบนด้านหลังของ Lonely Planet ก่อนที่จะใช้ดินสอเสก็ตภาพลงไปบนกระดาษ ระหว่างที่สาวเซอร์กำลังวาดรูปฮานะก็เดินไปรอบๆ พูสี แล้วเดินกลับลงมานั่งข้างๆ ปอนด์ที่ตอนนี้วาดรูปเสร็จแล้วและกำลังจะลงสีน้ำ สาวไทยเปิดกล่องใส่สีและจานสีที่แลดูว่าใช้งานมาแล้วอย่างโชกโชนแล้วลงมือละเลงสี เอ้ย ระบายสี

ปอนด์ดูเคร่งขรึมและมีสมาธิในการลงสีเป็นอย่างมาก ท่าทางนิ่ง สงบ ฮานะมองภาพของคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วอมยิ้ม เธอยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายสาวเซอร์ ปอนด์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้แล้วลงมือระบายสีต่อ แต่แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเพลงลอยมาจากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขง

“ใครมีเท่าไร มีเท่าไร อ้ะมีเท่าไร ไม่ต้องพกสักแดง สักบาท.... ขอให้เจ้าภาพจงเจริญญญญ คิดเงินให้ได้ทอง คิดทองให้ได้เงิน อ้ะขอให้เจ้าภาพจงเจริญ…..”

เพลงเจ้าภาพจงเจริญในรูปแบบคาราโอเกะดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขง ปอนด์เสียสมาธิไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะแฮะๆ ให้กับฮานะที่ทำหน้างงๆ เมื่อเห็นคนที่ตรงหน้าหยุดลงสีแล้วขมวดคิ้ว สาวเซอร์มองหน้าสาวยุ่นอยู่พักหนึ่งแล้วลงมือวาดรูปต่อ วาดไปก็นึกตะหงึดๆ ในใจไปฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงกำลังมีงานแน่ๆ

‘ร้องได้ห่วยมากเลยค่ะพี่ขา... ร้องผิดด้วย ให้หนูไปร้องแทนม้ายยย จะแถมเพลงเพื่อชีวิตให้อีก 2 เพลงเลยเอ้า’ ปอนด์คิดในใจ

เมื่อวาดรูปเสร็จก็รอให้สีแห้ง เสียงเพลงยังคงดังมาอย่างต่อเนื่องจากฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโขง ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงลูกทุ่งซะส่วนมากและเพลงเพื่อชีวิตของคาราบาว ปอนด์แกะกระดาษกาวออกจากหนังสือ แล้วก็ยื่นรูปใบนั้นให้สาวยุ่น

“อ้ะ ให้”

“ให้เหรอ” ฮานะพูดพลางชี้ไปที่ตนเอง

“อื้อ รับไปสิ”

“ทำไมละคะ”

“ของขวัญที่พวกเราได้เจอกัน ตอนแรกกะจะวาดรูปเธอ แต่ฉันวาดรูปคนไม่เก่ง วาดเป็นแต่รูปวิว”

สาวยุ่นยื่นมือไปรับรูปวาดพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของลาวและแถวต้นปาล์มที่ปอนด์วาดด้วยความดีใจ “สวยจัง ขอบคุณค่ะ คุณใจดีจังเลย”

สาวเซอร์ยิ้มให้กับท่าทางดีใจของเพื่อนต่างชาติ เธอเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าแล้วชวนฮานะเดินลงจากยอดพูสี

ลงมาจากพูสีตอนราวๆ เกือบๆ 5 โมง สองสาวก็เดินไปยังเมืองฝั่งริมแม่น้ำโขง เดินเลาะตลิ่งลงไปถ่ายรูปพระอาทิตย์อัศดงริมฝั่งโขงอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกมาอีกทาง ตรงไปยังวัดมหาธาตุ ซึ่งอยู่นอกเมืองราวๆ 3 กิโลเมตร พอไปถึงวัดก็เกือบปิดแล้ว แต่ยังไม่วายเสียค่าเข้าชมอีกจนได้ วัดนี้เสียไป 10,000 กีบ ด้วยความว่าเป็นวัดที่อยู่ไกลจากตัวเมือง คนก็เลยไม่ค่อยมาเที่ยวกัน ปอนด์และฮานะเข้าไปกราบพระประธานในสิมแล้วก็เดินกลับเข้าเมือง

ทั้งสองกลับมาอาบน้ำที่บ้านพักแล้วออกไปหาอะไรกินกัน หลังจากนั้นก็เดินเที่ยวในตลาดมืดเพื่อหาซื้อของฝาก สาวเซอร์ได้เสื้อยืดลายธงชาติลาวตัวใหญ่ให้พี่ชิน และพี่สนเจ้าของไกด์บุ๊คทั้งสองเล่ม กาแฟลาวให้พี่พล ผ้าซิ่น 2 ผืนให้พี่พายและแม่ และกระเป๋าใส่ของใบเล็กหลายใบให้ญาติๆ (เรื่องอะไรจะซื้อให้เจ้าพวกเพื่อนที่ทิ้งฉัน ชิชิ งอน) ส่วนฮานะนั้นซื้อเพียงแค่เสื้อยืดกับผ้าซิ่น เพราะการเดินทางของเธอไม่ได้หยุดแค่ที่ลาว แต่รวมถึงประเทศไทยด้วยจึงซื้อของไม่ได้มาก หลังจากนั้นสองสาวก็กลับบ้านพัก




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.