The bodyguard Vol.3- Chapter 8 : Me & Talisman
โพสต์โดย:
anhann
วันที่: 11 กันยายน 2014 เวลา 20:43:43
อ่าน: 439
|
Chapter 8 : Me & Talisman
"มนุษย์กินคนเหรอ.. เธอรู้ได้ไงว่ามันยังมีอยู่" สาวร่างเล็กกระซิบเมื่อเดินเข้ามากระแซะคนตัวสูงกว่าที่กำลังเดินนำพาเธอกับหลายๆคนไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวแบบเช่าเหมาลำ
งานนี้ผู้ว่าจ้างใจป้ำมากที่ยอมลงทุนขนาดนี้ แต่เงินแค่นี้สำหรับเศรษฐีแบบเขาคงขนหน้าแข้งไม่ร่วง
"ฉันไม่รู้หรอกดิออน แต่บางอย่างเราไม่จำเป็นต้องรู้ก่อน มันก็มีอยู่แล้ว ไม่มีใครรู้ทุกเรื่องในโลก" แคลลี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม ไม่ได้คิดว่าคำถามนี้เป็นเรื่องน่ารำคาญ ใครๆก็ย่อมจะสงสัยอยู่แล้ว ก็มันน่าสงสัยจริงๆ
คนฟังคำตอบพยักหน้าเข้าใจแต่ยังมีคำถามอีก "แล้วเธอไม่กลัว.?" ถามแล้วคนตัวสูงกว่าข้างๆก็ส่ายหน้ากลับมา ทำให้คิดบางอย่างได้ "ก็ใช่นะ เธอจะกลัวไปทำไม ฉันเองก็เหมือนกัน เรามีพรรคพวกตั้งเยอะ และยังมี..."
ดิออนใช้สายตาชี้ไปทางคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังคุยกับลูกน้องของเค้าอยู่ ควบคุมการนำสัมภาระขึ้นโหลดบนเครื่องบิน ผู้หญิงข้างๆเธอมองตามไป "เค้าคงไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรไปแน่ๆ น้องโจด้วย" เธอสรุปเองเมื่อเห็นอีกคนยังไม่พูดต่อ และเมื่อหันกลับมามองสบตาก็เห็นว่าแคลลี่กำลังยิ้ม แล้วหล่อนก็ทำให้เธอแปลกใจที่อยู่ๆก็ดึงตัวเธอเข้าไปกอด
"แคล.?"
"ไม่ต้องห่วงนะดิออน ฉันเองก็ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเธอเหมือนกัน ฉันยังเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธออยู่นะ ถึงเธอจะไม่จ้าง รู้ไหม.?"
สองหูได้ยินเสียงหวานๆกระซิบเบา แค่นี้ก็อุ่นในอก แม้ว่าเจ้าของเสียงจะไม่ใช่ของเธอแล้ว เป็นแค่อดีตของกันและกัน แต่ทุกครั้งที่แคลลี่กอดเธอและพูดจาทำนองว่าห่วงใยแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก นั่นอาจเพราะเธอยังรักหล่อนอยู่ก็ได้ ยังไม่มีใครมาแทนที่หล่อนในหัวใจเธอได้ถึงเธอจะพยายาม
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็รู้ตัวเองดีว่าเป็นได้แค่ไหน...
น้องสาวที่รัก..?
"ฉันรู้แคล.. ฉันรู้..." สาวน้อยพูดออกไปได้เพียงเท่านั้น และค่อยๆดันตัวเองออกจากอ้อมกอดที่นึกเสียดายที่ต้องห่าง "ขอบคุณนะ" ดิออนยิ้มให้คนที่ตอนนี้เป็นแค่พี่สาวใจดีของเธอ
"ไม่เป็นไรตัวเล็ก" แคลลี่บอกพร้อมยกมือขึ้นขยี้ศีรษะอีกคนเบาๆแสดงอาการเอ็นดูราวกับหล่อนเป็นเด็กจึงโดนค้อนเล็กๆกลับมาให้ยิ้มกว้างขึ้น "โอเคๆ ไม่ว่าตัวเล็กก็ได้ เธอโตแล้วนี่นะ" พูดขำๆ สาวขี้งอนก็หลุดยิ้มจนได้ พาให้อยากจะล้อต่อ "โอ้..ถ้าโตแล้วแบบนี้.. เมื่อไหร่จะมีแฟนซะทีล่ะคะ รู้ไหมฉันรอเห็นเธอใส่ชุดเจ้าสาวอยู่นะ อย่าให้รอเก้อจนตายไปก่อนล่ะ รู้ไ---"
ริมฝีปากอิ่มถูกปิดไว้ด้วยมือบอบบางของอีกคนทันทีก่อนที่เธอจะพูดได้จบประโยค แคลลี่มองตาโตไปที่เจ้าของมือ ถามทางสายตาว่าทำแบบนี้ทำไม แต่แค่เห็นหล่อนน้ำตาคลอเบ้าก็เข้าใจโดยที่ไม่ต้องพูด และเธอพยักหน้ารับเข้าใจกับอาการนี้ทันที
ใช่สินะ ตอนนี้ใครๆก็กลัวว่า ฉันจะตาย.. ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นแก้วที่เปราะบางเหลือเกิน อ่อนแอจังนะแคลลี่...
มือสวยค่อยๆดึงมือที่ปิดปากตัวเองออก ดวงตาสีแดงมองอย่างขอร้องไปที่เจ้าของมันจนกระทั่งหล่อนยอมปล่อย "ดิออน.. ฉันแค่พูดเล่น ฉันยังไม่ตายตอนนี้หรอก รอให้เธอแต่งงานก่อน รอให้โจโตก่อน แล้ววันนั้นค่อยว่ากัน"
"รอให้เราแก่ไปด้วยกันแคล" สาวตัวเล็กประกาศอย่างมั่นใจ อีกคนแม้อยากจะเถียงก็หยุดมันไว้โดยดุษฎี
"ก็ได้ดิออน แก่ไปด้วยกัน" แคลลี่คว้ามือบอบบางมาวางที่อกเธอแทนคำสัญญา คราวนี้เลยได้รอยยิ้มกลับมาจากคนที่หน้าตาเป็นกังวลเสียที พอดีกับที่ตอนนี้เธอหมดเวลาที่จะคุยเล่นแบบนี้กับใครแล้ว งานมาเคาะอยู่หน้าประตูสมองของเธอแล้วล่ะ
"แคล.. โหลดของเรียบร้อยแล้วนะ พร้อมจะไปกันหรือยัง" แองเจล่าถาม พยายามไม่คิดมากกับความใกล้ชิดของสองสาวตรงหน้าตัวเองถึงจะเห็นทุกช็อตตั้งแต่ที่แคลลี่ดึงอีกสาวมากอดจนถึงตอนที่พวกหล่อนแลกเปลี่ยนคำสัญญากัน นั่นเพราะเธอเข้าใจ พยายามเข้าใจถึงความรักความผูกพันระหว่างพวกหล่อน และส่วนตัวเธอก็ไม่ได้รังเกียจสาวน้อยดิออนเช่นเดียวกัน ออกจะรักและเอ็นดูต่างหาก..
แค่เอ็นดูเฉยๆนะ ไม่ได้อยากจะเอามาทำอะไร เดี๋ยวจะโดนเชือด...
"โอเคค่ะ งั้นเราไปกันเถอะดิออน" สาวตาสีแดงชวน คนถูกชวนก็เดินนำหน้าเธอไป ขึ้นบันไดเครื่องบินต่อจากคนอื่นๆที่เริ่มทยอยขึ้นไปแล้ว และเธอเองก็กำลังจะก้าวขึ้นตามแต่เพราะนึกบางเรื่องได้จึงหันมาถามคนที่ยังอยู่ หัวใจเธอเป็นกังวลขึ้นมาเฉยๆ คล้ายจะกลัว.. "โจล่ะคะ แซนดร้าพาไปไหน แล้วนายอิไลด์.?"
แต่คำถามของเธอก็ได้คำตอบมาเร็วเกินกว่าที่คาด ร่างน้อยๆวิ่งมาชนที่ขาเธอแล้ว เด็กน้อยพูดเสียงใสเชียว "มะม๊า.. โจพร้อมแล้ว ไปเที่ยวกัน!"
หญิงสาวอยากจะพูดแก้ไขคำที่ถูกต้องให้ลูกน้อยว่า พวกเธอไม่ได้ไปเที่ยวแต่ไปทำงาน หากแต่สายตาปรามๆของคู่ชีวิตก็ทำให้เธอต้องปล่อยเรื่องนี้ไปและก้มตัวลงอุ้มเค้าขึ้นมา ถึงลูกจะตัวโตแล้วแต่ตัวเธอโตกว่าเค้ามาก อุ้มแค่นี้ไม่มีลำบาก สาวๆตัวโตกว่านี้ก็อุ้มมาแล้วตั้งเยอะ แค่นี้จะเหลือบ่ากว่าแรงได้ยังไงกันล่ะ และตอนนี้ฉันก็อยากอุ้มเค้าที่สุดด้วย..
สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตฉัน สำคัญมากกว่าลมหายใจของฉันเอง..
"มะม๊ารู้ไหม.. โจเดินเองได้ โจโตแล้ว" เด็กน้อยทำท่าแย้งที่โดนอุ้ม แต่คนอุ้มอย่างเธอก็รู้ดีว่า เค้าก็ทำไปอย่างนั้น ความจริงชอบมันจะตายไป แค่อายที่เธออุ้มต่อหน้าคนหลายคนที่นี่ ผิดจากเธอที่ไม่สนใจเลยว่าใครจะว่ายังไง ก็นี่ลูกของเธอ..
"มะม๊าทราบค่ะลูก แต่ยังไงโจก็ลูกของมะม๊า ถ้ามะม๊าอยากจะอุ้มลูก มะม๊าก็ไม่ผิดใช่ไหมคะ" แคลลี่ชี้แจงพร้อมเลิกคิ้วถามลูกสาวที่ทำได้แค่หน้าแดงน้อยๆกลับมา อา..เห็นแล้วอยากฟัดชะมัดเลย น่ารักเหมือนพ่อ...
"โจเงียบแบบนี้แสดงว่า มะม๊าไม่ผิด งั้นเราไปกันได้แล้วใช่ไหมคะ"
โจเซฟินยังคงไม่ตอบ เค้ากลับซุกหน้าเข้ามาที่ซอกคอเธอและใช้สองแขนเล็กๆโอบรอบบ่าเธอไว้ และท่าทางแบบนี้เองที่ทำให้เธอยิ้มออก ยังไงลูกก็ต้องการเธอเหมือนตอนยังเล็กกว่านี้ แคลลี่ลูบศีรษะลูกเบาๆ ตาก็มองไปที่สามีที่มองอยู่ด้วย แองเจล่ายิ้มพร้อมพยักหน้าให้ราวจะสนับสนุนว่าเธอทำถูกแล้ว
ก็คงใช่ เค้าชอบให้เธอใกล้ชิดลูกแบบนี้แหละ ชอบบอกว่า ลูกจะได้ซึมซับความอ่อนโยนจากเธอไป ดีกว่ารับความแข็งกระด้างจากเค้าเพียงคนเดียว และที่สำคัญที่สุดคือ เค้ารู้ว่าลูกต้องการเธอมากที่สุด เธอเองก็รู้เหมือนกัน...
หญิงสาวพยักหน้าให้สามีเป็นสัญญาณที่รู้กัน และพาลูกที่อุ้มอยู่ขึ้นไปบนเครื่องบินที่พร้อมจะบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปยังแอฟริกาเหนือ ประเทศตูนิเซีย แหล่งผจญภัยแห่งใหม่ของเธอกับเค้า ลูกสาวและเพื่อนๆในทีม
แคลลี่มองสบตาทุกๆคนที่นั่งประจำที่ในเครื่องบินโดยสารแบบทหารแล้ว พยายามยิ้มให้พวกเขาทุกคนนับหลายสิบชีวิตที่มองเธอกลับมา เธอตั้งใจจะให้กำลังใจพวกเขาเพราะไม่รู้ว่า ทางที่ไปข้างหน้าจะเจออะไรกันบ้าง
หญิงสาวละมือข้างหนึ่งออกจากตัวลูกสาวที่ซบอยู่กับบ่า ยกมันขึ้นจรดหางคิ้วทำวันทยหัตถ์ให้พวกเขาที่แม้บางส่วนจะเป็นทหารรับจ้างมา แต่มันจะแปลกอะไร หากเธออยากจะให้เกียรติพวกเขาบ้าง
เธอเป็นทหาร และกำลังให้เกียรติพวกเขาเยี่ยงทหารด้วยกัน ต่อไปนี้พวกเราจะร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน ร่วมทำภารกิจเดียวกันเมื่อเครื่องบินลำนี้ขึ้นทะยานขึ้นบนแผ่นฟ้า พวกเขาเหล่าทหารกล้าทุกนายพร้อมใจกันตะเบ๊ะเธอกลับมา แคลลี่กลั้นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งเอาไว้ใต้เปลือกตาของตัวเอง ไม่เคยลืมว่า เธอเป็นใคร เธอไม่ใช่คนที่ใหญ่ที่สุดในหน่วยพิเศษนี้ที่พวกเขาจะต้องจงรักภักดีด้วย การกระทำที่พวกเขาทำตรงนี้จึงมีความหมายกับเธอมาก
สำหรับผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอ..
"ขอบคุณทุกๆคนมากค่ะ" ผู้กองสาวตัดสินใจพูดออกไปพร้อมคงมือตัวเองไว้ในท่าวันทยหัตถ์แบบนั้น ทำความเคารพให้กับทุกคนที่เธอเดินผ่านพวกเขาไป แน่นอนว่าพวกเขาทำแบบเดียวกันกลับมาให้ตลอดทาง จนกระทั่งเธอไปถึงที่นั่งของตัวเอง
แคลลี่นั่งลงประจำที่พร้อมลูกสาว และไม่ลืมจะโบกมือให้สองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ดิออนกับแซนดร้าโบกมือกลับมา เจ้าตัวเล็กบนตักเธอก็ส่งเสียงทักทายคุณอากับคุณน้าของเค้า เธอดีใจที่ลูกสาวของเธอเป็นเด็กอารมณ์ดี คงได้นิสัยแซนดร้ามาบ้างล่ะ คุณหมวดจอมขี้เล่นนั่นเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกเธอตั้งแต่ยังเค้ายังเล็ก ตอนที่เธอยังไม่แข็งแรงพอจะดูและลูกได้เอง แองเจล่าก็เคยบอกว่าน้องสาวบุญธรรมของเค้าบุคลิกคล้ายเธอ แต่เธอขอเถียงนะว่า เธอคงไม่ขี้เก็กเท่าคุณหมวดหรอก และคงไม่มีทางปล่อยให้แม่ตัวเล็กข้างๆนั่นลอยนวลอยู่แบบนี้ จับแต่งงานด้วยไปนานแล้ว
"โจง่วงไหมลูก หลับก็ได้นะคะ เดี๋ยวมะม๊าปลุกตอนถึงแล้ว" ก้มมองลูกสาวที่อ้าปากหาวหวอดจนเธอต้องช่วยปิดปากให้อย่างเอ็นดู ได้เวลานอนของเด็กอย่างเค้าแล้วล่ะ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวซนจะยังไม่สนใจเรื่องนั้น เค้าสั่นหัวดิก "ทำไมคะ รอปะป๊าเหรอ เดี๋ยวก็มาแล้ว"
แคลลี่ยังไม่ทันได้ฟังเสียงลูกสาวตอบคำถามมา เธอก็มองตามสายตาเค้าไปก่อน คิ้วเรียวสีน้ำตาลทองขมวดเมื่อเห็นหน้าคนที่ลูกมองอยู่ เขาไม่ใช่คนที่เธอสองคนกำลังรอ นอกจากนั้นยังทำให้อารมณ์เสียอีกด้วย ยังดีที่เขารู้ว่าเธอหงุดหงิดนะ เธอคงแสดงมันออกไปเต็มที่ล่ะ
"อิไลด์.?"
"อย่าเพิ่งหงุดหงิดครับแคล ผมแค่จะเอานี่มาให้คุณ" ชายหนุ่มยื่นส่งของบางอย่างมา เขาแบมือออกให้เธอดูของเมื่อเห็นสายตาของเธอที่มองอย่างไม่ไว้ใจ
"มันคืออะไรคะ" หญิงสาวถาม พยายามจะสุภาพที่สุดให้เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกที่มองตาแป๋วอยู่ โจเซฟินทำท่าจะหยิบมันตามประสาซน แต่เธอไวพอที่จะฉวยมันไว้ได้ทัน ของอะไรไม่รู้ ถ้ามันเป็นของมีพิษล่ะจะว่าไง..
"เครื่องรางครับ ดูแตกต่างจากของญี่ปุ่นที่คุณเคยรู้จักกัน ต่างจากของแถบคนทางตะวันตกด้วย เพราะมันเป็นของทางตะวันออกกลางบ้านผม" อิไลด์ตอบอย่างหมายมั่น หากคนฟังยังดูระแวง และเขาต้องพยายามใจเย็น ให้หล่อนเห็นถึงความประสงค์ดี "ผมรู้ว่า ผมไม่ใช่คนที่คุณจะเชื่อถือได้ แต่ผมขอรับรอง ของนี้ไม่มีมนตร์ดำอะไรแฝงอยู่เหมือนที่คุณกำลังกลัว เพราะถ้ามี ผมคงจะโดนมันก่อนแล้ว เพราะผมพกมันติดตัวมาตั้งแต่เด็ก"
"พกมาตั้งแต่เด็ก.?" แคลลี่ย้อน ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ "แล้วคุณมาให้ฉันทำไมล่ะ ก็ในเมื่อ--"
"เพราะตอนนี้คุณกับน้องโจคงจะต้องการมันมากกว่าผม" หนุ่มเข้มตอบหนักแน่น สายตาหวาดระแวงของหญิงสาวจึงค่อยเบาบางลง หากหล่อนยังไม่วายจะข่มขู่
"คุณคงรู้นะคะว่า ถ้าโกหกฉัน คุณจะเป็นยังไง" อิไลด์พยักหน้ารับ แคลลี่ถอนใจแผ่วอย่างเสียไม่ได้ "โอเคค่ะอิไลด์ ฉันจะพยายามเชื่อคุณ ขอบคุณค่ะ แต่ตอนนี้ฉันแนะนำให้กลับไปนั่งที่ก่อนนะ เครื่องจะ take off แล้ว แล้วก็...."
"แล้วก็ฉันจะนั่งที่ของฉันแล้ว" แองเจล่ากระซิบ แต่ดวงตานี่แสนจะน่ากลัว ตัวก็สูงค้ำหัวคนที่ยืนอยู่ก่อน พ่อหนุ่มดูไบผู้ไม่เคยกลัวใครยังหน้าซีด และเขาจะไม่ยอมให้ลูกน้องเห็นเขากลัวผู้หญิงเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
"ผมก็กำลังจะไปพอดีครับผู้การ" เขาพูดแค่นั้นและรีบเดินจากไปทันที ทิ้งให้คนที่เพิ่งมามองตามไปอย่างสงสัย
"เขามาทำอะไรที่นี่"
แคลลี่ดึงสายตาตัวเองกลับมาสนใจคนถามบ้าง แองเจล่านั่งลงแล้วและเป็นฝ่ายถูกลูกสาวไต่ตัวไปนั่งตักแทนเธอที่คงจะตักเล็กไปนั่งไม่ถนัด แต่ถึงจะเปลี่ยนที่นั่ง โจเซฟินก็ยังคงมองหน้าเธอแบบสงสัยเหมือนเดิม และตอนนี้ก็กลายเป็นเหมือนเค้าจะเลียนแบบท่าทางจากเจ้าของตักอุ่นคนใหม่ไปจนหมด
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า พ่อลูกกัน...
"ไม่มีอะไรค่ะ แค่เอานี่มาให้" คุณแม่ยังสาวจำเป็นต้องพูดความจริง ขืนโกหกไปตอนนี้เธอจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับลูกที่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
คุณสามีแบมือจะขอมันไปดูบ้างแต่เธอยกมันหนีไม่ให้แล้วรีบอธิบายก่อนจะโดนสงสัยมากขึ้น "เขาว่าเป็นเครื่องรางคุ้มภัยคล้ายๆที่ที่ญี่ปุ่นมีค่ะ แต่อันนี้เป็นแนวของพวกตะวันออกกลางบ้านเขา ฉันคิดว่าคงต้องตรวจมันก่อน"
"มันคือดวงตาฮอรัส ชาวอียิปต์โบราณนับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครองและ ยังได้รับการเปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์ จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองค์หนึ่งโดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรมรวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้ง"
แคลลี่ยั้งมือที่กำลังจะกดปุ่มถ่ายภาพที่มือถือตัวเองเอาไว้มองหน้าคนเล่าเรื่องด้วยสายตาทึ่ง แองเจล่ายักไหล่แล้วยืดตัวขึ้นยิ้มอย่างภูมิใจเรียกอารมณ์หมั่นไส้ให้เธอได้เลย "รู้ดีจังนะคะ"
คนรู้ดียังยิ้มกว้างอยู่ แบมือขอของไปดูใกล้ๆท่ามกลางความสนใจของเจ้าตัวเล็กที่ชะโงกหน้ามาดูบ้าง "มันมีอยู่ในแบบเรียนในภาควิชาอารยธรรมตะวันออก เธอคงไม่ได้เรียน"
"ฉันเรียนตะวันตกค่ะ"
แองเจล่าฮัมรับคำสารภาพภรรยาที่ถึงจะเรียนจบมาที่เดียวกันแต่ความที่เรียนคนละชั้นปีจึงทำให้ไม่รู้วิชาไมเนอร์ที่หล่อนเลือกเรียน "ความเชื่อของคนในแถบนั้นนอกจากจะมีดวงตาของฮอรัสแล้ว ก็ยังมีดวงตาปีศาจอีก"
"ดวงตาปีศาจเหรอคะ.?" แคลลี่ถามเสียงตื่นเต้น ส่วนเด็กตัวเล็กเริ่มขมวดคิ้วเพราะยิ่งงงกันไปใหญ่แล้วน่ะสิ ทำไมดวงตาอะไรเยอะจัง..
ทหารคนเก่งพยักหน้า ล้วงมือถือของตัวเองขึ้นมาหารูปภาพประกอบคำอธิบาย "ในความเชื่อของคนตุรกี Evil Eyes หรือ Nazar Boncugu เป็นสิ่งป้องกันการสิ่งชั่วร้าย ความอิจฉาริษยาต่างๆ ทำจากแก้วและมีลักษณะคล้ายดวงตาสีฟ้า เพื่อที่จะสะท้อนสิ่งชั่วร้าย"
"งั้นคุณสมบัติก็คล้ายกันสิคะ"
"ค่ะ" ขานรับภรรยาแล้วลงมืออ่านข้อความที่เจอในโลกออนไลน์ให้หล่อนฟังต่อ "..บางคนก็เอามาปะปนกันอยู่ล่ะ แต่ทางตะวันตกบางทีก็เชื่อเรื่องดวงตาปีศาจในแบบที่ต่างออกไป บ้างก็ว่า Evil eye เป็นการมองที่เชื่อกันในหลายวัฒนธรรมว่าสามารถทำให้ผู้ถูกมองได้รับการบาด เจ็บหรือโชคร้าย อันเกิดจากการจ้องมองด้วยความอิจฉาหรือความเดียดฉันท์ คำนี้มักจะหมายถึงอำนาจของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในการก่อให้เกิดสิ่งที่เลวร้าย ได้ด้วยการมองอย่างประสงค์ร้าย ความเชื่อดังกล่าวทำให้วัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมพยายามหาทางป้องกันก่อนที่จะเกิดสิ่งที่เลวร้ายขึ้น ความคิดและความสำคัญของนัยน์ตาปีศาจก็แตกต่างกันออกไปเป็นอันมากระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ เลยทำให้มีการสร้างเครื่องรางอันนี้ขึ้นมา นาซาร์ บองกุกู"
"อ้อ.. แบบนี้นี่เอง" คนฟังพึมพำพลางมองของที่คุณสามีส่งคืนมาให้อย่างสนใจ "ฉันลองถ่ายไปให้ดิออนดูบ้างดีกว่า เผื่อเค้าจะเจออะไรมากขึ้น" ว่าแล้วก็ยกมือถือติดกล้องขึ้นมาถ่ายรูปจี้ห้อยคอที่ว่าและจัดการส่งรูปที่ถ่ายได้ไปให้บางคนจัดการต่อ มองไปที่หล่อน ดิออนก้มลงมองมือถือเค้าอยู่สักพักก็เงยหน้าขึ้นแล้วทำไม้ทำมือกลับมาว่าเข้าใจเรื่องที่เธอวานให้ทำ จากนั้นก็หันไปรวมหัวกับคนที่นั่งข้างๆหาข้อมูล ส่วนเธอก็กลับมาสนใจสองคนที่อยู่ด้วย ปะป๊าคนสวยกับลูกสาวสุดที่รักของเธอกำลังนั่งคุยกันเรื่องอะไรสักอย่าง ท่าทางไม่เกี่ยวกับเครื่องรางอะไรที่เพิ่งคุยไปเมื่อกี้ แต่ก็ดีแล้ว
"มะม๊า.. โจหิว"
แคลลี่กระพริบตา เลิกเหม่อคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้หันกลับมาสนใจเจ้าตัวดีที่ทำหน้าอ้อน เธอหัวเราะและพูดติดตลก "มะม๊าไม่มีนมให้โจนะคะ มันหมดไปแล้วตั้งแต่โจสองขวบ" เด็กสี่ขวบอ้าปากค้าง สงสัยงงกับมุขของเธอ คนข้างเค้าก็สั่นหัวอมยิ้ม แต่ดวงตาเจ้าเล่ห์นั่นจ้องดูมๆของเธอมากไปหรือเปล่า บอกแล้วไงไม่มีน้ำนม ดูดอยู่บ่อยๆยังไม่รู้อีก เธอไม่ใช่แม่วัวนมพันธุ์ดีเสียหน่อยนะ
"โจไม่ต้องงงหรอกลูก มะม๊าแกล้งลูกน่ะ ไปนั่งตักมะม๊าก่อนนะคะ เดี๋ยวปะป๊าหยิบนมกล่องให้"
โจเซฟินพยักหน้าหงึกหงัก ร่างเล็กไต่กลับมานั่งบนตักมะม๊าคนสวยที่อมยิ้มแปลกๆแต่เค้าก็หิวและง่วงเกินไปที่จะสนใจว่าผู้ใหญ่คิดอะไร พอได้นมกล่องมาก็จัดการดูดมันเสียอย่างไม่สนใจใคร ขยับตัวยุกยิกไม่กี่ทีก็มาอยู่ในท่าเอาหัวพิงอกนุ่มของเจ้าของตักด้วยความเคยชิน ดวงตากลมๆปรือเล็กลงเรื่อยๆยิ่งได้มืออุ่นๆของคุณแม่มาลูบหัวและแผ่นหลังให้เปลือกตาก็หนักขึ้นทุกที เสียงฮัมเพลงเบาๆเพราะๆของมะม๊ายิ่งพาเค้าไปใกล้ดินแดนแห่งความฝันมากขึ้นทุกขณะ นมยังไม่ทันหมดกล่องดี เค้าก็หลับพับไปกับอกอบอุ่นนี้เสียแล้ว
"หลับง่ายจริงๆเลย.."
ริมฝีปากสวยได้รูปคลี่ยิ้มพอใจพร้อมพยักหน้ารับคำวิจารณ์ เธอขยับกระชับอ้อมแขนให้คนตัวเล็กในนั้นได้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ขอบคุณขนาดตัวของเธอที่มากพอจะสามารถรองรับขนาดตัวเค้าได้สบายถึงเค้าจะตัวโตเหมือนเด็กเจ็ดขวบมากกว่าแค่สี่ แคลลี่ก้มหน้าลงหอมศีรษะลูกเบาๆ เค้ายิ่งขยับเข้าไปซุกอกเธอมากขึ้น เธอก็ยิ่งยิ้มกว้าง
"แหม.. น่าอิจฉาจัง" แองเจล่าแซวอย่างอดไม่ได้ มือใหญ่เลื่อนไปลูบหัวเล็กๆอย่างเอ็นดู "หลับแล้วน่ามันเขี้ยว"
"อย่าเชียวนะคะ เดี๋ยวตื่นตอนนี้ก็งอแง ไม่เข็ดหรือไง.."
ปะป๊าหน้าสวยรีบหุบเขี้ยวลง ยิ้มแหยให้เจ้าของเสียงดุที่ยั้งเธอไว้ไม่ให้ก้มไปงับแก้มนุ่มของลูกสาวเล่น "โธ่แคล.. ก็เค้าน่ารัก แก้มก็น่าฟัดชะมัดเลย"
"ไม่ต้องพูดมากเลยค่ะ ให้เค้าตื่นก่อนค่อยเล่น" แคลลี่ว่าถึงจะเห็นด้วยกับเค้าที่ว่าพวงแก้มใสๆสีชมพูระเรื่อของลูกมันน่างับจริงๆ แต่ก็รู้ดีว่าถ้าโจเซฟินตื่นโดยนอนไม่เต็มอิ่มเค้าจะดื้อกว่าปกติ และมันคงไม่ใช่เรื่องดีโดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่ไม่แน่ไม่นอน ตราบใดที่เครื่องยังไม่ร่อนลงอย่างปลอดภัย เธอก็ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ ซ้ำเธอยังสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่ด้วย
"เธอควรจะหลับบ้างนะแคล" แองเจล่ากระซิบ ดวงตาสีแดงมองหน้าอย่างข้องใจ ขยับเข้าไปแตะริมฝีปากกันเบาๆแล้วค่อยถอนออกมา "พี่รู้นะ ช่วงนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับ มันไม่ดีรู้ไหม.."
"รู้ค่ะ แต่---" คนช่างแย้งเงียบเสียงลงทันทีที่ถูกปิดปากอีกรอบ ความนุ่มของริมฝีปากอุ่นพาให้หัวใจเธอเริ่มสงบลง สบตากันอีกทีเธอก็ยิ้มอย่างเข้าใจ แต่ไม่วายจะแซวเค้าเล่น "โอเคค่ะ งั้นอย่ากวนนะ"
"โอเค.." เสียงกระซิบนุ่มนวลใจเย็นจากเค้าพาให้พยักหน้ารับอย่างไม่ขัดขืน แคลลี่เลิกฝืนความอ่อนล้าของร่างกาย เธอหลับตาพิงหัวกับบ่าคุณสามีที่รัก มืออุ่นของเค้าลูบหัวเธอเบาๆเหมือนที่เธอทำกับลูก ไม่นานนักเธอพบตัวเองในดรีมแลนด์ ดินแดนอันสงบสุข จะขอกักตุนพลังงานเอาไว้ใช้สู้ศึกในภายหน้าหน่อยก็แล้วกัน
..........................................................................
โอเค... ตอนนี้เปลี่ยนแปลงช่วงท้ายตอนจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยนะคะ เพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับเครื่องรางของทางตะวันออกกลาง และแถบเมดิเตอร์เรเนียนเข้าไปด้วย
เรื่องนี้ค่อนข้างจะมีวิชาการเยอะเหมือนกันค่ะ เราหาข้อมูลมามากพอสมควรสำหรับแต่ละตอน ถ้ามีอะไรที่เป็นวิชาการ เราก็ต้องใส่แบบวิชาการให้นะคะ แต่พยายามจะไม่เครียดเกินไปค่ะ เดี๋ยวนึกว่าอ่านหนังสือเรียน ฮ่าๆๆ
อย่างไรก็ตาม ช่วยเอ็นดูนิยายเรื่องนี้ ภาคนี้เหมือนที่เคยเอ็นดูมาสองภาคที่แล้วด้วยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ แล้วเจอกันใหม่
ป.ล. จองกันได้จ้ะ เดี๋ยวจะลืมนะ
|
Rating: This article has not been rated yet.
|
|
ความคิดเห็น
|