web stats

ข่าว

 


The Detective's File - Special Case 3

โพสต์โดย: nuffy วันที่: 16 สิงหาคม 2014 เวลา 11:03:37 อ่าน: 540

คำเตือน
-   กรุณาอย่าคาดหวังเรื่องความซับซ้อนของคดี เพราะคิดซับซ้อนได้ไม่มาก
-   ชื่อบุคคล และสถานที่ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น โดยฉากหลังบางฉากแต่งขึ้นมาเอง   

...

"อะไรกันวะเนี่ย!" คำสบถออกมาจากปากของหญิงสาวผมสีบลอนด์ทองสวย ดวงตาสีน้ำเงินของเธอมองไปที่เครื่องมือทำความสะอาดประจำบ้าน... เครื่องซักผ้า

วันนี้เป็นวันหยุดของนักสืบแองเจล่า โคล ความตั้งใจของเธอที่จะทำในวันนี้อย่างแรกคือ หนึ่ง... นอนตื่นสาย สอง... กินอาหารบนเตียงพร้อมกับดูโทรทัศน์ไปด้วย สาม... ออกไปซื้อของใส่ตู้เย็น และสี่... ออกไปกินมื้อเย็นกับศรัณยา แฟนสาวชาวไทยของเธอนอกบ้าน

"เซ็งชิบ" ตำรวจสาวนั่งหน้านิ่วอยู่หน้าเครื่องอบผ้าที่ภายในเครื่องนั้นคือผ้าม่านของห้องนั่งเล่นของเธอ ขณะเดียวกันเครื่องซักผ้าที่อยู่ข้างๆ กันกำลังปั่นซักผ้าปูที่นอน

เมื่อหันไปมองที่ห้องนั่งเล่น เธอเห็นสาวไทยกำลังง่วนอยู่กับเครื่องดูดฝุ่น แฟนสาวของเธอกำลังดูดฝุ่นที่หมักหมมมานานหลายปีให้ออกจากพรม

นักสืบหญิงมองใบหน้าของแฟนสาวที่มีเหงื่อพรายแล้วถอนหายใจ "ก็ได้ๆๆๆๆ" เธอเดินไปที่ห้องน้ำแล้วลงมือทำความสะอาด

แผนที่โคลวางไว้วันนี้พังไม่เป็นท่านั้นมีสาเหตุจากการมาเยือนของศรัณยาในเช้าวันนี้ แฟนสาวบอกกับเธอว่าเย็นนี้ติดธุระเพราะมีนัดกินข้าวกับอาจารย์ที่ปรึกษาและเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย ตำรวจสาวผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยอมรับได้ และกะว่าจะนอนกอดสาวไทยให้หายคิดถึง แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นอีกฝ่ายกลับจามออกมาเสียงดังเพราะฝุ่นที่อยู่ในห้องนั่งเล่น

"ขอฉันทำความสะอาดบ้านให้คุณก่อนก็แล้วกันนะ แล้วเราค่อยว่ากันทีหลัง" ศรัณยาพูด

"งั้นฉันช่วยอีกแรงก็แล้วกัน"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไปนอนต่อเถอะ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว"

"ไม่เอาน่าเล็ก ขอฉันช่วยคุณบ้างเถอะ"

สาวไทยนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มมุมปาก "ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความสะอาดครั้งใหญ่กันดีกว่าค่ะ"

"ทำความสะอาดครั้งใหญ่เหรอ?"

"ไหนๆ คุณก็ออกปากจะช่วยฉันแล้ว ก็ทำความสะอาดทั้งบ้านเลยดีกว่าค่ะ"

นักสืบหญิงทำท่าลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อมองใบหน้าแสนน่ารักกับสายตาอ้อนๆ ของอีกฝ่ายเธอจึงตอบไปว่า "ขอค่าจ้างก่อนได้มั้ย?"

ศรัณยาหัวเราะเล็กน้อยแล้วจูบเจ้าของบ้าน หลังจากนั้นสองสาวก็เริ่มลงมือทำความสะอาด

หลังจากนั้นสองสาวก็ใช้เวลาประมาณเกือบๆ 3 ชั่วโมงในการทำความสะอาดบ้านของโคล เจ้าของบ้านนั่งลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยอ่อน พลางดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้

"เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งไล่จับโจรอีก"

สาวไทยหัวเราะออกมาเบาๆ "ทำงานบ้านเหนื่อยนะ แม่ฉันยังพูดอยู่บ่อยๆ เลยว่า มันเหนื่อยมาก ยิ่งแม่เป็นคนชอบเก็บของกระจุกกระจิกด้วยยิ่งเหนื่อยเป็นสองเท่า ฉันเองก็โดนแม่เรียกเข้าไปช่วยบ่อยๆ จนชิน"

"ถึงว่าสิ คุณเหมือนพวกแม่บ้านมือโปรเลยเชียวล่ะ" ตำรวจสาวพูดแล้วหอมแก้มอีกฝ่าย "ว่าแต่... ทำความสะอาดบ้านแล้ว สนใจจะทำความสะอาดตัวเองบ้างมั้ย?"

ใบหน้าของศรัณยาแดงขึ้น เธอพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นก็ตามเจ้าของบ้านไปที่ห้องน้ำ

ในอ่างอาบน้ำ ใบหน้าของนักสืบหญิงซุกไซ้คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอของสาวไทย เธอไล่ริมฝีปากลงไปที่หัวไหล่และหน้าอก หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองแฟนสาว... เธอเห็นอีกฝ่ายหอบหายใจ ใบหน้าของศรัณยาแดงก่ำ ดวงตาของทั้งสองสบกัน โคลคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเคลื่อนตัวขึ้นไปกดจมูกลงเบาๆ กับแก้มใส การกระทำของเธอทำให้สาวไทยยิ้มออกมา ผิวกายที่ชุ่มน้ำเมื่อผสมกับรอยยิ้มหวานๆ ทำให้นักสืบหญิงไม่อาจจะห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป ยิ่งมือทั้งสองที่สอดเข้าไปโอบรอบลำคอของเธอ ทำให้ตำรวจสาวกดริมฝีปากของตัวเองลงไปที่ริมฝีปากนุ่มของอีกฝ่ายทันที

มือของโคลลูบไล้เรียวขาของแฟนสาว สัมผัสนุ่มนิ่มที่ได้จากอีกฝ่ายทำเอาเธอแทบคลั่ง เมื่อผสมกับสายตาของสาวไทยที่มองเธอด้วยความเขินอายก็ยิ่งทำให้หลงใหล จูบที่อีกฝ่ายมอบให้สร้างความพึงพอใจจนเธอต้องส่งเสียงออกมาในลำคอ ร่างของแฟนสาวที่เธอกอดอยู่สั่นไหวตามทุกการกระทำของเธอ ศรัณยาสะดุ้งเล็กน้อยกับสัมผัสกลางลำตัวที่อยู่ใต้น้ำ มือของเธอกำผมบลอนด์ของแฟนสาวแน่น ตัวของเธอสั่นสะท้านไปพักใหญ่แล้วหยุดลง แต่หลังจากนั้นไม่นานนักนักสืบหญิงก็ร้องครางออกมา สองแขนกอดรัดแผ่นหลังชื้นเหงื่อและหยดน้ำของสาวไทยที่กำลังพรมจูบไปตามร่างกายของเธออย่างลุ่มหลง ปลายลิ้นจากจูบหอมหวาน ร่างกายที่เกี้ยวพันกันราวกับจะหลอมรวมเป็นคนๆ เดียวกัน ทำให้หัวสมองของเธอโล่งไปหมด ร่างของเธอหดเกร็งก่อนที่จะผ่อนคลายลง

"คุณจะว่ายังไงถ้าฉันจะขอกลับไปนอนต่อ" ตำรวจสาวถามขึ้นมาเบาๆ

"ค่ะ คุณจะได้พักผ่อน"

"ขอนอนกอดคุณได้มั้ย?"

ศรัณยายิ้ม "ได้สิคะ"

...

โคลขับรถไปส่งสาวไทยที่ร้านอาหาร จุดนัดพบของศรัณยากับเพื่อนๆ และอาจารย์ที่ปรึกษา พร้อมกับบอกว่าจะมารับอีกฝ่ายหลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว สาวไทยอิดออดนิดหน่อยว่าไม่อยากรบกวน แต่เธอก็ยืนยันที่จะไปส่งแฟนสาวที่บ้านให้ได้

"เถอะน่าเล็ก... ขอให้ฉันดูแลคุณบ้างเถอะ... นะ"

"...ค่ะ"

"เสร็จแล้วโทรหาฉันนะ ฉันจะรออยู่แถวนี้ล่ะ"

ศรัณยาจูบลาอีกฝ่ายแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหาร ส่วนนักสืบหญิงก็ขับรถไปที่ร้านอาหารริมถนนที่อยู่ไม่ไกลนัก เธอเข้าไปในร้าน นั่งโต๊ะข้างหน้าต่างที่มองเห็นถนนข้างนอกได้ แล้วสั่งอาหารมากินพร้อมกาแฟ

ขณะที่กินอาหารตำรวจสาวปรายตามองไปนอกหน้าต่าง คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เวลาตอนนี้ก็แค่สองทุ่มกว่าๆ แต่กลับมีคนเดินเท้าและรถยนต์วิ่งให้เห็นอยู่ไม่มากนัก ถ้าเทียบกับส่วนอื่นๆ ของเมือง

"แปลกแฮะ" เธอพูดพึมพำกับตัวเองพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ยังไม่มีการติดต่อจากสาวไทย เธอจึงลงมือกินอาหารต่อ

เมื่อกินมื้อค่ำเสร็จแล้ว โคลก็ละเลียดจิบกาแฟหลังอาหาร ถึงจะรู้ว่าการดื่มกาแฟตอนนี้จะส่งผลให้เธอนอนไม่หลับ แต่มันเป็นความเคยชินสำหรับเธอไปเสียแล้ว นักสืบหญิงยิ้มเมื่อได้อ่านข้อความที่แฟนสาวส่งมา

'อีกประมาณ 30 นาที คาดว่าจะเสร็จค่ะ'

'ฉันจะรอคุณนะ'

ตำรวจสาวพิมพ์ข้อความนี้ส่งกลับไป แล้วหันหน้าไปมองที่หน้าต่างของร้านเมื่อได้ยินเสียงดนตรีฮิพฮอพจากรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังเลี้ยวเข้ามาในถนนเส้นนี้

บนรถคันนั้นโคลเห็นมีเด็กหนุ่มอายุน่าจะไม่เกิน 18 ปี ประมาณ 5 คนนั่งอยู่ในรถ พวกเขาเปิดเพลงเสียงดังและตะโกนโหวกเหวกด้วยความคึกคะนอง เธอส่ายหน้าเล็กน้อยพลางคิดถึงตำรวจสายตรวจหรือตำรวจจราจรที่น่าจะวิ่งผ่านมาแถวนี้ให้เข้ามาตักเตือนพวกเขา

แต่แล้วนักสืบหญิงก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารและวิ่งออกนอกร้านทันทีเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับหยิบอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับปืนยาวออกมาแล้วเริ่มยิงไปที่คนที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้า

"โอ้ย..."

"ช่วยด้วย! ฉันถูกยิง"

"ไอ้สาระเลวเอ้ย ยิงกูทำไมวะ!"

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียงบ่นด่าของผู้ถูกยิงดังขึ้นระงม รถคนนั้นขับหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับไล่ยิงคนเดินเท้าอื่นๆ ไปด้วย หลังจากนั้นก็เลี้ยวหายไปที่ในถนนหลักอีกเส้นหนึ่ง ตำรวจสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรแจ้งทันที

"นักสืบแองเจล่า โคล ตำรวจบอสตัน รหัสประจำตัว 312 ขอแจ้งเหตุยิงกันที่เขตเชลซี ถนนเชอรี่ตัดกับถนนวิลเลี่ยม คนร้ายเป็นวัยรุ่นชาย 5 คน ขับรถโตโยต้าสีเงิน ไม่รู้รุ่น ไม่รู้เลขทะเบียน ตอนนี้พวกเขาหายไปที่ถนนวิลเลี่ยม ขอย้ำ ตอนนี้มีคนเดินเท้าถูกยิงประมาณ 4 คน เรียกรถพยาบาลด้วย"

โคลวางสายแล้วหันไปดูหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกยิงคนแรก

"ฉันเป็นตำรวจ คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?"

"ฉันถูกยิงที่ท้อง" หญิงสาวตอบ

"ฉันไม่เห็นเลือดของคุณเลย ขอฉันดูหน่อยนะ" นักสืบหญิงพูดแล้วบอกให้อีกฝ่ายเปิดเสื้อให้ดู เธอเห็นรอยเขียวจ้ำ เป็นหลุมลึกและบวม ตรงบริเวณหน้าท้องด้านซ้าย

นักสืบหญิงหันไปหาพนักงานเสิร์ฟของร้านที่วิ่งมาหาเธอ "ขอน้ำแข็งให้เธอหน่อย ประคบที่ท้องนะ" หลังจากนั้นก็วิ่งไปหาชายอีกคนหนึ่งที่ถูกยิง

เสียงไซเรนของตำรวจสายตรวจแล่นเข้ามาเทียบจอดริมถนน ตำรวจในเครื่องแบบสองนายวิ่งเข้ามาหาเธอทันที

"นักสืบโคล?" ตำรวจผิวเข้มตัวใหญ่พูดเมื่อเห็นเธอ

"ใช่... รถพยาบาลมาหรือยัง?"

"กำลังมาครับ"

"พวกคุณช่วยดูรอบๆ หน่อย เด็กพวกนั้นเอาปืนไล่ยิงใส่คนที่เดินเท้าไปตลอดทาง แต่ดูจากสภาพแผลแล้ว ฉันไม่คิดว่าจะเป็นปืนจริง น่าจะเป็นปืนปลอมจำพวกปืนอัดลมหรืออะไรที่คล้ายกันมากกว่า" ตำรวจสาวพูดแล้วยืนขึ้น "พวกคุณมีถุงเก็บหลักฐานกับถุงมือยางติดมาบ้างมั้ย?"

"มีครับ"

"งั้นขอฉันหน่อย ฉันว่าเราเจอลูกกระสุนแล้วล่ะ"

โคลใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมงในการเดินตามเก็บลูกเหล็กสีเงินที่มีลักษณะเหมือนกระสุนเหมือนปืนอัดลมที่ตกตามทางเท้าเท่าที่เธอจะมองเห็น หลังจากนั้นก็ส่งถุงนั้นกับตำรวจสายตรวจเพื่อนำมันไปตรวจสอบต่อไป

"พวกคุณเอาไปจัดการนะ อย่าลืมดูแลคนเจ็บด้วย"

"ครับผม"

"เฮ้อ... เหนื่อยชะมัด" นักสืบหญิงเดินกลับไปที่ร้าน เธอนั่งลงที่โต๊ะตัวเดิม แล้วเรียกพนักงานมาเก็บเงินค่าอาหาร

"โทษทีนะ อ้อ... เก็บค่าน้ำแข็งที่คุณเอาไปช่วยคนเจ็บด้วยล่ะ"

"ไม่เป็นไรครับคุณตำรวจ ถือว่าช่วยกัน"

ตำรวจสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูก็ตกใจ "ชิบหายแล้ว!" มีสายที่ไม่ได้รับจำนวน 12 สาย ซึ่งทั้งหมดเป็นของศรัณยา

"เล็ก ฉันขอโทษ พอดีมีเรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้น" โคลกรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

"เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?! แล้วคุณเป็นอะไรหรือเปล่า? บาดเจ็บตรงไหนมั้ย?" สาวไทยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ

นำสืบหญิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวก และเสียงดนตรีจากปลายสาย เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่ร้านอาหารแล้ว

"ฉันไม่เป็นอะไร... เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนน่ะ?"

"ตอนนี้ฉันพวกเราย้ายมาที่ถนนเฟอร์รี่น่ะ ขอโทษนะ ฉันโทรหาคุณแต่คุณไม่รับสายก็เลยโดนเพื่อนๆ ลากมาด้วย"

"อยากกลับหรือยังล่ะ?"

"ค่ะ... คืนนี้อยู่กับฉันนะคะ"

"ได้สิ ฉันจะไปรับคุณเดี๋ยวนี้ล่ะ"

?

สองวันต่อมา...

"มันเป็นกระสุนปืนบีบี" โจเซฟ บาร์ด หัวหน้ากองพิสูจน์หลักฐานบอกกับโคล ทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้าในสำนักงาน

"เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?"

"กระสุนที่เธอเก็บมาให้สายตรวจเมื่อวันก่อนเป็นกระสุนของปืนบีบี... ไม่รู้จักหรือยังไง?"

"รู้จัก"

"ก็แค่นั้นล่ะ"

"มีรอยนิ้วมือในนั้นบ้างมั้ย?"

"ก็น่าจะมี... แต่ยังไม่ได้ดูให้ละเอียด" แล้วบาร์ดก็เดินจากไป ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนมองอย่างหงุดหงิด

เมื่อนักสืบหญิงพบหน้าคู่หู เขาก็โยนแฟ้มงานใส่หน้าเธอทันที "ท่าทางเธอคงจะว่างมากเลยสินะ ขนาดวันหยุดยังหาคดีมาใส่หัวอีก"

ตำรวจสาวอ่านข้อมูลในแฟ้มงานแล้วเงยหน้าขึ้นมองโจแฮนสันด้วยความไม่เข้าใจ

"ทำไมพวกเขาให้พวกเราทำคดีนี้?"

"จะไปรู้เหรอ!"

"ให้ตายเหอะพอล... ฉันแค่ไปส่งเล็กที่งานเลี้ยง แล้วก็แวะหาอะไรกินแถวนั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันแหละว่าจะไปเจอคดีอะไรพวกนี้"

"เออ... ก็ซวยไง"

"เฮ้อ... แล้วตอนนี้นายได้ข้อมูลอะไรมาบ้างล่ะ?"

นักสืบหนุ่มเปิดแฟ้มแล้วอ่านให้ฟัง "กระสุนเหล็กทรงกลมขนาด 0.2 มิลลิเมตร เป็นกระสุนปืนบีบี ยิงมาจากปืนอัดลมเบาระบบแก๊ส"

"แล้วไงต่อ?"

"ตำรวจสายตรวจกับตำรวจจราจรดักจับรถคันที่เธอบอกไว้ได้ เป็นวัยรุ่นชาย 5 คน อายุ 16 ? 18 ปี พวกเขาอยู่ในชมรมที่เล่นบีบีกัน* คนขับรถอายุ 18 มีอาการมึนเมาและคึกคะนอง"

*บีบีกัน (BB Gun) หรือแอร์ซอฟต์กัน (Airsoft gun) เป็นกีฬาแบบ survival game เช่นเดียวกับ เพนต์บอล จะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย ปืนที่เล่นในบีบีกันเป็นปืนอัดลมเบา ลูกกระสุนเป็นเม็ดกลม ทำจากวัสดุหลากหลายทั้งพลาสติก ไฟเบอร์ และเหล็ก ขนาดมาตรฐานคือ 6 มิลลิเมตร ผู้เล่นจะต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มิดชิดและหนาพอ มีหน้ากากหรือแว่นป้องกันดวงตา ปืนที่ใช้เล่นบีบีกันมีแรงอัดในระดับที่อาจเป็นอันตรายหากยิงโดนลูกตาระยะประชิด หรือบริเวณอื่นของร่างกาย ปืนมีลักษณะคล้ายปืนจริงมาก มีทั้งปืนสั้น ปืนกล ปืนยาว ปืนบีบีกันบางรุ่นปรับแรงอัดได้สูงสุดถึง 500 ฟุตต่อวินาที อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บในกรณีที่ยิงระยะใกล้กว่า 5 เมตร หรือแม้แต่ระยะหวังผล 15 เมตร ทำงานได้โดย 3 ระบบคือ ระบบแก๊ส อัดลมด้วยมือ Air cocking และระบบไฟฟ้า

โคลขมวดคิ้ว "ดักจับได้ ถ้างั้นก็ปิดคดีได้แล้วล่ะสิ ทำไมถึงส่งยังคดีมาให้เราอีกล่ะ?"

"ลองเปิดหน้าสุดท้ายสิ" โจแฮนสันพูด

เมื่อนักสืบหญิงได้อ่านข้อมูลหน้าสุดท้ายคิ้วของเธอก็ขมวดแน่น ในนั้นระบุข้อมูลเอาไว้ว่า รถของเด็กหนุ่มทั้ง 5 นั้น ประสบอุบัติเหตุขณะที่กำลังหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พวกเขาเห็นรถโตโยต้าของเด็กหนุ่มถูกไล่จี้โดยรถสีดำที่ไม่ทราบทะเบียนและยี่ห้อด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น รถตำรวจที่ขับตามมานั้นไม่เห็นรถสีดำคันนั้นเสียแล้ว

"อะไรกันวะเนี่ย!"

"คำนั้นแหละที่ฉันอยากจะพูด... อะไรกันวะเนี่ย"

ตำรวจสาววางแฟ้มลงบนโต๊ะ เปิดคอมพิวเตอร์ "มาหาข้อมูลกันเถอะ"

?

โจแฮนสันและโคลเดินทางไปพื้นที่ที่รถของเด็กหนุ่มทั้งห้าพลิกคว่ำและทำให้ทั้งห้าคนเสียชีวิต แต่ก็ไม่มีเบาะแสเพิ่ม พวกเขาจึงไปที่สำนักจราจรเพื่อขอดูกล้องวงจรปิด พวกเขาก็พบกับภาพรถยนต์สีดำที่ขับไล่ตามรถโตโยต้าของเด็กหนุ่ม ในภาพนั้นรถยนต์คันสีดำกระพริบไฟสูงไล่รถที่อยู่ด้านหน้าไปตลอดทาง หลังจากนั้นอุบัติเหตุก็เกิดขึ้น

"คุณพอจะบอกได้มั้ยว่ารถคันนี้ทะเบียนอะไร?" นักสืบหนุ่มถาม

เจ้าหน้าที่ซูมภาพเข้าไป แต่ด้วยคุณภาพของภาพที่ได้มาไม่ค่อยดีนัก จึงทำให้มองไม่เห็นป้ายทะเบียน แต่ก็สามารถบอกยี่ห้อของรถได้

"ฟอร์ด แกรนด์ ทอริโน่ ปี 1972 ซะด้วย หมอนี่เล่นรถแรงแบบคลาสสิค" โจแฮนสันพูด



"งั้นคงต้องหารายชื่อผู้จดทะเบียนรถที่ใช้รถยี่ห้อ สี และรุ่นเดียวกับคันนี้ จำกัดวงให้แคบลงเฉพาะในบอสตัน ถ้าเป็นไปได้ก็เขตเชลซี" นักสืบหญิงพูด

"ตามนั้น"

นักสืบหนุ่มบอกให้เจ้าหน้าที่พิมพ์รูปรถคันนั้นออกมา เพื่อนำไปเข้าแฟ้ม พวกเขาสั่งให้ทีมข้อมูลสืบหน้ารายชื่อผู้จดทะเบียนตามที่ตำรวจสาวบอก และพวกเขาก็จะออกตามหาข้อมูลของรถคันนี้จากละแวกที่เกิดเหตุใช้ปืนบีบียิงใส่คนเดินเท้าด้วย

นักสืบทั้งสองทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหาร ณ ร้านที่โคลมากินข้าวเมื่อสองวันที่แล้ว

"ผมเอาสเต็กซี่โครงกับหอมใหญ่ทอด อ้อ! ขอซอสทาร์ทาร์เยอะๆ ด้วย แล้วก็อเมริกาโน่สองช็อต"

"ฉันขอมีฟโลฟ มันบดใหญ่ กับสมูทตี้โยเกิร์ต" โคลสั่งอาหารตามคู่หู

"สมูทตี้โยเกิร์ต?" โจแฮนสันเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

ตำรวจสาวมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก "เล็กบอกว่าฉันควรจะกินอะไรที่มีประโยชน์บ้าง"

"ก็เลยเป็นสมูทตี้โยเกิร์ต" เสียงแซวดังขึ้นมาอีกครั้ง

"อย่าพูดมากน่า!" นักสืบหญิงพูดอย่างรำคาญ "วันก่อนที่มาที่นี่ฉันกินกาแฟไปแก้วใหญ่ แล้วก็กินกาแฟอีกแก้วตอนที่ขับรถไปรับเล็ก สรุปแล้วคืนนั้นฉันก็นอนไม่หลับ ชวนเธอนั่งคุยกันทั้งคืน เธอก็เลยบอกให้ฉันงดกาแฟแล้วกินอะไรที่เป็นโยชน์บ้างก็เท่านั้นเอง"

นักสืบหนุ่มยิ้มมุมปาก

"อะไรเล่า!" โคลตอบกลับแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักเมื่อเห็นใบหน้ากรุ้มกริ่มของคู่หู

"สาวน้อยดูแลเธอดีนะ"

นักสืบหญิงยิ้มออกมาน้อยๆ "ใช่... แล้วฉันก็รู้สึกดีมากด้วยที่มีเธอคอยดูแลฉัน"

หลังจากที่อาหารถูกเสิร์ฟ และลงมือกินไปได้สักพัก สองนักสืบก็นำรูปที่ได้จากสำนักงานจราจรขึ้นมาถกกันว่าพวกเขาควรจะเริ่มหารถแกรนด์ ทอริโน่ จากที่ไหนก่อนดี ซึ่งระหว่างที่กำลังถกกันอยู่นั้น พนักงานเสิร์ฟหนุ่มที่เดินมาเก็บจานออกจากโต๊ะอาหารก็หน้าซีดลงทันทีเมื่อเห็นรูปรถคันนั้นที่อยู่ในมือของโจแฮนสัน

"ไอ้หนู เป็นอะไรหรือเปล่า?" นักสืบหนุ่มถาม

"ร... รถคันนั้น..."

ตำรวจสาวถามทันที "นายรู้จักด้วยเหรอ?"

"ก... แกรนด์ ทอริโน่ผีสิง"

"อะไรนะ?!"

"แกรนด์ ทอริโน่ผีสิง"

โจแฮนสันดึงตัวพนักงานเสิร์ฟให้นั่งลงข้างๆ เขาทันที "มันคืออะไร เล่าให้เราฟังให้หมด"

จากคำบอกเล่าของพนักงานเสิร์ฟเขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่กี่เดือนมานี้มีอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้มากมาย ซึ่งทางเขาเองก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรนักเนื่องจากเขาไม่ใช่รถ อีกทั้งพื้นที่แถวนี้ก็อยู่ใกล้กับไฮเวย์ ซึ่งผู้ขับขี่มักจะใช้ความเร็วสูงและก็น่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แต่เหตุการณ์แปลกๆ เริ่มเกิดขึ้นกับคนแถวนี้มากขึ้น โดยเฉพาะกับวัยรุ่นที่ขับรถในละแวกนี้

"ไม่มีใครรู้ว่าแกรนด์ ทอริโน่คันนี้มาจากไหน ที่แน่ๆ คือหมอนี่ขับรถไล่จี้รถทุกคันบนถนนในช่วงดึก คนที่เจอมันถ้าไม่ตาย ก็เจ็บ" พนักงานเสิร์ฟเล่า

"แล้วทำไมคุณไม่เอาเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจ?" โคลถาม

"ผมไม่คิดว่าตำรวจจะเชื่อ" เขาตอบ "เพื่อนของผมคนนึงรถคว่ำเพราะโดนรถคันนั้นไล่ตาม แต่พอไปแจ้งตำรวจ พวกเขาก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย"

นักสืบทั้งสองตัดสินใจใส่รายชื่อของพนักงานเสิร์ฟหนุ่มไว้เป็นพยาน รวมทั้งพยายามหาเบาะแสต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถแกรนด์ ทอริโน่คันนี้อีกด้วย และหลังจากตระเวนหาข้อมูลจากละแวกนี้ ทั้งบ้านคนและร้านอาหาร ผู้คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รถแกรนด์ ทอริโน่คันนั้นเป็นรถผีสิง รถที่คอยไล่ตามรถทุกคันบนถนนในละแวกนี้ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตั้งแต่สองทุ่มเป็นต้นไป คนแถวนี้ต้องรีบกลับเข้าบ้าน ไม่ขับรถหรือออกมาเดินเพราะพวกเขากลัวรถคันนี้

"ทำอย่างกะเรื่อง Urban legends** ที่มีรถไล่ตามฆ่าคน" นักสืบหญิงพูด

"หรือไม่ก็หนังเรื่อง Dead Proof*** ของเควนติน" คู่หูของเธอตอบ

**เรื่องเล่าหรือตำนานประจำท้องถิ่นแบบร่วมสมัย หลายเรื่องมีที่มาหรือเค้าโครงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็มีบ้างที่เป็นเพียงข่าวลือหรือเรื่องยกเมฆ เช่น เรื่องฆาตกรบนเบาะหลัง ดีใจมั้ยที่ไม่เปิดไฟ เป็นคนก็เลียได้ เป็นต้น

***หนังของเควนติน ทาเรนติโน่ พูดถึงฆาตกรโรคจิตที่คอยติดตามสาวๆ สุดเซ็กซี่เพื่อที่จะปลิดชีพพวกเธอด้วยรถของเขาเอง

"แต่ว่านะแองจี้ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเค้าโครงจากเรื่องจริง อย่างที่นิวเม็กซิโกช่วงต้นทศวรรษ 1980 ไง"

"อะไรเหรอ?"

"ก็พวกโรคจิตขับรถปิดไฟ แล้วพอมีคนขับรถสวนมาเปิดไฟกระพริบใส่ พวกมันก็จะตาม แล้วก็ไล่จี้ ใช้ปืนยิง รีดไถ ฆ่า หรือไม่ก็ข่มขืน ถ้าคนขับรถเป็นผู้หญิง****"

****http://en.wikipedia.org/wiki/Headlight_flashing#Urban_legend

"รู้สึกคุ้นๆ เรื่องนี้เหมือนกันแฮะ... แต่นายแน่ใจเหรอว่ามันจะเกิดขึ้นได้กับที่นี่?"

"ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เอาเป็นว่า เราเจอคดีที่ยากอีกคดีนึงแล้วล่ะ"

...

"Urban legends เหรอ? ฉันไม่คิดว่าคุณจะเชื่ออะไรกับเรื่องพวกนี้นะ" ศรัณยาพูดหลังจากที่ฟังแฟนสาวเล่าเรื่องคดีที่เพิ่งได้รับมา

"แหงล่ะ ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่กำลังสงสัยอยู่ว่าจะหารถคันนั้นได้ยังไง เพราะไม่มีใครในเขตเชลซีมีรถแกรนด์ ทอริโน่เลยสักคัน"

"มันมาจากที่อื่นหรือเปล่า? เขตที่ใกล้ๆ กัน"

"ก็น่าจะใช่ ตอนนี้ฉันกับพอล แล้วก็ตำรวจคนอื่นๆ ก็เลยต้องกระจายกันตามหารถคันนั้น"

สาวไทยยิ้ม "กระจายกันตามหาถึงที่นี่เลยด้วยสินะ"

โคลหัวเราะออกมาอย่างอายๆ ตอนนี้เธอนั่งคุยกับแฟนสาวบนรถของตัวเองที่ใกล้กับ MIT ช่วงระหว่างที่แยกกันทำงานกับคู่หู เธอทนคิดถึงศรัณยาไม่ไหว เลยต้องขับรถมาหาอีกฝ่ายถึงที่นี่

"ก็คิดถึงคุณไง" ตำรวจสาวตอบพลางดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมาจูบ เธอมองสาวไทยด้วยสายตาที่ออดอ้อน

ศรัณยายิ้มกว้างแล้วโน้มตัวไปหอมแก้มแฟนสาว "คิดถึงเหมือนกันค่ะ"

ระหว่างที่นักสืบหญิงขับรถไปส่งสาวไทยที่บ้านนั้น ทั้งสองก็ได้คุยกันถึงคดีบ้างเล็กน้อย เธอถามอีกฝ่ายว่าที่เมืองไทยมีตำนานแบบนี้บ้างหรือไม่ ซึ่งคำตอบของแฟนสาวจะเป็นไปในทางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณเสียมากกว่า

"ที่เมืองไทยคนส่วนใหญ่ถือศาสนาพุทธ รวมทั้งมีความเชื่อด้านวิญญาณจากการนับถือผี หรือตามศาสนาอื่นๆ เช่น พราหมณ์ หรือ ฮินดู ด้วย พวกเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นมันก็เลยผสมปนเปกันไปหมด ทั้งเรื่องจริง เรื่องเล่า บางอย่างก็พิสูจน์ได้ บางอย่างก็พิสูจน์ไม่ได้ ฉันก็เลยไม่คิดว่าเรื่องเล่าของเมืองไทยจะเชื่อมต่ออะไรกับเหตุการณ์ที่นี่ได้หรอกนะ"

"นั่นสินะ มันก็เหมือนกับหนังของเวส คราเว่น***** แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องพวกนั้นมันก็มีเค้าโครงความจริง และสามารถทำได้จริงถ้ามีคนคิดจะทำ"

*****Wes Craven ผู้กำกับหนัง เจ้าพ่อหนังสยองขวัญ ผู้สร้างตำนานนิ้วเขมือบ เฟรดดี้ ครูเกอร์ Scream, Red Eye, The People Under the Stairs, The Hills have Eyes

"แบบนั้นล่ะค่ะ ระวังตัวด้วยนะแองจี้ ฉันเป็นห่วงคุณนะ" ศรัณยาพูดพลางลูบแก้มคนที่ขับรถมาส่งเธอที่บ้านพัก 

"ฉันจะระวังตัว" โคลพูดแล้วดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาจูบ หลังจากนั้นก็บอกลากัน

หลังจากที่แยกจากแฟนสาว นักสืบหญิงก็ไปรับคู่หูแล้วขับรถต่อไปที่เขตเชลซีอีกครั้ง เธอเทียบจอดรถริมทางเท้าใต้ไฮเวย์บนถนนวิลเลี่ยม เพราะโจแฮนสันได้เบาะแสมาว่ามีคนพบเห็นรถแกรนด์ ทอริโน่จอดอยู่บริเวณนี้เมื่อคืนก่อน

"ไม่พบข้อมูลของรถประเภทนี้ในละแวกนี้ คงต้องตรวจสอบจากเขตอื่น" นักสืบหนุ่มพูด

"ฉันว่าจะลองไปดูที่ร้านขายรถมือสอง" ตำรวจสาวพูด

"ก็ดี เผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรมากยิ่งขึ้น"

"นายว่าคืนนี้รถคันนั้นจะโผล่มามั้ย?"

"ไม่รู้สิ เธอว่ายังไงล่ะ?"

"ไม่รู้เหมือนกัน ฉันว่าเราน่าจะรออยู่ตรงนี้สักชั่วโมงนึง ถ้าไม่เจอก็ขับตระเวนไปเรื่อยๆ"

โจแฮนสันพยักหน้า "เห็นด้วย เอาแบบนั้นแหละ"

มีรถตำรวจสายตรวจ และรถของคนละแวกนั้นผ่านไปมาระหว่างที่ทั้งสองนั่งรอการปรากฏตัวของรถแกรนด์ ทอริโน่ หลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระราวๆ ครึ่งชั่วโมง นักสืบหนุ่มก็ถามขึ้นมาว่า

"สาวน้อยเป็นยังไงบ้าง?"

"ก็ดี... ใกล้จะเรียนจบแล้ว"

"เหรอ... แล้วจะกลับประเทศไทยเลยหรือเปล่า?"

"เห็นว่าอาจารย์ที่ปรึกษาอยากให้อยู่ช่วยงาน แลกกับทุนเรียนปริญญาเอกที่นี่"

"เจ๋งแฮะ คนเอเชียแถวนี้มีแต่หัวกะทิกันทั้งนั้นเลยนะเนี่ย"

โคลยิ้ม แล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย "นายคิดว่าไงถ้าฉันจะขอให้เล็กย้ายมาอยู่กับฉัน"

"ก็ไม่ได้ว่าไงนี่ พวกเธอสองคนรักกันดี อยู่ด้วยกันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"

"ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนเอเชียเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าไอ้ที่ฉันกำลังจะขอให้เธอย้ายมาอยู่ด้วยมันจะถูกต้องมั้ย... รู้แต่ว่าฉันอยากเห็นหน้าเธอทุกวัน อยากนอนกอดเธอ อยากคุยกับเธอ เล็ก... ทำบ้านฉันให้เป็นบ้าน ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะ... แต่ฉันรู้สึกว่าเหมือนชีวิตฉันขาดอะไรบางอย่างไปถ้าไม่มีเล็กอยู่ข้างๆ รู้แค่ว่าฉันอยู่ที่ไหนก็ได้ถ้ามีเธออยู่"

"รู้อะไรมั้ยคู่หู ฉันว่าเธอตกอยู่ในห้วงแห่งความรักแบบแท้จริงเข้าให้แล้วล่ะ"

นักสืบหญิงหัวเราะออกมาเบาๆ "คงงั้น"

"แต่ฉันก็ดีใจนะ ที่เธอเจอกับใครสักคนที่รักเธอจริง" นักสืบหนุ่มตบไหล่อีกฝ่าย "เอาล่ะแองจี้ เราออกไปตามหาไอ้รถบ้าคันนั้นกันเถอะ หลังจากฟังที่เธอพูดแล้วฉันคิดถึงแม็กซีนขึ้นมาทันทีเลย"

"นายคิดถึงเมียนายเหรอวะ ฮ่า ฮ่า ไม่อยากจะเชื่อ"

"เห็นแบบนี้ฉันก็รักเมียฉันนะเว้ย หุบปากแล้วขับรถไปเถอะน่า!"

ทั้งสองขับรถตระเวนไปเรื่อยๆ ตามถนนสายหลักในเขตเชลซี เมื่อตำรวจสาวเลี้ยวเข้าไปในวงเวียนของถนนเบอร์มิงแฮม โคลก็สังเกตเห็นรถคันหนึ่งที่วิ่งสวนมา รถคันนั้นไม่ได้เปิดไฟหน้ารถ

"ไอ้บ้าเอ้ย" นักสืบหญิงกระพริบไฟใส่ เพื่อเป็นการเตือนอีกฝ่ายว่าการขับรถยนต์เช่นนี้เป็นอันตราย ทั้งต่อตนเอง และคนขับรถคนอื่นๆ บนถนน

รถคันนั้นแล่นสวนไปด้วยความรวดเร็ว แต่แล้วนักสืบทั้งสองก็ได้ยินเสียงเบรกตามมาด้วยเสียงล้อที่เบียดกับถนนดังลั่น โจแฮนสันหันกลับไปมองทันที

"ชิบหายแล้วแองจี้ นั่นมันแกรนด์ ทอริโน่"

ตำรวจสาวมองที่กระจกหลังทันที เธอเห็นรถคันหนึ่งขับไล่ตามเธอมาพร้อมกับกระพริบไฟสูงใส่เธออีกด้วย

"เราจะจับมันยังไงดี?" โคลถามขณะที่กำลังเร่งความเร็ว

"ล่อให้มันไปที่ศาลาว่าการ ฉันจะเรียกกำลังเสริม" นักสืบหนุ่มพูด หลังจากนั้นก็วิทยุเรียกศูนย์

"มาลองกันสักตั้งมั้ย แกรนด์ ทอริโน่ผีสิง" นักสืบหญิงพูดออกมาเบาๆ

ไฟที่กระพริบสูงอยู่ตลอดเวลาทำให้ตำรวจสาวรู้สึกรำคาญ เธอพยายามเร่งความเร็วเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างรถของเธอกับรถคันที่ไล่ตามมา แต่ด้วยกำลังเครื่องยนต์ของอีกฝ่ายที่แรงกว่า ทำให้แกรนด์ ทอริโน่ไล่จี้ตามติดรถที่เธอขับมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเข้าใกล้มากขึ้น รถสีดำก็บีบแตรและกระพริบไฟสูงใส่เธอระรัว

"บ้าชิบ!" โคลสบถขณะที่หักเลี้ยวไปที่ถนนมาโบโรห์ ท้ายรถของเธอปัดไปชนแท่นดับเพลิงแต่ก็ยังเหยียบคันเร่งต่อไป

ไม่นานนักเสียงไซเรนดังขึ้นด้านหลังของแกรนด์ ทอริโน่ ตำรวจสายตรวจกำลังไล่ตามพวกเขามา นักสืบหญิงมองเห็นรถตำรวจสองคันตามรถสีดำที่ไล่จี้เธอเข้ามาใกล้ทุกที แล้วเธอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

"พอล หาที่ยึดเอาไว้นะ"

"เธอจะทำอะไรน่ะ?!"

"เถอะน่า นับสามนะ สาม... สอง... หนึ่ง..."

สิ้นเสียงของตำรวจสาว เธอก็กระทืบเบรก รถของเธอกระตุกและหน้าทิ่มทันที ถุงลมนิรภัยพองขึ้นทั้งคนขับและที่นั่งข้างคนขับ แรงกระแทกตามมาอีกครั้งเมื่อแกรนด์ ทอริโน่พุ่งเข้าชนท้ายรถอย่างรุนแรง ร่างกายของนักสืบทั้งสองกระตุกอย่างรุนแรง เสียงเบรกของรถตำรวจทั้งสองคันตามมา แล้วได้ยินเสียงเปิดประตูรถ

โจแฮนสันรีบปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูรถออก ตัวของเขาล้มลงบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองคู่หูอีกครั้งแล้วยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายปลอดภัยดี หลังจากนั้นก็ปลดเซฟปืน แล้วพยักหน้าให้กับตำรวจสายตรวจเพื่อเข้าไปจับกุมคนขับรถสีดำ

นักสืบหญิงรีบวิ่งเข้าไปสมทบ เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าที่ตกใจของตำรวจสายตรวจและคู่หู

ไม่มีใครอยู่หลังพวงมาลัยรถแกรนด์ ทอริโน่!

...

"มันจะเป็นไปได้ยังไง จากตรงนั้นมันแค่ไม่กี่นาทีเองนะ แล้วคนขับรถมันจะหายไปได้ยังไง?" เสียงของหมวดคูเปอร์ถามนักสืบทั้งสองที่ดูแลคดีนี้

"ไม่มีใครทราบ ทั้งผม นักสืบโคล และตำรวจสายตรวจอีก 4 คนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน พวกเขาขยายการค้นหาไปตลอดคืน แต่ก็ไม่พบตัวผู้ต้องสงสัย"

"นี่คุณจะบอกว่ารถคันนี้มันขับไล่ตามคนด้วยตัวมันเองอย่างนั้นเหรอ เฮอะ แล้วจะตอบคนอื่นๆ ว่ายังไงกัน!"

"ก็บอกไปว่าอยู่ในระหว่างการสืบสวนก็แล้วกันครับ ตอนนี้พวกเราได้ชื่อเจ้าของรถแล้ว จ่าสิบเอกวอลต์ รัมซีย์ ทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนาม เขาอาศัยอยู่ที่โอกลาโฮม่า"

"แล้วส่งคนไปคุยกับเขาหรือยัง?"

"คงไม่ได้แล้วค่ะ จ่ารัมซีย์เสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้ว ตามพินัยกรรมของเขา รถแกรนด์ ทอริโน่ ถูกยกให้กับบ้านพักคนชราละแวกนั้น แต่มันหายไปหลังจากเปิดพินัยกรรมได้สองวัน" โคลตอบ

หมวดคูเปอร์ทำเสียงแบบไม่พอใจเท่าไหร่นัก "ตามเรื่องแล้วรายงานผลให้ผมรู้เป็นระยะๆ ก็แล้วกัน"

"รับทราบ"

นักสืบทั้งสองเดินออกจากห้องของผู้บังคับบัญชา ลงไปที่โรงจอดรถที่เก็บหลักฐานของผู้ต้องสงสัยแล้วหยุดยืนที่หน้ารถแกรนด์ ทอริโน่สีดำ

"รถแรงนะว่ามั้ย?" โจแฮนสันพูด

"แรงจนชนรถฉันพังยับเลยล่ะ" นักสืบหญิงตอบแบบเซ็งๆ "ใช้เวลาซ่อมอีกตั้งสองเดือน"

"เอาน่า... เธอคิดว่าคนขับรถคันนี้จะหนีไปไหนได้?"

"ไม่รู้แฮะ แต่ที่แน่ๆ หมอนั่นคงไม่ได้แอบอยู่เบาะหลังรถของฉันหรอก******" ตำรวจสาวตอบพลางทำหน้าล้อเลียน "แต่ไม่แน่ว่าอาจจะแอบอยู่หลังรถนายก็ได้นะ" เธอหัวเราะเบาๆ แล้วเดินหนีไป

นักสืบหนุ่มทำหน้าเหวอ "แองจี้ ยัยบ้า! ล้อเล่นแบบนี้ไม่ตลกนะเว้ย!"

****** ฆาตกรที่เบาะหลัง (Killer in the Backseat) หรือรู้จักกันในอีกชื่อว่า High Beams เป็น urban legends ที่รู้จักกันดีในอเมริกาและอังกฤษ ปรากฏครั้งแรกในปี 1967 เกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่ขับรถกลับบ้านช่วงดึก แต่กลับถูกไล่ตามอย่างประชิดโดยรถลึกลับ คนขับเปิด-ปิดไฟสูงถี่ๆ และคอยจี้ก้นรถเธอไม่ห่าง บางคราวถึงกับกระแทกชนท้ายรถเธอ เมื่อเธอมองผ่านกระจกหลังก็ได้ยินเสียงชายลึกลับตะโกนและทำมือทำไม้เป็นสัญญาณมือบางอย่าง ทำให้เธอตื่นตระหนกจนแทบประสาทเสีย รถคันนั้นตามจี้เธอไปติดๆ จนกระทั่งเธอขับกลับมาถึงบ้านอย่างทุลักทุเล พอจอดรถได้เธอก็รีบวิ่งเข้าบ้านโดยพลันด้วยใจระทึก เมื่อพยายามจะโทรแจ้งตำรวจก็ได้ยินเสียงคนขับรถคันนั้นตะโกนว่า "ล็อคประตูบ้านแล้วโทรเรียกตำรวจซะ!" เมื่อตำรวจมาถึง เธอก็ได้รู้ความจริงอันน่าสะพรึงว่าที่แท้คนขับรถลึกลับคันนั้นพยายามจะเตือนเธอว่ามีฆาตกรแอบซ่อนอยู่ที่เบาะหลังของรถ และทุกครั้งที่มันพยายามจะลุกขึ้นจากที่ซ่อนเพื่อทำร้ายเธอด้วยอาวุธในมือ เขาจึงขับรถมาประชิดและกระแทกท้ายรถเพื่อให้มันเสียจังหวะ

เมื่อทำงานเสร็จ โคลเดินไปขึ้นรถไฟแล้วเดินตรงไปที่บ้านพักหลังหนึ่ง เธอกดกริ่งที่หน้าประตูบ้านแล้วยิ้มทักทายให้กับคนที่เปิดประตู และเมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวภายในบ้านหลังนั้น เธอพูดเบาๆ กับเจ้าของห้องว่า

"กลับมาแล้วค่ะ ที่รัก"

...

คดีนี้ยังคงสร้างความงุนงงให้กับตำรวจบอสตันและผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ รถแกรนด์ ทอริโน่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่ส่วนเก็บหลักฐานของกรมตำรวจ และถือว่าเป็นคดีแรกที่นักสืบพอล โจแฮนสัน และนักสืบแองเจล่า โคล ไม่สามารถปิดคดีลงได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือไม่มีเสียงร่ำลือถึงแกรนด์ ทอริโน่ผีสิงภายในเขตเชลซีอีกต่อไป

Special Case 3 End

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น