web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 230
Most Online Ever: 230
(วันนี้ เวลา 05:53:50)
Users Online
Members: 0
Guests: 150
Total: 150

ผู้เขียน หัวข้อ: สัญญาวิวาห์กำมะลอ ตอนที่ 18  (อ่าน 1863 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
สัญญาวิวาห์กำมะลอ ตอนที่ 18
« เมื่อ: 01 มกราคม 2014 เวลา 11:02:56 »

ตอนที่ 18

    เช้าวันแรกที่เชียงคานอากาศที่หนาวเย็นทำให้คนที่นอนต้องขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มจนมิดหัว มาธวีเดินออกมาจากห้องน้ำถึงกับหัวเราะออกมาน้อยๆเมื่อภาพที่ปรากฏเสมือนภาพซ้อนเมื่อวันวาน  หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้คนบนเตียงก่อนจะจัดการดึงภาพห่มที่ปิดมิดหัวของคนขี้เซาลงมา
   อวิกาปรือตามองคนกวนใจครู่หนึ่งก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดอีกครั้งออย่างไม่ใส่ใจ
   “ตื่นได้แล้ว”
   มาธวีเอ่ยออกมาพร้อมกับการดึงผ้าห่มที่ปิดหน้าคนที่นอนอยู่อีกครั้งและก็เป็นเหมือนเดิมเมื่อคนขี้เซาดึงผ้าห่มเอาไว้และดึงขึ้นปิดหน้าอย่างเดิม
   “น้ำเพชรสายแล้วนะ”
   เงียบไร้เสียงตอบรับหรือแม้แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบจนคนเรียกต้องจัดการขั้นเด็ดขาดโดยการดึงผ้าห่มออกอีกครั้งและครั้งนี้ไม่ใช่เปิดแค่หน้าแต่มันคือทั้งตัวเลยต่างหาก
   “พี่ผึ้ง! ”
   ทันทีที่ผ้าห่มถูกดึงออกคนที่นอนขดตัวอยู่ก็ตะโกนเรียกชื่อคนที่แกล้งทันทีพร้อมกับการหันไปจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
   “เรียกเสียงดังทำไมพี่อยู่แค่นี้เอง”
   คนพูดแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะลากผ้าห่มไปกองไว้ข้างๆตู้เสื้อผ้าและเมื่อจัดการสิ่งกีดขว้างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เดินกลับมาเผชิญหน้ากับคนอารมณ์บูดอีกครั้ง
   “สายมากแล้วนะคะ”
   อวิกาทำหน้าเซ็งๆก่อนจะจำใจทำตามที่อีกคนสั่งอย่างว่าง่ายและเพียงไม่นานคนขี้หนาวก็เดินตัวกลมออกมาทำเอาคนนั่งรอถึงกับหลุดหัวเราะเป็นรอบที่สองกับภาพที่เห็น
   “ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบหนาว”
   เป็นเพียงเสียงบ่นพึมพำเท่านั้นเพราะตอนนี้คนพูดกำลังปลิวไปตามแรงหมีแบบไม่สามารถขัดขืนได้

   กว่าจะขึ้นมาถึงยังภูทอกก็หนักหนาเอาการเพราะรถส่วนตัวไม่สามารถวิ่งขึ้นไปเองได้ดังนั้นการจะขึ้นไปสัมผัสกับกลิ่นไอของความหนาวเย็นต้องอาศัยรถที่ทางพื้นที่จัดเอาไว้ให้เท่านั้น
   อวิกาตัวสั่นเล็กน้อยเพราะอากาศที่นี่เย็นกว่าที่ที่เธอพักมากเหลือเกินหน่ำซ้ำตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้ามืดจึงไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเลยสักนิด หญิงสาวหันไปส่งสายตาค้อนให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆก่อนจะรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะการมองกลับมาของมาธวี เธอล่ะไม่อยากจะเชื่อว่าพี่หมีจะลงทุนหมุนเข็มนาฬิกาทั่วทั้งห้องให้เร็วขึ้นเพื่อหลอกเธอและมันก็ได้ผลเมื่อเธอคิดว่ามันสายอย่างที่คนมาปลุกพูดจริงๆแต่เพียงก้าวออกมาจากที่พักแค่นั้นแหละ…ถึงได้รู้ว่าโดนหมีต้ม!
   “อากาศเย็นมากเลยเนาะ”
   มาธวีเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับมือคนข้างๆเอาไว้
   “จะได้อุ่น”
   คนพูดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดียิ่งได้เห็นสีหน้าบูดบึ้งของคนข้างๆที่พยายามไม่แสดงออกมา มาธวีก็ยิ่งอดที่จะหัวเราะไม่ได้ หากเป็นสมัยตอนเด็กๆเธอคงถูกเหวี่ยงไปนานแล้วแต่เด็กน้อยเอาแต่ใจโตขึ้นมากจริงๆถึงสามารถระงับอารมณ์ได้แบบนี้และดูท่าทางคนที่เอาแต่ใจจะกลับกลายมาเป็นเธอเสียเอง
   เมื่อขึ้นมาถึงยังจุดชมวิวของภูทอก คนที่ตื่นเต้นดูจะไม่ใช่คนที่อยากมาแต่กลับเป็นคนขี้หนาวที่ตอนนี้กำลังฉุดมือเธอให้เดินไปดูทะเลหมอกพร้อมกัน
   “สวยใข่มั้ยล่ะ”
   มาธวีเอ่ยแซวคนที่ยิ้มไม่ยอมหุบตั้งแต่ขึ้นมาพร้อมกับกระชับมือที่จับมืออีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
   “สวยค่ะ เพิ่งเคยเห็นทะเลหมอกของจริงก็วันนี้”
   “ตื่นเต้นจนลืมหนาวเลยนะ”
   “ใครบอกว่าลืมคะ ยังหนาวอยู่เลย ดีที่ได้…”
   จู่ๆคนพูดก็ชะงักพร้อมกับก้มดูมือของตัวเองที่ตอนนี้ถูกเกาะกุมไว้โดยมือของคนข้างๆ มาธวีก้มดูตามก่อนจะพบเข้ากับต้นเหตุที่ทำให้คนขี้หนาวหยุดพูด
   “ได้อะไรคะ”
   มาธวีเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับการจ้องหน้าคนที่เธอถามแบบไม่กระพริบตา
   “ได้ เอ่อได้เสื้อแขนยาวที่ใส่มาหลายชั้นช่วยไว้ไม่งั้นล่ะแย่แน่”
   จบประโยคคนที่คิดคำตอบล่วงหน้าไว้อีกแบบถึงกับหุบยิ้มทันทีก่อนจะดึงมือของตัวเองไปเก็บในกระเป๋าเสื้อแทนทำเอาอวิกาถึงกับหัวเราะให้กับท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจของคนข้างๆเสียงดังจนมาธวีต้องหันมาส่งสายตาดุปรามจากนั้นก็เดินทิ้งคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเธอไว้ด้าวหลังและเพียงไม่นานคนขี้แกล้งก็เดินตามไปได้ทันก่อนจะเอามือของตัวเองล้วงไปจับมือของคนขี้งอนขึ้นมา
   “ไม่ต้อง! ”
   มาธวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆหากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดแล้วแบบนี้มีหรือที่คนถูกปฏิเสธจะยอมปล่อยมือง่ายๆ
   “เพชรยังพูดไม่จบเลยเดินหนีมาทำไมคะ”
   “ไม่อยากรู้แล้ว”
   “แต่เพชรอยากบอกนี่นา”
   “จะกวนพี่ให้ได้เลยใช่มั้ย”
   คนพูดส่งสายตาดุไปให้คนที่เอาแต่เซ้าซี้ไม่เลิกแต่สิ่งที่เธอทำคงไร้ประโยชน์เพราะดูเหมือนจะใม่มีความกลัวในดวงตาคู่ที่มองมายังเธอแม้แต่น้อย
   “ถึงเสื้อพวกนี้จะทำให้เพชรรู้สึกอุ่นได้ก็จริงแต่มือคู่นี้ต่างหากที่ทำให้เพชรเผชิญกับความเหน็บหนาวแบบนี้ได้ ขอบคุณนะคะ”
   อวิกาพูดแบบอายๆพร้อมกับกระชับมือที่ประสานกับมือของคนตรงหน้าให้แน่ขึ้นจากนั้นก็จ้องมองลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายเธอเห็นทุกอย่างในนั้น เรื่องราวความผูกพันธ์มากมายระหว่างเธอทั้งสองและที่เห็นชัดเจนมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือความรู้สึกดีๆบางอย่างที่ผู้หญิงคนนี้มีเหมือนกันกับเธอ
   
   ตอนนี้ที่บ้านพักเหลืออีกคู่หนึ่งที่ไม่ได้ไปชื่นชมความหนาวเย็นบนภูทอกอาจเพราะเส้นทางที่มันดูจะโหดจนเกินไปสำหรับคนที่กำลังท้องทำให้อาศิราต้องปฏิเสธการชมทะเลหมอกในครั้งนี้
   ท่าทางและหน้าตาที่ดูซึมๆของชายหนุ่มที่กำลังเดินมานั่งที่โต๊ะทำให้แพรวรุ่งรู้สึกห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเธอพอจะดูออกว่าสาเหตุมาจากอะไรและต้นเหตุของเรื่องคือใครไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสมองต้องประเมินเรื่องราวออกมาให้วุ่นวายทั้งความคิดและหัวใจแบบนี้
   อาศิราวางอาหารที่ไปตักมาให้กับหญิงสาวที่ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ หรือบางทีแพรวรุ่งอาจจะไม่พอใจที่เขาห้ามไม่ให้ขึ้นไปดูทะเลหมอกที่ภูทอกแต่ถ้าเป็นเรื่องนั้นเขาก็ยอมไม่ได้เพราะเขาจะไม่ยอมให้ลูกไปเสี่ยงเหมือนกัน
   “อาหารก็อร่อยดีนะ”
   คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
   “ถ้าเธอไม่ชอบข้าวผัดงั้นกินข้าวต้มก็ได้นะกำลังร้อนๆเลย”
   อาศิรายกข้าวผัดออกพร้อมกับเอาถ้วยข้าวต้มเข้าไปแทนที่จากนั้นก็ยื่นช้อนให้กับคนหน้านิ่งแต่เมื่อไร้ปฏิกิริยาตอบรับชายหนุ่มจึงดึงมือกับข้าวต้มที่ยกให้อีกคนกลับก่อนจะใช้ช้อนตักขี้นมาเป่าเบาๆ เพียงไม่นานรอยยิ้มและข้าวต้มอุ่นๆก็ถูกส่งไปยังแพรวรุ่งทำให้หญิงสาวต้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย
   “อ้าปากสิ ไม่ต้องกลัวร้อนนะฉันเป่าแล้ว อั้มๆหน่อย”
   พูดจบชายหนุ่มก็อ้าปากทำเป็นตัวอย่างให้กับคนที่ทำหน้างง
   “คุณจะบ้าหรือไง”
   ทันทีที่แพรวรุ่งเข้าใจในท่าทางที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อหญิงสาวก็ชักสีหน้าใส่ทันทีส่วนคนที่คิดจะเอาใจก็ต้องทำหน้าสลดไปตามระเบียบ
   “ฉันแค่อยากให้เธอกินอะไรบ้าง”
   “เดี๋ยวฉันหิวฉันก็กินเอง”
   “แต่เธอควรกินให้เป็นเวลานะอย่าลืมว่าเธอไม่ได้กินเพื่อตัวเองเท่านั้น”
   แพรวรุ่งมองตามสายตาของคนพูดที่จับจ้องมาที่ท้องของเธอก่อนจะเอามือมาปิดเอาไว้
   “โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
   อาศิราเอ่ยออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังมองตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด
   “เอามาสิจะให้กินแต่เลื่อนไปซะไกลเลยใครจะไปตักถึง”
   แพรวรุ่งตะโกนใส่คนที่จู่ๆก็หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะรับถ้วยข้าวต้มมากินแบบจริงจังจนคนแอบมองอดที่จะยิ้มให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้
   “ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว!”
   การจามของอาศิราเหมือนนกหวีดที่เป่าให้คนที่กำลังตั้งใจกินต้องหยุดทันทีก่อนจะเงยขึ้นไปมองหน้าคนที่ยังไม่หยุดจาม
   “โทษทีฉันว่าอากาศที่นี่คงทำพิษซะแล้ว”
   “คุณไม่สบายเหรอ”
   “ไม่ๆแค่เป็นหวัด”
   “แบบนั้นที่บ้านฉันก็เรียกไม่สบาย”
   หญิงสาววางช้อนลงก่อนเอื้อมมือไปแตะที่หัวของคนตรงหน้าเบาๆ
   “เหมือนตัวจะอุ่นด้วย”
   อาศิราเกือบหยุดหายใจเมื่อมือน้อยๆของคนตรงหน้าสัมผัสที่บริเวณหน้าผากของเขาแม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่กลับทำให้เขารู้สึกดีอย่างประหลาด รอยยิ้มค่อยๆปรากฏแต่กลับทำให้คนที่ลืมตัวได้สติขึ้นมาแพรวรุ่งจึงรีบดึงมือออกก่อนจะตีหน้าขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มวิ่งพล่านในหัวใจของตัวเอง
   “คุณมียามั้ย”
   “ไม่มี”
   “ไม่เตรียมพร้อมเอาซะเลยมาเที่ยวแต่กลับลืมสิ่งสำคัญ”
   “ฉันไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย”
   คนพูดยิ้มกว้างยืนยันในคำตอบของตัวเองหากแต่หญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะหาได้ยิ้มตอบกลับมาและเพียงไม่นานแพรวรุ่งก็ลุกขึ้นเดินออกไปแบบดื้อๆทำเอาอาศิราถึงกับงง ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรจนทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจจนถึงกับต้องลุกหนีไปอีก
   
   อาศิราออกมารับลมที่บริเวณด้านหน้าที่พัก ตอนนี้เขา ยังไม่พร้อมที่จะเข้าไปเจอกับแพรวรุ่งบอกตามตรงไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไงหรือทักทายด้วยถ้อยคำแบบไหนถึงจะทำให้อีกคนพอใจและไม่โมโหได้
   ความคิดสาระวนกระเจิดกระเจิงไปหมดเมื่อมือน้อยๆของใครบางคนยื่นเข้ามาใกล้หน้า อาศิราแทบจะหัวใจวายเพราะจู่ๆคนที่อยู่ในความคิดก็ออกมาปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมกับของบางอย่างในมือที่ยื่นมาให้เขา
   “แพรวรุ่งเธอ…”
   เธอ…มาทำอะไรตรงนี้ นี่คือประโยคความรวมที่อาศิราอยากจะเอ่ยถามออกมาแต่ทุกคำมันกลับติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขาจนทำให้ไม่สามารถพูดออกมาได้
   “กินซะจะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น”
   ถึงแม้จะเป็นประโยคที่ฟังดูแข็งๆเหมือนคนพูดต้องการเอ่ยออกมาแบบผ่านๆแต่กลับทำให้คนฟังยิ้มกว้างออกมาได้ แม้ถ้อยคำจะฟังแล้วไม่รื่นหูแต่การกระทำต่างหากที่ทำให้หัวใจอ่อนแรงของคนฟังกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…นี่สินะยาวิเศษที่ไม่ต้องกินก็สามารถสัมผัสได้ถึงอานุภาพของมัน




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.