web stats

ข่าว

 


สนามแข่งรัก...ตอนที่ ๔

โพสต์โดย: n-ew วันที่: 03 กุมภาพันธ์ 2015 เวลา 21:11:50 อ่าน: 590

ตอนที่ ๔

                 ลดาอาบน้ำเสร็จนุ่งผ้าขนหนู กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ มองเห็นน้ำมนต์ยืนอยู่ไม่ไกล เธอรู้สึกอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รีบถอยเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะค่อยๆ โผล่หน้าออกมาเรียกหาเสื้อผ้า จากน้ำมนต์
                "เอาชุดนอนมาให้เค้าหน่อย" น้ำมนต์แปลกใจที่เห็นลดาอายเธอ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเดียวกัน เธอเห็นลดาแก้ผ้าเดินโทงๆ ไม่เคยมีความอายให้เห็นเลยสักครั้ง
                "ทำไมไม่เดินออกมาใส่ข้างนอกล่ะ" ถามแต่ก็เดินไปหยิบชุดนอนไปยื่นให้ ก่อนจะยั่วเย้า
                "อายพี่เหรอคะ พี่เห็นจนเบื่อแล้ว จะมาอายทำไมตอนนี้ ไม่ทันแล้วล่ะ"
                "ไม่ต้องพูดมากเลย เมื่อก่อนเค้ายังเด็ก แต่ตอนนี้เค้าเป็นสาวแล้ว มันต่างกัน" บอกพลางดึงชุดนอนไปจากมือน้ำมนต์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ
                "เป็นสาวแล้ว..." น้ำมนต์ทวนคำ พลางหัวเราะขำ กับท่าทีนั้นของลดา
                "จนป่านนี้แล้ว ยังจะใส่ไอ้ชุดนอนลายการ์ตูนเด็กๆ แบบนี้อยู่อีก" ลดาเดินบ่นออกมาจากห้องน้ำ พลางก้มดูเสื้อลายการ์ตูนหมีพู ที่น้ำมนต์ให้เธอยืมใส่
                "ถ้าไม่อยากใส่ แก้ผ้านอนก็ได้นะคะ พี่ไม่ว่า" บอกพลางส่งสายตาล้อเลียนให้อีก
                "บ้า...เค้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ" ต่อว่าทั้งๆ ที่หน้าแดง เขินอายอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน เมื่อเห็นสายตาของน้ำมนต์ที่มองมา

                "ก็เห็นบ่น นึกว่าอยากจะแก้ผ้านอน" บอกกรั้วหัวเราะ รู้สึกดีที่ลดายิ้มแย้มได้แล้ว

                "ตัว...พี่บ้า ไม่ต้องมาหัวเราะเค้าเลย" ต่อว่าอย่างอายๆ

                "ไม่ล้อแล้วก็ได้ค่ะ คุณหนูนอนบนเตียงเลยนะคะ เดี๋ยวพี่จะนอนข้างล่างเอง" บอกพลางหอบเอาหมอนกับผ้าห่มลงไปวางไว้ข้างๆ เตียง
                "ไม่ต้องเลย นอนด้วยกันนี่แหล่ะ"
                "พี่กลัวคุณหนูจะอึดอัด เตียงมันเล็กนิดเดียว"
                "ถ้าอย่างนั้น...เค้าไม่นอนกับตัวแล้ว เค้าไปนอนโรงแรมก็ได้" ตัดพ้อต่อว่า ด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
                "นอนก็นอนค่ะ" รีบบอกอย่างเอาใจ พร้อมกับหอบหมอนกับผ้าห่ม ขึ้นไปวางไว้บนเตียงเหมือนเดิม ลดาอมยิ้มอย่างพึงพอใจที่น้ำมนต์ยอมตามใจเธอ
                "คุณหนูนอนก่อนนะคะ พี่จะไปอาบน้ำก่อน"
                "อื้อ..." ส่งเสียงบอก ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง ภาพอดีตตอนเยาว์วัยผุดขึ้นมา เมื่อนึกถึงสายตาล้อเลียนของน้ำมนต์เมื่อสักครู่


                "ว๊าย...! คุณหนู ทำไมไม่นุ่งผ้าขนหนูออกมา เป็นผู้หญิงยิงเรือ จะมาเดินแก้ผ้าโทงๆ แบบนี้ ได้ยังไงกันคะ" เสียงร้องอย่างตกใจของน้ำมนต์ เมื่อเห็นเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มร่างกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ตอนนั้นเธอยังเด็กยังไม่รู้จักความอาย ออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ กับเสียงที่ตื่นตกใจของน้ำมนต์
                "ตัวจะร้องเสียงดังทำไม เค้าทาแป้งแล้ว ให้เอาผ้ามาพันอีก มันก็เลอะหมดซิ เค้ายังไม่อายเลย ตัวอายเหรอ" จำได้ว่าเธอโต้ตอบพร้อมกับหัวเราะชอบใจ ที่น้ำมนต์เอาแต่หลับตาปี๋ พร้อมกับพยักหน้าแทนคำตอบ

                หลังจากนั้นเธอก็มักจะแกล้งน้ำมนต์ โดยการแก้ผ้าเดินทั่วห้องอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งขึ้นชั้นมัธยมหน้าอกเริ่มตูมขึ้น เธอก็รู้สึกอายเสียเองเลยเลิกทำ แต่กลับกลายเป็นน้ำมนต์ที่คอยแกล้งเธอแทน โดยการคอยดึงผ้าขนหนูเธอออก พร้อมกับหัวเราะชอบใจที่เห็นเธอวิ่งหนี และร้องห้ามเสียงดังลั่นห้อง คิดมาถึงตอนนี้ ลดาถึงกับยิ้มกว้างอย่างมีความสุข กับเหตุการณ์ในอดีต ที่เธอยังจำได้ไม่เคยลืม
 
                "ยิ้มอะไร" น้ำมนต์เดินออกมาในชุดนอนลายการ์ตูนแบบเดียวกับที่ให้ลดายืมใส่แม้ว่าจะคนละสี ถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นลดานอนยิ้มกว้างอยู่บนเตียงอย่างอารมณ์ดี

                "ขำตัวนะแหล่ะ ทำงานเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่อีก เค้าก็นึกว่าจะได้เห็นตัวใส่ชุดนอนบางเบาเซ็กซี่ๆ ที่ไหนได้ยังเด็กกะโหลกกะลาเหมือนเดิม" ว่าให้ยิ้มๆ
                "กะโหลกกะลาเหรอ เซ็กซี่แบบนี้เหรอ" น้ำมนต์หมั่นไส้กับการพูดจา และสายตาของลดา พุ่งพรวดเข้าไปหาคนที่นอนอยู่ ไม่ทันให้ได้ตั้งตัว กว่าจะตั้งสติได้ ก็ถูกน้ำมนต์แกะกระดุมเสื้อออกไปได้หลายเม็ดแล้ว จนเห็นเนินอกขาว โผล่ออกมาจากรอยแยกของเสื้อที่ยื้อไว้ได้ทัน พร้อมกับส่งเสียงร้อง ปนกับหัวเราะเสียงดัง เมื่อน้ำมนต์ไม่ยอมหยุด แต่กลับออกแรงกดทับลงไปบนตัวของลดา พร้อมกับใช้นิ้วจิ้มลงไปยังเอว ที่เป็นจุดอ่อนของเธอ คราวนี้ลดาดิ้นหนีและปัดป้อง พร้อมกับเสียงร้องขออย่างอ่อนแรง
                "พอแล้ว ๆ ตัวอย่าแกล้งเค้าสิ"
                "ก็เห็นป่าวประกาศว่าเป็นสาวแล้ว พี่ก็อยากเห็นกับตาซะหน่อยว่าเป็นสาวแล้วจริงหรือเปล่า" บอกอย่างไม่ทันได้คิดอะไร มากกว่าอยากแกล้งคืนเท่านั้น
                "ไม่เอา ไม่เล่นแล้ว เค้าจะนอนแล้ว...น้า...นะคะ" เมื่อแข็งขืนต่อสู้ไม่ไหว ลดาก็ใช้ไม้อ่อน ออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานแทน ซึ่งก็มักจะได้ผลทุกที ครั้งนี้ก็เช่นกัน น้ำมนต์ใจอ่อนยอมปล่อย พลางล้มตัวลงนอนเคียงข้าง หอบหายใจแรงอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะออกแรงยื้อกับลดาอยู่นาน จนได้ยินเสียงหัวเราะ ของคนที่นอนอยู่ข้างๆ
                "ขำอะไร นอนได้แล้ว"
                "ขำตัวนะแหล่ะ แก่แล้วไม่เจียมตัว ดูสิหอบจนซี่โครงบาน...ฮ่า ๆ" หัวเราะเสียงดัง อย่างสะใจ
                "อะไรใครหอบ อยากจะลองดูไหมล่ะ" ว่าพลางชันตัวลุกขึ้นขู่ ทำเอาลดาถอยหนี พร้อมกับร้องห้ามเสียงหลง
                "ไม่เอา...ไม่ลอง เค้าง่วงแล้ว นอนเถอะ นะคะ น้า..."
                "ให้มันรู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ" แกล้งขู่พร้อมกับยิ้มยั่ว ก่อนจะล้มตัวลงนอน ลดายิ้มตอบอย่างมีความสุข กับการได้ต่อปากต่อคำกับน้ำมนต์เหมือนในอดีต

               

                นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เธอไม่ได้หัวเราะเสียงดังๆ แบบนี้ มองน้ำมนต์ที่นอนหลับตาพริ้มอย่างรู้สึกดี หลายปีมาแล้วที่เธอรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ตอนนี้มีน้ำมนต์นอนอยู่ใกล้ๆ แค่มือเอื้อมออกไปก็ถึง แค่นี้ก็รู้สึกอบอุ่นเหลือเกินแล้ว

                ความรู้สึกผูกพันก่อนเก่า ที่หัวใจลดาโหยหามาตลอด บัดนี้มันกำลังอบอวลอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง ลดาหลับตาลงอย่างวางใจและเป็นสุข น้ำมนต์เผยอเปลือกตาขึ้นมอง เห็นรอยยิ้มของลดา รอยยิ้มที่สวยน่ามอง รอยยิ้มที่คิดถึงมาตลอด รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานาน ทำให้รู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้อีกครั้ง   

                น้ำมนต์อยู่คนเดียว และห้องไม่ได้กว้างใหญ่ เตียงนอนของเธอจึงเป็นเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียว ซึ่งเธอก็นอนอย่างสบายของเธออยู่ทุกคืน แต่พอมีอีกคนมานอนอยู่ข้างๆ ทำให้ต้องนอนเบียดกัน จนแขนของเธอสัมผัสได้ถึงเนื้ออุ่นๆ ของลดา อาการเต้นของหัวใจ เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเดิม จนกลัวว่าลดาจะได้ยินเสียง 

                น้ำมนต์ค่อยๆ พลิกตัวหันหลัง ดวงตาลุกโพลงในความมืด จะให้เธอหลับตาลงได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่าเธอจะเคยนอนใกล้ชิดแบบนี้กับลดามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม แต่นั่นมันตอนเด็กๆ หากแต่ตอนนี้เลือดในกายของเธอ มันพลุ่งพล่านจนร้อนวูบวาบ รู้สึกแปลกใจกับความรู้สึกแบบนี้ของตัวเองเหลือเกิน
                "หันหลังให้เค้าได้ยังไง หันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ" เสียงลดาดังแหวกความเงียบขึ้นมา จนน้ำมนต์สะดุ้งตกใจ ค่อยๆ พลิกตัวหันมาหา
                "พี่นึกว่าคุณหนูหลับไปแล้วซะอีก"
                "ถึงแม้เค้าจะหลับไปแล้ว ตัวก็ห้ามหันหลังให้เค้าอีกนะ" บอกพลางเอื้อมมือไปจับมือน้ำมนต์ไว้แน่น
                "เอ่อ...ทำไมล่ะ" ถามเสียงอ่อย อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
                "เค้าไม่ชอบให้ใครหันหลังให้เค้า โดยเฉพาะตัว ห้ามหันหลังให้เค้าอีกเด็ดขาด" น้ำเสียงจริงจังมาก จนน้ำมนต์ต้องยอมรับปากหญิงสาวแต่โดยดี
                "พี่สัญญาค่ะ ว่าจะพยายาม..." น้ำมนต์บอกพลางขยับตัว หวังคลายความอึดอัดลงบ้าง

                "ถ้าถึงกับต้องพยายาม...ก็ไม่ต้องแล้วก็ได้นะ ถือว่าเค้าไม่ได้พูดล่ะกัน" ปล่อยมืออย่างน้อยใจ หากแต่น้ำมนต์กลับเป็นฝ่ายจับมือลดาไว้เสียเอง ละล่ำละลักบอก

                "ไม่นะคะ...พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ คือว่า...พี่ชอบนอนดิ้น พลิกไปพลิกมา กลัวว่าจะเผลอเวลาหลับไปแล้วแค่นั้นเอง" รีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว ไม่อยากเห็นแววหม่นเศร้าในดวงตาคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย เอื้อมมือไปลูบผมนุ่มสลวยอย่างเบามือ เอ่ยเสียงหวานราวกับปลอบน้องน้อย

                "หลับตานะคะคนดี พี่จะไม่หนีไปไหน แล้วจะไม่หันหลังให้คุณหนูด้วย...พี่สัญญานะคะ"

                "ตัวสัญญาแล้วนะ..." ทวงถามเสียงอ่อย

                "พี่สัญญาค่ะ" เอ่ยบอกเสียงหนักแน่นอีกครั้ง มือยังคงลูบลงไปบนเรือนผมนุ่มแผ่วเบา ลดาเคลิ้มขยับตัวเข้าใกล้ จนซุกอยู่กลางอกของน้ำมนต์อย่างไม่รู้ตัว ทำเอาคนเป็นพี่อึ้งทำอะไรไม่ถูก หายใจติดๆ ขัดๆ แต่ก็พยายามสงบใจ ขยับตัวออกห่างได้นิดเดียว พอให้หายใจได้คล่อง แต่ลดากลับขยับตาม น้ำมนต์ตัวแข็งทื่อได้แต่นอนนิ่งๆ แทบจะลืมหายใจเลยด้วยซ้ำ ลดาเองก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะพอกัน ความรู้สึกแปลกๆ กำลังจู่โจมทั้งคู่
               

                "ตัวเล่านิทานให้เค้าฟังหน่อยสิ" ลดาเป็นฝ่ายทำลายความน่าอึดอัดนั้นลง ทำเอาน้ำมนต์หัวเราะร่วนกับสิ่งที่ได้ยิน เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย
                "หือ...อะไรนะคะ ไหนว่าเป็นสาวแล้วไง แล้วนี่อะไรจะให้เล่านิทานก่อนนอน"
                "ทำไมล่ะ ตอนเด็กๆ เวลาเค้านอนไม่หลับ ตัวก็จะเล่านิทานให้ฟังทุกครั้ง แล้วเค้าก็จะนอนหลับสบายทุกที ตอนนี้เค้านอนไม่หลับนี่นา ตัวเล่าให้เค้าฟังหน่อยน้า...นะคะ" เป็นครั้งแรกที่ลดาออดอ้อน ตั้งแต่เจอกันคราวนี้
                "ค่ะๆ เล่าก็เล่า หลับตาก่อนสิ" น้ำมนต์ใจอ่อนจนได้ แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับการต้องมาเล่านิทานให้หญิงสาวฟัง แทนที่จะเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่ก็อดเผลอจ้องมองคนที่นอนหลับตาพริ้ม ซุกตัวอยู่ใกล้ๆ อย่างรู้สึกดี แบบบอกไม่ถูก

                "อะแฮ่ม ๆ จะเล่าแล้วนะคะ" แกล้งส่งเสียงในลำคอ ขณะมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ขนตาเต้นระริกๆ

                "อะแฮ่ม...ๆ"

                "โอ๊ย! เล่าซะทีเหอะ ลีลาอยู่นั่นแหล่ะ" ลดาอดรนทนไม่ไหวส่งเสียงต่อว่า ทำเอาน้ำมนต์ยิ้มกริ่มที่แกล้งหญิงสาวได้

                "แค่นี้ก็ต้องอารมณ์เสียด้วย มันก็ต้องมีการทดสอบเสียงกันบ้าง อะไรบ้างสิ ไม่ได้เล่ามานานแล้วนะ"

                "จะเล่าได้หรือยังล่ะ" คราวนี้ส่งเสียงเย็นเยือกมา ทำเอาน้ำมนต์ยิ้มแหยๆ

                "เล่าแล้ว...เล่าแล้วค่ะ...เอาล่ะนะ"

"เรื่องมันเก้าสิบปี๋มาแล้ว
เจ้าน้อยสุขเกษมอายุได้สิบห้าปี๋
เจ้าป้อก็ส่งไปเฮียนหนังสือ
ตี้เมืองมะละแมงปู้น...
ก็เลยเป๋นเรื่อง ของก๋ำของเวรเขา..."

                "เฮ้ย! นี่มันเพลงนี่นา" ลดาขัดขึ้น หลังจากนิ่งฟังอยู่สักพัก

                "รู้จักด้วยเหรอ มันเป็นตำนานของคนทางเหนือนะคะ"  น้ำมนต์ถาม สีหน้าเขินอายที่ถูกจับได้

                "เค้าเคยได้ยิน ตอนมีงานสี่ภาคที่มหาวิทยาลัย แต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง มีตำนานด้วยเหรอคะ งั้นตัวเล่าให้เค้าฟังหน่อยสิ เค้าอยากรู้"

                "ก็ได้ๆ... เรื่องมันมีอยู่ว่า เจ้าน้อยซึ่งเป็นเจ้าชายของเมืองเชียงใหม่ ถูกส่งไปเรียนหนังสือที่ประเทศพม่า เพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษ เนื่องจากตอนนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ จนได้ไปพบกับมะเมี้ยะ ซึ่งเป็นแม่ค้าสาวสวย จนเกิดรักแรกพบขึ้น ทั้งคู่รักกันมาก จนได้เสียเป็นสามีภรรยากัน

                กระทั่งเจ้าน้อยเรียนจบ ถูกเรียกตัวกลับเชียงใหม่ เจ้าน้อยเลยพามะเมี้ยะกลับด้วย โดยให้ปลอมเป็นเด็กรับใช้ผู้ชาย แล้วเอาไปซ่อนไว้ในเรือนเล็กโดยไม่รู้เลยว่าเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ ได้หมั้นหมายผู้หญิงเอาไว้ให้แล้ว  แต่เจ้าน้อยก็ยืนยันไม่ยอมแต่งงาน จนในที่สุดได้เปิดเผยว่าตนมีเมียแล้ว คือมะเมี้ยะ และได้พามากราบเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ แต่ไม่ได้รับการยอมรับ หนำซ้ำยังบอกเจ้าน้อยว่าจะมีเมียกี่คนไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องไม่ใช่สาวพม่า เพราะว่าคนพม่าถือสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวประเทศอังกฤษจะถือโอกาสแทรกแซงว่าเจ้าน้อยแต่งงานกับคนพม่า ก็ต้องถือว่าเป็นคนพม่าด้วย

                ครั้นเจ้าน้อยจะไปอยู่กับเมียที่พม่าก็ไม่ได้  ที่สำคัญเจ้าน้อยเป็นเจ้าชายของล้านนา และได้ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัชทายาทองค์ต่อไป  เท่ากับว่าสยาม อาจจะต้องสูญเสียเมืองเชียงใหม่ให้กับประเทศอังกฤษไป  ทางบ้านเจ้าน้อยจึงบังคับให้เจ้าน้อยส่งตัวมะเมี้ยะกลับพม่า ด้วยเหตุและผลที่มี เจ้าน้อยเลยจำใจต้องยอมทำตาม แต่ได้ให้สัญญากันว่าอีกสามเดือนจะไปรับมะเมี้ยะกลับมาอยู่ด้วยกัน

                ทั้งคู่ได้สาบานกันไว้ว่าจะไม่รักใครอื่นอีก ถ้าหากใครผิดคำสาบาน ขอให้คนนั้นอายุสั้น ตอนที่จะส่งมะเมี้ยะกลับพม่านั้น มะเมี้ยะได้โพกผมไว้ตามแบบของคนพม่า พอถึงเวลาที่จะไป ก็ก้มลงกราบเท้า เจ้าน้อยผู้เป็นสามี อยู่ที่ประตูเมืองเชียงใหม่ ซึ่งตอนนั้นมีชาวบ้านออก มามุงดูกันทั้งเมือง เพราะได้ยินว่ามะเมี้ยะสวยงามยิ่งนัก

                พอมะเมี้ยะก้มลงกราบเสร็จ ก็เอาผ้าโพกผมออก แล้วสยายผมลงมาเช็ดเท้าเจ้าน้อย ด้วยความจงรักภักดี บูชาสามีสุดหัวใจ ก่อนจะกอดขาร่ำไห้ ปริ่มจะขาดใจตาย เจ้าน้อยเองก็ร้องไห้ไปด้วย ทำเอาผู้คนที่มามุงดูร้องไห้ตามกันระงม  ด้วยความสงสารความรักของคนทั้งคู่   

                ต่อมาไม่นานเจ้าน้อยก็โดนจับแต่งงาน แล้วถูกกักให้อยู่ที่นั่น เจ้าน้อยจึงไม่อาจไปรับมะเมี้ยะได้ตามสัญญา  มะเมี้ยะรอเกินสาม เดือนแล้ว เจ้าน้อยไม่มาตามสัญญา ก็รับรู้ได้ว่าคงไม่มีวาสนาได้อยู่ร่วมกันแล้ว เธอจึงตัดสินใจไปบวชชีตลอดชีวิต

                ไม่นานเจ้าชายก็ตรอมใจตาย ด้วยความรักและคิดถึงเมียอันเป็นสุดที่รัก กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้ามากในสมัยนั้น และเล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน มีคนเอามาแต่งเป็นเพลงและดังมาก"  เล่าจบน้ำมนต์ก็ฮัมเพลงให้ฟังต่อทันที อย่างมีความสุข เพลงนี้เป็นเพลงที่เธอเคยได้ยินมารดาเปิดให้ฟังมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็ชื่นชอบมากด้วย

"โอะโอ้...ก็เมื่อวันนั้น
วันตี้ต้อง ส่งคืนบ้านนาง
เจ้าชาย ก็จัดขบวนช้าง
ไปส่งนาง คืน ทั้งน้ำต๋า
มะเมี๊ยะ ตรอมใจ๋ อาลัย ขื่น ขม
ถวายบังคม ทูลลา

สยาย ผมลง เจ๊ดบาท บา ทา
ขอลา ไปก่อน แล้วจ้าดนี้

มะเมี้ยะ ก็ตรอมใจต๋าย

ส่วนเจ้าชายก็ไปบวชชี

ความฮัก มักเป๋นเช่นนี้ แล เฮย..."

(ขอบคุณเพลงมะเมี้ยะ ของคุณจรัล มโนเพ็ชร ขออภัยที่ดัดแปลงเพื่อความบันเทิง)

                "บ้า... เค้ากำลังฟังเพลินๆ เลย เสียบรรยากาศหมด" ลดาต่อว่าน้ำมนต์ ที่แกล้งร้องเพลงผิดเพี้ยนในตอนท้าย ทำเอาน้ำมนต์หัวเราะขำ ที่ลดาไม่หลงกลเธอ               

                "ขอโทษ ๆ พี่อินจนเพลินไปหน่อย อย่าว่ากันเลยนะคะ"

                "ไม่รู้ล่ะ เค้าตาสว่างแล้ว ตัวต้องเล่าใหม่อีกเรื่องแล้วล่ะ" ได้ทีขู่เสียงใสอย่างเจ้าเล่ห์ เวลาความสุขแบบนี้ เธออยากระลึกถึงมันอีกครั้ง และอยากกอบเก็บมันเอาไว้ให้มากที่สุด

                "อะไรกัน" น้ำมนต์ได้แต่เกาหัวแกรกๆ นึกรู้ว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว

                "นะคะ เค้านอนไม่หลับนี่นา ตัวอยากมาแกล้งเค้าทำไมล่ะ เค้ากำลังเคลิ้มๆ จะหลับแล้วเชียว มาแกล้งทำตลกใส่ เค้าเลยตื่นเลย" ยังไม่วายว่าให้ในตอนท้ายอีก ทำเอาน้ำมนต์ต้องยอมอีกตามเคย

                "ก็ได้ๆ จบเรื่องนี้ต้องหลับนะคะไม่หลับก็ตัวใครตัวมันล่ะ พี่ง่วงแล้วน้า" แกล้งปิดปากหาว

                "เค้าสัญญาค่ะ" บอกเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะหลับตาพริ้ม น้ำมนต์ทอดสายตามองใบหน้าหญิงสาวในความสลัวอย่างเอ็นดู ก่อนจะเริ่มเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข จริงๆ แล้วจะให้เธอเล่าอีกสักกี่เรื่องก็ได้ ถ้ามีลดานอนฟังอยู่ใกล้ๆ แบบนี้

                "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนางเงือกอยู่ตัวหนึ่ง นางเพิ่งจะเติบโตเป็นสาวสวย  วันหนึ่งนางได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ ให้ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เพื่อพบเห็นโลกภายนอกได้เป็นครั้งแรก วันนั้นเหมือนเป็นโชคชะตาของนาง เมื่อขึ้นมาเป็นครั้งแรก นางก็ได้พบเจอกับ  เจ้าชายหนุ่มรูปงาม ทำให้นางหลงรักเจ้าชายองค์นั้นเป็นอย่างมาก อย่างไม่อาจหักห้ามใจได้

                แต่เพราะนางเป็นเงือก จึงทำให้ไม่สามารถเดินเข้าไปหา และพูดจากับเจ้าชายรูปงามได้อย่างใจนึก นางจึงลงไปหาแม่มดแห่งท้องทะเล เพื่อขอพรให้หางของนางกลายเป็นขา และมีเสียงอันไพเราะ พูดคุยภาษามนุษย์ได้ โดยนางยินยอมแลกกับเส้นผมสีทองงดงาม แต่แม่มดก็มีข้อแม้ว่า หากเจ้าชายไม่ได้รักนางจริงอย่างที่นางคิด ร่างของนางจะต้องสลายกลายเป็นฟองคลื่น...  หลับแล้วหรือยังคะ" เล่าไปเห็นลดานิ่งเงียบไม่ไหวติง หายใจสม่ำเสมอ น้ำมนต์จึงเอ่ยถามเสียงเบา กลัวว่าจะทำให้ตื่น แต่ลดายังตอบกลับมาเสียงใส

                "เปล่า...ฟังอยู่ เป็นฟองคลื่นแล้วตายไหม...เล่าต่อสิ กำลังสนุก"

                "น่าจะหลับได้แล้วนะ" พึมพำเบาๆ แต่อีกคนกลับได้ยินชัดเจน ขู่กลับมาเสียงเข้ม

                "เร็วๆ เลย อย่าลีลา เดี่ยวก็ได้เล่าเรื่องที่สามหรอก" น้ำมนต์รีบรับคำ พร้อมกับเล่าต่ออย่างจำยอม

                "ค่า...เล่าแล้ว ดุจริงวุ้ย..."

                "เมื่อมีขากับเสียงอันไพเราะแล้ว นางเงือกก็ขึ้นไปบนชายฝั่ง คราวนี้นางได้พูดคุยกับเจ้าชายสมใจ และในที่สุดเจ้าชายก็ได้ขอเธอแต่งงาน ตามที่เธอต้องการ เมื่อนางเงือกอยู่กับเจ้าชายได้ระยะหนึ่ง ด้วยความรักสามีมาก นางก็ได้เล่าให้เจ้าชายฟัง ถึงความลับแห่งท้องทะเลที่มีขุมทรัพย์มหาศาล ทำให้เจ้าชายเกิดความโลภ และได้ออกอุบายให้นางพาลงไปดูสมบัติใต้ท้องทะเลบ้าง โดยบอกเพียงว่าอยากจะไปดูบ้านเมืองของเมียรักเท่านั้น

                ด้วยความรักทำให้นางยอมทำตามทุกอย่าง เพราะคิดว่าเจ้าชายคงแค่อยากเห็นบ้านเมืองของนางจริงๆ ในที่สุดเจ้าชายก็เกิดความโลภจนฆ่าพวกพ้องของนางตายจนหมด และขนทรัพย์สมบัติหนีไป เงือกน้อยจึงต้องจบชีวิตลง ด้วยการสลายกลายเป็นฟองคลื่น ซัดสาดอยู่กับพื้นทราย บางครั้งเสียงดังราวกับเสียงร้องไห้ครวญคราง ของคนที่ทุกข์ทรมานกับความรัก อยู่แบบนั้นตลอดไป..." 

 

                "เศร้าจัง การถูกคนที่เรารักหลอกนี่มันโหดร้ายที่สุดเลยว่ามั๊ย" เสียงลดาหม่นเศร้า กับเรื่องเล่าของน้ำมนต์ พลางหาวอย่างรู้สึกง่วง ตาเธอเริ่มหรี่ลง ขยับซุกตัวเข้าใกล้อีกนิด ก่อนจะเข้าสู่ห้วงของการนอนอย่างมีความสุข

                ทิ้งให้อีกคนว้าวุ่นใจ จนนอนไม่หลับ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวออกห่าง กลัวจะทำให้ลดาตื่น ความใกล้ชิดขนาดนอนเบียดกันแบบนี้ ทำเอาน้ำมนต์อยากจะกอดกระชับร่างบาง เข้ามาไว้ในอ้อมกอด ให้สมกับความคิดถึง แต่สำนึกบางอย่าง บอกเธอว่าไม่สมควรทำ เพราะลดาเป็นลูกสาวของผู้มีพระคุณ เธอไม่อาจที่จะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่พอกำลังเคลิ้มๆ ลดาขยับเข้ามาใกล้  น้ำมนต์กางแขนออกอย่างลืมตัว ลดาจึงเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมแขนของน้ำมนต์จนได้

Rating: ***** โดย 1 สมาชิก
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น