web stats

ข่าว

 


Apple & Cinnamon - Lesson 4 : Hi, stranger!

โพสต์โดย: anhann วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2015 เวลา 18:13:42 อ่าน: 408





Lesson 4 : Hi, stranger!





แอ๊บบิเกลยังคงเข้าคลาสภาษาอังกฤษตามปกติ  แต่ก็เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่เธอไม่ได้พูดคุยกับอาจารย์ผู้สอนนอกจากฟังหล่อนอธิบายในชั้น  และถกปัญหาเรื่องรายงานเล็กน้อยหลังเลิกคลาส 

แต่ทั้งหมดนั่นก็มีแต่เรื่องเรียน..

โอ.. แล้วเธอหวังอยากให้หล่อนพูดอะไรนอกจากนี้กันล่ะ..

"ก็อะไรก็ได้ที่บอกว่า คุณเป็นใครกันแน่.."  เด็กสาวเผลอคิดเสียงดังจนมันออกมาเป็นคำพูดที่ดังพอให้คนทั้งห้องหันมามองเธอเป็นตาเดียว รวมถึงเจ้าตัวคนที่เธอกำลังอยากจะให้ได้ยินด้วย..

ตายละ  สเปนเซอร์กำลังจ้องเธอเขม็งจากจุดที่หล่อนยืนอยู่หน้าห้อง!

มองทำไมกันยะ  ไม่ต้องมองเลยนะแม่ตัวดี  คุณแหละทำให้ฉันต้องเป็นอย่างนี้  รู้ไว้ซะด้วย!

"แอ๊บบี้.. เธอพูดบ้าอะไร.?"  เสียงเมลิสซ่ากระซิบดึงเธอหลุดออกจากมนต์สะกดของดวงตาสีน้ำตาลอันเต็มไปด้วยประกายแปลกประหลาดข้างใน 

มองหน้าเพื่อนซี้อย่างหงุดหงิด  ส่ายหัวให้แทนคำตอบ  หล่อนดูท่าจะไม่เชื่อ  หากไม่มีเวลาถาม  เสียงอาจารย์คนสวยพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

"มิสเกรย์สัน  คุณคิดยังไงกับการที่โรมิโอดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย"

อีกแล้ว.. เล่นแบบนี้อีกแล้วสินะ..  แอ๊บบิเกลนิ่วหน้า  เธอเบื่อเล่นเกมครู-ลูกศิษย์กับผู้หญิงคนนี้เต็มที  สเปนเซอร์มักจะใช้วิธีนี้แก้แค้นเธอเสมอ  เหมือนรู้ว่าเธอไม่มีสติพอจะฟัง  หรือหล่อนแค่กำลังทำงานอยู่

จะอะไรก็ช่างเถอะ เธอจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองถูกเล่นงานได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว  และโชคดีอะไรแบบนี้ที่โรมิโอ-จูเลียตเป็นเรื่องโปรดของเธอ  ถึงในหัวเธอจะร้องบอกว่ามันจะเป็นวรรณกรรมงี่เง่าที่สุดแล้วก็ตาม

ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ..  โง่ชะมัด!

คนอ่อนแอเท่านั้นล่ะที่จะฆ่าตัวตาย..

"ฉันคิดว่า  เขางี่เง่าค่ะ"  ตอบออกไปอย่างไม่แยแส  และห้องทั้งห้องก็ระงมไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงโห่  ที่หางตาเห็นเมลิสซ่ายกนิ้วชมให้  ขณะที่ในที่นั่งอีกข้างหนึ่งไคลีย์กำลังส่ายหัวเอือมระอาเหมือนคุณป้าข้างบ้าน  เวลาที่ถูกเธอหยอกตอนที่เธอหอบเอาพายแอ๊ปเปิ้ลฝีมือคุณแม่ไปฝาก 

เด็กสาวเผยยิ้มภูมิใจที่ใครๆ ก็ดูจะชอบคำตอบของเธอ  หากรอยยิ้มก็ถูกปาดออกจากใบหน้าเธอไปเกือบเกลี้ยงเพราะเสียงของผู้หญิงที่มายืนอยู่กลางห้องเมื่อไหร่ไม่รู้  อีกสองก้าวเท่านั้นก็จะถึงตัวเธอแล้ว

"ฉันขอทราบได้ไหมว่าทำไมคุณคิดแบบนั้น  โรมิโอมั่นคงในรักนะ"

แอ๊บบิเกลเม้มปาก  คิดทบทวนว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร  เธอรู้ว่าไม่ใช่แค่สเปนเซอร์ที่รอคำตอบอยู่  เพื่อนร่วมห้องหลายคนก็กำลังรอ  รอทับถมเวลาเธอตอบไม่ถูกใจครู  หรือรอยินดีด้วยก็ไม่รู้เหมือนกัน

"เพราะเขาไม่มีสติค่ะ  ถ้าเขามีสติพอ  เขาจะเช็คดูก่อนว่าจูเลียตตายจริงๆ ไหม..  แล้วเขาก็คงไม่ตายฟรีแบบนั้น  เขาเป็นคนฆ่าจูเลียตทางอ้อมด้วย  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  พวกเขาก็ผิดด้วยกันทั้งคู่แหละค่ะ"  ตอบตามที่ใจคิด  และชั่ววิ  เธอแน่ใจว่าสเปนเซอร์ยิ้มถูกใจก่อนที่มันจะหายวับไป  เหลือแค่แววตาขบขันซ่อนอยู่ในใบหน้าเรียบเฉย

แหม.. หล่อนช่างแสดงเก่งนัก  น่าจับไปเล่นละครซะจริง..

"ผิดยังไงคะ.?  ผิดที่ไม่เตี๊ยมกันก่อนว่าจะตายหลอกๆ หรือว่า...."

"ไม่ใช่ค่ะ  ฉันขอเปลี่ยนคำตอบว่าโรมิโอผิดที่สุดค่ะ"

สองสายตาสบกันดังชิ้ง  ต่างคนต่างท้าทายกัน  ท่าทางเหมือนจะเตรียมตัวประลองดาบกันอย่างนั้น  แต่มันคงดาบที่ปลายปากมากกว่า

สเปนเซอร์ตาวาว  หญิงสาวคงไม่รู้ตัวว่าทำให้เด็กๆ กลัวกันทั้งห้อง  ทำไมเล่า  เธอแค่พอใจที่วันนี้ได้เจอคู่ต่อสู้ที่สูสีกันเท่านั้นเอง 

แต่เฮ้.. เด็กนั่นเป็นแฟนเธอนะ   แค่ 'เคยเป็น' ต่างหากเล่า!  มันเป็นอดีตไปแล้ว  ซ้ำเด็กนั่นก็จำเธอไม่ได้ด้วย  เพราะฉะนั้น..  แบบนี้แหละดี..

"ถ้างั้น.. คุณลองบอกหน่อยได้ไหมว่า ทำไมโรมิโอถึงผิด..  ฉันเชื่อว่า  มันคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ของคุณ"

หล่อนพูดเสียงนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มละมุนละไม  แต่จะมีใครไหมที่จะมองเห็นว่าในดวงตาสีน้ำตาลนั่นซ่อนอะไรอยู่  หล่อนเหมือนหมาป่าตัวร้ายในคราบนักบุญคนดี  เชื่อได้เลยว่าตอนนี้คงเตรียมตัวรอเขมือบเธออยู่  ถ้าพลาด..

"เขาใจร้อนเกินไปค่ะ"  แอ๊บบิเกลตอบมั่นใจ  แต่เธอคงต้องอธิบายต่อเมื่อคนตรงหน้าเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเป็นนัยว่ากำลังรอฟังอะไรจากปากเธออีก

ก็โอเค..  ไหนๆ ก็ลุยมาขนาดนี้แล้วนี่นา..

"ก็ในเมื่อพวกเขา  เลือกแก้ไขปัญหาเรื่องอุปสรรคความรักเพราะตระกูลไม่ถูกกัน  ด้วยการแอบไปแต่งงานลับๆ โดยมีบาทหลวงเป็นผู้ทำพิธีให้  และคิดจะค่อยๆ หาทางบอกครอบครัวทีหลัง  มัดมือชกครอบครัวให้ต้องยอมรับการแต่งงานนั้นอย่างไม่มีทางเลือกแล้ว.." เสียงอธิบายห่างหายไปเมื่อสาวน้อยระลึกได้ว่า  ใครๆ เริ่มจะจ้องมองเธอมากขึ้น  โดยเฉพาะคนตรงหน้า  หากเธอก็แสร้งทำเป็นไม่สน  กระแอมไล่ความประหม่าออกไปจากลำคอ  มองจ้องผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์เพียงคนเดียวพอ   

"ขออธิบายเพิ่มอีกหน่อยว่า  เพราะในสมัยนั้น  ใครๆ ก็ต้องยอมรับถ้าแต่งงานโดยมีบาทหลวงทำพิธีให้ค่ะ"   

ดีค่ะ  ต่อเลยแอ๊บบี้...  แอ๊บบิเกลแทบจะได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากอาจารย์สาวทั้งที่หล่อนแค่มองตาเธอเท่านั้น

เพราะดวงตาวาววับอย่างเจ้าเล่ห์สีน้ำตาลนั่นต่างหาก..

"ค่ะ  มันก็เกือบจะสำเร็จตามแผนแล้วใช่ไหมคะ  ถ้าโรมิโอไม่คิดแค้นไปตามแก้แค้นญาติของจูเลียตจนพลั้งฆ่าเขาตายและโดนเนรเทศออกจากเมืองไป  ทำให้ไม่มีใครอยู่ช่วยจูเลียตที่ถูกบังคับให้ต้องแต่งงานกับคนอื่นโดยไม่เต็มใจ  นั่นล่ะค่ะ  ถ้าโรมิโอไม่เป็นแบบนั้น  คงไม่เกิดเรื่องร้ายๆ ต่อๆ มาเป็นโดมิโน่"

"พูดอย่างนี้แสดงว่า  ถ้าคุณเป็นโรมิโอ  คุณจะไม่คิดเป็นเดือดเป็นแค้นแทนเพื่อนเหรอคะ  คุณจะทนดูคนที่ฆ่าเพื่อนรักของคุณอยู่อย่างสุขสบายเฉยๆ อย่างนั้นหรือ.?"

"บ้านเมืองมีกฎหมายค่ะ  ในยุคนั้นก็มี  หรือมิสแคมเบลล์ไม่เชื่อในกฎหมายคะ.?"

"แน่นอนฉันเชื่อสิ"  สเปนเซอร์ขยิบตาวิ้งใส่ลูกศิษย์คนเก่งอย่างเผลอไผล  แสร้งทำเป็นกระแอมไอกลบเกลื่อนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นจุดให้จับตามอง  "ขอบคุณค่ะมิสเกรย์สัน  คุณทำได้ดีมาก"  ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องทันทีจนใครๆ ก็ตามเกือบไม่ทัน  คงมีแค่เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนเท่านั้นที่ดังขึ้นตรงเวลาเป๊ะราวนัดกันไว้

"ค่ะ คราวหน้าฉันต้องการมหากาพย์อีเลียตนะคะ  เตรียมตัวมาด้วย"

"โธ่ครูครับ.. ผมลาตายล่วงหน้าเลยได้ไหม.?" เด็กหนุ่มคนหนึ่งโอดครวญ  สเปนเซอร์หัวเราะเบาๆ  ยกนิ้วชี้ขึ้นโบกในอากาศ

"ไม่มีใครตายเพราะหนังสือหรอกค่ะคุณเดนเต้  นอกจากคุณจะโดนมันถล่มทับ"  ปิดท้ายคำพูดด้วยรอยยิ้มหวาน  เรียกอาการเคอะเขินจากเขาได้ถนัด  แต่มันก็แค่นั้น  ความสนใจเธอเปลี่ยนไปยังบรรดากระดาษรายงานที่พวกเด็กๆ นำมาส่งที่โต๊ะ  ยืนมองพวกเขาทยอยออกจากห้องไปทีละคน  หากมาสะดุดกับเด็กคนหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าจ้องเธอนานกว่าปกติ 

"มิสเกรย์สัน.?" 

แอ๊บบิเกลเพิ่งได้สติตอนที่นามสกุลเธอถูกเอ่ยขึ้น  สบตาเจ้าของเสียง  เธอเห็นหล่อนเอียงคอน้อยๆ มองเธอด้วยสายตาสงสัย 

ให้ตาย.. หล่อนทำไมถึงทำแบบนี้..  มาจี้ๆ ให้เธอตื่นเต้นแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย  แล้วก็ยังจะมาทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้อยู่อีก

"แอ๊บบี้.. เธอจะไปไหม.?"  เมลิสซ่าร้องเรียกมาจากประตูห้อง  มองมาด้วยสายตากังวลไม่ต่างจากไคลีย์  แอ๊บบิเกลลังเลพะว้าพะวังอะไรสักอย่าง  สองสาวนั่นจึงบอกทิ้งท้ายไปว่าให้เธอไปเจอกันที่คลาสชีวะ

"เธอกำลังทำให้เพื่อนเป็นห่วงนะ" สเปนเซอร์พึมพำ  น้ำเสียงคล้ายจะเป็นห่วงไปด้วย  หากคนฟังกลับส่ายหัวอย่างรู้ทัน

"คุณจงใจแกล้งฉัน"  ครูสาวเลิกคิ้ว  ทำท่าประหลาดใจผิดกับแววตาขบขันที่ทำให้สาวน้อยตรงหน้าต้องพยายามเก็บไม้เก็บมือไว้ให้ดี  ไม่ให้นึกอยากโบกหัวคุณครู

"แกล้งเหรอ.?  แกล้งอะไรคะ.?" สเปนเซอร์ถามหน้านิ่ง  ที่จริงกลั้นอาการขันไว้ข้างใน  ชอบจริงๆ เวลาเด็กผู้หญิงหงุดหงิดเนี่ย.. 

แอ๊บบิเกลขบฟันพยายามระงับอารมณ์ไว้  มันคงไม่ใช่เรื่องดีที่เธอจะจับอาจารย์มาเขย่าคอโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในโรงเรียน  "Whatever." เธอเดินหันหลังจากหล่อนมา  และคิดว่าคงหนีพ้นคนกวนประสาทแล้ว  แต่ไม่ใช่ 

หล่อนมายืนตัวใหญ่บังประตูไว้ ! 

"มิสแคมเบลล์.?"

"ฉันมีหนังสือมาฝาก" 

เด็กสาวมองหน้าคนที่อยู่ๆ ก็ยื่นหนังสือมาให้  มองแค่หน้าปกเธอก็รู้แล้วว่ามันคือหนังสืออะไร  "Death on the Nile อกาธา คริสตี้.?"

สเปนเซอร์ยิ้มหวาน  "ว่าแล้ว.. เธอต้องรู้จักมัน"

แอ๊บบิเกลสั่นหัวอย่างเหลือเชื่อ  แต่ยังรับหนังสือมาถือไว้ให้อีกฝ่ายยิ้มระริกระรี้ผิดกับเมื่อตะกี้เป็นไหนๆ อยากให้ใครๆ เห็นเหลือเกินว่า  คุณครูคนสวยของพวกเขา  ลับหลังน่ะเป็นยังไง

กวนประสาทเป็นบ้า...

"เมื่อก่อน..  ฉันเคยอ่านมันไหม.?"  อยู่ดีๆ ก็ถามขึ้นมา  พาความแปลกใจมาบนใบหน้าของคนอายุมากกว่า  ดวงตาสีฟ้าอมเขียวมองสีน้ำตาลอย่างต้องการคำตอบ  เห็นความอ่อนโยนอบอุ่นข้างในดวงตาคู่นั้นถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดไป

"เรื่องนี้เธอคงยังไม่เคยมั้ง  แต่เธอเป็นเด็กผู้หญิงประหลาดที่ชอบอ่านนิยายสืบสวนมากๆ โดยเฉพาะของเจ๊คนนี้"  สเปนเซอร์ยิ้มขี้เล่นปิดท้าย  พยายามรักษาบรรยากาศไม่ให้ดราม่าอย่างทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเก่าๆ อย่างนี้  เธอจึงได้รอยยิ้มจากอีกคนมาเป็นรางวัล

"อกาธาเป็นราชินีนิยายสืบสวนนะ  ไม่ใช่เจ๊สักหน่อย"

"แหม.. ปกป้องกันจริงๆ เลยนะ"  ครูสาวหยอก  เด็กสาวกลอกตาให้  หากสักพักก็เงียบกันไปทั้งคู่  ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะพูดขึ้นมา

"ขอบคุณนะคะ  ฉันไปก่อนล่ะ  เพื่อนรออยู่"

ร่างสูงเพรียวหลีกทางให้พร้อมเปิดประตูให้ด้วย  แม้อยากจะถ่วงเวลาเอาไว้อีกสักหน่อย  แต่ด้วยการเป็นครู  เธอไม่ควรทำ 

"ฉันจะนั่งรถไฟไปฟิลี่หลังเลิกเรียน  มีงานแสดงภาพน่าสนใจที่นั่น" 

สเปนเซอร์มองหน้าคนอายุน้อยกว่าอย่างไม่เข้าใจ  บางครั้งเธอก็ซื่อบื้อจนเหลือเชื่อ  แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังจะเดินออกไป  เธอก็โพล่งขึ้นมา

"หกโมงเย็น  ฉันจะไปที่สถานี"

"ก็แล้วแต่คุณ.."

ครูสาวย่นคิ้วให้กับคำตอบแสนเย็นชาจากแม่ลูกศิษย์ตัวดี  แต่ไม่นานเธอก็หัวเราะให้อีกฝ่ายอึ้งแทน  "แล้วเจอกันนะแอ๊บบี้"

แอ๊บบิเกลรีบเดินหนีออกจากห้องมาขืนอยู่ต่อเธอต้องประสาทกินแน่  แต่ถ้าคิดแบบนั้น  เธอไปบอกหล่อนทำไมกัน

เออ.. สงสัยฉันจะเสียสติไปแล้ว...

"อา.. ปวดหัว.."

"เฮ้ย..แอ๊บบี้..  เธอโอเคนะ.?"  เมลิสซ่าพุ่งเข้ามาหาเพื่อนทันทีที่เห็นเค้ากุมหัวเดินออกมาจากห้องเรียนภาษาอังกฤษ  เธอกับไคลีย์ยืนรอแอ๊บบี้อยู่หน้าห้องมาร่วมสิบนาทีแล้ว  และก็เกือบจะไปอยู่แล้วถ้าเพื่อนยังไม่ออกมา

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองสองเพื่อนที่ทำหน้าเหมือนเพิ่งเห็นเธอกลับมาจากรบที่อิรัก  หน้าตาเป็นห่วงกันซะเว่อร์  แต่เธอก็ดีใจ

"ไม่เป็นไร  แค่หมั่นไส้คน"

"หมั่นไส้.?  ฉันให้โอกาสเธอพูดใหม่นะแอ๊บบี้"  ไคลีย์พูดขึ้นหลังจากที่สังเกตสังกามานาน  และแอ๊บบิเกลก็แน่ใจว่า  มันเป็นเรื่องยากที่จะตบตาเพื่อนคนนี้  ไคลีย์ไม่ได้ช่างจ้อเหมือนเมลิสซ่า  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าซื่อบื้อแต่อย่างใด  ไอ้ที่เห็นเงียบๆ อย่างนี้ล่ะสำคัญ  เก็บรายละเอียดทุกเม็ด..

"ก็..."

"ก็อะไร.?"  เมลิสซ่าเข้ามาช่วยคาดคั้น  แอ๊บบิเกลกัดกระพุ้งแก้มตัวเอง  เธอจะหนียังไงดี  หรือเธอควรจะถามเพื่อนว่า  พวกเขารู้จักครูอังกฤษคนนี้มาก่อนหน้านี้ไหม.. 

ไม่หรอก.. พวกเขาคงไม่รู้จัก  เพราะถ้ารู้จักคงบอกเธอแล้ว ทั้งคู่ก็รู้ว่าเธอเคยความจำเสื่อมมาก่อน  ใครๆ ก็รู้  ออกข่าวครึกโครมขนาดนั้นนี่นา  อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันหน่อยไม่ใช่หรือไง  ถ้าเห็นเธอจำไม่ได้จริงๆ อย่างนั้น

"ก็....  ไปเรียนเถอะ  พวกเธอคงไม่อยากให้มิสเตอร์สเวนสันโกรธหรอกใช่ไหม.?"  ตัดช่องน้อยแต่พอตัวรีบหนีเข้าห้องเรียนไปก่อนที่เพื่อนจะคว้าตัวเธอได้ทัน  ได้ยินเสียงพวกเขาร้องเรียกตามหลังมาก็รีบจ้ำเข้าไปนั่งที่ทันที  แค่นี้เธอก็ปลอดภัยจากเพื่อนๆ แล้ว

แล้วหลังจากเลิกเรียนล่ะ.?

พระเจ้า.. เธอไม่น่าไปบอกหล่อนเลย..  สายไปแล้วแอ๊บบี้..

แอ๊บบิเกลถอนหายใจ  เธอคงต้องยอมรับสิ่งที่เธอเริ่มต้นมันเอง...

..............................................

สเปนเซอร์หมดคาบสอนตั้งแต่บ่ายสามโมง  เธอจึงตัดสินใจใช้เวลาที่ยังพอมีขับรถไปยังวิทยาลัยที่ตั้งใจว่าจะไปสมัครเรียนศิลปะ  และตอนนี้เธอก็อยู่ที่นี่แล้ว  นั่งเขียนใบสมัครอยู่ที่โต๊ะรับสมัคร  ตาก็มองรอบๆ ตัวไปตามประสาคนอยู่ไม่สุข

วิทยาลัยนี้เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก  แต่ก็ยังคงความขลังเอาไว้เช่นเดิม  จำได้ว่าเธอเคยมากับคุณย่าตอนยังเด็กราวๆ สิบขวบได้  ท่านเป็นอาจารย์พิเศษสอนประวัติศาสตร์  อาจารย์หลายคนที่นี่รู้จักเธอ  แต่พวกเขาอาจจะเกษียรออกกันไปหมดแล้ว  และบางทีก็คงจำเธอไม่ได้แล้วล่ะ

มันผ่านไปนานมากแล้วนี่นา..

"อืม.. คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ"

"อะไรนะคะ.?"  หญิงสาวกะพริบตาปริบ  ดึงความสนใจกลับมาหาผู้รับสมัครที่แน่ใจว่าคงเป็นคนใหม่  ส่ายหัวเบาๆ และส่งยิ้มบางๆ ให้หล่อนที่ตั้งคำถามใหม่มา "คุณสนใจจะเรียนอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ.?"

"งานวาดหรืองานปั้นก็ได้ค่ะ  ฉันไม่เกี่ยง"

"โอเคค่ะ  งั้นลงคลาสนี้แล้วกันนะคะ"  เจ้าหน้าที่สาวบอกใจดี "เรามีเรียนทุกพุธ-พฤหัสค่ะ  แต่เราไม่ได้เช็คชื่อหรือซีเรียสอะไรหรอกนะ ไม่ต้องห่วง"

"ดีค่ะ งั้นเอาตามที่คุณแนะนำเลยแล้วกันค่ะคุณเจ้าหน้าที่"

"โซอี้"

สเปนเซอร์งง  ย่นคิ้วใส่สาวตรงหน้าที่ก้มหน้าก้มตาจดบันทึกอะไรไม่รู้ในสมุดของหล่อน  "ว่ายังไงนะคะ.?"

"ไม่มีอะไรค่ะ  ฉันแค่อยากบอกชื่อตัวเอง"  โซอี้ยิ้มหวานใส่หน้าคนที่ยังเอ๋ออยู่  "เรียบร้อยค่ะ  หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะ"

"เอ่อ.. ค่ะ"  ครูสาวรับแผ่นพับและเอกสารมาจากเจ้าหน้าที่สาวที่ยังยิ้มกริ่มแปลกๆ แต่เธอก็ยังลุกออกมาจากเก้าอี้ทั้งที่ยังไม่เข้าใจอะไร  ส่ายหัวปัดเรื่องงงๆ ออกไปแล้วมองนาฬิกาข้อมือ 

"สี่โมง..  อา.. ยังพอมีเวลา"  เธอคิดกับตัวเองและมุ่งหน้าไปยังรถที่จอดไว้ในลานจอดของวิทยาลัย  จากนั้นก็ขับออกไปโดยไม่รู้ว่าได้สวนทางกับบางคนไปแค่ไม่วินาที

...............................................................

"ขอบใจเมสิสซ่า"  แอ๊บบิเกลโบกมือให้เพื่อนรักที่เป็นธุระขับรถมาส่งเธอที่สถานีรถไฟ 

"แน่ใจนะว่าจะไปคนเดียวได้  ฉันโทรไปแคนเซิลนัดกับแม่ก็ได้นะ"

"ไม่เป็นไรน่า..  ฉันโตแล้ว  ไม่หลงทางหรอก  ไปธุระของเธอเถอะ" 

"ก็ได้.. แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล  โทรบอกฉันหรือไคลีย์นะ"

"โอเค.." ตบปากรับคำเพื่อนอย่างดี เมลิสซ่ายอมขับรถออกไปในที่สุด  แอ๊บบิเกลถอนหายใจ ชักจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกเพื่อนว่าเธอมีนัดกับบางคน..

แต่นั่นคงไม่ได้เรียกว่านัดใช่ไหม.?

"ใช่.. ไม่ได้นัดสักหน่อย" เด็กสาวปลอบตัวเองและเตรียมจะเดินไปที่สถานีรถไฟ   แต่เสียงใครบางคนก็ดังขึ้นด้านหลัง 

"เฮ้..คนแปลกหน้า..  เธอมาช้านะ"

แอ๊บบิเกลหันขวับไปมอง  เธอเห็นใบหน้าคุ้นเคยยิ้มแป้นให้  และยิ้มตอบไปอย่างเผลอตัว  หล่อนมาจริงๆ แต่งตัวดูดีเหมือนเดิมด้วย ดีจนเธอต้องแอบก้มมองตัวเองว่าน่าเกลียดไหมที่จะเดินไปด้วยกัน 

ถอนหายใจโล่งอก  โชคดีที่ตัดสินใจเปลี่ยนชุดก่อนจะมา  ไม่อย่างนั้น  คงต้องอายแน่  แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะสร้างความประทับใจอะไรให้ใครหรอกนะ  แค่ไม่อยากให้เสียชื่อคนที่เคยเป็นนักแสดงแค่นั้นเอง  ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ 

"ใครบอกให้รอล่ะ" ทำเป็นบอกไปอย่างนั้นแต่แอบยิ้มตอนที่หันหลังให้อีกคนและแน่ใจว่าหล่อนไม่เห็น  พอสเปนเซอร์เดินมาจนทันก็กลับมาทำหน้าบึ้งประหนึ่งโกรธหล่อนมาตั้งแต่ชาติปางไหน..  ก็เรื่องอะไรจะให้รู้ว่าดีใจแค่ไหนที่ไม่ต้องไปคนเดียว 

งานแสดงภาพถ่ายของศิลปินที่เธอชื่นชอบคนนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆ และในเมื่อเขามาถึงฟิลาเดลเฟีย  ใกล้เธอขนาดนี้ทั้งทีต่อให้ต้องมาคนเดียวจริงๆ ก็ต้องมา  เมลิสซ่าติดธุระกับแม่  ไคลีย์ก็ต้องเป็นพี่เลี้ยงให้น้องชายแทนพ่อแม่ที่ไปทำงานนอกเมือง  ส่วนพ่อแม่เธอหรือก็อย่าหวัง  พวกเขางานยุ่งได้ทั้งปี  แต่ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกที่ชวนผู้หญิงเพี้ยนๆ คนนี้มา

โอ.. ก็บอกไม่ได้ชวนไง..  แค่บอกว่าจะมา  แล้วหล่อนก็ตามมาเอง..

"ฉันขับรถพาเธอไปก็ได้นะ  อันที่จริง"  เสียงผู้หญิงข้างๆ เธอพูดขึ้นระหว่างที่ยืนรอซื้อตั๋วรถไฟด้วยกัน  เธอกำลังรอสมองประมวลผลอยู่จึงเคลื่อนไหวไม่ทันคนที่แย่งเธอจ่ายเงินอย่างไวเหลือเชื่อ  หล่อนไม่ใช่หรือไงที่บอกว่าจะขับรถไปให้ก็ได้  คนอะไรก็ไม่รู้...  ประหลาด..

"ฉันชอบวิวข้างทางรถไฟมากกว่า  มีอะไรหรือเปล่าคะ"  แกล้งย้อนถามและมองหน้าคนอายุมากกว่าอย่างหาเรื่อง  หล่อนดูไม่รู้เรื่องอะไรด้วย  หรือไม่ก็ไม่สนใจจะแคร์  หล่อนพึมพำอะไรเบาๆ อย่างที่เธอไม่ได้ยิน  และก็คว้าข้อมือเธอให้เดินไปด้วยกัน  ตอนนี้เองที่เธอรู้สึกได้ว่าสัมผัสแบบนี้มันคุ้นๆ

อบอุ่น..  ไว้ใจ..  ปลอดภัย..

"มันคงจะมีรูปสมัยเด็กๆ ของเธออยู่ในห้องเก็บของ  ถ้าอยากรู้อะไร  ไปรื้อดูสิ"  สเปนเซอร์ยิ้มให้เด็กที่ยังทำหน้ามึนใส่  เธอส่ายหัวอย่างเสียไม่ได้และเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย  "ไม่ได้บอกเพื่อนสินะว่า  มากับฉัน"

"ฉันต้องบอกใครด้วยหรือ.?"  แอ๊บบิเกลย้อนหลังจากตามทันอีกฝ่าย  แอบยิ้มในใจที่เห็นหล่อนหน้ายุ่ง  "หวังว่าคงไม่มีใครจำฉันได้หรอกนะ"

ประโยคนี้คงสะกิดใจคนที่ยังจับมือเธออยู่  หล่อนดูครุ่นคิด  กังวล  แต่แล้วก็ยิ้มราวไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไป  "ไม่ต้องกลัวหรอก  ฉันจะปกป้องเธอเอง"  สเปนเซอร์ขยิบตาขี้เล่นให้เธอต้องแกล้งทำตาขุ่นใส่  หล่อนหัวเราะเบาๆ และจูงมือเธอเข้าไปในรถไฟที่มาจอดเทียบท่า 

เธอได้ที่นั่งริมหน้าต่างได้ดูวิวสมใจ  แต่เป็นหล่อนที่เข้ามาจองที่ให้ก่อนที่คนอื่นจะได้ไป  เราไม่ได้คุยอะไรกัน  เธอมองไปนอกหน้าต่างอย่างที่ชอบทำขณะที่หล่อนก็เอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือที่ล้วงออกมาจากกระเป๋าสะพาย  เด็กสาวยิ้มบางๆ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับความเงียบแบบนี้  กลับกัน...

เธอสบายใจ ปลอดภัย และรู้สึกว่าวิวสวยกว่าทุกครั้งที่มา..

บางที.. อาจจะเพราะคนแปลกหน้าคนนี้...       


.......................................................


Long time no see!

ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ อิอิ  เรายุ่งนิดหน่อยค่ะ  มีต้นฉบับที่ต้องรีบปั่นให้เสร็จ  แต่เราจะพยายามเจียดเวลามานะคะ  :21:

เรื่องนี้ยากนิดหน่อยน่ะค่ะ  แอ๊บเปิ้ลกับอบเชยเนี่ย  เพราะอะไรคุณอาจจะเดาออก  ก็ครูสเปนซ์เราเป็นครูภาษาอังกฤษนี่คะ  และครูภาษาอังกฤษของเมืองนอกน่ะ อย่างอเมริกาตามเรื่องนี้  เค้าไม่ได้เรียนเหมือนบ้านเรา (เมืองไทย)  เค้าจะอ่านหนังสือพวกบทประพันธ์ต่างๆ แล้วก็มาคุยกัน  ให้ทำรายงาน เขียนเรียงความ  เขียนโคลง อะไรประมาณนี้ล่ะ

เพราะฉะนั้น  ตัวเราผู้เขียนจึงต้องไปรื้อหาข้อมูลมาไม่ให้เรื่องออกมามั่วๆ และก็ต้องมีที่ปรึกษาด้วยสิ  ขอบคุณที่ปรึกษาคนนั้นเอาไว้ ณ ที่นี้เลยนะคะ  :21:

ค่ะ  นี่ก็มาถึงบทเรียนที่สี่ของเรื่องแล้ว  เห็นความคืบหน้ากันบ้างแล้วเนอะ  ดูกันต่อไปค่ะว่า  ครูกับลูกศิษย์ไปงานแสดงภาพด้วยกันจะเป็นยังไง   :27:

แล้วเจอกันค่ะ!   :44:

โอ้.. เกือบลืม  สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ  คนที่มีคู่แล้วก็ขอให้รักกันนานๆ  ส่วนคนที่ยังโสด  ไม่ต้องเครียดค่ะ  ต้องมีคนที่รักคุณอยู่ที่ไหนสักที่ในโลกใบนี้แน่ๆ อย่างน้อยก็ครอบครัวคุณล่ะ  แล้วก็อย่าลืมรักตัวเองด้วยนะคะ  มีความสุขค่ะ ทุกๆคน   :45:


Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น