Yuri-Read
รายชื่อนักเขียน ก - ฮ => อาคาริ => พรายในสายลม => ข้อความที่เริ่มโดย: อาคาริ ที่ 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:53:19
-
บทที่หก Bad Day
เอาอีกแล้วสองคนนี้...
กานต์ชนิตยืนอ้าปากค้าง ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเห็นพวกหล่อนทำแบบนี้กันมาก่อน แต่ก็ตกใจอยู่ดี ใบหน้าของเธอร้อนอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่เจ้าตัวทั้งคู่ไม่ยักกะอับอายอะไร จูบเสร็จ แม่สาวลูกครึ่งไฟแรงสูงยังยิ้มหวานใส่อีกตามเคย
“เอ๊ะ!”
เอ๊ะ ใครร้องเอ๊ะ หันหลังก็พบกับลูกสาวเจ้าพ่อในชุดนักศึกษายืนหน้านิ่งเป็นปลาโดนสต๊าฟ ชั่วเวลาแค่เพียงเสี้ยวนาที กานต์ชนิตรู้สึกถึงความรู้สึกจากหล่อนมากมายเหลือเกิน หนึ่งในนั้นคือความผิดหวังเสียใจ ยืนนิ่งนานจนกระทั่งเอกสารในอ้อมแขนไถลตกพื้น หล่อนจึงได้รู้สึกตัว
“มิ้นท์” วรินธรเอ่ยเรียกเสียงเบา
เจ้าของชื่อรีบก้มเก็บของอย่างไม่คล่องแคล่ว หยิบแล้วตกหยิบแล้วตกเหตุเพราะมือไม้สั่น วรินธรจึงผละจากสาวลูกครึ่งเพื่อตรงเข้ามาหา
ภาพทิวาเห็นดังนั้นจึงเลิกเก็บ เอ่ยบอก “ขอ...ขอโทษ”
แล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีไปทันที วรินธรมองตามหลังแล้วหันไปหาตัวต้นเหตุที่ยืนยิ้มกริ่ม แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างสนุก
“รสชาติยังเหมือนเดิมนะพาย ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ”
พร้อมกับสะบัดก้นเดินเฉิดฉายไปอีกทาง ว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อว่าคนใส่ส้นสูงแหลมปริ๊ดจะเดินเร็วได้อย่างนี้ กานต์ชนิตค่อนข้างขำท่าทางของวรินธรซึ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกว่าฮารุกะคนนี้จะแสบใช่ย่อย ถึงได้ทำให้หล่อนสะอึก คิ้วงี้ขมวดแทบเป็นปมบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างแรง
ก้มลงเก็บกล่องดินสอของภาพทิวาซึ่งเหลือทิ้งไว้ดูต่างหน้า พลางถอนหายใจพรืด หงุดหงิดหัวเสียอยู่เพียงผู้เดียว หล่อนเดินไปหารถมอเตอร์ไซด์ พลางกดมือถือโทรออกหากใครคนหนึ่ง สนทนาเป็นภาษารหัสลับ แต่จากการที่เธอตามหล่อนทุกวัน เธอเริ่มเข้าใจบทสนทนาบ้างแล้ว หล่อนเปลี่ยนอารมณ์เร็วทันใจเหลือเชื่อ เธอได้ยินว่าปลายสายชื่อ “โทน” และประโยคสุดท้ายหล่อนตอบว่า “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
และวรินธรก็ติดเครื่องรถ รีบบิดคันเร่งออกไป เธอล่องลอยไปเกาะราวเหล็กตามติดไปด้วย รถแล่นฉิวเข้าไปในย่านเมืองใหญ่ จนเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถใต้ดินของอาคารสูงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ผู้ขี่ก็ก้าวลงจากรถว่องไว แม้ใส่กระโปรงแคบ เจ้าหล่อนก็ไม่รู้สึกรำคาญแถมยังคล่องแคล่วอีกด้วย เมื่อวานและวันก่อนหล่อนอยู่ในมาดเซอร์เหมือนเด็กศิลป์ เธอก็คิดว่าหล่อนดูดีแม้จะดูเซอร์ๆ วันนี้หล่อนแต่งชุดนักศึกษาแนบเนื้อตัวโชว์หุ่น รูปร่างของหล่อนเป็นของจริงไม่ได้เอาซิลิโคนมาแปะเหมือนกับใบหน้า เธอก็ยังคิดว่าหล่อนดูดีอยู่นั่นเอง หรือเป็นเพราะหล่อนสูงและขายาวกันนะ ทำให้ใส่เสื้อผ้าชุดไหนก็ดูเหมาะ สมแล้วที่เคยเป็นนางแบบ ร่างสูงเพรียวเดินเข้าไปในลิฟต์ผู้บริหาร ยื่นมือกดรหัสรักษาความปลอดภัยบนแผงหมายเลขชั้น เลข -3 ซึ่งอยู่ใต้เลขหนึ่งและ G นั่นหมายความว่าหล่อนกำลังจะลงไปยังชั้นต่ำกว่าชั้นใต้ดินของอาคารแห่งนี้
โอ้ว นี่เธอกำลังเดินทางไปพบดินแดนแห่งความลับหรือเปล่า
เมื่อลิฟต์เปิดออกสู่ห้องโถงขนาดไม่ใหญ่ค่อนข้างทึมทึบ เธอตามหล่อนผ่านเข้ามาสู่ห้องหนึ่งเล็กกว่าห้องเมื่อครู่ ภายในมีโต๊ะทำงานแยกเป็นส่วนๆ แต่มีทางยาวลึกเข้าไปสามารถเดินต่อไปได้อีก เลี้ยวซ้ายที เลี้ยวขวาทีตามทางเดินแคบ ในที่สุดก็พบกับห้องสว่างห้องใหญ่ มีโต๊ะประชุมสีเปลือกไข่ไก่ขนาดแปดถึงสิบคนตรงกลางห้อง พื้นปูพรมสีน้ำเงินเข้ม ด้านข้างชิดผนังเป็นโต๊ะทำงานแบบบิ้วอินเรียงต่อเป็นแถบ บนโต๊ะเหล่านั้นตั้งจอคอมพิวเตอร์สามเครื่องเรียงราย ไม่รวมแลปทอปอีกเครื่องตั้งอยู่บนโต๊ะประชุม เบื้องหน้าแลปทอปมีใครคนหนึ่งนั่งรัวคีย์บอร์ดอย่างขะมักเขม้น เธอเห็นเพียงส่วนดวงตาและหน้าผากโผล่พ้นจอขึ้นมาเท่านั้น เขาสวมแว่นสายตากรอบดำ เมื่อมองเห็นว่าใครมาใหม่ก็ยืดตัวขึ้นจนเห็นเต็มใบหน้าส่งยิ้มมุมปากทักทาย
“ไง”
คนข้างเธอยิ้มแบบเดียวกันตอบ “ไม่ไง”
เขาผิวปากวิ้ว “วันนี้ลมอะไรพัดคุณพริ้งแพรวพรรณมาหากระผมได้ล่ะขอรับ ลมชักหรือว่าลมช็อกดี”
“ลมอะไรก็ช่างนายเถอะ อิจฉาจริงๆ นายได้ทำงานในห้องสบาย ไม่ต้องออกไปโต้ลมรับแดดร้อนอย่างฉัน”
“อย่าอิจฉาฉันให้มากเลยพาย บอสสั่งงานฉันอย่างกับสั่งขี้มูก นี่ฉันยังร่างระบบความปลอดภัยใหม่ไม่ทันเสร็จ เขาก็สั่งให้ฉันหาข้อมูลส่งให้คนอื่นในทีมต่ออีก มีแต่ข้อมูลลับเฉพาะ เฉพาะลับๆ ทั้งนั้น ฉันต้องแฮกเข้าระบบไม่รู้กี่บริษัทแล้ว”
คนฟังหัวเราะพลางทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ล้อเลื่อน พร้อมกับยกขาไขว่ห้าง “นายต้องโทษมิทซึคิงที่สร้างศัตรูไว้มาก แล้วสืบได้หรือยังว่าบริษัทไหนที่สั่งการ”
เขาหัวเราะเฮอะ “ถ้ามันสืบง่ายเหมือนทำโจทย์เลขปอสี่ก็ดีสิขอรับ ลำพังกระผมคนเดียวจะทำยังไงไหว”
“อ้าวแล้วทีมนายหายไปไหน”
“ไปหมดแล้ว เกณฑ์ไปออกภาคสนามกับทีมของไอ้สนหมด บอสเอาจริง ต่อให้พลิกดินหาก็ต้องหาอาสินให้เจอ นี่ไอ้สนมันหมดแรงนอนอยู่ในห้องข้างในนู้น งานหนักมาสามวันเพิ่งได้นอน”
วรินธรชะโงกหน้ามองลอดประตูเข้าไปด้านในอันมืดสลัวพลางพยักหน้า กานต์ชนิตชักอยากจะเห็นหน้านายอาสินที่ว่าเสียแล้ว เพราะดูจะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งปวงในบริษัทนักสืบแห่งนี้
“ฉันก็พยายามหลอกล่อให้เขาออกมา ได้ข่าวคืบหน้าอะไรบ้างไหมล่ะ”
ชายหนุ่มคนเดียวในห้องลุกจากหน้าคอมพิวเตอร์หยิบตะกร้าขนมที่กลางโต๊ะพลางกัดคุกกี้
“ข่าวล่าสุดจากปิแอร์เจ้าของคอนโดฯ และแอ๊บเป็นคนข้างห้องภาพทิวาบอกว่าไม่เห็นแม้เงาของอาสิน เห็นก็แต่เงาของบอดี้การ์ดเดินขวักไขว่ ด้วยความเบื่อหน้า ปิแอร์มันก็เลยว่าจะสมัครเป็นพนักงานในบริษัทอีกสักแห่งสองแห่ง”
คนฟังเลิกคิ้ว “นี่มันว่างงานขนาดไปสมัครงานในบริษัทเล่นเชียวเหรอ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นมันขอรายละเอียดของทั้งสามบริษัทไปปึกใหญ่ วันต่อมาฉันก็เห็นมันยื่นใบสมัครไปแล้ว ไม่รู้ตกลงที่ไหนตอบรับให้มันเข้าทำงาน หรือไปๆ มาๆ ปิ้วทุกบริษัท ตกงานขึ้นมา มันก็ว่าจะไปสมัครเป็นครูสอนเทควันโดแทน เพราะเห็นว่าที่ฮารุกลับมารอบนี้ ก็เพื่อมาบริหารโรงเรียนเทควันโดให้เป็นเรื่องเป็นราว แทนที่จะปล่อยทิ้งให้อาบริหารให้ อีกอย่างนะพาย ฮารุบอกด้วยว่าถ้าเป็นไปได้จะช่วยกล่อมภาพทิวาให้เรียนเทควันโดที่โรงเรียนเธอด้วยล่ะ”
คำพูดยาวยืดอย่างคนรู้ข้อมูลเยอะและช่างเจรจาทำให้เธอนึกชอบใจ พลางเอ่ยตอบอย่างออกรส
“ช่วยอะไรกัน วันนี้ฮารุก็ทำเสียเรื่อง ป่านนี้ยัยลูกสาวเจ้าพ่อคงจำหน้าฮารุได้ขึ้นใจแล้วมั้ง”
“จริงเรอะ” ชายหนุ่มนั่งลงอย่างตั้งใจฟัง “เกิดอะไรขึ้นล่ะ ฮารุแผลงฤทธิ์กับแกแล้วสิ”
“แผลงแล้ว สดๆ ร้อนๆ” วรินธรยืดตัวส่งยิ้มน่ากลัว “ถ้ายังก้าวก่ายกันมากอย่างนี้ เห็นทีจะต้องสั่งสอนเด็กไม่รู้จักโตดูบ้างล่ะ”
เขาขำ “ยอมรับซะเถอะว่าถึงฮารุชอบแกล้งแก แต่ก็ช่วยงานแกได้มาก อย่าด่าน้องเลย”
คำว่าน้องทำให้กานต์ชนิตรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้เอ็นดูผู้หญิงที่ชื่อฮารุกะไม่น้อย
“ให้ท้ายฮารุกันมากถึงได้เอาแต่ใจขนาดนี้ไง”
“คนที่ตามใจเธอมากที่สุดก็แกไงพาย ไม่งั้นฮารุไม่ติดแกขนาดนี้หรอก ว่าแต่ว่ามานี่มีอะไร”
คนพูดเปลี่ยนเรื่องฉับไว คนฟังก็ตอบกลับไวเช่นกัน “จะขอค้นฐานข้อมูลบุคคลเสียหน่อย ใช้เครื่องไหนได้”
เขาพยักหน้าตอบพลางเลื่อนเก้าอี้ล้อเลื่อนไปยังจอคอมเครื่องที่สาม คีย์ข้อมูลครู่เดียวภาพบนหน้าจอที่สามก็ปรากฏช่องให้กรอกรหัสก่อนเข้าสู่โปรแกรม “ตามสบาย” เอ่ยเสร็จเขาก็กลับไปทำงานหน้าแลปทอปของตนเองต่อ
วรินธรล้วงกระดาษภาพวาดในกระเป๋าออกมาวางบนเครื่องสแกน รูปปรากฏบนหน้าจอรวดเร็ว กานต์ชนิตร้องฮึอย่างตกใจพลางจับจ้องใบหน้าคนวาดอย่างเอาเป็นเอาตาย พลันนึกถึงเหตุการณ์ในห้องสมุดที่หล่อนนั่งอ่านหนังสือประหลาดและวาดรูปเธอ บอกให้รู้ว่าวรินธรจำเธอไม่ได้ จึงได้นึกไม่ออกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แล้วต้องขวนขวายค้นหาคำตอบอย่างนี้
แล้วนี่จะพบอะไรไหม เธอไม่รู้หรอกว่าฐานข้อมูลของที่นี่กว้างใหญ่เพียงไหน จะเท่าตำรวจสากลหรือพวกเอฟบีไอรึเปล่า คิดแล้วก็น่าสนุก จึงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายหล่อน ใบหน้าขาวกลบรอยซิลิโคนบนจมูกมิดไปทุกส่วนยังคงคร่ำเคร่งพยายามเทียบใบหน้าให้ใกล้เคียงกับรูปวาดที่สุด
วรินธรเลือกรูปที่มีเปอร์เซ็นใกล้เคียงเพียงสามรูป ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ชื่อและนามสกุลของเธอสักคนเดียว คิดว่าวรินธรคงจะไม่โมเมจับเธอไปโยงกับชื่อคนอื่นนะ ดูหน้าไม่พอใจของหล่อนแล้วก็คงจะเป็นแบบนั้น วรินธรไม่คิดว่าคนพวกนี้จะใช่เธอ สักครู่จึงเอนหลังไปกับเก้าอี้ พลางหลับตาและถอนหายใจยาว
กานต์ชนิตอมยิ้ม ยกมือไปอังหน้าผากหล่อน รับรู้ถึงไอร้อนผ่านฝ่ามือซึ่งดูจะร้อนระอุกว่าที่เคย หรือว่าอารมณ์ของหล่อนมีผลต่ออุณหภูมิที่เธอรับรู้ เวลานี้หล่อนไม่พอใจและกำลังแก้ปัญหาไม่ตก พูดง่ายๆ คือหล่อนกำลังเครียด เธอจึงรู้สึกว่าหล่อนร้อนขึ้น แต่จะเพราะอะไรนั้น เธอไม่รู้หรอก
เสียงสัญญาณปี๊บๆ ดังถี่ ทำให้วรินธรลืมตากว้างระวังภัยคล้ายแมวตื่นตัว หันมองยางโทนผู้ควบคุมคอมพิวเตอร์ทั้งห้าด้วยความสงสัย ยางโทนหน้าเคร่งเลื่อนเก้าอี้ไปยังเครื่องที่ส่งสัญญาณเตือน คีย์ข้อความอยู่อึดใจก็ร้องตะโกน “อาสิน! เขาโผล่มาแล้ว”
วรินธรยืดตัวขึ้นทันที พลันล้วงมือถืออันสั่นรัวของตนออกมาดู ปรากฏข้อความเร่งด่วนจากออฟฟิศ
...อาสินพบลูกสาวที่อิสรเสรีคอนโดฯ...
ยางโทนทำการส่งออกให้ทุกคนรับทราบรวดเร็วทันใจ รวมทั้งใครอีกคนในห้องข้างๆ ด้วย เสียงตึงตังดังเรียกความสนใจของเธอให้หันมอง ม่านสีน้ำเงินแหวกออกแสดงโฉมหน้าของผู้ที่อยู่ในห้อง ใบหน้าเขาแตกตื่นยังมีริ้วรอยแห่งความง่วงงุนแต่ในไม่ช้าก็สามารถตื่นได้เต็มที่ เขามองหายางโทนและเหลือบมองเห็นเพื่อนอีกคนในห้อง
“ไอ้พาย โทน พบอาสินแล้วใช่ไหม”
เสียงมือถือของผู้พูดสั่นไหวอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ยางโทนจะพยักหน้าเสร็จเขาก็กดรับสาย “นั่นใคร”
กานต์ชนิตรู้สึกกระแสแห่งความเคร่งเครียดแผ่ออกจากชายผู้นั้น ใบหน้ามอมแมมของเขาเจือสีแทนอ่อนคาดรอยเผาแดดเป็นรูปแว่นตาเป็นใบหน้าที่ผ่านความตรากตรำกรำแดดมานาน มือแข็งแรงกระชากประตูตู้เหล็กข้างประตูเปิดออกอย่างแรง พลางคว้าอาวุธปืนในซองพร้อมเข็มขัดหนังคาดเอวทับด้วยเสื้อแจ๊กเก็ตขณะกรอกคำพูดตอบคนในสาย
“ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้ พวกแกเฝ้าไว้อย่าให้คลาดสายตา”
พลันกดวางสายและสอดเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงยืนสีเข้ม หันกลับมาสบตาวรินธร
“พาย ไปด้วยกัน”
แล้วร่างสูงบึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงก็ก้าวเข้ามาช้อนต้นแขนของวรินธรให้ลุกขึ้น เจ้าตัวร้อง “เฮ๊ย” อย่างตกใจ พลางสะบัดแขนออก
“ให้ฉันไปด้วยทำไม”
“แกอย่ามาลีลาได้ไหม พวกมันมาเป็นสิบ คนของฉันมีแค่สอง ไม่พอแน่ๆ”
“แล้วให้ฉันไปสมทบเป็นสามจะช่วยอะไรแกได้ฮึ”
ตาสีดำสนิทส่องประกายดุใส่คนพูด ทำให้หล่อนเถียงไม่ออก เขาหันหลังไปยังตู้เหล็กแล้วโยนเสื้อแจ๊กเก็ตพร้อมอาวุธมาทางหล่อน ที่จำเป็นต้องพลิกตัวรับอย่างอัตโนมัติ ยางโทนหัวเราะกับท่าทีไม่เต็มใจของเพื่อนและเอ่ย
“เจฟมันอยู่ใกล้สุด มันคงไปถึงไวกว่าใครเพื่อน” สนฉัตรร้องตอบว่าดีและหันมองผู้หญิงในชุดนักศึกษาซึ่งสวมเสื้อและสอดอาวุธอย่างไม่เต็มใจ
“แกเป็นคนรอบคอบ ช่วยฉันหน่อยก็แล้วกัน” น้ำเสียงขอร้องช่างตรงกันข้ามกับสีหน้าดุดัน กานต์ชนิตรู้สึกกลัวผู้ชายคนนี้ขึ้นมาเสียเฉยๆ แล้วเดาว่าวรินธรก็คงรู้สึกอะไรบ้างล่ะ ไม่กล้าหืออะไรเลย ได้แต่ทำตามที่เขาพูด ชายผู้ชื่อสนฉัตรหันกลับไปหายางโทนซึ่งคร่ำเคร่งตรวจพิกัดของเป้าหมาย
“ฉันขอเส้นทางสั้นที่สุดที่จะถึงตัวอาสิน”
“โรเจอร์!” นักคอมพิวเตอร์ตอบกลับพร้อมกับหมุนเก้าอี้กลับมา “เมลไปแล้ว รีบไปได้เลยไอ้น้อง”
สนฉัตรผู้มีใบหน้าเคร่งเครียดพยักหน้าให้กับวรินธรเป็นการส่งสัญญาณ แล้วหล่อนก็ต้องรีบวิ่งตามเขาออกไป
.........................................................
นายอาสินก้าวลงจากรถพร้อมกับหัวเราะร่วนให้กับคนในโทรศัพท์มือถือ สายตากวาดลอกแลกไปทั่ว สักครู่จึงก้าวเข้าไปยังโถงกลางของคอนโดมิเนียมโดยมีชายฉกรรจ์ในชุดซาฟารีสี่คนเดินตามหลัง
“พวกท่านใกล้จะถึงแล้วหรือครับ... ครับ...ทุกอย่างจะเริ่มเมื่อกระผมไปถึง” บทสนทนาจากสายสืบส่งต่อถึงสนฉัตรอย่างว่องไว
สนฉัตรรับฟังเสียงรายงานความเคลื่อนไหวของอาสินจากลูกน้องหน้าคอนโดมิเนียมทางหูฟังครู่หนึ่งก็เลี้ยวเข้าไปในซอยแคบซึ่งเป็นทางลัดตามภาพในเมลของยางโทน แล้วหยุดเบื้องหน้าอาคารสูงของอิสรเสรีคอนโดฯ วรินธรหยุดรถข้างกายชายหนุ่มผู้พูด “อาสินนัดพบใครบางคนหลังจากนี้”
ชายหนุ่มสอดสายตาผ่านแว่นตาดำมองรอบกาย เขากำลังมองหาลูกน้องของเขา สนฉัตรไม่ใช่คนผลีผลามแต่ก็ยังให้เธอมาช่วยดูให้อีกทาง แสดงว่างานนี้เขาต้องการการรอบครอบแบบสูงสุด
“งั้นเราก็แค่รอคอยให้เขาคุยกับลูกสาวให้เสร็จ”
ผู้ฟังพยักหน้า พลางเปิดมือถือที่สั่นจากข้อความเข้า เป็นข้อความจากเจฟส่งให้ทุกคนในทีม
...ปิแอร์อยู่ชั้นแปด ฟังอาสินกับลูกกำลังทะเลาะกัน...
วรินธรหัวเราะเมื่ออ่านจบ “ปิแอร์ทำหน้าที่ได้ดี”
สนฉัตรขมวดคิ้ว “มันชอบเอาตัวไปใกล้เหตุการณ์เสี่ยงๆ เสมอล่ะ”
“มันชอบสอดรู้สอดเห็น” เธอแก้ตัวให้ แต่ฟังแล้วเหมือนคำด่ามากกว่า สนฉัตรยังคงขมวดคิ้วได้ไม่เลิก
“ฉันคิดว่าเป็นจุดเด่นจะทำให้มีภัยได้ง่าย”
เธอพยักหน้าเห็นด้วยและเล่าอีกเรื่องหนึ่ง “เมื่อสามวันก่อนฉันตีสนิทกับภาพทิวาได้สำเร็จ แถมยังโดนมือซ้ายของอาสินหมายหัวอีกด้วย”
เขาหันหน้ามองเธอ เธอหัวเราะหึๆ “อยากรู้มากก็ต้องเสี่ยงมาก ก็ต้องทำตัวให้เด่นมากเป็นธรรมดา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำ แต่เหตุการณ์ดันพาไป”
“ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”
ร้องอืมตอบในลำคอ “แกเคยเห็นฉันไม่ระวังตอนไหนบ้างล่ะ” สนฉัตรตอบรับด้วยเสียงหึในลำคอ สำหรับสนฉัตรแล้วนั่นเรียกว่าเสียงหัวเราะ เสียงข้อความเข้าอีกครั้ง
...พ่อลูกทะเลาะกันรุนแรง หล่อนพาดพิงถึงพริ้ง...
ข้อความจากเจฟครั้งนี้ทำให้วรินธรยืดตัวส่งยิ้มเผล่เจ้าเล่ห์ สนฉัตรขมวดคิ้ว
“นี่ฉันต้องขึ้นไปทำความรู้จักพ่อของภาพทิวาหรือเปล่า”
คนมองได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “อย่าทำตัวยุ่งเหมือนพี่น้องคู่นั้น”
เขาหมายถึงเจฟกับฮารุกะ สองคนนั้นอาจจะรักสนุกไปหน่อย ชอบทำอะไรตามใจ เธอเห็นว่าส่วนนั้นไม่ได้เป็นปัญหา ตราบใดที่มีคนอย่างสนฉัตรผู้เคร่งเครียดคอยระแวงหน้าระแวงหลังให้ มีแต่คนคอยระวังนั่นแหละที่ไม่ชอบใจ
“ยังไงก็แล้วแต่ ต้องขอบคุณแกที่ทำให้อาสินโผล่หัวมาได้”
เธอยิ้มรับความดีความชอบ “ฉันทำให้เขาโผล่มาได้แล้ว แกก็อย่าปล่อยให้เขาหนีได้แล้วกัน”
รอยยิ้มมั่นใจเป็นของสนฉัตร เสียงข้อความเข้าเป็นครั้งที่สาม คราวนี้วรินธรไม่ได้รับข้อความด้วย แสดงว่ามาจากลูกน้องของเขา
“มารี...แม่บ้านในคอนโดนั้นบอกว่าอาสินลงมาแล้ว”
“งั้นฉันไปล่ะ หมดหน้าที่ฉันแล้ว”
มือใหญ่คว้าแขนเธอหมับ วรินธรลอบถอนหายใจ ฝืนส่งยิ้มแป้นเอาใจ “ฉันหิวข้าวแล้ว ฉันจะไปกินข้าว”
“ฉันมีลูกน้องแค่สามคน มันไม่พอ”
“เจฟไง บอกไอ้เจฟสิ”
สนฉัตรไม่สนใจ กรอกคำพูดบอกปลายสาย “นายสองคนตามเขาไปอย่างให้คลาดสายตา จำไว้นะ แค่จับตาดู อย่าเพิ่งทำอะไร”
แล้วก็วางสาย เธอรู้ว่าเขาเรียกใช้เจฟได้ แต่เขาไม่ทำ โอ๊ย งานก็เลยมาเข้าที่เธอ วรินธรส่ายหน้าท่าเดียวขืนตัวแบบสุดๆ จนอีกฝ่ายหัวเสีย “อย่าทำเรื่องมากสิวะพาย เร็วเข้า”
เสียงหัวเราะลอยตามลมทำให้พวกเธอหันมอง เจ้าเจฟพร้อมรถมอเตอร์ไซด์เกียร์ออโตเมติกแล่นเข้ามาจอดเบื้องหน้า ใบหน้าของเขาเป็นเจฟไม่ใช่ปิแอร์
“งานนี้ฉันไปเอง”
สนฉัตรแทบจะผูกปมคิ้วตัวเอง วรินธรยิ้มแหะ ตอนนี้เขาไม่มีข้ออ้างจะพาเธอไปด้วยแล้ว
“แต่เพื่อกันเหนียว ให้พายระวังหลัง ตะกี้ฉันเห็นโรเบิร์ต...มือซ้ายของอาสินลงไปพร้อมกับเขาด้วย มีลูกน้องสี่นายเดินตามหลัง ทิ้งไว้เฝ้าหน้าห้องของภาพทิวาอีกสอง เฝ้าที่รถสาม ไม่ควรปะทะซึ่งๆ หน้า”
ข้อมูลครบถ้วนของเจฟทำให้สนฉัตรชะงัก ก่อนจะหันมาสั่งเธอ “งั้นพายเฝ้าอยู่ที่นี่ นายไปกับฉัน”
เจฟยิ้มแป้น ติดเครื่องรถตามคนสั่งพร้อมยักคิ้วส่งให้เธอ “ไปหาหนูมิ้นท์หน่อยก็ดีนะพาย ตอนนี้เธอกำลังต้องการกำลังใจแบบฝุดๆ อิอิ”
หน้าฝรั่งกับน้ำเสียงวัยรุ่นแบบนี้มันไม่ได้เข้ากันสักนิด
รถมอเตอร์ไซด์สองคันเร่งเครื่องจากไป วรินธรย่นจมูกพลางแหงนหน้ามองไปยังชั้นแปดของอาคารสูง ...เอาใจงั้นเรอะ เหอะ... ถึงจะคิดแบบนั้น แต่สองขาก็พาเธอให้เข้าไปในอาคารอยู่ดี เพราะมันเป็นโอกาสที่จะทำให้หล่อนไว้เนื้อเชื่อใจเธอแบบแนบแน่น
ทางเดินชั้นแปดค่อนข้างสลัว เบื้องหน้าเธอมีชายฉกรรจ์ยืนเหมือนการ์ดเฝ้าคนละด้านของวงกบประตู เมื่อพวกเขาได้ยินฝีเท้าเธอเขาก็หันมอง และเมื่อเห็นก็จ้องเธอเขม็ง เธอส่งยิ้มหวานหยดให้ หยุดยืนหน้าประตูระหว่างชายทั้งสอง พวกเขายืนนิ่งและไม่ได้ขัดขวาง แม้แววตาจะระแวงเป็นอย่างมากก็ตาม
“ฉันเป็นเพื่อนมิ้นท์ ขอพบเธอได้รึเปล่า”
เจ้าหนุ่มสองคนเงียบ เออสงสัยลืมปากไว้ที่บ้าน ก็ดีเหมือนกัน เธอจึงยกมือเคาะประตูสามสี่โป๊ก ภายในห้องยังคงเงียบกริบ จึงเคาะไปอีกสี่ห้าหก ได้ยินเสียงบางอย่างขยับภายใน แต่เจ้าของห้องคงยังไม่อยากลุกมาต้อนรับแขก เธอจึงตัดสินใจรัวเคาะโป๊กๆๆๆ แบบไม่ยั้ง ทำเอาสองหนุ่มถลึงตามองเธออย่างน่ากลัว เธอส่งยิ้มหวานกลับ แว่วเสียงแว๊ดๆ จากคนภายในห้องบอกว่าไม่ต้องมายุ่ง ห้ามรบกวน
ให้เดา ภาพทิวาคงคิดว่าเป็นลูกน้องของพ่อเสียล่ะมั้ง โอเคไม่เป็นไร เธอร้องตอบกลับไปว่า
“งั้นเดี๋ยววันหลังมาใหม่นะมิ้นท์”
พร้อมกับรีบหมุนตัวเดินออกมาพร้อมกับก้าวเข้าลิฟต์ลงไปชั้นล่างทันใด นึกในใจว่าอีกเดี๋ยวหล่อนคงรีบเปิดประตูออกมาตามหาเธอแน่นอน
ยังไม่ทันได้พิสูจน์สิ่งที่คิด เสียงมือถือก็ดัง เธอกดรับสายจากสนฉัตร
“พายตามจิงจ้อไปที่โรงกลึงสยาม ฉันกับเจฟโดนล้อม มันเป็นกับดัก อาสินรู้ตัวแล้ว”
พูดจบเขาก็ตัดสายทิ้ง เสียงแบ๊กกราวด้านหลังของเขาเป็นเสียงเครื่องยนต์และเสียงปืน ฟังดูคงฉุกเฉินไม่ใช่น้อย ใบหน้าของเธอเครียดขึ้น ลืมเรื่องภาพทิวาไปสนิทใจ กระชับเสื้อแจ๊กเก็ตรูดซิปปิดพร้อมก้าวออกจากอาคาร จับสองล้อคันเก่งแล้วฉิวไปยังสถานที่ที่เพื่อนบอกทันที เธอรู้จักสถานที่นั้น ไม่จำเป็นต้องถามทางจากยางโทนซ้ำซ้อน
ข้อความจากเจฟเข้ามาอีก ...อีการุม...
ข้อความทำนองนี้หมายความว่ากำลังโดนโจมตีจากกลุ่มคนที่มากกว่า แสดงว่าตอนนี้พวกเขาเดือดร้อนหนัก แต่คงยังไม่หนักหนา เพราะยังไม่มีการขอความช่วยเหลือ โดยทั่วไปแล้วพวกเราก็จะไม่ขอความช่วยเหลือถ้าไม่วิกฤติจริงซะด้วย อันดับแรกเราจะช่วยเหลือตัวเองให้ถึงที่สุดก่อน
คงจะต้องพึ่งพาจิงจ้อกับเธอ
วรินธรดับเครื่องตั้งแต่ถนนหน้าโรงงานบริเวณชานเมืองตั้งโดดเดี่ยวห่างไกลชุมชน เธอไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง รู้แค่เพียงว่าเธอต้องตามหาจิงจ้อ หรือถ้าไม่พบจิงจ้อ เธอก็ต้องมองหาอาสิน เพราะเขาอุตส่าห์ออกจากรังแล้ว แถมยังนัดพบใครอีกด้วย โอกาสเช่นนี้มีน้อย ถ้าเธอทำตัวขี้เกียจ คอยแต่จะหนีงานคงไม่ใช่เธอ
นัยน์ตาสีน้ำตาลสะท้อนแววทองกวาดตารอบกายอย่างระแวดระวัง ปล่อยให้รถไหลจนล้มไปบนกองหญ้าแห้ง พลางพลิกตัวกระโดดลงอย่างเงียบเชียบ กระโปรงทรงสอบเป็นอุปสรรค์ต่อการเคลื่อนไหวนิดหน่อย เธอสอดนิ้วคลำใต้เบาะดึงใบมีดกรีดด้านข้างแหวกขึ้นสูงเพื่อเพิ่มความคล่องตัว และเลาะซิลิโคนออกจากใบหน้า สลัดคราบพริ้งแพรวพรรณออกไป พลางเก็บมีดใส่ใต้เข็มขัดนักศึกษาแล้วย่อตัวให้กลืนกับต้นไม้ สำรวจโรงหลอมมีขนาดเกินสามงานไม่เกินหนึ่งไร่ มีช่องระบายอากาศด้านบนตามหลักของโรงงานโดยทั่วไป ผนังมิดชิด แต่คานตามรอยต่อของผนังทำให้รู้ว่าภายในมีมากกว่าหนึ่งชั้น มองหาประตูและหน้าต่าง สำรวจอย่างรวดเร็วโดยรอบพบรถของเพื่อนจอดแอบไว้ริมต้นไม้ และพบรถสปอร์ตของอาสินจอดห่างออกไปยังลานกว้าง จึงสันนิษฐานว่าพวกเขาอยู่ข้างใน
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครซุ่มมองอยู่ก็ตัดสินใจวิ่งไปชิดประตูเล็กด้านข้าง พร้อมก้าวเข้าไปและปิดประตู ภายในค่อนข้างสลัวและร้อนอบอ้าว เธอได้ยินเสียงเครื่องจักรกำลังเดิน ไม่แน่ใจว่าเป็นเครื่องอะไร แต่อย่างน้อยก็ช่วยอำพรางเสียงฝีเท้าของเธอได้
ชั้นล่างนั้นเต็มไปด้วยข้าวของ มีสายพานนำพาวัสดุเข้าสู่เตาหลอม แต่ไม่มีแรงงานสักคน ซึ่งผิดวิสัยมากเอาการ เธอค่อยๆ เหยียบบันไดโลหะขึ้นไปชั้นสอง เพิ่มความระมัดระวังให้ตัวเอง ถึงชั้นสองมีเพียงห้องประชุมเล็กตรงมุมในสุดของโกดังซึ่งประตูปิดเอาไว้ เธอยังไม่ได้เดินไปทางนั้นก็ต้องหลบเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าและเงาคนกลุ่มใหญ่ กลุ่มชายในชุดซาฟารี พวกเขากระจายตัวกันเฝ้าหน้าห้องมิดชิดในชั้นสาม ความสนใจของเธอจึงตกสู่ห้องนั้นแทน อาจจะนัดพบกันที่นั่น วรินธรบอกตัวเองว่าไม่ควรเข้าไปเสี่ยงเพียงลำพัง เพราะคู่ต่อสู้มากเกินไป เธอควรหาจิงจ้อให้เจอก่อน แล้วค่อยช่วยกันสืบ แต่ถ้าเธอหาเขาไม่พบ เธอไม่เสียโอกาสหรือ?
ด้วยความบ้าบิ่นในตัวเองทำให้เธอรู้ว่าเธอกำลังจะทำอย่างไรต่อ จึงมองรอบกายเพื่อสำรวจทางหนีทีไล่ มีช่องระบายอากาศแต่ก็สูงเกินไป คงต้องออกทางประตูสถานเดียว เป้าหมายคือห้องมิดชิดชั้นบนสุด
วรินธรล้วงในกระเป๋าสะพายของตน หยิบวัตถุแบนสีดำออกมาวางตามจุดต่างๆ ในโรงงาน พยายามหลบจากสายตาของชายชุดซาฟารี วางจนหมดก็เริ่มกดมือถือเป็นการเปิดสวิตซ์ พวกนี้เป็นตัวส่งสัญญาณคลื่นชนิดพิเศษ มันจะส่งคลื่นความถี่ค่าหนึ่งไปรอบตัวของมันจนกระทั่งพบตำแหน่งของเพื่อนตัวเองทั้งหมดในบริเวณใกล้กัน จากนั้นจะรับข้อมูลการสะท้อนกลับของคลื่นที่ได้เริ่มส่งไปในคราวแรก แล้วจะทำการส่งสัญญาณไปยังดาวเทียม ทำงานคล้ายเรด้าในเรือดำน้ำ ที่จะส่งอัลตราโซนิกออกไป แล้วรอให้สะท้อนกลับมาเพื่อรู้ว่ามีวัตถุอะไรอยู่เบื้องหน้าตน แต่เจ้าแบนสีดำทำได้มากกว่านั้น ด้วยความที่มันทำงานเป็นทีม มันจึงบอกรูปร่างของวัตถุรอบตัวมันได้เป็นสามมิติ ง่ายๆ ก็คือ เจ้านี่ทำหน้าที่เหมือนกล้องบันทึกภาพสามมิตินั่นเอง
เธอทำการเปิดสวิตซ์ไม่ถึงอึดใจ พลันก็ได้ยินเสียงกระหึ่มจากเตาหลอมเบื้องล่าง เอ...ทำไมสายพานมันวิ่งไวชอบกล มองไปอีกทีในบรรดาวัตถุที่ไหลเข้าสู่เตาหลอม ก็ดูจะประหลาดคล้ายเชื้อเพลิง ...หรือว่านี่เป็นระบบป้องกันการติดตามของอาสินขี้ระแวงอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือไปจากการล่อพวกสนฉัตรและเจฟให้ติดกับ เขาอาจต้องการทำลายที่นี่ซะในท้ายที่สุด...
ประเมินความเสี่ยงเสร็จ เธอจึงรีบก้าวไปประตูทางออกใกล้ตัวที่สุดเพื่อทดสอบว่าไม่ได้ล็อก ทันทีที่เธอพยายามเปิดประตู ระบบล็อกอัตโนมัติเริ่มทำงานฉับพลัน เสียงลั่นกลอนประตูทุกบานดังพร้อมกันพรึ่บ โรงงานที่ดูเก่าแก่สุดขีด มีระบบล็อกอัตโนมัติ! แถมยังทำให้ไก่ตื่นเพราะเสียงหวอเตือนภัยส่งสัญญาณลั่น เธอมองซ้ายขวาเลิกลั่ก แว่วเสียงโหวกแหวกให้ลงไปดูด้านล่าง เธอกัดฟันกรอด นึกในใจว่าพลาดซะแล้ว จิงจ้ออยู่ไหน ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน
ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เข้ามาใกล้ เมื่อครู่นี้เธอนับชายชุดซาฟารีได้ห้า ข้างบนคุมเชิงอีกสาม เธอจะทำอย่างไรจะจัดการชายแข็งแรงแปดคน! โอ่ยแค่คิดก็ตาลาย เธอไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก ทำได้แค่ซุ่มหลบเพื่อขอเวลาใช้สมอง มือก็ควานไปในกระเป๋าสะพายซึ่งไม่ใช่กระเป๋าโดเรมอน มันบรรจุของเพียงไม่กี่อย่างในนั้น เธอล้วงหน้ากากครอบใบหน้าไว้ พร้อมกับโยนระเบิดควันยาสลบสามลูกไปยังทิศทางต้นเสียงฝีเท้า
ควันยาสลบทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม นาทีผ่านไป วรินธรจึงได้ชะโงกหน้าออกไปดู ก็เห็นเจ้าร่างบึกทั้งหลายสลบไสลเรียงราย เธอกวาดตานับจำนวนร่างบึก เอ่...หายไปหนึ่ง ไม่ทันได้คิดว่าหายไปไปไหน ศอกแหลมๆ ก็ซัดลงที่หลังเธอจนล้มกองกับพื้น
วรินธรพยายามยันตัวลุกขึ้น อดทนกับความเจ็บ พอเปลี่ยนเป็นพลิกตัวหงายพลันก็เห็นฝ่าเท้ามืดๆ ตามลงมาซ้ำจึงต้องกลิ้งตัวกลบ เขาก็จู่โจมด้วยหมัด เธอได้แต่หลบและถอยจนติดผนัง ร่างของเขาใหญ่โตกว่าเธอมาก ไม่ง่ายถ้าจะสู้ประชิดตัว จึงอาศัยพลังของเขาที่จู่โจมเข้าใส่ เป็นฝ่ายพลิกร่างยักษ์ข้ามหัวตนเองล้มลงกับพื้นดังตึง ท้ายทอยลงบนคานเหล็กที่ยื่นขึ้นมาเหนือพื้นพอดี ร่างยักษ์จึงแน่นิ่งไปตรงนั้นเอง เสียงปืนดังเฟี้ยวฟ้าวเฉียดหูทำให้เธอกระโดดวูบหลบเข้าข้างเสา ชายสามคนที่คุมเชิงหน้าห้องตอนนี้ออกมาต้อนรับเธอแล้ว
วรินธรหาที่หลบ รอคอยให้อีกฝ่ายวิ่งมาก็สวนหมัดออกไปยังปลายคางดังอัก ยังไม่ใช่จุดที่ทำให้ล้ม จึงฟาดสันมือซ้ำอีกทีที่เดิม ร่างกำยำจึงล้มลงกับพื้นลงได้หนึ่งร่าง อีกร่างก้าวตามมาวาดเท้าใส่ จึงกระโดดถอยชนตู้เครื่องมือจนสั่นไหว เครื่องไม้เครื่องมือร่วงกราวลงมาจากบนชั้น หางตาและมืออันว่องไวคว้าวัตถุโลหะยาวได้หมับ พลางวาดแขนซัดกลางกระหม่อมอีกฝ่ายจนเซและล้มลงในที่สุด
ชายในชุดซาฟารีคนสุดท้ายกำลังตามลงมา!
วรินธรใช้โอกาสนั้นหนีอ้อมไปอีกทาง หลบเลียบข้างเตาหลอมอันร้อนระอุ ไหนๆ ก็ไหนๆ เสี่ยงมาขนาดนี้แล้ว ขอรู้หน่อยละกันว่าใครเป็นใคร คนในห้องกำลังมิดชิดกำลังเดินออกมา นายอาสินนัดพบกับใครสองที่นี่ พวกเขาเป็นใคร?
มือหนึ่งล้วงไปในเป้ใบเก่ง หยิบป๋องแฟเย็นออกมาขว้างไปยังเตาหลอมระเบิดดังปังพร้อมกับก๊าซสีขาวพวยพุ่ง ได้ยินเสียงไอค่อกแค่กจากคนชุดซาฟารีที่กำลังตามเธอ เธอคว้าแว่นตากันลมมาสวมของในเป้หมดทุกอย่างแล้วได้เวลาสละเป้ เปลี่ยนเป็นคว้าท่อเหล็กอันหนึ่งบนพื้น ฟาดใส่ชายฉกรรจ์คนสุดท้ายที่สำลักควันและน้ำหูน้ำตาไหลจนน่วม พลางวิ่งเลียบผนังก้าวขึ้นบันได แต่เขายังมีแรงสาดกระสุนใส่เธอสะเปะสะปะ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เธอไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาแมทริกซ์ในการหลบกระสุน ได้แต่อาศัยโชคช่วยล้วนๆ พาตัวเองหมอบกลิ้งไปกับพื้น สายตาจ้องทะลุกลุ่มหมอกควัน
เบื้องบนมีเพียงร่างในชุดคลุมดำกับอาสิน ส่วนอีกคนคงออกไปแล้วทางประตูฉุกเฉินติดดาดฟ้า เธอล้วงเข้าไปเข็มขัดด้านในเหวี่ยงใบมีดแหลมบางสองใบใส่คนในชุดคลุมดำทันที เขาหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดและเครากลับมาวูบหนึ่ง พลันชูมือโชว์มีดของเธอ ซึ่งไม่สามารถปักส่วนไหนบนร่างกายเขาได้ ริมฝีปากอันปกคลุมด้วยเครายกขึ้นเหมือนยิ้มเยาะ ทันทีที่เขาสะบัดข้อมือ บรรดามีดนับสิบเล่มก็พุ่งตรงมาที่เธอ
เป็นไปไม่ได้!
วรินธรกลิ้งหลบไปหลังตู้คอนโทรลเครื่องจักรบนชั้นสอง ความแรงของมีดเฉี่ยวโดนปุ่มบังคับบนตู้เร่งความเร็วของสายพานจนทำให้เครื่องจักรมีเสียงดัง นำพาวัตถุที่กองทั้งหมดเข้าสู่เตาหลอม
นายคนนั้นฝีมือดีมาก เขาเสกมีดมาจากไหน มองแขนตัวเองก็เห็นเลือดย้อยติ๋งๆ อ้าวโดนแขนด้วยหนึ่งเล่ม เวรกรรม ชายผู้นั้นไม่ได้ไม่แม่น แต่เขาไม่ได้ต้องการเอาชีวิตเธอในตอนนี้ เขาต้องการขว้างมีดเพื่อบังคับปุ่มเร่งให้สายพานวิ่งไวขึ้นต่างหาก แล้วจากนั้นถ้าเธอยังไม่เผ่น เธอก็ได้ตายสมใจอยากเขาล่ะ เธอยื่นหน้าออกไปก็ต้องรีบหดกลับเพราะกระสุนเฉียดหน้าไปนิดเดียว เธอได้ยินเสียงปิดประตูดังตู้ม พร้อมกับเสียงบิดล็อกจึงยื่นหน้าออกมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่พบใคร พวกเขาหนีไปแล้ว และกำลังจะกำจัดหลักฐานทั้งหมดด้วยเปลวไฟ
เธอรีบก้าวไปยังประตูที่พวกเขาออกไป แต่ก็พบว่ามันล็อกจากภายนอก มองไปข้างล่างก็พบกับเปลวเพลิงที่ลุกลามจากเตาหลอมเกินควบคุม
-
(ต่อ)
“โธ่เว้ย” เหงื่อที่ย้อยติ๋งๆ ทำให้เธอต้องปาดออก พลันใบหน้าทะมึนก็โผล่ขึ้นวูบ ร่างของเธอโดนกระชากจากข้อเท้าเซวูบล้มลงกับพื้น เป็นชายชุดซาฟารีที่เธอฟาดท้ายทอยในทีแรก ยังคงมีแรงแม้หัวจะมีเลือดอาบ หมอบคลานพร้อมกับแสยะยิ้มราวกับจะเชื้อเชิญให้ตายอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกัน
วรินธรกัดฟัน ในใจปฏิเสธคำเชิญ ไม่อยากทำร้ายใคร แต่ทำอย่างไรได้ เธอต้องเอาตัวรอด ถ้าเธอไม่ผ่านนายนี่ไป เธอก็ต้องตายอยู่ที่นี่ ออกแรงพลิกตัวหงายได้ก็เตะใส่ร่างใหญ่ เขาหลบได้ว่องไวราวกับไม่ได้บาดเจ็บ สายตาระวังตัวกว่าคราวแรก ช่างถึกทนสมกับถูกฝึกมาให้ทำงานอย่างนี้เหลือเกิน เธอจึงพลาดท่าโดนซัดไปหลายตุบจนเซ อีกฝ่ายรู้ทันว่าการสู้ประชิดตัวทำให้เธอเสียเปรียบ จึงไม่ปล่อยโอกาสให้เธอได้หนีห่าง เหวี่ยงเท้าใส่สีข้างของเธอที่กระโดดหลบไม่พ้นเสียวแปล๊บบริเวณท้องทันที เท้าหนักๆ อัดลงมากลางลำตัวเธอจนจุก ก่อนจะเห็นปลายกระบอกปืนจ่อใส่ใบหน้า
แม้ทั้งเจ็บและเหนื่อย แต่สติเท่านั้นทำให้ยังต้องสู้ เธอรวบรวมแรงงัดปลายเท้าของตนเตะข้อมือเขา ปืนกระเด็นตกลงไปชั้นล่างท่ามกลางเปลวไฟเป็นประกายในเตาหลอมร้อนแรงเผาไหม้ลุกลามไปกว่าครึ่ง เตานั่นกำลังทำงานเกินกำลังและกำลังจะระเบิด ถ้าเธอไม่หนีตอนนี้ เธอจะไม่มีโอกาสได้หนีอีก
วรินธรบอกตัวเองให้ออกวิ่ง แต่ลำแขนล่ำๆ ก็กระชากเธอกลับไปจนได้ เธอใช้จังหวะที่อีกฝ่ายกระชากเอี้ยวตัวหมุนพร้อมกับกำแขนใหญ่ออกแรงพลิกและเหวี่ยงร่างกำยำจนเสียหลักกลิ้งลงไปตามบันไดเหล็ก แต่ผู้ชายคนนี้เหมือนปลาหมึก แม้จะกลิ้งแต่มือยังคว้าข้อมือเธอให้กลิ้งตามลงไปด้วย โรมรันพันดูกันพักใหญ่
ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่เธอมี เธอจะไม่ยอมโดนปิ้งอยู่ที่นี่หรอกโว้ย
วรินธรสะบัดข้อเท้าสูงใส่ใบหน้าของเขาจนหัน แต่ร่างยักษ์นั่นก็ไวพอกัน เขาคว้าข้อเท้าเธอจนล้มลงพร้อมกับสวนหมัดใส่หน้าท้องจนจุกอุก เธอเริ่มหน้ามืดและมึนเบลอ ควันไฟผสมกับความเจ็บปวดทำให้เธอไถลตัวถอยหลังไปกับพื้นเช็ดเหงื่อและคราบเลือดบนใบหน้าไม่ให้เข้าตาเพื่อมองคู่ต่อสู้
ฉันจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่ เธอคิด เช่นเดียวกับที่เขาคิด
จังหวะที่เขาเข้าชาร์ทใส่เพื่อหวังจะล้มเธอในหมัดนี้ ฝ่ามือเธอก็คว้าบางสิ่งบนพื้นได้ สัญชาติญาณเอาตัวรอดทำให้เธอยกท่อนบางอย่างอุ่นวาบขึ้นรับการชาร์ทเข้าใส่ของร่างยักษ์ ไขควงในมือจึงฝังแน่นเข้าที่ชายโครงด้านหนึ่งของเขา
วรินธรมองใบหน้าอาบเลือดใกล้แค่คืบ ดวงตาถมึงทึงของผู้เข้าสู่วาระสุดท้ายโดยไม่เต็มใจตรึงสายตาเธอให้เปิดกว้าง มองเห็นร่างนั้นค่อยๆ ทรุดตัวลงทิ้งน้ำหนักทับตัวเธอ และแน่นิ่งไปในที่สุด
วรินธรตาเบิกกว้างนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ หายใจเข้าออกเรียกสติกลับสู่ตัว แต่มันไม่ง่ายดายนัก
ริมฝีปากพึมพำอโหสิให้แก่ชายตรงหน้า เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอต้องทำ
ยกมือยันร่างหนาออกไป ก็ปรากฏว่าเกิดเสียงดังกริ๊ก เธอขยับมือไม่ได้เพราะข้อมือของเธอในตอนนี้นั้นไม่ได้อิสระอีกแล้ว ด้วยความที่นายนี่ได้รับการฝึกมาอย่างดีก่อนจะล้มลงเขายังสามารถคว้ากุญแจมือมาคล้องข้อมือเธอเข้ากับราวเหล็ก
“ไอ้บ้าเอ๊ย” เธอยกเท้ายันร่างนั้นพร้อมกับเตะซ้ำ แทบจะลืมเรื่องอโหสิเมื่อครู่นี้ไปเลยเมื่อรู้ตัวว่าเราอาจจะพบกันอีกในโลกหลังความตาย
ซวยซ้ำซวยซ้อน...
ความร้อนระอุจากเตาหลอมกระตุ้นให้เธอพยายามต่อไป เธอยืดตัวไปควานหากุญแจจากตัวชายร่างบึกที่นอนตาเหลือกตรงหน้า แต่ก็ไม่พบ สายตาก็พลันสะดุดกับพวงกุญแจระยิบระยับเบื้องหน้า แต่ทว่าอยู่ห่างจากเธอไปเกือบช่วงตัวเกินระยะเอื้อม ร่วงไปตอนไหนไม่ทราบ วรินธรดึงคอเสื้อปิดจมูกกันอาการสำลักควัน ยังพยายามไถลตัวเอื้อมไปหยิบทั้งที่รู้ว่าไม่สำเร็จ หายใจและสำลัก ได้แต่ทอดร่างนอนแผ่ไปกับพื้นเหล็กที่ทวีความร้อนขึ้นเรื่อยๆ
กุญแจอยู่ใกล้แค่นี้ แต่เธอเอื้อมไม่ถึง กำลังกายอันอ่อนล้าทำให้สมองไม่แล่น และควันพิษทำให้เธอเบลอ สายตาปรือพร่าเลือน เธอจะมามัวแต่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ เธอยังไม่อยากตาย...ยังมีอะไรอีกตั้งมากมายที่เธอต้องทำ ในสายตาไม่ค่อยเห็นอะไรเพราะควันทำให้น้ำตาไหล เธอส่งข้อความให้เพื่อนขอความช่วยเหลือ โชคดีก็อาจจะทันการ โชคร้ายก็อาจจะ...
เสียงไฟไหม้ปะทุเปรี้ยะๆ ดังจากรอบทิศทาง ผนังส่วนหนึ่งเริ่มถล่มจนสามารถเห็นท้องฟ้าภายนอก เธอนอนแผ่มองคานเหล็กบนเพดานและช่องระบายอากาศพร้อมกับไอสำลักควันอย่างรุนแรง หายใจไม่ออก ทุกอย่างกำลังแย่ ท่ามกลางความย่ำแย่ เพดานตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าใครคนหนึ่งที่มีผมสีน้ำตาลล้อมกรอบ ผมที่แต่เดิมก็สีน้ำตาลอยู่แล้ว ยิ่งเรืองประกายแดงเพราะสะท้อนกับเปลวไฟสีส้มรอบทิศทาง ใครบางคนที่กำลังก้มหน้ามาหา ปากพึมพำเรียกชื่อว่าพายอยู่หลายครั้ง
พาย...
เธอว่ามันเป็นภาพหลอน พยายามเหลือเกินในการรวบรวมสติจนมองเห็นภาพเพดานสลัวอีกครั้ง แต่เสียงสะอื้นร่ำไห้ของสตรีผู้หนึ่งก็ดึงความสนใจ พร้อมกับหยดน้ำตาหยดรดแก้ม ดวงตานั้นสีน้ำตาลอ่อนอมประกายทอง ถอดแบบดวงตาแบบเดียวกับเธอ สตรีผู้นั้นส่งยิ้มให้เธอทั้งน้ำตา แล้วก้มลงช้อนร่างเธอขึ้น เพื่อส่งให้ใครอีกคนที่รอรับอยู่ในช่องแคบๆ ด้านบนสู่อ้อมแขนแข็งแรงกว่า แต่ใบหน้าของคนเบื้องล่างยังคงติดตา ดวงตาของผู้หญิงผู้นั้นมีน้ำตาคลอแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและส่ายหน้าให้ ส่ายหน้าทำไม ไม่เข้าใจ ร้องไห้ทำไม ได้ยินเสียงทุ้มเหนือหัวตะโกนอะไรหลายคำ ผู้หญิงตรงหน้าเอาแต่ส่ายหน้าตอบ ทั้งที่น้ำตาไหล เปลวไฟลามเลีย ควันไฟชวนทำให้สำลัก
วรินธรแสบโพรงจมูกไปหมด รวมทั้งแสบช่องอกทุรนทุราย เสียงฝีเท้าวิ่งกระทบพื้นฝ่าเปลวสีส้ม เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงก้มหน้าลงมา เขามีวงหน้าอ่อนโยน ดวงตาทีล้อมกรอบไปด้วยขนตาเป็นแพหนากำลังปลอบประโลม แต่เขากำลังร้องไห้ เธอเห็นความเศร้าสร้อยและสิ้นหวังในดวงตาของเขา
พ่อ...
พ่อ...นี่นา ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ
ใบหน้าสิ้นหวังแทนที่ด้วยใบหน้าเรียวละมุนของใครคนหนึ่งในชุดขาวปลิวสะบัด อ้อมแขนอ่อนโยนช้อนต้นคอเธอขึ้นมา พร้อมกับรู้สึกเจ็บบริเวณแก้มเป็นจังหวะการตีมือตบใบหน้าเรียกสติ
“เธออย่าเพิ่งหลับนะพาย วรินธร ตื่นขึ้นมาก่อน”
พาย วรินธร ชื่อของเธอ... อันไหนคือภาพหลอน เสียงผู้หญิงที่กำลังเรียกชื่อเธอนี้เป็นเสียงใครกัน...
ในห้วงของความสับสน เธอกลับนึกชื่อหนึ่งออก อ่ะเก๋า... เธอเรียกพ่อว่าอ่ะเก๋า ผู้ชายอ่อนโยนผู้นั้น เขาหนีเธอไปอยู่กับแม่ แม่ที่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเธอให้รอดจากเปลวไฟสีส้ม แต่มันไม่คุ้มเลยกับการที่เธอได้ชีวิตรอดออกมา เพราะอ่ะเก๋าใช้มันไม่คุ้มเลย
“เธอตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” เสียงเข้มเย็นยังคงสั่งการ ฟังดูไร้อำนาจ แต่เธอเริ่มกลับมาเห็นกลุ่มควันอีกครั้ง กำลังทำตามคำสั่งของหล่อน พยายามเรียกสติกลับมา ดวงตายังคงพร่าเบลอจนไม่แน่ใจว่าผู้หญิงในชุดขาวตรงหน้ามีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะควันไฟอัดทึบทำให้เธอลืมตาไม่ได้อีก อีกฝ่ายพยายามดึงเธอให้ลุก รู้สึกถึงแรงตึงที่ข้อมือ และมีการขยับก่อนข้อมือจะตกร่วงลงจากราวเหล็กได้ในที่สุด เธอถูกฉุดทั้งลากทั้งจูง ทั้งผลักไส เธอถูกบังคับให้ลุกและต้องทำตาม เสียงของคนข้างกันยังคงสั่งการให้เดินไปนั่นไปนี่ วรินธรรู้สึกว่าตนเองช่างไร้เรี่ยวแรง ได้แต่อาศัยการพยุงก้าวไปข้างหน้าจนล้มลงบนพื้นนุ่มแห่งหนึ่ง อากาศโปร่งและไม่ชวนแสบจมูกอีกต่อไป พยายามปรือตามองคนเบื้องหน้าที่ยังส่งเสียงถาม
“เป็นอย่างไรบ้าง พายวรินธร” และตบแปะๆ ข้างแก้มเธอเป็นระยะ หล่อนทำไมต้องเรียกฉันว่าพายวรินธรเสมอเลยนะ ทำไมไม่เลือกเรียกสักชื่อล่ะ หล่อนรู้ชื่อฉันได้อย่างไร หล่อนโผล่มาได้อย่างไร หล่อนเป็นใคร ฉันเห็นผมของหล่อนนะ แม่คนผมเปีย...
หล่อนคือใครกัน?...ผู้หญิงล่องหน...
... จบบทที่หก Bad Day