web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 7
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 4
Total: 4

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ห้า Foolin  (อ่าน 1078 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ห้า Foolin
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:51:35 »
บทที่ห้า Foolin

ผิดคาดไปหน่อย

ข้อหนึ่ง ผิดคาดเรื่องภาพทิวาเป็นน้องใหม่เพิ่งพ้นรั้วมัธยมฯ เข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ที่แท้แล้วหล่อนอยู่ปีสาม

ข้อสอง ผิดคาด...แทนที่เธอจะหลอกล่อให้อาสิน พ่อของหล่อนรีบแจ้นออกมา กลับกลายเป็นส่งลูกน้องทั้งขโยงออกมาแทน

ข้อสาม เธอประเมินความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกนี้ต่ำไป ภาพทิวาเหมือนลูกนก อยากหนีออกจากกรงทองของพ่อ นั่นทำให้หล่อนจับมือเธอวิ่งหนีบรรดาบอดี้การ์ดทั้งโขยง ตกกระไดพลอยโจนจนได้

ข้อสุดท้าย ครั้งนี้เธอลืมคิดแผนสอง เอาไว้สำรองเผื่อแผนหนึ่งไม่สำเร็จ... เพราะเธอแบ่งสมองไปคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องยังไงล่ะ ดังนั้นตอนนี้ก็เลยต้องไหลลื่นไปตามสถานการณ์กับความคิดที่ว่าอาจจะเสียแรงเปล่าแถมยังหาเรื่องใส่ตัวอีกต่างหาก

เฮ้อ

มือของวรินธรกดข้อความยิกๆ ส่งให้ยางโทน ...ช่วยรีบอัพเดทข้อมูลให้พริ้งแพรวพรรณด่วน...

พวกนั้นเห็นหน้าเธอแล้ว คงอีกไม่นานพวกเขาจะตรวจสอบประวัติเธอ และหากพบว่าเธอเป็นคนเถื่อนโนเนมล่ะก็ พวกเขาก็ต้องพุ่งเป้ามาที่เธอซึ่งไม่ปลอดภัยต่อชีวิตตัวเองเลย แล้วจะพานทำให้งานเสียเอาได้

“อิ่มแล้วใช่ไหม ไปกันเถอะ มื้อนี้ฉันเลี้ยง” เธอส่งเงินให้แม่ค้าพร้อมกับฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน หลังจากวิ่งหนีไปได้สักพัก เธอก็ตัดสินใจย้อนกลับมาทางเดิม เพราะมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิด

แล้วก็ถูกต้อง เธอสามารถนั่งเอ้อระเหยหาอะไรใส่ปากท้องเป็นอาหารเย็น

พลันมือถือก็สั่น เป็นข้อความจากยางโทนว่าได้อัพเดทประวัติของพริ้งแพรวพรรณให้ใหม่แล้ว เธอยิ้มสมใจพร้อมกับออกเดิน ภาพทิวารีบเดินตามหลังถามลอยลมว่าไปไหนเหรอๆ

วรินธรมองหาเจ้าเพื่อนยากสองล้อ มันยังอยู่ดี คงจะมีคนใจดีจับมันมายืนตั้งขาไว้ให้หลังจากที่เธอปล่อยมันล้มคว่ำไม่เป็นท่าตอนโดนภาพทิวาฉุดวิ่ง บัดนี้เธอกลับมาหามันอีกครั้ง พร้อมจับจูงตรงไปยังปั้มน้ำมันซึ่งเห็นป้ายไฟลิบๆ ราวครึ่งกิโลเมตรเบื้องหน้า เบื้องหลังเธอมีภาพทิวาเดินตามด้วยสีหน้าเหมือนเด็กหลง

“เราจะไปไหนกันต่อเหรอพริ้ง”

“ไปเติมน้ำมันไง ข้างหน้านี้เอง” เธอเอ่ยตอบด้วยท่าทีเมินเฉย เมื่อแผนนี้ไม่สำเร็จ ภาพทิวาคงไม่มีประโยชน์กับเธออีกต่อไป

“แล้วต่อจากเติมน้ำมันแล้ว?”

“ก็แล้วแต่เธอสิ”

ภาพทิวาย่นหัวคิ้ว “ฉันก็ไม่รู้จะไปไหน... แต่อย่าบอกให้ฉันกลับบ้าน คอนโดด้วย ป่านนี้พ่อฉันส่งลูกน้องไปเฝ้าเต็มหน้าห้องแล้วมั้ง”

เธอเอียงคอ จะว่าไปหล่อนก็ดูน่าสงสาร “แล้วเพื่อนล่ะ ไปพักกับเพื่อนรอให้ผ่านคืนนี้แล้วกัน”

หล่อนถอนหายใจ “เพื่อนคนที่สนิทกับฉัน ก็เลิกสนิทกันไปแล้ว อย่างที่บอก พ่อฉันตามสืบประวัติหมด ฉันขอพึ่งพาใครไม่ได้หรอก”

“โอ๊ย เกิดเป็นเธอนี่มันลำบากจริง”

“ก็จะให้ฉันทำยังไงล่ะ” น้ำตาก็พลันไหลหยดแหมะ วรินธรตาโตยืนมองอีกฝ่ายร้องไห้กระซิก ตาของหล่อนนี่เปิดก๊อกได้หรือไง ครู่เดียวก็ไหลท่วมจนแก้มเปียกไปหมด ผู้หญิงคนนี้เด็กกว่าที่เธอคิด เธอได้แต่ยืนเกาหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนตัดสินใจยกมือลูบหลังลูบหัวปลอบ

“โอ๋ๆ อ่ะๆ ฉันไม่ว่าอะไรแล้ว เธอจะร้องไห้ทำไมล่ะ หยุดร้องเถอะ” หล่อนยังคงสะอื้นหนัก วัยรุ่นก็อย่างงี้ บอกให้ไปซ้ายจะไปขวา บอกให้หยุดก็ยิ่งร้องหนัก เธอจึงตบเบาะแปะๆ

“อ่ะนั่งๆ อยากร้องก็ร้องไป เดี๋ยวถึงปั๊มแล้วหยุดร้องนะ ฉันอายเขา”

หล่อนไม่ได้หยุดร้องทันทีแต่ก็สะอื้นน้อยลง เธอจึงสั่ง “งั้นเดินตามมา” ข้อนี้หล่อนทำตามอย่างว่าง่าย

เมื่อถึงปั๊มหล่อนก็หยุดร้อง เธอไล่หล่อนไปล้างหน้าล้างตาพร้อมกับเติมน้ำมันเต็มถังพลางเดินไปซื้อขนมนมเนย คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรต่อ เธอยังไม่ได้หาอพาร์ทเม้นไว้ด้วย ครั้นจะไปหาตอนนี้หล่อนก็คงเกิดคำถามว่าทำไมเธอเพิ่งเช่าใหม่ แล้วนี่คืนนี้จะนอนไหนได้หว่า นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสามทุ่มเศษ สักครู่ ภาพทิวาก็ออกจากห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เธอส่งขวดน้ำเปิดฝาให้พร้อมดื่ม ไม่คิดว่าจะต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก

“ล้างหน้าแล้วค่อยหน้าตาเหมือนผู้เหมือนคนหน่อย”

หล่อนพยายามส่งยิ้ม สีหน้าเก้อเขิน คงเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรไป เธออดไม่ได้จะยิ้มปลอบ

“งั้นคืนนี้ก็มากับฉันแล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนนะ ไม่สบายตัวเท่าที่บ้านหรือที่ห้องพักเธอหรอก”

หล่อนยิ้มยินดี พยักหน้าไวๆ อากัปกิริยาชวนทำให้นึกถึงน้องสาวตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอมีน้องสาวที่อายุน้อยกว่าสามปี แต่ไม่ค่อยมีเวลาได้พบหน้ากันหรอก เพราะหน้าที่การงานของเธอมันไม่อำนวยด้วยส่วนหนึ่ง วรินธรยิ้มและตบบ่าบอบบางให้ขึ้นซ้อน พลางออกรถกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยใหม่อีกรอบ

“ทำไมกลับมาที่นี่ล่ะ”

“ฉันยังมีงานที่ฉันต้องทำต่อ”

ภาพทิวาร้องฮึอย่างแปลกใจ แล้วก็ยิ่งประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อรถจอดหน้าสำนักหอสมุด “ทำไมมาที่นี่”

วรินธรร้องจิ๊กจั๊กในลำคอ “ก็ตอบไปแล้วไง มีงาน” พร้อมกับก้าวยาวๆ ขึ้นอาคารโดยไม่รอ ฝ่ายหลังจึงต้องเร่งฝีเท้าตามมา สำนักหอสมุดที่นี่จะเปิดทำการทั้งคืนเพราะเป็นช่วงสองสัปดาห์ก่อนสอบปลายภาค นักศึกษาจึงเดินเข้าออกอย่างครึกครื้น เธอเล็งไว้ตั้งแต่แรก เพียงแต่ไม่คิดว่าจะต้องพาใครอีกคนเข้ามาเป็นเพื่อนอ่านหนังสือด้วย

วรินธรตรงไปยังมุมสงบ ชี้ให้หล่อนหาที่นั่งตามสบายพลางออกตัวเพื่อไปค้นหาหนังสือที่ตนต้องการ เมื่อได้แล้วจึงกลับมาที่เดิม หล่อนนั่งเฉยและมองเธออย่างแปลกใจได้ไม่เลิก

“ฉันจะอ่านหนังสือ ถ้าเธอง่วงก็นอนไป” เธอเอ่ยบอกเสียงเบา

“แล้วเธอล่ะ” หล่อนกระซิบถาม

“ฉันจะอ่านหนังสือไง”

“แล้วไม่นอนเหรอ”

วรินธรถอนหายใจ “เดี๋ยวง่วงแล้วจะหาที่นอน” พลางเลิกสนใจหล่อน สายตากลับมายังหนังสือเล่มแรกที่หยิบมาจากชั้น ‘Physical of Brain and Soul’ กับอีกเล่มเป็นภาษาไทย ‘ความสัมพันธ์แห่งจิตและกาย’ ได้เวลาทำสิ่งที่อยากทำมาทั้งวันเสียที ไม่นานนักเธอก็เข้าสู่ห้วงสมาธิ

“พริ้ง...” เสียงกระซิบเรียกเธอออกมาสู่โลกแห่งความจริง คุณหนูส่งสายตาอ้อนวอน

“แล้วจะนอนยังไงในห้องสมุดนี่มีแต่โต๊ะกับเก้าอี้”

“ฉันถึงบอกไงว่ามันไม่สบายเหมือนที่บ้าน”

ภาพทิวาทำหน้าไม่สะดวกใจพลางมองรอบกาย เธอจึงก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

“อ่านอะไรน่ะ” หล่อนยังกวนได้ไม่เลิก

เธอถอนหายใจ สบสายตาถามว่าจะเอาอะไร หล่อนส่งยิ้มแหะ “แค่ถามดู ก็ฉันเบื่อนี่นา”

เธอโยนเสื้อแจ๊กเก็ตตัวนอกของตัวเองให้หล่อน “ไปหาหนังสือมาอ่านสักเล่มแล้วก็นอนซะ”

พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาอ่านต่อ แอบเห็นหล่อนบ่นอะไรขมุบขมิบ สักพักก็ลุกไปหาหนังสือมาอ่านบ้าง เธอก็เลิกสนใจหล่อนกลับสู่ทฤษฎีเรื่องการบันทึกความทรงจำสู่สมองต่อ ในทางวิทยาศาสตร์สมองเป็นอวัยวะที่มหัศจรรย์และยังคงลึกลับว่าเวลาคนเราจดจำข้อมูลแต่ละที มันมีกระบวนการอย่างไรในการบันทึก เช่นว่าสร้างเซลล์สมองเพิ่มหรือปรับแต่งลักษณะของรูปร่างเนื้อสมอง ความเป็นลักษณะทางกายภาพของสมองหรือรูปร่างของสมองคือร่องรอยของความทรงจำของแต่ละคนหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วคนเราจดจำใส่จิตวิญญาณกันแน่...

หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงความคิดเห็นและอ้างอิงข้อมูลสนับสนุนตนเอง บทสรุปยังคงไม่มีคำตอบอยู่ดี เธอปิดมันฉับพร้อมถอนหายใจ นึกถึงใบหน้าขาวเกือบซีดและแววตาตกใจ ก็ดึงกระดาษในกระเป๋าออกมาวาดรูปหล่อน ลบๆ วาดๆ อยู่นานจึงได้ออกมาคล้ายคลึง เธอไม่ใช่คนวาดรูปเก่งนัก แต่บอสเคยบอกว่าเราควรวาดให้เป็น เพราะอย่างน้อยจะได้ถ่ายทอดสิ่งที่ตาเราเห็นออกมาให้คนอื่นได้รู้ได้ เธอควรนำรูปนี้ไปค้นหาในฐานข้อมูลบุคคลของอีเว้นท์ เผื่อว่าจะพบอะไรบ้าง

ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลจับเอาไว้ไม่อยู่ ลืมไปว่าควรคิดแผนการสำหรับผู้หญิงที่นอนฟุบอยู่ตรงหน้ามากกว่าจะคิดเรื่องอื่น วรินธรไม่ได้สำนึกตัวว่าเกิดสิ่งผิดปกติกับตัวเอง รวมถึงไม่ได้ยินฝีเท้าหนักๆ ซึ่งก้าวมาจากด้านหลังอีกด้วย สัญชาติญาณบอกให้เธอหันกลับไป พบเพียงชายเสื้อสูทสะบัดไหว วูบเดียวตัวเธอก็ถูกยกสูงลอยขึ้นจากเก้าอี้ ไหลไปตามแรงดึงด้านหลัง เธอสะบัดแขนพลิกตัวตามความเคยชินจนเกือบจะหลุด แต่คนเบื้องหลังล็อกไหล่เธอไว้แน่นหนาและกดแน่นจนรู้สึกเจ็บเมื่อสะบัดหนี เธอจึงเลิกดิ้นรน เบื้องหน้ามีชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำสนิทผูกไทเหมือนกับหนังสายลับผู้หนึ่งยืนนิ่ง เมื่อเธอมองไล่จนถึงใบหน้าเธอก็ได้แต่เบิกตากว้าง

อาสินนั้นแบ่งระดับลูกน้องไว้หลายขั้น แต่ละขั้นจะมีความสามารถต่างกันไป ยิ่งขั้นสูงยิ่งเก่งกาจทั้งด้านพลังสมองและความสามารถในการต่อสู้ เธอจำใบหน้าของเขาได้ มีรอยแผลบากที่ปลายคาง เขาคือมือซ้ายของอาสิน เปรียบเหมือนเสนาธิการซ้ายคอยคิดคอยวางแผนและให้คำปรึกษา ถึงตอนนี้เธอจึงได้ตระหนักรู้ว่าการลักพาลูกสาวเจ้าพ่อเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ตั้งใจลักพาก็เถอะ

ชายผู้นั้นสบสายตากับเธอ พลางยิ้ม “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกใจ ฉันแค่ต้องการพาคุณมิ้นท์กลับบ้าน...” การที่เธอจ้องเขาไม่วางตาทำให้เขาเดินเข้ามาใกล้ “แปลกนะ ทำไมเธอไม่เห็นกลัวฉันเลย”

วรินธรยังมีสีหน้านิ่งไม่มีเปลี่ยนและเอ่ยตอบ “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”

เขามองเธออย่างพิจารณา ในแววตาของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก

“เธอเนี่ย... ไม่ธรรมดานะ เมื่อครู่นี้เธอพยายามต่อสู้ใช่หรือเปล่า”

“ถ้าเป็นคุณ โดนจับแบบนี้จะไม่ขัดขืนหรือไง”

เขาหัวเราะในลำคอ ส่งสายตาเหี้ยมเกรียม “ฉันไม่ได้หมายถึงขัดขืน มันคือการต่อสู้”

วรินธรสะบัดตัวร้องโวยวาย “ปล่อยฉัน ฉันไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับผู้หญิงคนนี้ด้วย”

“ถ้าเธอหวังจะใช้เสียงเรียกให้คนมาช่วยเธอล่ะก็เลิกเสียเถอะ เพราะชั้นนี้มีแต่ลูกน้องของฉัน”

วรินธรซ่อนยิ้ม เปล่า เธอไม่ได้หวังให้คนมาช่วย วินาทีนี้เธอคงต้องให้ภาพทิวามาปกป้องเธอต่างหาก แล้วหล่อนก็ตื่น งัวเงียขึ้นมา เมื่อมองเห็นใครหลายคนรอบกายก็สะดุ้งพรวด รีบลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มสองคนในชุดซาฟารีก้าวเข้าไปประชิดหล่อนทันที หล่อนมองซ้ายขวาอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่าวรินธรโดนจับล็อกแขน หล่อนก็ตกใจ

“พวกเธอทำอะไรน่ะ”

ชายผู้เป็นมือซ้ายของอาสินหันกลับไปมองลูกสาวเจ้านาย พลางผงกหัวเคารพนิดหนึ่ง “กระผมมาพาตัวคุณหนูกลับบ้านขอรับ”

ภาพทิวาขมวดคิ้ว ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีเข้มด้วยความไม่พอใจ “ฉันไม่กลับ เธอปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่ายังก้าวเข้ามาหาวรินธร แต่ชายในชุดซาฟารีสองคนยื่นแขนกันไว้

“งั้นกระผมก็ไม่มีทางเลือกนะขอรับ” ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแบบเดิม พลันคนเบื้องหลังผู้กำลังล็อกแขนวรินธรก็ออกแรงดึงทำให้ปวดจิ๊ดที่กระดูกหัวไหล่ ตายแล้ว นี่จะหักแขนกันหรือไง

“โอ๊ยๆๆ มิ้นท์ช่วยด้วย” เธอรีบโวยวายตั้งแต่ยังไม่เจ็บมาก เลิกขืนหัวไหล่ไม่งั้นมีหวังได้ไหล่หลุดแล้วเธอจะทำงานต่อไม่ได้อีกหลายวัน ภาพทิวาร้อนรนรีบร้องห้าม

“หยุดเดี๋ยวนี้! ฉันบอกให้หยุด!”

ชายผู้ยิ้มแย้มจึงได้สั่งให้พวกเขาหยุด วรินธรอดนึกถึงการทรมานนักโทษของเกาหลีไม่ได้ คิดถึงคิมบับชะมัดเลย เธอคิดอย่างสนุกขณะที่กวาดตานับจำนวนทหาร เอ๊ย ชายฉกรรจ์ทั้งหลาย เขามาเพียงสี่คน มองลอดตู้หนังสือไกลออกไปไม่มีนักศึกษานั่งอยู่สักคนเดียว นี่ไล่เด็กๆ ออกจากหอสมุดกันด้วยหรือเนี่ย พวกนี้ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

แสดงว่าพวกเขามีมากกว่าสี่อย่างแน่นอน แต่จะมากแค่ไหนนั้นเธอประมาณไม่ถูก เธอไม่ควรประมาทความขี้ระแวงของอาสิน

“กลับบ้านกันได้หรือยังขอรับ”

ภาพทิวามีหน้าซีด ลังเลใจ

ชั้นนี้มีทางออกสามทางหลัก บันไดหลักหนึ่ง บันไดหนีไฟสอง และลิฟต์สาม แต่ที่พวกเขาไม่น่าจะทราบคือลิฟต์สำหรับเจ้าหน้าที่ห้องสมุดเอาไว้ขนของในห้องทำงานของฝ่ายบรรณารักษ์ สรุปก็คือเธอถ้าเธอผ่านสี่คนนี้ไปได้ก็จบ ว่าแต่ว่าเธอควรเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นไหม

“แต่กระผมว่า เพื่อนคุณหนูคนนี้มีอะไรแปลกนะครับ อยู่คนละคณะด้วย ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่หรือขอรับ”

นายคนนี้ระแวงเธอ แค่เธอโต้ตอบไปนิดเดียวในตอนแรกที่โดนจับ ทำให้เขารู้ว่าเธอรู้จักการต่อสู้ ดูท่าแล้วพริ้งแพรวพรรณคงมีชีวิตที่อยู่ไม่สุขต่อจากนี้

“เธอท่าจะวางอำนาจมากไปแล้วนะ นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉัน ปล่อยเพื่อนฉันก่อน แล้วฉันจะกลับไปกับพวกเธอ” ภาพทิวาตัดสินใจได้ในที่สุดพลางมองวรินธรอย่างเป็นห่วง

“ก็ได้ขอรับ” เขาสั่งให้ชายเบื้องหลังเธอสองคนปล่อยแขนเธอให้เป็นอิสระ วรินธรเซไปตามแรงผลักราวกับรังเกียจ จึงหันไปค้อนหนึ่งที พร้อมกับบีบนวดไหล่ตัวเอง ชายด้านหลังเธอมีสองคนใส่ชุดซาฟารี ตอนแรกคิดว่าสี่ซะอีก กลายเป็นห้าซะงั้น

จากนั้นเขาก็ผายมือให้ภาพทิวาออกเดิน หล่อนหันมองเธอ “ฉันขอโทษนะพริ้ง”

วรินธรส่งยิ้มให้กำลังใจหล่อน เอ่ยถาม “แน่ใจเหรอว่าจะกลับไปกับพวกเขา”

สีหน้าคนถูกถามตอบได้เลยว่าไม่อยากกลับ แต่หล่อนทำอะไรไม่ได้ จึงจำเป็นต้องพยักหน้าอย่างยอมรับ “ลาก่อนนะ ไว้เจอกันวันหลัง”

หล่อนเดินไปพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์ หันกลับมามองเธออย่างลังเลทีสองที ก็เดินเข้าลิฟต์ไปทั้งหมด

วรินธรหันไปหยิบกระเป๋าตนเองล้วงหาอุปกรณ์หนึ่งหน้าตาคล้ายปลั๊กไฟ เดินหาเต้าเสียบได้ก็เสียบคาไว้ พร้อมกับรีบวิ่งไปยังทางออกไต่บันไดลงไปด้านล่าง แว่วเสียงระเบิดบึ้มเล็กๆ จากการลัดวงจรที่เต้าเสียบเมื่อครู่ พลันไฟทั้งตึกก็ดับวูบด้วยพลังของระบบเซฟตี้กันภัยไฟฟ้าลัดวงจร เสียงโวยวายของนักศึกษาชั้นอื่นๆ ก็เริ่มดังเพื่อแสดงอาการสงสัยว่าทำไมไฟดับ

วรินธรก้าวลงมาถึงชั้นหนึ่งพอดี ดึงแว่นตาคล้ายแว่นว่ายน้ำในกระเป๋าสวมรัดศีรษะ บริเวณตรงกลางของแว่นติดอุปกรณ์ไนท์วิชันสำหรับมองเห็นในที่มืดเอาไว้ อภินันทนาการจากมิทซึคิง ภาพที่เธอเห็นในตอนนี้เป็นสีเขียวเนื่องจากการฉาบฟอสฟอรัสของเลนส์แว่นที่เปรียบดั่งมอนิเตอร์คอยฉายภาพจากสัญญาณขยายการบันทึกแสงในย่านอินฟาเรด ทำให้สามารถมองเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังจะก้าวไปหาทางออกได้ พวกเขาตกใจและตั้งท่าเตรียมพร้อม เมื่อครู่เธอไม่ได้ลักพาภาพทิวา ไม่ได้แม้แต่วางแผนอะไรเลย แต่เธอยังโดนดัดไหล่ซะแทบเคล็ด มาตอนนี้ขอแก้เผ็ด แอบลักพาหล่อนของจริงแล้วกัน

อาศัยช่วงชุลมุน ร่างเพรียวย่องเบาไปกลางวงโดนที่เขาไม่รู้ตัว ฉกเอาตัวภาพทิวาปิดปากได้ก็กึ่งลากกึ่งจูงออกมาอย่างว่องไว เจ้าหล่อนดิ้นรนพลางร้องอู้อี้อย่างตกใจ เธอรู้สึกว่าหล่อนกัดมือเธอนะ ลากเข้ามาพ้นมุมชั้นหนังสือได้ก็ส่งเสียงชู่ว์ ถอดแว่นออกและบอกให้หล่อนดูหน้ากันให้ชัด

ภาพทิวาเพ่งมองในความมืดอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าเป็นเธอหล่อนก็ตาโต ร้องโวยวายต่อได้อีก วรินธรยัดมือเข้าปากหล่อนเป็นการอุดเสียงพลางส่ายหน้าว่าห้ามส่งเสียงโวยวาย หล่อนจึงได้เงียบ เธอทำปากเป็นคำพูด ...ห้ามพูดอะไร ตามฉันมา โอเค๊...

หล่อนพยักหน้าตอบอย่างไวพลางยิ้มดีใจและยื่นมือมาเกาะแขนเธออีกด้วย

วรินธรมองมือหล่อนก็ยิ้มขำ ดึงกำไรกรุ๊งกริ๊งออกจากข้อมือหล่อนยัดไว้บนชั้นหนังสือใกล้ๆ และเลื่อนไปจับข้อมือหล่อนไว้ พลางย่องเบาไปทางด้านหลังซึ่งพวกเขาคงไม่รู้ ว่ามีทางออกไปสู่โรงอาหารของห้องสมุดตรงชั้นใต้ดิน แล้วยังมีประตูออกไปสู่ลานจอดรถได้อีกด้วย ใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้านาทีเธอก็สามารถพาลูกสาวเจ้าพ่อออกจากตึกได้

ความชุลมุนด้านหน้าสำนักหอสมุดทำให้วรินธรมองหาสองล้อเพื่อนยากด้วยความยากเย็น ท่ามกลางเหล่านักศึกษาที่ส่งเสียงบ่นระงมเธอก็เห็นรถของตน พร้อมกับเจ้าชุดซาฟารีสามนายยืนเฝ้าอยู่ด้วย

...เสร็จกัน...

พร้อมกันนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ลูกน้องของเจ้าพ่อยังทยอยลงมาจากรถยนต์หลายคัน และเริ่มกระชับพื้นที่ เธอไม่อาจนับได้หมดล่ะว่าลูกน้องของพ่อหล่อนมีจำนวนกี่คน พ่อยกโขยงกันมาทั้งกองทัพอย่างนี้ ถ้าถูกจับได้มีหวังโดนฆ่าหมกแม่น้ำแน่

“เราต้องย้อนเข้าไปในตึก”

ภาพทิวาร้องอ้าว “ทำไม”

“ก็ดูลูกน้องพ่อเธอที่มาต้อนรับเราสิ”

เมื่อภาพทิวาเห็นก็หน้าซีดเป็นไก่จะโดนเชือด ทั้งที่คนที่จะโดนเชือดเป็นเธอต่างหากไม่ใช่หล่อน

“ฉันว่าเธอไปเถอะ ฉันจะกลับบ้าน”

วรินธรสบตาผู้พูดว่าอารมณ์ไหน สักครู่จึงยิ้มตอบ เป็นยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ลึกลับยังไงพิกลในสายตาคนมอง “ไม่ต้องรีบกลับหรอก เราเล่นซ่อนแอบกันดีกว่า”

เธอชักอยากจะรู้แล้วสิว่าถ้าลูกสาวของอาสินหายไปข้ามคืน เขาจะโผล่หัวมาบ้างไหม เอาล่ะวะ ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด...

วรินธรนำทางคนเบื้องหน้ากลับมาในอาคารเรียน ก้าวขึ้นไปยังชั้นสองและหาทางลัดไปสู่อาคารหอสมุดอีกครั้ง ผู้คนตอนนี้หนีกลับหอพักกันหมดแล้วเพราะไฟดับ ทางเดินอันมืดมิดทำให้คนเดินตามบีบมือเธอแน่นจนชุ่มเหงื่อ

“ทำไมเธอชอบย้อนกลับมาที่เดิมทุกทีเลยนะ”

น้ำเสียงแม้จะกระซิบแล้ว แต่ในความเงียบก็ดังไม่ใช่เล่น ทำให้เจ้าคนใส่สูทฝั่งกะนู้นขยับตัวหันหาต้นเสียง วรินธรสบถงุบงิบ ถลึงตาใส่ผู้พูดให้เงียบ พลางมองกลุ่มคนอย่างสังเกตสังกา

มือดีทั้งนั้น ระดับหัวหน้ายกกันมาหมด

นี่อีกฝ่ายคงจะรู้ว่าเธอถือคติว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด พวกเขาจึงยังปักหลักในหอสมุดมากมายขนาดนี้ วรินธรกระชากแขนภาพทิวาเข้ามาในช่องระหว่างชั้นหนังสือประเภทหายาก สารานุกรมอะไรพวกนั้น พลางหลับตาฟังเสียงฝีเท้าเพื่อนับจำนวนของคนกลุ่มใหญ่

สี่... ห้า...หก...

“มันอยู่นั่น!!”

เจ็ด... เกินสิบแน่ ไม่นับแล้วโว๊ย

วรินธรกระตุกแขนคนข้างกายพรวดเดียวให้ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

เสียงเหนื่อยหอบดังแข่งกับเสียงฝีเท้า

ท่ามกลางความมืดมิด ไม่ง่ายเลยที่จะหาที่ซ่อนตัว พวกเขายังคงวิ่งตามมา ในที่สุดสายตาของเธอก็มองเห็นซอกมุมระหว่างชั้นหนังสือ เหลียวมองหลังแวบหนึ่งจึงก้าวผลุบเข้าซอกอย่างว่องไวราวกับหายตัว พร้อมกับยื่นมือกาวดึงเอวลูกสาวเจ้าพ่อยัดเข้ามาด้วย

“มันหายไปไหนแล้ววะ!”

เสียงฝีเท้ายังคงงุ่นง่านวิ่งวนไปมา ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะตุบตับวิ่งขึ้นไปชั้นบน เมื่อสังเกตคนในอ้อมแขนก็พบว่าหล่อนเหงื่อแตกซิก ตัวสั่นงันงก ซอกระหว่างชั้นนั้นขนาดไม่ใหญ่เลยสักนิด ตอนนี้หลังของเธอชิดผนังเย็น ด้านหน้ามีร่างอุ่นร้อนแนบชิด มันใกล้กันจนเมื่อหล่อนโล่งใจเผลอหายใจออกมาสัมผัสรดต้นแขนของเธอจนรู้สึกถึงไอร้อน ยิ่งทำให้อากาศเหมือนจะไม่พอหายใจและชวนอึดอัด เธอจึงคลายอ้อมแขนและพยายามเก็บแขนสู่ข้างลำตัว แต่นะ ความคับแคบทำให้อะไรง่ายๆ ดูจะยากไปหมด อีกฝ่ายคงจะรู้สึกเหมือนกัน หล่อนจึงขยับตัว กระซิบถาม

“พวกเขาไปหรือยัง”

วรินธรหลับตาฟังเสียง พยักหน้าตอบแล้วคิดได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เห็น จึงกระซิบตอบ

“ไปแล้ว แต่ยังไม่ออกไปไหนง่ายๆ หรอก”

พวกมันคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเธอจะเลือกหลบในที่แคบๆ ขนาดนี้ได้ โชคดีที่หมั่นออกกำลังกายกับเจฟบ่อยๆ ไม่งั้นอ้วนกว่านี้เธอคงอึดอัด “ฉันบอกแล้วว่ามากับฉันอ่ะไม่สบาย”

ภาพทิวาถอนหายใจพรืด “แล้วนี่เราต้องอยู่ในนี้อีกนานไหม”

“ก็ถ้าเธอวอสั่งการให้พวกนั้นหายไปได้ แป๊บเดียวเราก็ออกไปได้แล้ว”

เท่านั้นภาพทิวาก็หันหน้ามาถลึงตาใส่ เธอเห็นเพียงลูกกะตาดำขาวสลัวๆ โตในความมืด ก่อนหล่อนจะหันกลับไป ค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่งในที่สุด หลังจากออกกำลังวิ่งมานาน เธอนั่งลงบ้าง ความแคบทำให้เธอต้องหาที่วางขา มันไม่ง่ายนักเพราะอีกฝ่ายชิงนั่งลงก่อนแล้ว เธอพยายามจะพับขาเข้ามาชิดตัวก็ทำไม่ได้ พับได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ แค่ไม่ให้ปลายเท้าโผล่ไปพ้นชั้นหนังสือเป็นโอเค ไปๆ มาๆ ก็เหมือนเธอนั่งคร่อมร่างอีกฝ่ายไว้อย่างนั้น ถ่ายรูปออกมาคงจะติดเรตพิลึก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดอะไร ยังเอนหลังพิงเธออีกต่างหาก

“อย่างงี้ค่อยสบายหน่อย”

วรินธรอ้าปากค้าง เอ้อ เธอไม่ชอบท่านี้นักหรอกนะ แต่มันก็เป็นท่าที่ลงตัวที่สุดแล้วในที่แคบแห่งนี้

“ถ้าตะคริวกินฉันเธอต้องนวดให้ด้วย”

ภาพทิวาหัวเราะ รู้สึกถึงเสียงสะท้อนจากแผ่นหลังเข้าหูคนฟังก้องแปลกๆ

“โอเค” หล่อนตอบและเงียบไป เธอมองนาฬิกาบนข้อมือ การนั่งนิ่งๆ ชวนทำให้ความง่วงเข้าปกคลุม คงต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่จนเช้า งั้นหลับเอาแรงหน่อยจะดีกว่า แต่สักครู่ก็ได้ยินเสียงเรียก

"พริ้ง...”

วรินธรค่อยๆ ลืมตาร้อง “หืม?”

ความเงียบนั้นเป็นตัวคั่นเวลาอย่างดี มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา

“ขอบคุณนะ”

“อืม”

“ฉันว่าปักหลักนอนในนี้ก็ดีเหมือนกันนะ...” น้ำเสียงสุดท้ายแผ่วเบาแทบกลืนไปกับความเงียบ วรินธรหลับตาพลางพยักหน้าตอบ

...

ลำแสงยามเช้าของดวงอาทิตย์ทอดเป็นทางยาวจากหน้าต่างกระจกกระทบพื้นไม้ปาเก้ในบ้าน เสียงนกออกหาอาหารต้อนรับวันใหม่

วรินธรยืนหน้ากระจกเงาซึ่งสะท้อนใบหน้าของพริ้งแพรวพรรณยิ้มสดใส จัดการตบแต่งใบหน้าให้ดูเด็กลงอีกนิดให้เหมาะสมกับการเป็นนักศึกษาเสียหน่อย ถึงแม้เดี๋ยวนี้ดูหน้าจะไม่รู้อายุ นักศึกษาอาจจะหน้าตาเท่าคนทำงาน คนทำงานอาจจะหน้าเท่าเด็กมัธยมก็มีเยอะแยะไป อย่างไรก็ตามเธอยังอยากให้พริ้งแพรวพรรณสมวัยกับสถานะอยู่ดี

วันนี้เธออยู่ในชุดนักศึกษา เสื้อเข้ารูปกระโปรงสอบสั้นเหนือเข่า คาดเข็มขัดนักศึกษาติดตรามหาวิทยาลัยให้สมจริง สะพายกระเป๋าพร้อมรองเท้าหุ้มส้น ก็พร้อมสำหรับออกจากบ้านได้

เธอปิดประตูบ้านและจูงรถมอเตอร์ไซด์ออกจากรั้วบ้าน ขณะที่ก้มหน้าก้มตาปิดประตูรั้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินจนมาหยุดใกล้เธอ วรินธรมองเห็นรองเท้าหนังสีดำเป็นมันปลาบ กางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อเชิ้ตลายสก็อต ไล่มองขึ้นจนกระทั่งเห็นใบหน้าของบุรุษคนหนึ่งสวมแว่นกันแดดกรอบทองสะท้อนแดดวาววับ เส้นผมทรงใหม่ตัดสั้นกระชากวัย โกนหนวดเคราออกจนหมดจดแต่ก็ยังเห็นรอยเขียวตรงแก้มและคางอยู่ดี อย่าให้ได้ยิ้มก็แล้วกัน เดี๋ยวรอยตีนกาจะยกโขยงมากันใหญ่

บุรุษผู้นั้นเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของเธอ เขาจึงยิ้มแค่มุมปาก

“ลุงหลงทางหรือเปล่า จะไปไหนเหรอลุง”

เท่านั้นลุงก็หลุดยิ้ม ดึงแว่นออกโชว์ริ้วรอยที่หางตา วรินธรยิ้มตอบ

“ทำไมบอสไม่เปลี่ยนเป็นลุคนี้ตั้งแต่แรก เท่ดีออก”

‘บอส’ ส่ายหน้า ดวงตาสีเทาเปลี่ยนไปมองรถคันเก่าข้างกายเธอ “หล่อเกินไป กลัวจะดัง กำลังจะไปมหาลัยเหรอ”

วรินธรยักไหล่ไม่ได้ตอบเพราะเครื่องแต่งกายคงบอกเขาอยู่แล้ว

“หาอพาร์ทเม้นให้ฉันได้แล้ว?” เธอจึงได้โอกาสถามเรื่องที่ขอไปเมื่อวาน

“คิดว่าฉันมาที่นี่เล่นๆ รึ”

“คิดว่าสายพานอาจจะเบื่อการเฝ้าออฟฟิศ อยากยืดเส้นยืดสาย”

เขายิ้มมุมปาก “นั่นก็ด้วย แต่ฉันอยากมีข่าวจะมาบอก”

“อ้อ แค่จะบอกข่าว ถึงขนาดต้องมาถึงนี่เชียวเหรอ”

บอสยิ้มหวาน เป็นรอยยิ้มที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะสิ่งที่เขาจะบอกต้องเป็นข่าวร้าย

“เอาข่าวร้ายหรือข่าวดีก่อน”

นั่นไง คิดไว้ไม่มีผิด วรินธรกลืนน้ำลาย “ข่าวดีก่อน”

บอสยิ่งยิ้มหวาน “แสดงว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี ข่าวดีก็คือฉันหาที่อยู่ชั่วคราวให้เธอได้แล้ว”

วรินธรแสร้งยิ้มแป้น “แหมดีจัง แล้วข่าวร้ายล่ะ”

บอสมองรอบกายเสมือนว่ากำลังชมวิว แต่เธอรู้ดีว่าอาการแบบนี้คือการสำรวจตรวจตราว่ามีใครแอบฟังหรือไม่

“สายของสนฉัตรบอกว่า อาสินยังไม่ปรากฏตัว”

วรินธรกลอกสายตาไปอีกทางอย่างไม่ถูกใจสักเท่าใด “ฉันอุตส่าห์ลงทุนล่อพ่อเสืออกมาแล้วเชียว ไม่ได้ผลเหรอเนี่ย ว่าแต่เจ้าเจฟล่ะมันกำลังทำอะไร”

“วันนี้เห็นว่าจะปลอมตัวไปเป็นเจ้าของคอนโดฯ”

วรินธรสบตาสีเทาอมฟ้าของเขา รอยยิ้มสนุกอยู่ในนั้น แม้จะซ่อนก็ไม่มิด รู้แล้ว เขาไม่ได้มาแค่บอกข่าวหรอก เขามาเพื่อดูอาการเธอตอนได้ยินข่าวด้วย บอสนะ...ถึงอายุไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่ก็ยังรักสนุกเสมอ

“แล้ว?”

ผู้ฟังยิ้มแป้น “ถึงแม้อาสินจะไม่โผล่หัว แต่ฮารุกะก็อาสาเป็นนางฟ้ามาโปรดให้แก่พวกเรา”

“นางฟ้ามาโปรดยังไงบอส?”

เธอมองใบหน้ามีริ้วรอยนั้นแล้ว พอจะมองออกว่าไม่ใช่ฮารุกะหรอกที่อาสาจะเป็นนางฟ้าเพื่อโปรดเหล่าพนักงานอีเวนท์ มีคนไปลากแขนนางฟ้าเข้ามาต่างหาก

“อย่าบอกนะว่ารูปถ่ายที่เห็นเมื่อวันก่อน...?” เธอหยอดคำถามพลางเลิกคิ้ว จับสังเกตคนตรงหน้าสุดฤทธิ์

“เป็นความบังเอิญ”

ครู่เดียวที่สบตาเขา เธอก็รู้ทัน “ฮารุบังเอิญเดินเข้ามาในกล้อง หรือว่ากล้องบังเอิญขยับไปหาเองกันแน่”

เขายักไหล่ไม่โต้แย้ง เธอหรี่สายตาและส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ เขาต้องการให้เธอรีบรับงานจึงได้หาทางหลอกล่อ ร้ายกาจชั้นครู

ถึงตรงนี้เขายิ้มอย่างมีชัย แต่เธอว่าเหมือนตัวอิจฉาในละครตอนเห็นนางเอกตกต่ำมากกว่า

“แล้วก็โชคดีที่ บังเอิญว่าฮารุมีห้องพักในอิสรเสรีคอนโดฯ พอดี แถมเป็นห้องสวิตใหญ่โตหรูหรา งานนี้บริษัทก็เลยไม่ต้องจ่ายค่าที่พักให้ทั้งเธอและเจฟ สบายไป”

อ้อออ...

แหม ช่างพอดิบพอดีอะไรอย่างนี้ นี่เธอหาทางเลี่ยงฮารุกะแทบตาย กลายเป็นว่าบอสนั่นเองวางแผนโยงทุกอย่างรวมกันเพราะความงกอีกแล้ว ว่าแต่ว่าวันก่อนตอนรุ่งสางเธอไปส่งภาพทิวาถึงห้อง เธอจะแก้ตัวอย่างไรกับหล่อนดีว่าเธอก็อยู่คอนโดฯ เดียวกัน

เขายิ้มเมื่อเห็นเธออึ้งเหมือนปลาสำลักน้ำ เธอจึงได้แต่ระงับความหลากหลายอารมณ์ และส่งคำถามกลับไป

“แล้วฮารุรู้แค่ไหน”

“ไม่มาก เพราะงานยังคงเป็นความลับ ฉันบอกฮารุแค่ว่าพริ้งกับเจฟจะไปอาศัยอยู่ด้วยสักพักหนึ่ง”

วรินธรกัดฟันกรอดๆ ร้ายกาจนัก... นึกภาพฮารุกะออกเลยทีเดียวว่าคงดีใจกระโดดโลดเต้น ไม่มีทางซะล่ะ เธอจะไม่นอนห้องของฮารุกะถ้าไม่จำเป็น เดี๋ยวซ้ำรอยอีก...

บอสเอ่ยปลอบใจ “ฉันรู้ว่าฉันใช้งานเธอหนักในช่วงนี้ โบนัสสามเท่าฉันก็เลยคิดว่าจะจ่ายทันทีหลังจากงานสำเร็จ”

เธอสบตาอย่างรู้ทันเขาจึงหัวเราะตอบ เธอรู้ว่าช่วงนี้บริษัทเธอต้องใช้เงินจำนวนมากในการซ่อมแซมออฟฟิศและดำเนินการโต้ตอบฝ่ายนั้นกลับ เรียกได้ว่าระดมพลทุกฝ่ายที่มี เขาคงไม่มีเงินมาหมุนจ่ายให้เธอแน่ ถ้าเธออยากได้เงินเร็วนอกจากต้องรีบทำให้งานสำเร็จแล้วก็ต้องใช้พลังไปบีบคั้นต้นสังกัดมิทสึคิงด้วยอีกทางหนึ่ง คิดแล้วเหนื่อย... แล้วตอนไหนเธอจะว่างสืบเรื่องแม่สาวล่องหนได้ล่ะหนอ พอถึงเรื่องสาวลึกลับ เธอก็นึกได้

“ช่วงนี้ออฟฟิศใช้การได้หรือยังคะบอส”

“ทำไมล่ะ ต้องการอะไร”

วรินธรกลอกสายตาไปทางอื่น “ไม่มาก แค่ขอค้นฐานข้อมูลรายบุคคล”

บอสแค่มองนิ่งและไม่ได้ถามอะไรมาก เขาดึงมือถือออกมาจากกระเป๋า กดข้อความส่งออก

“ติดต่อ ‘โทน’ ออฟฟิศของเราใช้ได้แต่ไม่ปลอดภัย เราได้ย้ายที่ทำการรวมทั้งข้อมูลทุกอย่างชั่วคราว มีโทนที่รู้รายละเอียด”

วรินธรพยักหน้าร้อง “โอเค” อย่างน้อยก็มีเรื่องสมใจบ้างล่ะ บุรุษตรงหน้าจ้องมองด้วยสายตาคม เธอจ้องกลับ แม้เขาจะเก่งวิชาอ่านใจเพียงไร แต่เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเขาเกินไป เขาไม่มีทางรู้แน่ว่าเธอต้องการอะไร การเล่นเกมอ่านใจระหว่างกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในอีเว้นท์ คงเพราะที่นี่รวมคนชอบล้วงความลับคนอื่นแต่ในขณะเดียวกันก็หวาดระแวงกลัวคนอื่นจะมาล้วงความลับของตนไว้ด้วยกันก็เป็นได้

“เรื่องสุดท้าย...ฉันขอกล่องสำคัญด้วย”

วรินธรมองตาเขาอย่างรู้กัน จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าหลัง ล้วงเซฟตี้บล็อกส่งให้เขาเสร็จ ก็ต่างคนต่างแยกย้าย รวดเร็ว...ว่องไวเหมือนตอนขามา





ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ห้า Foolin(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:52:18 »
(ต่อ)
วรินธรใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการจัดการธุระงานประจำที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่งในตัวเมือง ส่งเอกสารให้แก่พนักงานธุรการซึ่งมองชุดเธอขึ้นลง เธอได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร เอ่ยถึงรายละเอียดของงานไปเสีย เสร็จแล้วจึงได้มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อมองหาภาพทิวา

ถึงแม้อาสินจะไม่ปรากฏตัวตามแผน อย่างน้อยเธอก็ได้รู้ห้องพักของหล่อน เพราะหลังจากเธอหลบพ้นจากเหล่าบอดี้การ์ดได้แล้ว เธอจึงพาลูกสาวเจ้าพ่อกลับไปส่งที่คอนโดมิเนียม

ห้องพักชั้นบนสุด เป็นห้องที่หรูหราที่สุด แล้วก็คงจะราคาแพงที่สุดด้วยล่ะมั้ง หลังจากที่เธอเก็บรายละเอียดได้เพียงครู่ ก็ต้องออกตัวขอกลับไปนอนพัก สีหน้าของหล่อนช่างชัดเจนเหลือเกินว่าหล่อนคงอยากจะรั้งเธอให้อยู่ด้วยกันต่อ แต่การอยู่ประจำที่เดิมตรงไหนนานๆ ไม่ใช่วิสัยของเธอ ยิ่งยืนอยู่ปากอุโมงค์ถ้ำเสืออย่างนี้ เห็นทีต้องรีบเผ่น จึงได้ตอบหล่อนไปอย่างใจคิด

“ไม่เอาล่ะ ฉันกลัวเจ้าพ่อจะลากฉันไปถ่วงน้ำ”

อาจเพราะเหตุผลนั้นหรือรอยยิ้มหวานหยดที่เธอเพียรจะประดิษฐ์สร้างสรรค์มอบให้หล่อนก็ไม่ทราบ ทำให้หล่อนไม่เซ้าซี้ต่อ แต่ก็ยังอดไม่ได้ต้องถามคำถามทิ้งท้าย

“แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม”

เธอได้แต่ยักคิ้วตอบทิ้งท้ายเหมือนกัน “ได้เจอสิ เจอแน่ๆ”

วรินธรมองภาพทิวาที่ยิ้มดีใจ ยืนยิ้มหวานส่งจนกระทั่งหล่อนปิดประตูห้อง แอบสงสารไก่ต้มในหม้อเหมือนกัน หล่อนคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มของเธอซ่อนสิ่งใดไว้บ้าง ขณะที่กำลังหมุนตัวเดินกลับ เธอแอบเห็นร่างสูงเพรียวของปิแอร์เดินออกมาจากห้องติดกัน จึงได้ถลึงตามองเขา แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มกวนประสาทไม่พูดจา แถมยังเดินหนีไปอีกทาง ชวนให้สงสัยว่ามันสามารถเข้าออกห้องพักสุดหรูในชั้นบนสุดได้อย่างไร ครั้นจะตามไปถามให้หายสงสัย ก็รับรองว่ามันโยกโย้ลีลา

เมื่อวานเธอจึงให้ยางโทนช่วยค้นข้อมูลให้ เขาบอกว่าห้องนั้นเป็นห้องพักของเจ้าของคอนโดมิเนียม เธอจึงได้ร้องอ้อ ที่แท้เจฟมันอุปโลกน์ตัวเองเป็นเจ้าของตึกนั่นเอง ตรงตามคำตอบที่บอสตอบมาเมื่อเช้า แหม แต่งตั้งตำแหน่งของตัวเองซะสวยหรูเชียว แต่อย่างนี้ก็เข้าทาง ถ้าอาสินโผล่มาหาลูกสาวของเขาที่นี่เมื่อไหร่ เจฟจะเป็นคนแรกที่รู้

สามวันแล้วที่เธอตามเฝ้ากิจกรรมของภาพทิวาที่มหาวิทยาลัย เผื่อว่าอาสินจะมาพบลูกสาวที่นี่ ทีแรกก็ว่าจะไปทักทายภาพทิวาเพื่อสร้างความสนิทสนมเสียหน่อย แต่พอเห็นบอดี้การ์ดหน้าบูดที่ทำตัวเนียน ยืนประจำตามจุดนั้นจุดนี้ในคณะฯ แล้ว เธอก็ตัดสินใจตามหล่อนแบบเงียบๆ ดีกว่า

เท่าที่สังเกตมา กิจกรรมของหล่อนดูปกติเหมือนคนทั่วไป มีวิชาเรียน มีกิจกรรมนักศึกษา กินข้าวกับเพื่อนๆ พบปะรุ่นน้อง แวะห้องสมุด วันหนึ่งนั้นผ่านไปอย่างง่ายดาย จนคนตามถอนหายใจ ไม่เห็นจะมีอะไร อาสินก็หายต๋อม เหมือนกับผู้หญิงปริศนาคนนั้น...หายต๋อมแต๋มไปไหนไม่รู้ นี่หล่อนส่งลูกถีบใส่เธอแล้วก็หนีหายไปเหรอเนี่ย ร้ายกาจ

วรินธรชะงักเมื่อเห็นใครอีกคนเดินตามหลังภาพทิวาออกจากหอสมุดด้วย ผู้หญิงในเดรสรัดรูปอวดทรวดทรงองเอว ประกอบกับใบหน้าตาคมโดดเด่นและผิวที่ขาวจ้าในแสงแดดยามสายส่งเสริมให้หล่อนกลายเป็นจุดเด่นบริเวณลานกว้าง ไม่ต้องคิดนานเลย หญิงสาวหน้าตาลูกครึ่งคนนั้น

...ฮารุกะ...

ทำไมมาอยู่แถวนี้?

วรินธรละสายตาจากภาพทิวาไปหาคนที่น่าสนใจกว่า แน่นอนว่าครู่เดียวฮารุกะก็มองเห็นเธอ สายตาของฮารุกะที่ส่งมานั้นแพรวพราวหยอกล้อ ใบหน้าหวานยิ้มเล็กๆ อย่างสมใจและโบกมือให้ พลางเดินไปยังลานจอดรถ คนละทิศละทางกับภาพทิวา วรินธรชั่งใจหนักหน่วงว่าจะตามเป้าหมายไปดี หรือจะตามตัวคนน่าสงสัยไปดี ในที่สุดเธอก็เลือกตามภาพทิวาดีกว่า เดี๋ยวเหยื่อหายจะเสียงาน

พลันระหว่างเดินลับมุมตึก ร่างเธอก็ถูกกระชากจากด้านหลังเหวี่ยงจนเซไปชนกำแพง แต่เธอพลิกตัวกลับมาได้ จับข้อมืออีกฝ่ายหมุนย้อนไปไพล่หลังโดยสัญชาติญาณ จนร่างผู้บุกรุกร้องโอดโอย วรินธรจึงได้เห็นว่าร่างนั้นเป็นผู้หญิง และเมื่อหล่อนหันหน้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ฮารุกะนั่นเอง

“รุนแรงกันจังนะ”

“ทักแบบนี้อีกแล้วนะ” วรินธรพยายามปรับสีหน้าเครียดให้กลับมานิ่งสงบ มองอีกฝ่ายที่กุมข้อแขนตัวเองด้วยสีหน้าใกล้ร้องไห้ เธอก็ยิ้มอย่างรู้ทัน

“ไม่สงสารหรอกนะ ซ้อมเทควันโดเจ็บกว่านี้ตั้งเยอะไม่เห็นเคยบ่นเลย”

ฮารุกะจึงเลิกสำออย วงหน้าขาวกระจ่างหมดสนุกไปนิดหน่อย “แหม รู้ทันกันตลอด”

“แล้วมาที่นี่ทำไม”

“แหม พูดจาใจร้ายได้เหมือนเดิม ฉันเพิ่งกลับมาแท้ๆ ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายเดือน พายไม่คิดถึงฉันบ้างเลยเหรอ”

น้ำเสียงออดอ้อนไม่ได้ทำให้เธอใจอ่อนตามไปด้วย ผู้หญิงคนนี้สนุกเวลาที่ได้เห็นเธอแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเสมอ ดังนั้นเธอไม่เคยไว้ใจนัยน์ตาใสซื่อเลยสักนิด

ฮารุกะจึงเอาตัวพิงเบียดชิดกับเธอ วรินธรก้าวหนีแต่ติดกำแพงด้านหลัง เธอได้แต่มองหล่อนอย่างระอา

“นี่จะเล่นอะไรอีก ฉันงานยุ่งนะรู้ไหม”

“รู้... พายตามแม่สาวคนนั้นใช่ไหมล่ะ แม่สาวนายกสโมฯ”

“รู้เยอะขนาดนี้ ก็ควรปล่อยฉันไปทำงานได้แล้ว”

“ฝันไปเถอะ”

วรินธรถอนหายใจ “เด็กไม่รู้จักโต พูดไม่รู้จักฟัง” เธอดันไหล่อีกฝ่ายให้ถอย แต่ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้ฮารุกะเบียดตัวเข้าแนบชิดยิ่งขึ้น เธอพยายามออกแรงดัน อีกฝ่ายก็ดึงไม้ดึงมือเธอลง พันตูกันไปกันมาไม่รู้จักจบจักสิ้น ป่านนี้แล้วเป้าหมายเธอคงหนีไปไหนต่อไหน ยัยตัวแสบ ทำให้เสียงานจริงๆ

ฮารุกะยิ้มอย่างมีชัยเมื่อเธอเลิกขัดขืน “ยอมตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง”

สาวน้อยตรงหน้าเลื่อนมือขึ้นคล้องคอเธอ ส่วนอีกข้างก็ยึดปลายคางของเธอไว้ ลูบไล้แก้มขึ้นลงอย่างสำรวจ

“อย่าแกะนะ มีเคืองจริงๆ ด้วย” วรินธรรีบขู่ เธอขี้เกียจจะแปะซิลิโคนใหม่

คนฟังหัวเราะกิ๊ก เอ่ยทิ้งท้าย “พูดมากน่า” และโน้มใบหน้าเข้าใกล้พร้อมกับจรดริมฝีปากแนบเรียวปากของคนพูดมากเสียจนเงียบกริบ

..................................................................................... จบบทที่ห้า Foolin

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.