web stats

ข่าว

 


Part III : สะใภ้เล็กเซอร์ไพรส์เว่อร์ ตอนที่ 4

โพสต์โดย: viswee วันที่: 26 มกราคม 2015 เวลา 03:58:45 อ่าน: 536

 Part III : สะใภ้เล็กเซอร์ไพรส์เว่อร์ ตอนที่ 4





ความคิดของแคโรไลน์หมุนย้อนกลับไปยังชีวิตในอดีตที่ผ่านมา ภาพของการเเต่งงาน ภาพชายหนุ่มคู่ครอง ภาพชีวิตรัก ภาพแห่งความสุข ภาพแห่งความเสียใจ ภาพเเห่งความเจ็บปวด ทุกเหตุการณ์ของความหลังฉายผ่านวูบวาบอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้เเค่เคยเเต่งงานเท่านั้น เเต่เธอผ่านการเเต่งงานมาเเล้วถึง 3 ครั้ง
   
งานวิวาห์หนเเรก คือการเเต่งงานตามแบบฉบับโบราณประเพณีอย่างแท้จริง ใครจะไปเชื่อว่าสาวลูกครึ่ง ไทย-สก็อตเเลนด์ อย่างเธอ จะถูกบิดามารดาจับคลุมถุงชน ในตอนนั้นเธออายุ 26 ปี เพิ่งจะเรียนจบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษมาหมาดๆ กำลังจะกลับมาช่วยงานพ่อกับแม่ที่ฮ่องกง เเต่เเล้วเธอก็ไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องเข้าพิธีวิวาห์กับอดัมส์ ชายหนุ่มเมืองผู้ดีลูกชายของเพื่อนแม่
   
อดัมส์กับเธอเเต่งงานกันตามความปรารถนาของผู้ใหญ่ การเเต่งงานครั้งนี้ปราศจากความรักฉันชู้สาวอย่างสิ้นเชิง เธอเเละอดัมส์อยู่บ้านหลังเดียวกันก็จริง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าภายในบ้านของคู่สามีภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานนั้น เเยกห้องนอนกันตั้งเเต่วันเเรกเลยทีเดียว
   
ชีวิตเเต่งงานครั้งเเรกของเเคโรไลน์ จึงเป็นเเค่การเเต่งงานเพียงในนามเท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเธอเเละอดัมส์ นอกจากมิตรภาพของความเป็นเพื่อน แต่เหตุผลสำคัญที่อดัมส์ไม่อาจรักเธอหรือผู้หญิงคนไหนได้อีก เป็นเพราะเขามีคู่รักอยู่ก่อนหน้านั้นเเล้ว
   
การต้องกลายเป็นมือที่สาม เเม้จะไม่ได้โดยตั้งใจเเละไม่ได้ทำให้คู่รักที่รักกันมายาวนานต้องเลิกรากัน เเต่เรื่องนี้ก็ทำให้เเคโรไลน์อดรู้สึกผิดต่อภรรยาตัวจริงของอดัมส์ไม่ได้ ทว่านับเป็นความกรุณาของอดัมส์เเละคนรัก ที่ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองเธอเลย เพราะทั้งคู่เข้าใจดีว่าเธอเองก็ไม่ได้เต็มใจเเต่งงาน
   
แต่ความลับย่อมไม่มีในโลก เวลาผ่านไปหนึ่งปี เรื่องที่เธอเเละอดัมส์เเต่งงานกันเพียงเเค่ทางนิตินัยก็เเตกโพละ เมื่อหญิงสาวคู่รักของอดัมส์ตั้งครรภ์ลูกของเขา เวลาหย่าขาดจึงเดินทางมาถึง เธอเเละอดัมส์ลาจากกันด้วยดี
   
อิสรภาพอันหอมหวานที่เพิ่งได้รับ ทำให้เเคโรไลน์ตัดสินใจไม่กลับไปหาครอบครัวของเธอที่ฮ่องกง เธอเดินทางต่อไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อจะไปร่ำเรียนหาความรู้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เเละจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของครอบครัวในภายภาคหน้า
   
ฮาวาย! คือจุดหมายของเธอ เธอเข้าไปศึกษาจากประสบการณ์จริงในไร่กาเเฟที่นั่น และท่ามกลางสภาพแวดล้อมของไร่กาเเฟอันสวยงาม มิตรภาพระหว่างแคโรไลน์กับใครคนหนึ่งก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ จากแค่เพียงเพื่อนร่วมงาน ความใกล้ชิดสนิทสนมก็บันดาลให้เกิดเป็นความรัก
   
แคโรไลน์เริ่มต้นคบหาดูใจกับเเมกซ์ หนุ่มชาวไร่คนอเมริกัน เขาเป็นลูกชายเจ้าของไร่กาแฟที่เธอไปเรียนรู้งาน เธอเเละเเมกซ์คบหากันในฐานะคนรักถึง 2 ปีเต็ม ก่อนที่จะตัดสินใจเเต่งงานกันในที่สุด
   
การเข้าพิธีวิวาห์ในครั้งที่สองของเธอ เป็นการเเต่งงานที่มีเเต่ความรักเเละความสุขอย่างเเท้จริง หากเเต่ชีวิตแต่งงานในครั้งนี้ ก็ไม่ได้ยืนยาวเหมือนอย่างที่ใฝ่ฝันเอาไว้ เพราะสามีอันเป็นที่รักของเธอต้องจากไปก่อนวัยอันควร ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ภายหลังจากที่เธอเเละเขาใช้ชีวิตคู่เป็นสามีภรรยาร่วมกันได้เพียงปีเดียว
   
เเคโรไลน์ในวัย 30 ปี ตกอยู่ในสภาพเเม่ม่ายเป็นครั้งที่สอง ทว่าการเป็นม่ายในหนนี้ช่างเเตกต่างจากในครั้งเเรกยิ่งนัก เพราะครั้งนี้สิ่งที่เธอได้รับคือการสูญเสียที่นำพามาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจอย่างมหาศาล
   
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของเเมกซ์ คราวนี้เธอเดินทางกลับบ้านที่ฮ่องกง ไปช่วยงานบิดามารดาที่นั่นได้เกือบปี ก่อนที่จะขอนำความรู้ที่ได้รับจากไร่กาเเฟที่ฮาวาย กลับไปพัฒนาไร่กาเเฟเรดโดเลนต์ของครอบครัวที่ จ.เชียงราย ประเทศไทย
   
ในช่วงวัย 31 ปี เเคโรไลน์เลิกสนใจเรื่องความรัก เธอมุ่งมั่นอยู่กับการพัฒนาผลผลิต เเละปรับปรุงคุณภาพของใบชาเเละเมล็ดกาเเฟในไร่เรดโดเลนต์ ทุกเวลานาทีในชีวิตของเธอถูกยกให้กับงานไปจนหมดสิ้น วันๆ เเทบจะไม่ออกไปไหน นอกจากทำงานอยู่เเต่ในไร่ เธอกลายเป็นคนบ้างาน เพราะมีเเต่เรื่องงานเท่านั้น ที่จะทำให้เธอหยุดคิดถึงชายอันเป็นที่รักของเธอได้
   
แต่ 2 ปีให้หลัง ชีวิตของเเคโรไลน์ก็ถึงคราวเกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเรดโดนเลนต์เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เพียงเเค่ 2 ปี พี่ชายของเธอก็เดินหน้าขยับขยายธุรกิจ จนเรดโดนเลนต์สามารถผงาดเข้าไปร่วมแชร์ส่วนแบ่งการตลาดชาและกาเเฟส่งออก ในประเทศเเถบภูมิภาคเอเชียทั้งหมดเเละทวีปยุโรปได้สำเร็จ
   
เรดโดเลนต์อินเตอร์เนชันแนลจึงถือกำเนิดขึ้น ภายใต้การบริหารงานของ คริส พนิตบุตร พี่ชายเพียงคนเดียวของเเคโรไลน์ ธุรกิจที่กำลังรุ่งเรือง ทำให้เขาไปก่อร่างสร้างอาณาจักรเรดโดเลนต์เเห่งใหม่นี้ที่ประเทศสิงคโปร์ เเล้วยกเรดโดเลนต์ไทยแลนด์ให้น้องสาวเป็นคนบริหารจัดการต่อ
   
ธุรกิจของครอบครัว จะมีใครให้ไว้วางใจได้เท่ากับคนในครอบครัวอีกเล่า นั่นคือเหตุผลเดียวที่คริส ใช้ต่อรองกับน้องสาว จนเเคโรไลน์ยอมละวางงานในไร่ที่เชียงราย เเละเข้ามานั่งเก้าอี้ฝ่ายบริหารที่สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
   
ประธานบริษัทเรดโดเลนต์ไทยแลนด์ กลายเป็นตำเเหน่งใหม่ที่มาพร้อมกับภาระงานอันหนักอึ้งเป็นสองเท่า เเคโรไลน์ในวัย 33 ปี ถูกลบภาพสาวชาวไร่กลายเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนอย่างเต็มตัว ถึงเเม้งานบริหารจะไม่ใช่สิ่งที่เธอรัก เเต่ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ เธอก็พยายามจะเรียนรู้เเละพัฒนาตัวเองให้สมกับที่พี่ชายไว้วางใจ
   
แต่เเม้ว่าจะเปลี่ยนสถานที่ทำงานจากในไร่มาเป็นในออฟฟิศ โรคบ้างานก็ยังตามติดแคโรไลน์ไม่ยอมห่าง ด้วยภาระงานอย่างหนักหนาสาหัสที่ต้องรับผิดชอบ กอปรกับความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพังในเมืองใหญ่ งานจึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ทำให้เธอมีแรงลืมตาตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน
   
และจากการที่เธอทุ่มเทชีวิตจิตใจให้เเต่กับเรื่องงาน ทำให้ภายในระยะเวลาเพียงเเค่ครึ่งปี ผลประกอบการของเรดโดเลนต์ไทยแลนด์ก็มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เธอได้รับคำชื่นชมสรรเสริญจากทั่วสารทิศ ตั้งแต่บิดามารดา พี่ชายของเธอ ตลอดจนลูกน้องภายใต้บังคับบัญชา แต่ใครจะล่วงรู้เล่า ว่าภายใต้หน้ากากแห่งความสำเร็จ หญิงแกร่งแห่งเรดโดเลนต์ไทยแลนด์กลับรู้สึกเดียวดายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
   
ความสำเร็จเหมือนจะไร้ความหมายไปเลย เมื่อเธอเหลียวมองไปข้างกาย แล้วพบเจอแต่ความว่างเปล่า ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งประสบความสำเร็จก็ยิ่งอ้างว้าง เเม้ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา เธอจะพอทำใจกับการจากไปของชายคนรักได้บ้าง เเต่บางเวลา หัวใจของเธอก็ยังเเอบโหยหา และอยากได้รับความสุขที่ผลิบานในห้วงรักอีกครั้ง
   
หากคำถามที่ว่าไม่คิดจะมีความรักอีกหรือ ถูกถามขึ้นมาในช่วงเวลานี้ แคโรไลน์คงไม่ลังเลใจที่จะตอบเลย เพราะคำตอบของเธอคงมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ... คิดสิ เพราะเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากมีคนรัก อยากมีคู่คิดคู่ใจที่คอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
   
เเต่ปัญหาคือเธอยังมองไม่เห็นใครสักคนที่ดีพอ ที่จะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างในตำแหน่งคนรักของเธอ ใช่ว่าเธอจะเป็นคนเลือกเยอะ หรือตั้งมาตรฐานไว้สูงส่ง แต่เพราะเปลือกนอกที่ใครต่อใครมองเห็น ภาพของแคโรไลน์คือผู้หญิงเก่งที่สมบูรณ์แบบ แล้วผู้ชายที่ไหนล่ะ จะอยากมีแฟนที่เหนือกว่าตนเองในทุกด้าน ทั้งที่จริงๆ แล้ว เธอก็เเค่อยากจะมีความรักปกติธรรมดาเหมือนกับคนทั่วไป แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่จะมองเธอจากตัวตนข้างใน
   
จนกระทั่งอายุของเเคโรไลน์ล่วงเลยเข้าสู่วัย 34 ปี ความรักที่แอบเฝ้าถวิลหา ก็พลันปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง เพราะการเข้ามาของ ชยุตม์ ผู้จัดการคนใหม่ ที่พี่ชายของเธอยอมส่งผู้ช่วยฝีมือดีมาช่วยงานน้องสาว เเทนคนเก่าที่ขอเกษียณตัวเองก่อนกำหนด จากปัญหาสุขภาพรุมเร้า
   
ความเก่งกาจในการทำงาน เเละประสบการณ์ในชั้นเชิงธุรกิจของชยุตม์ ทำให้เขากลายเป็นผู้ช่วยและเป็นคนสำคัญของแคโรไลน์ ซึ่งนอกจากเธอจะชื่นชมในฝีมือการทำงานของเขาเเล้ว ชยุตม์ยังเป็นผู้ชายคนเดียวที่
กล้าขอโอกาสเเง้มหัวใจของเธอ
   
ความรักผลิบานในหัวใจของแคโรไลน์อีกครั้ง เเต่เธอก็ไม่ได้ผลีผลามเร่งรัดจนเกินไป เธอปล่อยให้ความรักเดินหน้าไปตามธรรมชาติของมัน เพื่อให้เธอกับชยุตม์ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันจนกว่าจะเเน่ใจ
   
และแล้วเมื่อความรักสุกงอมได้ที่ ระฆังวิวาห์จึงได้ฤกษ์ดังขึ้นอีกหน พิธีมงคลสมรสของชยุตม์และแคโรไลน์ เกิดขึ้นอีกในอีก 1 ปีต่อมา หลังจากที่ทั้งสองคนพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน   
   
เเต่ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปีเศษๆ ชีวิตสมรสที่เคยสวยสดงดงามของแคโรไลน์ก็ล่มไม่เป็นท่า เพราะผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอ กระทำการหักหาญน้ำใจภรรยาอย่างร้ายกาจ เขาแอบนอกใจเธอไปมีภรรยาน้อย เเถมยังส่งเสียเลี้ยงดูกันเป็นดิบดี เพียงแค่นั้นก็ทำให้เธอน้ำตาตกในอย่างเจ็บปวดเป็นที่สุดเเล้ว
   
ทว่าคลื่นความรวดร้าวยังกระหน่ำเข้าใส่แคโรไลน์อย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้ชายที่เธอคิดว่ารู้จักดี กลับกลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่เธอแทบไม่รู้จัก ชยุตม์เผยธาตุแท้ของตัวเอง ความทะเยอทะยานในความสำเร็จเเละความโลภ ทำให้เขาใช้อำนาจหน้าที่และบารมีสามีของผู้บริหารในทางมิชอบ ยักยอกโกงเงินบริษัทไปหลายสิบล้านบาท เเละนั่นก็ทำให้เเคโรไลน์หมดสิ้นความอดทน
   
ชยุตม์ถูกภรรยาของตัวเองฟ้องร้องในคดีฉ้อโกงทรัพย์ เเละยังพ่วงด้วยการฟ้องหย่าในข้อหามีชู้ ชีวิตของเขาลงท้ายด้วยการเข้าไปชดใช้กรรมในคุก ส่วนโจทก์ผู้ยื่นฟ้องก็บ่ายหน้ากลับไปพักรักษาสภาพจิตใจอันบอบช้ำในไร่ของตัวเองที่จ.เชียงราย
   
และนับแต่นั้นเป็นต้นมา หญิงแกร่งแห่งเรดโดเลนต์ก็ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองเสียใหม่ แคโรไลน์โยกย้ายตัวเองกลับไปอาศัยอยู่ที่เชียงรายเป็นการถาวร แล้วขายบ้านพักในกรุงเทพฯ บ้านที่เคยเป็นเรือนหอของเธอโดยไม่นึกเสียดาย ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านหลังนี้ มันกลายเป็นอดีตสำหรับเธอไปเสียเเล้ว
   
เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในบริษัท กอปรกับการจากไปของหัวเรือใหญ่อย่างกะทันหัน ทำให้เรดโดเลนต์ไทยแลนด์ปั่นป่วนครั้งใหญ่ ปัญหานี้เร่งด่วนและรุนเเรงมาก จนคริสต้องกลับมาเมืองไทยเพื่อเคลียร์กับน้องสาวให้รู้เรื่อง เพราะน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา ขอรับผิดชอบเรื่องราวน่าอับอายที่สามีก่อเอาไว้ ด้วยการลาออกจากตำเเหน่งประธานฝ่ายบริหาร เเละขอกลับไปดูแลไร่ที่เชียงรายเพียงอย่างเดียว 
   
แต่คำขอของแคโรไลน์ไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อพี่ชายของเธอปฏิเสธการลาออก ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของชยุตม์ จึงไม่ควรต้องติดร่างแหรับกรรมไปกับอดีตสามีด้วย และอีกเหตุผลที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือพนักงานระดับสูงในบริษัทยังคงให้ความเชื่อมั่นในตัวเธอ ดังนั้นแคโรไลน์จึงต้องกลับคืนสู่ตำเเหน่งเดิมอีกครั้ง พร้อมกับมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างกับผู้เป็นพี่ชาย
   
เงื่อนไขของแคโรไลน์ก็คือ เธอขอทำงานอยู่ที่เชียงราย โดยที่จะไม่กลับไปประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ อีก ซึ่งเธอก็ได้ให้คำมั่นสัญญากับพี่ชายว่าจะจัดสรรเวลาการทำงานให้ลงตัว ไม่ให้เกิดผลเสียหายแก่บริษัท คริสจึงจำต้องยอมตามใจน้องสาว เพราะเขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย ที่เขาเป็นคนส่งตัวอดีตผู้ช่วยให้มาทำลายชื่อเสียง เเละทำร้ายจิตใจของน้องสาวตัวเอง
   
ชีวิตในเรื่องงานของแคโรไลน์กลับคืนสู่ปกติสุข เเม้จะต้องบินไปบินมาเชียงราย - กรุงเทพฯ ทุกเดือน เเต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะต่อให้เหนื่อยเเค่ไหน เธอก็ต้องรับมือกับมันให้ได้ ในเมื่อเธอเป็นคนเลือกวิถีทางนี้เอง
   
แต่กับชีวิตส่วนตัวในเรื่องความรัก กลับกลายเป็นเรื่องที่แคโรไลน์เลิกโหยหาไปเลย เพราะยิ่งเธอมีเวลาอยู่กับตัวเองมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งได้คิดทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเองมากเท่านั้น โดยเฉพาะการแต่งงานทั้ง 3 ครั้งของเธอ ที่ได้มอบสถานะแม่ม่ายให้เป็นบทสรุปสุดท้ายในทุกครั้ง
   
การแต่งงานที่ปราศจากความรักในครั้งแรก แม้ตอนหย่าขาดจะทำให้ชื่อเสียงของเธอด่างพร้อยไปบ้าง แต่ชื่อเสียงที่เสียไป มันแทบไม่มีความหมาย หากเทียบกับอิสรภาพที่คืนกลับมาหาเธออีกครั้ง นอกจากนั้นยังได้มอบประสบการณ์ให้เธอได้เรียนรู้อีกว่า การแต่งงานควรจะต้องเกิดจากความรักเท่านั้น หาไม่เเล้ว ความสุขจะไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตแต่งงานได้เลย
   
การแต่งงานครั้งที่สอง แม้จะเริ่มต้นด้วยความรัก เเต่บทสรุปของมันกลับกลายเป็นความเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ เธอเริ่มเข้าใจเเล้วว่า การพบเจอย่อมมาคู่กับการพลัดพรากเสมอ ไม่จากกันในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายก็ต้องจากกันในสภาพหมดลมหายใจ ความไม่แน่นอนในชีวิตเกิดขึ้นได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นเเม้แต่เรื่องความรัก ประสบการณ์แห่งการลาจากกันชั่วชีวิต ทำให้เธอรู้จักการปลงเเละปล่อยวาง
   
การแต่งงานครั้งสุดท้าย เกิดจากความรักก็จริง แต่ก็เป็นรักที่ทิ้งความทุกข์กองใหญ่ไว้ให้ใจระลึกถึงเพียงแค่นั้น รักครั้งนี้ได้ให้บทเรียนเป็นความเจ็บปวด ได้สอนให้เธอรู้ซึ้งถึงคำว่า...พอ ผ่านการกระทำของผู้ชายที่ไม่รู้จักพอ และทำให้เธอได้เรียนรู้อีกว่าความซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียว เป็นพื้นฐานอันสำคัญที่สุดที่จะรักษาความรักให้มั่นคงยืนยาว
   
ประสบการณ์ชีวิตของเเคโรไลน์ในวัย 36 ปี เเม้ไม่ถึงกับโชกโชน เเต่ก็ไม่ได้น้อยนิด จนกลายเป็นคนไม่เข้าใจชีวิต เธอผ่านทั้งความสุข ประสบทั้งความทุกข์ เจอะเจอความเจ็บปวด แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ค้นพบว่า ไม่ว่าใครจะผ่านเข้ามาหรือลาจากไป แต่ตัวเธอเองก็ยังคงอยู่ ชีวิตก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป สิ่งที่ผ่านไปก็กลายเป็นแค่อดีต แล้วอีกประเดี๋ยวเดียวธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ก็จะทำให้เธอต้องดิ้นรนแสวงหาความสุขให้กับตัวเอง
   
แต่สำหรับเธอ ความสุขในเรื่องความรักกลายเป็นสิ่งที่มาเป็นอันดับท้ายๆ การได้อยู่คนเดียวครองตัวเป็นโสดหลายต่อหลายปี มันก็ไม่ได้ทำให้เธอเดือดเนื้อร้อนใจตรงไหน สบายใจดีซะด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่เปิดใจ เเต่เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา มันบ่มเพาะหัวใจให้กล้าเเกร่ง จนไม่ได้รู้สึกอ่อนไหวกับใครได้ง่ายๆ อีกแล้ว
   
ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธการมีความรักครั้งใหม่แต่อย่างใด เพียงแค่เธอยุติการไขว่คว้า และไม่ได้ตั้งความหวังกับเรื่องความรัก แต่ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง มีใครสักคนเดินเข้ามาในชีวิต มาทำให้ใจสั่นคลอนหวั่นไหวจนเกิดเป็นความรักได้ เธอก็ยินดีที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครคนนั้น แต่ตั้งแต่หย่าขาดจากชยุตม์ ก็ยังไม่มีใครสักคนที่ทำให้แคโรไลน์ได้พบเจอกับความรู้สึกที่เรียกว่ารักอีกเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ นับเป็นเวลาเกือบ 10 ปีได้เเล้ว
 

   





ความคิดของแคโรไลน์สิ้นสุดลง ดวงตาสีเขียวไล่มองสาวๆ ในห้องนั่งเล่น ดวงตาทุกคู่ที่จ้องมองมาที่เธอเเทบจะเป็นตาเดียว ราวกับบอกว่าทุกคนรอคอยที่จะฟังคำตอบของเธออยู่
   
"น้าเคยมีความคิดที่จะมีความรักอีกนะคะ เเต่พอน้าผ่านการเป็นม่ายมา 3 ครั้ง น้าก็เลิกคิดไปเลย"
   
บรรดาคนที่รอฟังตกตะลึงตาค้างกันไปหมด โอ้! เป็นคำตอบที่ทุกคนเเทบไม่เชื่อหูเลยจริงๆ
   
"อุ๊ย! หญิงสามผัว" ธีราทรตะครุบปากไม่ทัน โพล่งออกมาในทันใด เเละคำกล่าวอันค่อนข้างรุนแรงของไทม์ ก็ดึงสายตาทุกคนให้เหลียวไปจ้องไทม์ตาค้างอย่างตกใจ มีเพียงแคโรไลน์คนเดียวที่หัวเราะออกมาราวกับไม่ถือสาคำพูดนั้น
   
ราณียกมือฟาดหน้าตักคนรักดังเพียะ ก่อนจะยกมือดึงใบหูธีราทรให้ก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ริมฝีปากของเธอ แล้วกระซิบลอดไรฟังเสียงเย็นๆ ตำหนิคนรัก
   
"จังหวะนรกสุดๆ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดต่อหน้าน้าเเคร์นะไทม์" 
   
ธีราทรหัวเราะเจื่อนๆ ยิ่งมองเห็นสายตาตำหนิจากพี่น้อง หน้าของไทม์ก็เริ่มซีดนิดๆ โอเค! จะตีหน้ายักษ์ใส่กันทำไม แค่คิดดังไปหน่อยเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าขอแก้ตัวใหม่ทำให้บรรยากาศหายอึดอัดอีกทีละกัน
   
"ขอโทษค่ะน้าเเคร์ เเต่ไทม์ว่าคราวหน้าน้าเเคร์เเก้เคล็ดด้วยการมีเมีย เอ๊ย! มีภรรยาเเทนสามีดีมั้ยคะ"
   
"ไทม์!" คราวนี้ราณีตวาดเสียงดังลั่นเลยทีเดียว มือที่ยังค้างอยู่ที่ใบหูของคนรักออกเเรงบิดอย่างแรง จนธีราทรร้องโอ๊ยเสียงดัง เพราะเจ็บจริง
   
"น้าแคร์คะ เทปขอโทษเเทนไทม์ด้วยนะคะ" ธัญสินีออกโรงเอง เพราะกลัวน้าแคร์จะไม่พอใจกับคำพูดคำจาที่ออกจะเกินเลยผิดกาลเทศะของน้องสาวคนรอง ดวงตาสีอำพันส่งสายตาคาดโทษไปยังไทม์อีกต่างหาก
   
แต่ธีราทรไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น เนื่องจากกำลังวุ่นวายกับการเเกะมือปลาหมึกของคนรักให้หลุดออกจากใบหูของตัวเอง
   
"น้าไม่ได้โกรธหรอกค่ะ น้องไทม์สบายใจได้เลยนะ" แคโรไลน์บอกอย่างอ่อนโยน พลางฉีกยิ้มกว้างคล้ายจะยืนยันให้ทุกๆ คนได้เข้าใจว่าเธอไม่ได้ขุ่นเคืองธีราทรหรอก ออกจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะเธอเคยเจอเเต่คนประเภทพินอบพิเทา เกรงกลัวเธอจนหัวหดไม่กล้าพูดไม่กล้าคุยเล่นด้วย พอมาเจอสาวเเสบปากจัดพูดตรงๆ อย่างน้องไทม์ เธอเลยรู้สึกสนุกครึกครื้นไปด้วย
   
"ขอบคุณค่ะน้าแคร์" ธีราทรพูดเสียงอ่อย รีบยกมือไหว้ทั้งขอบคุณและขอโทษไปในคราวเดียวกัน
   
"สิ่งที่น้องไทม์พูด มันคือเรื่องจริงนี่คะ แล้วน้าจะโกรธทำไมล่ะ ในเมื่อน้าคือหญิงสามผัวจริงๆ แม้จะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตก็เถอะ แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ไม่มีใครหนีพ้นหรอกค่ะ มีแต่ต้องเลือกที่จะยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ และน้าเองก็อยู่กับมันได้มานานแล้ว เพราะถ้าอยู่ไม่ได้ เรื่องในอดีตมันคงคอยหลอกหลอน จนเราเดินหน้าหาความสุขไม่ได้สักที จริงมั้ยคะ"
   
"น้าแคร์เริ่ดอะ ปรบมือสิคะ ทุกคน" ธีราทรกลับมาส่งเสียงเริงร่าได้อีกครั้ง คราวนี้ทุกคนยอมให้ความร่วมมือปรบมือให้กับน้าแคร์กันยกใหญ่ เว้นเเต่...
   
"น้าแคร์เก่งจัง" ธรณ์ธันย์เปรยเบาๆ แต่แคโรไลน์ก็ได้ยังได้ยินอยู่ดี
   
ดวงตาสีกาเเฟมองน้าแคร์อย่างชื่นชมระคนหลงใหล โถ! น้าแคร์ของเทมส์ช่างน่าสงสาร ใครกันหนอที่ใจร้ายทิ้งน้าเเคร์ให้กลายเป็นม่ายได้ลงคอ นี่ถ้าเธอเป็นคนที่น้าแคร์รัก เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ หงอยเหงาเดียวดายเหมือนเช่นทุกวันนี้หรอก ความคิดของเทมส์ล่องลอยไปไกล โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว เพราะดวงตากำลังมองสบตาผู้หญิงเข้มแข็งที่เพิ่งพาดวงตาหันเหมาเจอะเจอกัน
   
แคโรไลน์ยิ้มให้ธรณ์ธันย์ ดวงตาสีกาแฟที่ประสานสายตากับดวงตาของเธอ ราวกับกำลังส่งผ่านกำลังใจให้ อีกทั้งแววตาเป็นประกายของน้องเทมส์ก็เเสดงความชื่นชมเธออย่างเปิดเผย อา...ความอบอุ่นมาจากไหนอีกเเล้วล่ะ จู่ๆ ทำไมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เสมือนว่าใจสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่กระจายออกมาจากสายตาของน้องเทมส์ มันไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ไร้สีไร้กลิ่นไร้ตัวตน เเต่พุ่งตรงเข้าโอบกอดรัดรึงหัวใจโดยเฉพาะ
   
นี่น้องเทมส์คงพาความอบอุ่นมาพร้อมกับกำลังใจเเน่ๆ เลย เเคโรไลน์ยิ้มได้กว้างมากขึ้น ดวงตาก็ยังคงมองตาธรณ์ธันย์อย่างไม่วางสายตา คล้ายกับว่าเธอกำลังซึมซับรับความอบอุ่นจากกำลังใจของน้องเทมส์
   
สองสาวต่างวัยตกอยู่ในภวังค์ไปเสียแล้ว ราวกับทั้งคู่กำลังสื่อสารกันผ่านสายตา ที่มีเพียงเราสองคนที่เข้าใจกัน
   
ในวินาทีแห่งความเงียบงัน ความรู้สึกดีๆ ก็พลันลงเสาเข็มปักหลักกลางหัวใจของคนทั้งคู่ โดยที่ไม่ได้เผลอไผลอ่อนไหวไม่รู้ตัว หากเเต่ทั้งแคโรไลน์กับธรณ์ธันย์มีสติสัมปชัญญะอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ และทั้งคู่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ เพียงแต่ในเวลานี้ สองคนอาจจะไม่สามารถให้คำอธิบายได้ว่า ไอ้ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มันให้ความหมายเป็นไปในทิศทางใดกันแน่!!!


   













ประตูห้องพักแขกของบ้านเคนเน็ตเปิดออก แคโรไลน์ก้าวออกมาจากห้อง ดวงตาสีเขียวตวัดไปมองบานประตูห้องที่อยู่ติดกันโดยอัตโนมัติ เพราะนึกอยากรู้ว่าเจ้าของห้องนอนจะออกจากห้องมาหรือยัง เเคโรไลน์ขยับเท้าก้าวเดินไปใกล้ประตูห้องนอนของธรณ์ธันย์อีกนิด ดวงตายังคงจ้องมองบานประตู เเต่ความเกรงใจทำให้เธอไม่กล้ายกมือเคาะ สองเท้าเลยพาร่างกายลงบันไดเปลี่ยนที่หมายไปเป็นห้องอาหารชั้นล่างแทน
   
เงียบเชียบ! นั่นคือบรรยากาศยามเช้าวันหยุดในห้องอาหารของบ้านเคนเน็ต ไม่มีใครอยู่ในนั้นสักคน เเละบนโต๊ะอาหารก็ว่างเปล่า
   
เอ๊! สงสัยคนบ้านนี้จะยังไม่ตื่นกันมั้ง เเคโรไลน์ยิ้มพลางส่ายหน้าน้อยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะนี่ก็วันเสาร์ เเล้วก็เพิ่งจะ 9 โมงเช้าเอง ท่าทางสามพี่น้องเคนเน็ตกับอีกสองสะใภ้ คงจะใช้เวลาเช้าวันหยุดนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่กระมัง
   
เเต่คนบ้านนี้จะทานมื้อเช้ากันกี่โมงล่ะ? คำถามที่ดังขึ้นในความคิด ทำเอาแคโรไลน์กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง เผื่อจะเจอป้าแม่บ้านหรือเด็กรับใช้สักคนให้ถาม เเต่ก็ไม่เจอ เฮ้อ... เมื่อคืนนี้ก่อนจะแยกย้ายเข้านอน เธอก็ดันลืมถามไปเลย แล้วจะยังไงล่ะทีนี้
   
แคโรไลน์ยืนเคว้งครุ่นคิดอยู่คนเดียวในห้องอาหาร เธอออกจะรู้สึกเกรงใจไม่น้อย หากต้องไปปลุกใครสักคนในบรรดาสามคนพี่น้องเพียงเพื่อถามเวลาอาหารเช้า โธ่เอ๊ย! มันจะกลายเป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยที่รบกวนคนบ้านนี้เสียเปล่าๆ เพราะแค่เธอมาพักอาศัยที่บ้านหลังนี้ เธอก็เกรงใจมากพอแล้ว
   
หรือจะออกไปข้างนอกดี? แคโรไลน์เเย้มยิ้มบางๆ พลางดีดนิ้วเปาะ ใช่แล้ว! เธอก็เเค่เดินออกไปเรียกเเท็กซี่เท่านั้นเอง นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด และไม่ต้องรบกวนใครด้วย
   
พอตัดสินใจได้แล้ว แคโรไลน์ก็เดินออกจากห้องอาหาร ขึ้นบันไดไปยังห้องพักเพื่อจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ยังไม่ทันจะขึ้นไปถึงชั้นสอง สองตาก็เหลือบเห็นเจ้าของห้องนอนที่เธอเพิ่งคิดถึงว่าจะตื่นหรือยัง ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตูห้องพักของเธอ
   
"น้องเทมส์คะ" เสียงเรียกดึงธรณ์ธันย์ให้เหลียวไปมอง เทมส์ยิ้มพลางหมุนตัวเดินออกจากจุดเดิม
   
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ น้าเเคร์"
   
"อรุณสวัสดิ์จ้ะ"
   
"นี่น้าเเคร์จะขึ้นมาตามเทมส์หรือเปล่าคะ?" ธรณ์ธันย์ถามเสียงหยอกเย้า นึกเดาเอาเองว่าน้าแคร์คงลงไปข้างล่างเเละคงจะไม่เจอใครสักคน หล่อนถึงเดินกลับขึ้นมาบนชั้นสองอีกครั้ง
 
"เปล่าหรอกค่ะ น้ากะว่าจะขึ้นมาเปลี่ยนชุดออกไปข้างนอกน่ะ" แคโรไลน์ตอบตามตรง เเต่พอมองเห็นสีหน้าเหลอหลาของคนที่เพิ่งเดินลงบันไดมาหาก็อดยิ้มตามไม่ได้
   
"ไปไหนคะ?"
   
ธรณ์ธันย์เลิกคิ้วอย่างสงสัย น้าแคร์จะไปไหนแต่เช้าล่ะ แต่เอ๊! เมื่อวานนี้เธอก็ลืมถามน้าแคร์ไปเลย ว่าจะออกไปทำธุระปะปังที่ไหนหรือเปล่า ก็เพราะมัวแต่สนใจฟังชีวประวัติของหล่อน จนพานลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่เธอล็อกเวลาว่างทั้งวันเอาไว้ เพื่อจะใช้ดูแลเทคแคร์น้าแคร์อย่างเต็มที่
   
ตอบยังไงดีล่ะ รอยยิ้มของแคโรไลน์จางไปเล็กน้อย เพราะเธอไม่กล้าบอกน้องเทมส์ตรงๆ ถึงสาเหตุที่เธอจะออกไปข้างนอก จะตอบว่าเพราะน้าไม่เจอใครในห้องอาหาร เลยจะออกไปทานข้าวข้างนอก ก็นึกเกรงใจสาวน้อยธรณ์ธันย์ที่คอยดูแลเธอเป็นอย่างดี เดี๋ยวจะกลายเป็นทำให้น้องเทมส์รู้สึกไม่ดีไปอีก
   
"น้าแคร์มีธุระข้างนอกหรือคะ ให้เทมส์ไปส่งมั้ยคะ วันนี้เทมส์ว่างทั้งวันเลย" ธรณ์ธันย์พูดพลางยิ้มกว้าง
   
โถ! น้องเทมส์ น่ารักอะไรอย่างนี้เนี่ย สีหน้าของแคโรไลน์ดีขึ้น รอยยิ้มกลับมาแต่งเเต้มเต็มใบหน้าเหมือนเดิม แต่เธอก็ยังไม่กล้าบอกสาเหตุที่จะออกไปข้างนอกอยู่ดี ได้เเต่อ้อมแอ้มตอบปฏิเสธเสียงแผ่วๆ
    
"น้า... ไม่มีธุระที่ไหนหรอกค่ะ"
   
"อ้าว! เเล้วทำไมจะเปลี่ยนชุดออกไปข้างนอกล่ะคะ"
   
ธรณ์ธันย์ทำตาปริบๆ สีหน้างุนงงมึนตึ๊บ เเคโรไลน์ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
   
"งั้น... ลงไปทานมื้อเช้ากับเทมส์นะคะ" คราวนี้ธรณ์ธันย์ชวนแทน
   
เเคโรไลน์พยักหน้ารับ เเอบถอนหายใจเบาๆ รอดตัวไป เธอไม่ต้องตอบคำถามน้องเทมส์แล้ว เพราะหากเธอตอบไปจริงๆ เดี๋ยวจะกระอักกระอ่วนใจกันไปเสียเปล่าๆ เเล้วน้องเทมส์จะพานตำหนิตัวเองอีก ที่ปล่อยให้แขกอย่างเธอต้องออกไปหาข้าวเช้าทานเองนอกบ้าน
   
พอนายน้อยของบ้านเคนเน็ตปรากฏตัวในห้องอาหาร โต๊ะอาหารที่เคยว่างเปล่าก็พลันพร้อมสรรพไปด้วยอาหารหน้าตาน่ารับประทาน จนแขกคนพิเศษของบ้านเคนเน็ตนึกฉงนใจไม่น้อย เอ! ระยะเวลาตั้งแต่ที่เธอเดินออกไปจากห้องอาหาร จนเจอน้องเทมส์ และกลับลงมาที่นี่อีกครั้ง มันแทบจะไม่ถึง 5 นาที ทำไมอาหารเสิร์ฟขึ้นโต๊ะรวดเร็วว่องไวปานเนรมิตได้ล่ะ แคโรไลน์นึกคิดอย่างทึ่งๆ
   
แต่อีกเพียง 5 นาทีต่อมา สิ่งที่แคโรไลน์สงสัยก็ได้รับการเฉลย ที่อาหารมาพร้อมตามเวลาที่เจ้าของบ้านนั่งโต๊ะเป๊ะ ก็เป็นเพราะธรณ์ธันย์โทรเเจ้งป้าเเม่บ้าน ก่อนที่จะออกจากห้องนอนนั่นเอง หายข้องใจสักที
   
ทว่าเรื่องต่อมาที่ทำให้แคโรไลน์นึกทึ่ง กลับกลายเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านเคนเน็ตแทน เพราะหลายสิ่งที่ติดอยู่ในความสงสัยของเธอ น้องเทมส์สามารถบอกเล่าอธิบายได้ทุกอย่าง ราวกับว่าสาวน้อยคนนี้อ่านใจเธอได้ยังไงยังงั้น ดูเอาเถอะ เพียงแค่ดวงตาของเธอเผลอมองไปยังเก้าอี้ตัวอื่นๆ ที่ว่างเปล่า น้องเทมส์ยังล่วงรู้เลยว่าเธอคิดอะไรอยู่
   
ซึ่งนั่นก็ทำให้แคโรไลน์ได้ทราบต่ออีกว่า สี่สาวพี่ๆ ของเทมส์ออกจากบ้านไปตั้งเเต่ยังไม่ 8 โมงเช้าแล้ว
   
ธัญสินีติดภารกิจไปส่งคนรักซึ่งเป็นคุณครูโรงเรียนนานาชาติ เนื่องจากวันนี้มีงานพบปะผู้ปกครอง แพทริเซียจึงต้องรีบไปเตรียมตัวแต่เช้า ส่วนคู่รองตามติดกันไปสนามกอล์ฟ เพราะราณีมีนัดออกรอบกับลูกค้า ธีราทรเลยต้องตามไปเฝ้าเเฟนสาว เพราะไม่ไว้วางใจลูกค้าคนนี้ที่มีข่าวแว่วว่าแอบหมายปองราณีอยู่
   
แคโรไลน์ฟังธรณ์ธันย์เล่าเรื่องพี่สาวและคู่รักไปเรื่อยๆ ในระหว่างรับประทานอาหาร โดยไม่ได้พูดอะไรมากนัก ได้แต่ฟัง แล้วก็ยิ้มตามอย่างรู้สึกชื่นชม สามพี่น้องบ้านเคนเน็ตรักใคร่กลมเกลียวกันดีมาก ถึงแม้คนหนึ่งจะเป็นลูกติดพ่อ อีกคนเป็นลูกติดแม่ ส่วนคนเล็กเป็นลูกของพ่อกับแม่ แต่เธอก็พอสัมผัสได้ถึงความรักความผูกพันที่สามพี่น้องมีให้กัน ผ่านคำพูดคำจาของน้องเทมส์
   
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ธรณ์ธันย์ก็เริ่มสังเกตเห็นว่าน้าแคร์เอาแต่ฟัง และปล่อยให้เธอครอบครองบทสนทนาไว้คนเดียวเลย เทมส์ชักเริ่มเกรงใจ เพราะเรื่องที่พูดๆ ไปก็เป็นเเต่เรื่องพี่ๆ ของตัวเองทั้งนั้น แล้วจะหาเรื่องไหนมาคุยกับน้าแคร์ดีล่ะ
   
แต่... น้าแคร์รวบช้อนส้อมเเล้ว หล่อนคงจะอิ่มเเล้วล่ะมั้ง ธรณ์ธันย์มองเห็นเข้าพอดี เเล้วหัวข้อบทสนทนาใหม่ก็ปิ๊งวาบขึ้นมาในความคิด เทมส์ยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ
   
"น้าแคร์คะ ตกลงว่า... น้าแคร์อยากจะออกไปข้างนอกอยู่หรือเปล่าคะ"
   
"ก็อยากนะคะ เเต่ไม่รู้จะไปไหน แล้วน้องเทมส์ล่ะคะ ปกติวันหยุดไปไหน" แคโรไลน์เป็นฝ่ายถามกลับ เพราะก่อนหน้านี้ที่เธออยากจะออกไปข้างนอก ก็เพื่อจะไปหาอาหารเช้าทาน และอาจจะไปเดินเที่ยวที่ไหนต่อ แต่ตอนนี้พอทานข้าวเช้าแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลไหนที่จะต้องออกไปข้างนอก
   
อ้าว! ทำไมกลายเป็นคนถูกถามเสียเอง ธรณ์ธันย์หัวเราะออกมาเบาๆ ยกแขนเท้าคาง กลอกตาไปมาครุ่นคิดถึงกิจกรรมในวันหยุดที่ผ่านๆ มาของตัวเอง
   
"ไปช็อปปิ้ง ไปดูหนัง ไปหาของอร่อยๆ ทาน ไม่ก็... เข้าสปา ไปนวดตัว ขัดผิวอะไรประมาณนี้ค่ะ"
   
"ฟังดูน่าสนใจนะคะ งั้น... น้าให้น้องเทมส์จัดกิจกรรมวันนี้ดีมั้ยคะ น้าว่างทั้งวัน เราจะไปไหนกันดีล่ะ"
   
"โอเคค่ะ แต่จะไปไหน เดี๋ยวเทมส์ขอคิดเเป๊บนะคะ" ธรณ์ธันย์ฉีกยิ้มกว้างราวกับน้อมรับหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจ เพราะถ้าเป็นน้าแคร์ เทมส์ยินดีบริการอย่างเต็มที่เลย
   
สองสาวต่างวัยแยกย้ายกลับไปหยิบข้าวของส่วนตัวในห้องนอนของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวสำหรับการออกไปเที่ยวนอกบ้านด้วยกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับมาเจอกันอีกครั้ง ในเวลา 10 โมงตรง
   
   











รถสปอร์ตสีน้ำเงินคันหรูพาสองสาวออกจากบ้านเคนเน็ต มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เพราะมีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ธรณ์ธันย์จึงไม่กล้าพาน้าแคร์ไปเที่ยวที่ไกลๆ
   
ซึ่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมืองหลวงในวันหยุด ก็ย่อมหนีไม่พ้นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ที่มีทุกอย่างครบครันให้คุณลูกค้าได้เลือกสรร ทั้งช้อปปิ้งมอลล์ ร้านอาหารมากมาย รวมไปถึงเเหล่งบันเทิงที่มีอยู่ชนิดที่ว่าครบวงจรเลยทีเดียว
   
และกิจกรรมแรกที่ธรณ์ธันย์นำพาแขกคนพิเศษไป ก็คือการเข้าโรงภาพยนตร์ สาวเมืองกรุงอย่างเทมส์ดูหนังบ่อยเป็นเรื่องปกติ แต่สาวเมืองกรุงเป็นระยะๆ อย่างเช่นแคโรไลน์ ไม่ได้เข้าโรงหนังมานานโขแล้ว ดังนั้นเเขกคนพิเศษของเทมส์จึงออกอาการตื่นเต้น จนผู้นำอดยิ้มด้วยความดีใจไม่ได้
   
ธรณ์ธัยน์ลอบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยความรู้สึกหลงใหล น้าแคร์ในยามนี้ ราวกับไม่ใช่หญิงสาวที่แก่กว่าเธอนับสิบปี หากแต่ในดวงตาของเธอ กลับมองเห็นหล่อนเหมือนหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน เเละเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ล้นเหลือมากเสียด้วยสิ
   
เสี้ยวหน้างดงามของน้าแคร์นิ่งสงบ แต่เป็นภาพน่ามองที่ตรึงสายตาของธรณ์ธันย์เอาไว้ ดวงตาสีเขียวที่จดจ้องมองเเต่ภาพยนตร์ในจอยักษ์ ฉายแววอารมณ์ร่วมที่มีให้ภาพยนตร์อย่างเต็มเปี่ยม คล้ายกับหล่อนกำลังดื่มด่ำไปกับฉากต่างๆ โดยตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก ไม่สนใจกับสิ่งรอบข้างแม้แต่นิด
   
โอ้! จู่ๆ เทมส์ก็รู้สึกอิจฉาภาพยนตร์ขึ้นมาดื้อๆ ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในหัวใจที่กำลังเต้นอย่างหวั่นไหว อยากให้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเหลียวมาจ้องมองเธอ อย่างที่กำลังจ้องจอยักษ์อยู่บ้าง ขอแค่เสี้ยวนาทีก็พอ
   
เเต่ไม่รู้เพราะเสียงของหัวใจดังเกินไปจนคนข้างๆ ได้ยิน หรือจะเพราะคำคร่ำครวญของเทมส์สัมฤทธิ์ผล เพราะเพียงชั่ววินาที ดวงตาสีเขียวก็เหลียวขวับมาจ้องมองธรณ์ธันย์โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เทมส์ทำหน้าเลิ่กลั่ก 
   
ให้ตายสิ! พอโดนน้าแคร์จ้อง หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีไม่มีขลุ่ย พวงเเก้มร้อนผ่าวไปหมด นึกอับอายที่เผลอจ้อง จนน้าแคร์หันกลับมามองเธอจนได้ ดีนะ ในโรงหนังมืด ไม่งั้นคงทำหน้าไม่ถูกแน่ เทมส์ยิ้มเจื่อนๆ เบนสายตาหนีไปสู่จอยักษ์ตรงหน้าเเทน
   
แต่หนียังไง ธรณ์ธันย์ก็หนีไม่พ้น เพราะเพียงแค่แวบเดียว สายตาของเทมส์ก็ถูกดึงกลับไปให้เเอบเฝ้ามองคนข้างกายอีกเเล้ว ทำไมต้องมองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า...อยากมอง!
   
ทำไมต้องมอง? คำถามเดียวกันเกิดขึ้นกับคนข้างกายของเทมส์ด้วย แคโรไลน์รู้ตัวตลอดว่ากำลังโดนน้องเทมส์จ้อง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด หากแต่เริ่มสงสัยมากกว่า เพราะสายตาหวานฉ่ำของน้องเทมส์ กลายเป็นปริศนา ที่มาพร้อมกับภาวะหัวใจเต้นตูมตามของเธอ
   
โอ๊ย! น้องเทมส์จะจ้องจะมอง เธอก็ไม่ว่าอะไรหรอก เเต่ทำไมต้องทำตาหวานขนาดนั้นด้วย แคโรไลน์พยายามบังคับตัวเองให้อยู่ในความสงบ มีเพียงหัวใจ ที่เธอไม่อาจบังคับให้มันหยุดสั่นสะเทือนได้เลย ไม่รู้เพราะอะไร ทำไมใจเต้นใจสั่นราวกับถูกป่วนปั่นด้วยอารมณ์บางอย่าง ที่ให้ความหมายไปในทิศทางว่า... หวั่นไหว!
   
แต่คงไม่ใช่หวั่นไหวหรอก เธอคงแค่เขินเวลาโดนสายตาหวานๆ จ้องมองก็เท่านั้น ยิ่งเป็นคนที่ระดับความสนิทสนมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นน้องเทมส์ เธอก็เลยรู้สึกเขินมากกว่าปกติ แคโรไลน์ลอบถอนใจ เเต่พอแกล้งเหลียวกลับไปจ้องมองคนข้างกาย เเละได้พบเจอกับแววตาหวานๆ ที่ยังปรากฏในดวงตาของน้องเทมส์ หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาอีกเเล้ว เฮ้อ...มันเป็นเรื่องสับสนที่หาคำตอบไม่ได้เลยจริงๆ
   
สุดท้ายสองสาวต่างวัยก็ดูหนังไม่รู้เรื่องทั้งคู่ เพราะสมาธิที่ควรจะใช้ในการเสพความบันเทิงจากภาพยนตร์ ดันถูกใช้ทำอย่างอื่นไปเสียนี่ คนหนึ่งสนุกกับการได้แอบมองและหลบตาหนีให้ทัน ส่วนอีกคนก็จมจ่ออยู่กับการพยายามจะควบคุมสภาวะหัวใจเต้นแรงของตัวเองให้ได้
   
กลายเป็นว่าสองสาวพากันเดินออกจากโรงภาพยนตร์ทันที หลังจากหนังฉายจบ โดยไม่มีการหยิบยกเรื่องหนังขึ้นมาพูดคุยกันแม้แต่นิด จะเอาอะไรมาคุยกันได้เล่า ในเมื่อคนหนึ่งมัวแต่เฝ้าดูอีกคนหนึ่ง ส่วนอีกคนก็มัวแต่ดูใจตัวเอง หนังที่ควรต้องดู เลยกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้ดูไปโดยปริยาย
   
จากโรงภาพยนตร์ สองสาวแวะเข้าร้านอาหารเติมพลังให้พร้อมรับมือกับกิจกรรมในช่วงบ่าย ที่จะว่าด้วยเรื่องช็อปปิ้งล้วนๆ ตามประสาผู้หญิงๆ แต่คราวนี้ตำแหน่งผู้นำถูกเปลี่ยนเป็นแคโรไลน์แทน
   
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง สองคนเข้าร้านโน้นออกร้านนี้จนเมื่อยขา สองมือเต็มไปด้วยถุงของพะรุงพะรัง อันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าควรยุติการช็อปปิ้งได้เเล้ว ตำแหน่งผู้นำกิจกรรมถูกสลับกลับคืนไปที่ธรณ์ธันย์อีกครั้ง เทมส์เลยชวนน้าแคร์เปลี่ยนสถานที่ หนีออกจากห้างใหญ่ที่มีคนพลุกพล่าน ย้ายไปยังสปาเจ้าประจำที่เธอชอบไปแทน
   
และกิจกรรมในช่วง 5 โมงเย็นของสองสาวก็คือ การนวดตัวนั่นเอง หลังจากใช้เวลาไปกับการช็อปปิ้งจนล้าไปทั้งขา กล้ามเนื้อที่เกร็งตึงจนปวดเมื่อยก็ถึงคราวต้องได้รับการผ่อนคลาย สองคนนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงนวดคนละเตียง ทั้งคู่ไม่ได้ส่งเสียงพูดคุยกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็หลับตา ปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่า ปล่อยร่างกายให้โอนอ่อนตอบสนองต่อการบีบนวดของพนักงานนวด
   
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กว่าสองสาวจะออกมาจากสปาก็เป็นเวลาเกือบจะ 1 ทุ่มแล้ว เพราะพอนวดจบครบเซต ธรณ์ธันย์ก็ชวนน้าแคร์เข้าไปอบสมุนไพรต่อ เพื่อช่วยลดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลังจากนวด เเละเป็นการเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ปิดท้ายกิจกรรมวันนี้

   









สองสาวกลับเข้าไปอยู่ในรถสปอร์ตคันสีน้ำเงินอีกครั้งในช่วงหัวค่ำ หากเเต่การเดินทางในครั้งนี้ ไม่ได้จะไปเที่ยวต่อที่ไหน เพราะจุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านเคนเน็ต ธรณ์ธันย์ขับรถอย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีกาแฟมองไปยังถนนเบื้องหน้า เเต่ก็ยังลอบชำเลืองมองคนที่นั่งเบาะข้างๆ เป็นระยะๆ
   
เฮ้อ... จนบัดนี้ เธอยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ทำไมถึงได้ชอบมองน้าแคร์นัก ชักจะเข้าขั้นโรคจิตไปทุกวันๆ เเล้วฉัน เทมส์ส่ายหน้าน้อยๆ พยายามควบคุมสมาธิให้อยู่กับการขับรถ ขืนยังไม่ยอมถอนสายตาออกจากน้าแคร์ คงไม่ถึงบ้านกันพอดี นี่ก็ทุ่มนิดๆ แล้ว เธอกลัวน้าแคร์จะหิวข้าวไปเสียก่อน
   
ความเป็นห่วงที่เพิ่งเเผ่ซ่านเข้าสู่ความรู้สึก มีผลบังคับให้ธรณ์ธันย์เลิกมองแคโรไลน์ได้ในทันที รอกลับไปให้ถึงบ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวจะมองอีกสักกี่ที ก็มีเวลาให้มองเหลือเฟือ
   
ธรณ์ธันย์หัวเราะในลำคอเบาๆ นี่เธอชักจะเครซี่คลั่งไคล้น้าแคร์มากเกินเหตุไปหรือเปล่าเนี่ย วันทั้งวัน เเม้จะอยู่ด้วยกัน แต่ความรู้สึกนึกคิดกลับมีเเค่น้าแคร์วนเวียนอยู่ในนั้น เฮ้อ... เป็นอาการแปลกประหลาดที่ชวนให้ปวดเศียรเวียนเฮดจริงๆ พับผ่าสิ!
   
ในขณะที่ธรณ์ธันย์กำลังตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายทางความคิด โทรศัพท์มือถือที่เงียบมาทั้งวันก็ร้องดังขึ้น เทมส์ละมือจากพวงมาลัยรถ หยิบหูฟังขึ้นมาใส่ ก่อนจะกดรับสาย
   
"โอเคค่า พี่ไทม์" ธรณ์ธันย์พูดใส่โทรศัพท์เพียงประโยคเดียว หลังจากที่ฟังพี่สาวคนรองพูด จนพี่ไทม์วางสายไป เฮ้อ... พี่ไทม์ก็แค่จะไปค้างกับพี่โรสที่คอนโด ไม่จำเป็นต้องอธิบายซะยืดยาวก็ได้มั้ง ปกติก็ไม่เคยจะบอกน้องหรอก วันนี้นึกยังไงถึงได้บอก เพิ่งจะนึกออกว่ากลัวน้องเหงารึไง เทมส์แอบค่อนขอดพี่สาวอยู่ในใจ
   
เสียงถอนหายใจดังเฮ้อของสารถีสาวสวย ดึงความสนใจจากอีกคนได้ในทันที
   
"มีอะไรหรือเปล่าคะน้องเทมส์ ทำไมดูเซ็งๆ"
   
อุ้ย! ธรณ์ธันย์สะดุ้ง เหลียวขวับไปมองน้าแคร์ เธอก็ลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียว เทมส์หัวเราะเจื่อนๆ กำลังจะอ้าปากนินทาพี่สาวคนรองให้น้าแคร์ฟัง เเต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังเเทรกขึ้นมาเสียก่อน
   
นี่ถ้าเดาไม่ผิด สายนี้คงจะเป็นพี่เทป ธรณ์ธันย์นึกโดยไม่ได้มองหน้าจอโทรศัพท์ ใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอรับสายเท่านั้น โอ้! พี่คนโตจริงๆ ด้วย และพี่เทปก็โทรมาด้วยเหตุผลเดียวกับพี่ไทม์เป๊ะ นั่นคือคืนนี้จะนอนค้างบ้านแฟน สองคนนี้นัดกันก่อนหรือเปล่าเนี่ย เทมส์ขมวดคิ้วมุ่น เเต่ก็ยอมส่งเสียงปิดท้ายบทสนทนากับพี่สาว
   
"ตามสบายเลยค่าพี่เทป น้องอยู่คนเดียวได้" แล้วน้องเล็กก็อดประชดพี่สาวไม่ได้ เทมส์ได้ยินแค่เสียงหัวเราะจากปลายสาย ก่อนที่สัญญาณจะตัดไปให้รู้สึกหงุดหงิด เพราะไม่สามารถทำตัวงอแงกับพี่เทปต่อได้อีก
   
"โดนพี่สาวทิ้งหรือไงจ๊ะ" แคโรไลน์แกล้งเเซว ทีแรกเธอก็ไม่รู้หรอก ว่าน้องเทมส์มีเรื่องอะไรให้เซ็ง แต่พอได้ยินสาวน้อยหลุดปากออกมาว่า...อยู่คนเดียวได้ ก็พอจะเริ่มเดาออก
   
รู้ได้ยังไงเอ่ย น้าแคร์มานั่งอยู่ในใจเทมส์หรือคะ ธรณ์ธันย์อยากจะถามคนข้างๆ ไปเเบบนั้น เเต่ก็กลัวจะเป็นการพูดเล่นไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ เทมส์เลยเปลี่ยนเป็นฟ้องน้าแคร์เเทน
   
"พี่เทปกับพี่ไทม์ทิ้งเทมส์ไปค้างบ้านแฟนกันทั้งคู่เลยค่ะ โทรมาบอกยังกะนัดแนะกันไว้ก่อนงั้นแหละ"
   
แคโรไลน์หัวเราะเบาๆ น้องเทมส์บ่นหน้ามู่ทู่เชียว น่ารักน่าเอ็นดูจัง ปกติสองพี่สาวของเทมส์คงจะประคบประหงมเอาใจน้องน่าดู เจ้าตัวถึงได้กล้ากระเง้ากระงอดงอแงตามประสาน้องคนเล็ก
   
"เอาน่าน้องเทมส์ สองคนนั้นคงอยากจะสวีตกับเเฟนสองต่อสองมั้งคะ"
   
"โห! อยู่บ้านก็สวีตกับเเฟนได้ค่ะ นี่เล่นทิ้งเทมส์อยู่บ้านคนเดียว เเล้วก็หนีไปค้างบ้านเเฟนกันหมด เช้อ" ธรณ์ธันย์พูดพลางค้อนลมขวับๆ
   
สงสัยจะงอนพี่สาวจริงๆ แคโรไลน์หัวเราะพลางส่ายหน้าไปมา เเต่ก็รู้สึกสะดุดหูกับคำพูดของน้องเทมส์ที่บอกว่าโดนทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว โถ! พูดซะน่าสงสารเชียว แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อยนี่
   
"แต่ตอนนี้น้องเทมส์ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนี่คะ"
   
หืม!! หมายความว่ายังไง ธรณ์ธันย์เหลียวไปมองคนข้างๆ ตาปริบๆ
   
แคโรไลน์ยิ้มอ่อนโยน ไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยเวลาให้อีกคนทำความเข้าใจในคำพูดของเธอ
   
อา... เข้าใจแล้ว ธรณ์ธันย์เบนสายตากลับไปมองถนน น้าแคร์พูดถูก เธอไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีน้าแคร์อยู่อีกคน ช่างเป็นถ้อยคำที่ฟังแล้วชวนให้อบอุ่นใจเสียจริง ใช่แล้ว ข้างกายของเธอยังมีน้าแคร์ มีมาตลอดทั้งวันเลยด้วยซ้ำ นอกจากหล่อนจะอยู่เคียงข้างเเล้ว หล่อนยังอยู่ในสายตา อยู่ในความคิด และอยู่ใน... หัวใจ!
   
ธรณ์ธันย์หน้าเผือด ความจริงที่พึ่งตระหนักคิดได้ ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวเร็วอย่างบ้าคลั่ง น้าแคร์อยู่ในหัวใจงั้นหรือ มันแปลว่าไงเนี่ย???
   
เอ๊ะ! น้องเทมส์จะเข้าใจหรือเปล่า ทำไมเงียบไป แคโรไลน์มองธรณ์ธันย์อย่างเป็นห่วงเป็นใย สาวน้อยผู้ร่าเริงของเธอไม่ยิ้มไม่แย้มแม้แต่นิด หรืออารมณ์งอนพี่สาวจะยังตกค้างอยู่
   
"อืม... นี่น้องเทมส์กำลังน้อยใจ พี่เทปกับพี่ไทม์เค้าอยู่หรือคะ"
   
เสียงพูดของคนข้างๆ เรียกธรณ์ธันย์ให้หลุดออกมาจากภวังค์ เทมส์ลอบถอนหายใจ เพราะรู้สึกสับสนขนาดหนัก แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาครุ่นคิดถกเถียงกับตัวเอง เพราะเธอไม่ได้อยู่คนเดียว เทมส์ยิ้มอ่อนๆ ดึงสติให้กลับมาอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า เบนสายตาไปมองคนข้างๆ แวบนึง ก่อนจะกลับไปมองถนนเหมือนเดิม
   
"เทมส์ไม่ได้น้อยใจหรอกค่ะ ก็เเค่บ่นบ้างอะไรบ้าง ตามประสาน้องคนเล็กที่พี่ๆ ไม่โอ๋แล้ว"
   
"เเน่ใจนะคะ ว่าไม่น้อยใจ" เเคโรไลน์ถามย้ำกลั้วเสียงหัวเราะ เเหม ไม่น้อยใจ เเต่น้ำเสียงของน้องเทมส์เนี่ย ราวกับประชดประชันสองพี่สาวอยู่กลายๆ
   
"โธ่! น้าเเคร์ขา เทมส์เเค่บ่นไปงั้นเเหละค่า จริงๆ แล้วเทมส์เข้าใจพี่เทปกับพี่ไทม์นะคะ ก็อย่างที่น้าเเคร์พูดนั่นเเหละค่ะ เค้าก็คงอยากจะมีเวลาสวีตกับเเฟนสองต่อสองกันบ้าง" ธรณ์ธันย์อธิบายจากความรู้สึกที่เเท้จริง   เธอไม่ได้น้อยใจพี่ๆ หรอก เเต่หมั่นไส้เสียมากกว่า สวีตกับแฟนจนน้องอิจฉา
   
"เมื่อกี้น้องเทมส์เหมือนน้อยใจ เเต่ตอนนี้เหมือนจะชิน อืม... หรือน้าเข้าใจผิดคะเนี่ย งงๆ เนอะ"
   
ธรณ์ธันย์เหลือบตามองอีกคนที่นั่งทำตาปริบๆ แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
   
"ไม่เชิงชินหรอกค่ะ อาจจะเป็นเพราะเทมส์ห่างหายจากการตัวติดกับพี่ๆ มาตั้ง 6 - 7 ปีแล้วด้วยมั้งคะ ก็ตั้งเเต่สมัยเทมส์เรียนมหาลัย พี่เทปกับพี่ไทม์ไปเรียนต่อเมืองนอกพอดี พอพี่ทั้งสองกลับมา เทมส์ก็ไปเรียนบ้าง เเล้วตอนนี้ถ้าพี่ๆ ของเทมส์จะทำตัวติดเเฟนเเทนน้อง เทมส์ก็รู้สึกเฉยๆ แล้วล่ะค่ะ เพราะนั่นมันก็เป็นชีวิตส่วนตัวของพี่เทปกับพี่ไทม์ โลกความรักของพวกเค้า"
   
แคโรไลน์พยักหน้าเอออออย่างเข้าใจ โลกความรักมักเป็นเช่นนี้แล ใครก็ตามที่ถูกโอบล้อมอยู่ในโลกเเห่งรัก ย่อมต้องอยากใช้ชีวิตอยู่กับคนรักในทุกเวลานาทีที่ปราศจากภาระผูกพันในเรื่องอื่น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดจากธรรมชาติของความรัก ซึ่งบังเอิญในตอนนี้สองพี่สาวของน้องเทมส์ก็กำลังคล้อยตามธรรมชาติของความรักเสียด้วยสิ เอ๊! แต่น้องเทปกับน้องไทม์ก็มีคู่รักเป็นตัวตนไปแล้ว แล้วคนน้องล่ะ มีใครหรือยัง?
   
น้องเทมส์ดูเหมือนจะเข้าใจคนมีความรัก เเต่ดูไม่เหมือนคนที่กำลังมีความรักหรือมีแฟนเลย เพราะเท่าที่เธออยู่กับน้องเทมส์ตลอด 3 วันที่ผ่านมา น้องเทมส์ไม่เคยเอ่ยถึงคนรักหรือแฟนให้ได้ยินเเม้แต่หนเดียว แถมยังมีเวลาดูแลเธออีกต่างหาก ตกลงยังไงกันเเน่
   
แคโรไลน์ชำเลืองมองธรณ์ธันย์ที่กำลังตั้งใจขับรถ นึกชั่งใจอยู่ว่าควรจะถามดีหรือไม่ แต่ด้วยความอยากรู้ ริมฝีปากก็เลยคล้อยตามความรู้สึกในทันควัน
   
"แล้วทำไมน้องเทมส์ถึง... ไม่มีแฟนเหมือนพี่ๆ ล่ะคะ เอ๊ะ! หรือว่ามีแล้ว"
   
"เทมส์ยังโสดค่า" ธรณ์ธันย์เหลียวมาตอบเสียงหลง
   
อ้อ! สรุปว่าโสด แคโรไลน์เผลอหัวเราะเบาๆ เธอรู้แล้วล่ะ ว่าจะช่วยน้องเทมส์ยังไง เวลาโดนพี่สาวทิ้ง
   
"ก็หาเเฟนสักคนสิคะ เวลาพี่ๆ ไปหาเเฟน น้องเทมส์จะได้ไปหาเเฟนบ้าง"
   
เป็นคำพูดที่ง่ายมาก แต่ทำยากเป็นที่สุด ธรณ์ธันย์สั่นศีรษะ หัวเราะออกมาบ้าง
   
"อืม... หาเเฟนหรือคะ บางทีเทมส์ก็อยากจะหานะคะ เเต่ต่อมความรู้สึกของเทมส์คงอยู่ลึกไปมั้งคะ เลยยังไม่เคยมีใครสักคนที่ทำให้เทมส์รู้สึกอยากจะรัก หรืออยากจะคบเป็นเเฟน"
   
"ไม่มีสักคนเลยหรือคะ" เเคโรไลน์ถามต่ออย่างเเปลกใจ เพราะด้วยนิสัยน่ารัก อีกทั้งหน้าตาสะสวยของน้องเทมส์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครเข้ามาจีบ งั้นปัญหาเเฟนไม่มี ก็คงอยู่ที่ตัวน้องเทมส์แล้วล่ะ
   
"ค่ะ ไม่เคยมีใครที่ทำให้เทมส์ใจเต้นเเรงได้" ธรณ์ธันย์ยืนยันคำตอบ พลางเหลียวไปมองคนข้างๆ
   
ดวงตาสีเขียวเเละดวงตาสีกาแฟสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ธรณ์ธันย์ผงะนิดๆ เพราะจู่ๆ หัวใจของเธอก็พลันเต้นแรงขึ้นมาทันที อุ๊ย! ไม่เคยมีใครงั้นหรือ เธอต้องเปลี่ยนคำตอบใหม่หรือเปล่า เพราะมีแล้ว คนที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง และเป็นคนแรกเสียด้วยสิ ที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนี้
   
"อา..." เทมส์ครางออกมาอย่างตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง หัวใจที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับถูกแรงมหาศาลจับเขย่าไปมาจนประตูใจเปิดอ้าออก คล้ายจะเป็นการเชิญชวนให้คนที่อยู่ในสายตาเดินเข้ามาสิ เดินเข้ามาข้างใน ลองมาสำรวจดูซิ ว่าหัวใจที่ปราศจากเจ้าของดวงนี้ มีที่ว่างพร้อมรอรับความรักมากแค่ไหน เพียงแค่เดินเข้ามาเท่านั้นเอง
   
"คะ?" แคโรไลน์เอ่ยออกมาอย่างงงๆ จู่ๆ น้องเทมส์ก็มีทีท่าเหมือนช็อกค้างสติหลุด เป็นอะไรไปอีกล่ะ
   
"เออ... เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ" ธรณ์ธันย์ละล่ำละลักบอก รีบหันหน้าพาดวงตาหนีไปมองท้องถนน
   
ให้ตายสิ! หัวใจยังเต้นระส่ำสั่นไหวอยู่เลย สองมือของเทมส์กำรอบพวงมาลัยรถเสียแน่น ราวกับกำลังสะกดอารมณ์อันสับสนวายป่วงของตัวเอง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันเเน่ เเล้วตกลงว่าใครคนนั้นคือน้าแคร์จริงหรือเปล่า หรือเเค่เพราะบังเอิญมองสบตากันพอดี หัวใจถึงได้เต้นแรง โอ๊ย! งง
   
ธรณ์ธันย์สะบัดหน้าไปมา เป็นอีกครั้งแล้วที่พายุความสับสนถาโถมเข้าใส่ เเต่เธอก็ต้องคอยเตือนตัวเองเอาไว้ ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว และนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาครุ่นคิดหาเหตุผลเพื่อทลายความสับสน เเต่ถ้าบทสนทนายังคงวนเวียนอยู่แต่เรื่องของเธอ คงเป็นเรื่องยาก ที่เธอจะดึงตัวเองออกจากความวกวนในใจได้
   
"เเล้วน้าเเคร์ล่ะคะ ถ้ามีความรักอีกครั้ง คนรักของน้าเเคร์ต้องเป็นยังไงคะ" เทมส์เปลี่ยนเรื่องคุยซะเลย
   
"โอ๊ย! อายุปูนนี้เเล้ว น้าไม่กล้าตั้งสเปกหรอกค่ะ" แคโรไลน์ตอบกลั้วหัวเราะ
   
"เเหม คนเราก็ต้องมีคนในฝันบ้างเเหละค่ะ"
   
ธรณ์ธันย์ลอบถอนหายใจยาว พอเปลี่ยนเรื่องเเล้ว เธอค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้นมาอีกนิด แล้วก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติเสียที
   
"อืม... น้าขอเเค่เป็นคนที่อยู่ด้วยเเล้วน้าสบายใจก็พอเเล้วค่ะ ไม่อยากคาดหวังอะไรมาก"
   
แคโรไลน์เอียงคอยิ้มให้สาวน้อยเจ้าปัญหาที่เพิ่งเหลียวมามองกัน
   
อุ้ย! น้าแคร์ยิ้มน่ารักอะ หัวใจที่นิ่งสงบในระดับปกติของธรณ์ธันย์กลับมาเต้นโครมครามอีกครั้ง เมื่อได้พบเจอยิ้มหวานๆ ที่อีกคนส่งมาให้ โอ๊ย! นิ่งได้แค่ไม่กี่วินาที จะเต้นแรงอีกเเล้วหรือ เทมส์ถอนหายใจ เเล้วเบนสายตาหนีรอยยิ้มสะกดใจอย่างรวดเร็ว
   
แต่ธรณ์ธันย์หารู้ไม่ว่า ก็เพราะรอยยิ้มสะกดใจนี่แหละ หัวใจถึงหาญกล้าสื่อสารไปยังสมอง ให้รีบตั้งคำถามออกมาอย่างทันท่วงที
   
"เเล้ว... อยู่กับเทมส์... สบายใจมั้ยคะ"
   
โอ้! คำถามนี้ทำเอาแคโรไลน์อึ้ง น้องเทมส์ถามเพื่ออะไร อารมณ์ไหนเนี่ย แล้วอยากได้คำตอบแบบไหนกันแน่ แต่ไอ้ที่ชวนตะลึงหนักเข้าไปอีก คือสายตาน้องเทมส์ที่ตวัดมามองกัน ประกายตาเจิดจ้าในดวงตาสีกาแฟราวกับต้องการจะถามซ้ำย้ำอีกที และเหมือนสายตานี้จะยิงคำถามตรงใส่หัวใจของเธอเสียด้วยสิ
   
พวงแก้มของแคโรไลน์ร้อนผ่าวไปหมด หัวใจก็พลันเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ราวกับกล้าๆ กลัวๆ ไม่อยากจะคิดไปไหนไกล เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเธอหลงตัวเอง แต่พอพยายามจะจับความรู้สึกของน้องเทมส์ผ่านดวงตา สาวน้อยธรณ์ธันย์ก็พาสายตาหนีไปมองถนนแล้ว แล้วเธอต้องให้คำตอบเช่นไร
   
"เออ... น้องเทมส์ก็เป็นคนน่ารัก สดใส ใครอยู่ด้วยก็อารมณ์ดี" แคโรไลน์เลี่ยงตอบกลางๆ
   
"ตอบไม่ตรงคำถามอะ" ธรณ์ธันย์หลุดปากบ่นเบาๆ หัวใจแห้งเหี่ยวไปในบัดดล เพราะลึกๆ ก็แอบหวังที่จะได้รับคำตอบจากน้าแคร์ว่า... สบายใจค่ะ
   
"แล้วน้องเทมส์สบายใจมั้ยคะ เวลาอยู่กับน้า" แคโรไลน์เป็นฝ่ายถามกลับเสียเอง เพราะน้องเทมส์ในตอนนี้ดูคลุมเครือจนเธอมองไม่ออก และเธอก็ไม่แน่ใจนักว่าสาวน้อยธรณ์ธันย์ต้องการคำตอบในแง่ไหน
   
หืม??? ธรณ์ธันย์เหลียวกลับมาเลิกคิ้วถามยิ้มๆ นึกขำที่จู่ๆ น้าแคร์ก็โยนมาให้เธอเป็นคนตอบ เเต่พอมองเห็นสายตายั่วเย้าของน้าแคร์ ราวกับหล่อนกำลังหลอกล่อหัวใจให้รีบเฉลยคำตอบมาซะดีๆ เจอแบบนี้เข้าให้ เทมส์จะทำอะไรได้ นอกจากยินยอมตอบคำถามแต่โดยดี
   
"สบายใจค่ะ"
   
"อืม น้าก็รู้สึกเเบบเดียวกับน้องเทมส์นั่นเเหละ น้าตอบตรงคำถามแล้วนะคะ"
   
เป็นคำพูดที่คนพูดไม่มองหน้าคู่สนทนาเลย แคโรไลน์กำลังเขินจนหน้าแดงก่ำ เเละก็เพิ่งจะรู้ตัวในตอนนี้นี่แหละ ว่าความหวั่นไหวที่ไม่เคยพบเจอมาเกือบสิบปี โผล่หน้ามายืนเคาะประตูทักทายหัวใจเสียเเล้ว ไม่อยากจะเชื่อ เป็นไปได้อย่างไร?
   
ในที่สุดคำตอบที่หัวใจอยากได้ยินก็ดังออกมาจากปากของน้าแคร์ ธรณ์ธันย์ยิ้มหน้าบาน เกิดอาการชุ่มฉ่ำใจอย่างบอกไม่ถูก เอ๊! หรือว่าใครคนนั้นที่ทำให้ใจเต้นแรง ใครคนนั้นที่ทำให้หวั่นไหว ใครคนนั้นที่จะมาเป็นเจ้าของหัวใจ จะกลายเป็นน้าแคร์คนนี้จริงๆ







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ชะแวบมาลงแบบเงียบๆ อีกแล้ว ตอนนี้มาแบบยืดยาวสุดๆ ทิ้งทวนก่อนที่จะขอเวลาหายหน้าหายตาไปสักแป๊บนะค้า ชีพจรลงเท้ามากเลยค่ะช่วงนี้ อาจจะไม่ค่อยมีเวลาได้ทำนิยายเท่าไหร่ เลยจัดให้แบบยาวๆ หวังว่าคงจะถูกใจนะคะ

เอาเป็นว่า รอลุ้นกันต่อค่ะ ว่าตอนหน้าจะมาเมื่อไหร่ เอ๊ย! ไม่ใช่สิ มาลุ้นกันต่อค่ะ ว่าน้องเทมส์กับน้าแคร์ ใครจะยอมรับความรู้สึกของหัวใจตัวเองได้เร็วกว่ากัน

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

++++++ViSwee++++++



Rating: ***** โดย 1 สมาชิก
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น