web stats

ข่าว

 


The Detective's File - File 4

โพสต์โดย: nuffy วันที่: 13 สิงหาคม 2014 เวลา 09:17:25 อ่าน: 293

คำเตือน
- กรุณาอย่าคาดหวังเรื่องความซับซ้อนของคดี เพราะคิดซับซ้อนได้ไม่มาก
- ชื่อบุคคล และสถานที่ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น โดยฉากหลังบางฉากแต่งขึ้นมาเอง   

...

วันทำงานที่แสนจะสงบเงียบของตำรวจบอสตันหาได้ไม่ง่ายนัก และวันแบบนี้ก็เป็นวันที่ดีในการจัดการกับรายงานทั้งหลายที่ค้างไว้เป็นตั้งให้ออกจากแฟ้มงานอย่างรวดเร็ว

นักสืบแองเจล่า โคล รัวนิ้วมือลงแป้นคีย์บอร์ดของแล็ปทอปอย่างรวดเร็ว สมาธิของเธอมุ่งมั่นกับการเคลียร์งานให้หมดไม่ให้เหลือ และเย็นนี้เธอนัดเดตกับศรัณยา นักศึกษาสาวชาวไทย ใครจะไปเชื่อว่าสาวผมบลอนด์ร่างสะโอดสะอง นัยน์ตาสีน้ำเงิน ผู้เป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายต่อหลายคนจะออกเดตกับผู้หญิงด้วยกัน แถมคู่เดตของเธอในคืนนี้ยังเป็นอดีตพยานคดีที่เธอทำอีกด้วย!

"วันนี้แต่งตัวสวยดีนี่ มีอะไรพิเศษเหรอ" นักสืบพอล โจแฮนสัน คู่หูของเธอร้องทักพลางมองดูอีกฝ่ายในชุดแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลที่ใส่ทับเสื้อยืดคอวีสีดำ กางเกงยีนส์ขาเดฟ และรองเท้าส้นเข็ม เธอน่าจะอยู่ในออฟฟิศธุรกิจมากกว่าออฟฟิศตำรวจ

"สวยทุกวันอยู่แล้วย่ะ... ก็ไม่มีอะไรมาก... วันนี้กะว่าจะไปดูบาสสักหน่อย"

"วันนี้เซลติกส์แข่งนี่นา หรือว่า... เธอชวนสาวน้อยไปด้วย"

"ใช่... มีปัญหาเหรอ?"

"ไม่มีหรอก แค่ดีใจที่เห็นเธอทำอย่างอื่นนอกจากงานได้บ้าง บอกตามตรงว่าฉันกลัวเธอจะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกตายตั้งแต่ยังสาวนะ เล่นใช้ชีวิตไม่สนใจใครแบบนี้ ถ้าไม่ตายเพราะงานก็คงแห้งเหี่ยวตาย... ไม่ว่ากันนะคู่หู"

"ไม่ว่ากันอยู่แล้ว" นักสืบหญิงตอบกลับ แล้วสบถใส่เขาว่า "ไปตายซะ"

"ว่าแต่เธอคุยกับสาวน้อยเรื่องอะไรบ้างล่ะ?"

"เรื่องสัพเพเหระทั่วไปแบบที่ผู้หญิงคุยกัน แล้วก็แบบที่ผู้ชายอย่างนายคาดไม่ถึงด้วย"

"โดนกัดคืนจนได้ ฉันน่าจะระวังตัวให้ดีกว่านี้" นักสืบหนุ่มบ่นกับตัวเองแล้วถามต่อว่า "แล้วเล่าเรื่องของเธอให้ฟังหรือยัง?"

โคลเงียบทันทีพร้อมกับสีหน้าที่กังวลใจ "ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี มันพูดยากนะ"

"ฉันรู้ว่ามันยาก ก็แล้วแต่เธอนะ" โจแฮนสันตบไหล่แล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

เย็นวันนี้... ตำรวจสาวพาสาวไทยไปที่สนามดีทีการ์เด้นท์ สนามประจำทีมบอสตัน เซลติกส์ ทีมบาสเก็ตบอลในแอตแลนติกฝั่งตะวันออกของลีคเอ็นบีเอ วันนี้ทีมเซลติกส์จะแข่งขันกับออร์แรนโด เมจิกส์

สองสาวตะโกนเชียร์กีฬาที่แข่งขันกันอย่างสุดมันส์ เซลติกส์ในชุดสีขาวคาดเขียวนำเมจิกส์ด้วยคะแนน 54 - 45 ในช่วงควอเตอร์ที่สอง และจบสี่ควอเตอร์ทีมเจ้าบ้านก็เอาชนะไปด้วยสกอร์ 96 - 89 โดยที่ ราจอน รอนโด เป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดของแม็ตช์นี้

"สนุกมากเลยล่ะ ฉันเพิ่งจะเคยดูแข่งบาสกันจริงๆ ก็ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลย" ศรัณยาพูด "พวกเขากระโดดสูงกันมาก เกมส์ก็มันส์มากด้วย"

"ดีใจนะที่คุณชอบ" โคลพูด เธอหันไปยิ้มให้กับอีกฝ่าย "ฉันไม่เคยสนุกแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน"

มือของสองสาวประสานกันแล้วบีบแน่น สาวไทยยิ้มแล้วเอนตัวซบไหล่อีกฝ่าย "คุณรู้มั้ย ฉันเคยบอกกับอเล็กซิสว่าฉันมาที่นี่เพื่ออย่างอื่นมากกว่าจะมีแฟน"

"แล้วเขาว่ายังไงล่ะ?"

"เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อ เขาคิดว่าฉันต้องปิ๊งใครสักคนที่นี่แน่นอน"

"แล้ว?"

ศรัณยาเงยหน้าขึ้นมองนักสืบหญิง "ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ตอนที่ได้ไปอยู่บ้านคุณในคืนนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ แล้วมันก็ยิ่งทำให้ตัวฉันเองแปลกใจมากขึ้นที่ยอมให้คุณจูบแล้วก็มีอะไรกับคุณ ฉันตอบไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้คืออะไรนะแองจี้... แต่สิ่งที่ฉันเคยบอกกับคุณว่าฉันอยากดูแลคุณ... คุณที่คอยดูแลคนทั้งเมือง คนบ้างานที่รับผิดชอบชีวิตคนอื่นมากกว่าตัวเอง... ฉันอยากจะบอกว่า ฉันอยากอยู่ข้างๆ คุณ อยากช่วยคุณ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ฉันก็อยากจะช่วยคุณ... จริงๆ นะ"

โคลยิ้มแล้วใช้มือประคองใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ "ขอบคุณนะ ฉันไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรนอกจากคำนี้ ไม่เคยมีใครบอกฉันแบบนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครทำให้ฉันอย่างที่คุณทำให้มาก่อน ไม่มีเลย..."

สองสาวแลกจุมพิตกันอย่างเนิ่นนาน เมื่อถอนจูบออกตำรวจสาวก็ถามศรัณยาว่า "คุณจะคบกับฉันได้มั้ย? คนที่ทำแต่งาน ไม่มีเวลาให้แม้แต่ตัวเอง คนที่อาจจะอยู่ข้างๆ คุณ คุยกับคุณหรือพบกับคุณได้ไม่บ่อยแบบคนอื่นๆ คนที่คอยทำห้องเละๆ ให้คุณมาจัดการให้ คนที่ชอบบ่นเรื่องคดีแย่ๆ บ่นเรื่องเครียดๆ ให้คุณฟัง..."

สาวไทยหัวเราะแล้วจูบโคลอีกครั้ง "ฉันยินดี"

คำตอบสั้นๆ ที่แสนจะกินใจนักสืบหญิง น้ำตาร้อนๆ ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำเงินสวย น้ำตาแห่งความดีใจที่ไหลออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ค่ำคืนนี้สองสาวนอนกอดกันด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมกับสถานะ 'คนรัก'

...

บอสตัน เมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์ เมืองที่เก่าแก่ที่สุด มั่งคั่งที่สุด และเป็นเมืองแห่งการศึกษา ชาวต่างชาติมากมายอยู่ที่เมืองนี้ ทั้งมาศึกษาและทำงาน ทัศนคติของผู้คนที่นี่ต่อชาวต่างชาติค่อนข้างดี คดีส่วนใหญ่ที่ตำรวจได้รับเมื่อมีคู่กรณีเป็นชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะมีชิงทรัพย์ ทะเลาะวิวาท สร้างความรำคาญให้กับผู้อื่น และมักจะจบลงด้วยดีเมื่อคู่พิพาทมีเชื้อชาติเดียวกับหรือใกล้เคียงกันหรือแม้แต่เรียนที่เดียวกัน สถิติของการก่ออาชญากรรมโดยส่วนใหญ่จะเกิดกับคนอเมริกันมากกว่าคนต่างชาติ

แต่วันนี้มีคดีที่เกิดขึ้นกับชาวต่างชาติ เมื่อตำรวจรับแจ้งเหตุกรณีล่อลวงและข่มขืนกระทำชำเราของเด็กสาวชาวเวียดนามคนหนึ่ง เด็กสาวคนนี้เพิ่งเดินทางมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสองเดือน และยังพูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้ เธอบอกว่าคนที่ทำเป็นชายผิวสีที่พูดภาษาเดียวกับเธอ

"เธอว่ายังไงบ้าง?" โคลถามล่ามแปลภาษาเวียดนาม-อังกฤษ

"เธอบอกว่าเธอรู้จักเขาตั้งแต่ก่อนที่จะมาอเมริกา" ล่ามตอบ "พวกเขารู้จักกันผ่านโปรแกรมแชททางอินเตอร์เน็ต เขาคุยกับเธอเป็นภาษาเวียดนาม"

"ให้เธอเล่าต่อสิ" โจแฮนสันบอก

"ผู้ชายคนนั้น... เขาดีใจมากที่รู้ว่าเธอจะมาที่นี่ มาอเมริกา และอยู่ที่บอสตัน... เขาบอกว่าจะขอนัดเจอกับเธอถ้าเธอสะดวกแล้วเธอก็ตอบตกลง"

เด็กสาวเริ่มร้องไห้เมื่อเริ่มจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอเล่าไปร้องไห้ไป ส่วนล่ามแปลภาษาก็จดข้อมูลไปพร้อมกับปลอบเด็กสาวไปด้วย

"เธอตกใจตอนที่เห็นหน้าเขา เธอคิดว่าเขาเป็นคนเวียดนามเหมือนกับเธอ แต่เขากลับเป็นคนผิวสี... เป็นคนดำ"

"พอจะบอกลักษณะเพิ่มเติมได้มั้ย?" นักสืบหญิงถาม

"สูงประมาณ 170 เซนติเมตร หรืออาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย ตัวหนา ผมฟูๆ หน้าผากเถิก" เด็กสาวพูดกับล่ามแล้วร้องไห้โฮ

ล่ามแปลต่อไปอีกว่า "เธอตกใจแล้วเดินหนี แต่เขาก็ตามเธอมา เธอเลยตะโกนใส่หน้าเขา ด่าเขาว่าเป็นจอมหลอกลวง เขาไม่ใช่คนเวียดนาม เขาตบหน้าเธอแล้วบอกว่าเขาเป็นคนเวียดนามจริงๆ แล้วเขาก็ลากเธอไปที่หลังร้านอาหารแล้วก็ลงมือกับเธอ"

สองนักสืบจดรายละเอียดชื่อ ID Name ที่คนร้ายใช้แชทกับเด็กสาว ร้านอาหารและสถานที่นัดพบของพวกเขา และเรียกให้ทีมพิสูจน์หลักฐานมาคุยเรื่องการตรวจร่างกายและการสเก็ตภาพคนร้าย หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปที่สถานที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นย่านลิตเติ้ลไซง่อน ซึ่งอยู่ใกล้กับไชน่าทาวน์

"มีคนผิวสีกี่คนที่พูดภาษาเวียดนามได้?" โคลตั้งคำถาม

"ไม่รู้สิ แต่พูดตรงๆ ฉันแยกความแตกต่างระหว่างภาษาจีนกับภาษาเวียดนามไม่ออก" นักสืบหนุ่มพูด

"ภาษาพูดฉันเองก็ฟังไม่ออกเหมือนกัน แต่ฉันพอแยกภาษาเขียนออก"

"ยังไง?"

"ตัวอักษรจีนเหมือนรูปวาด ส่วนเวียดนามเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็มีรูปหมวกตลกๆ อยู่ข้างบน" นักสืบหญิงตอบแล้วชี้ให้ดูป้ายประกาศที่เป็นอักษรจีนและเวียดนามในบริเวณแถวนั้น

"งั้นเหรอ... เอาล่ะ เข้าไปคุยกับเจ้าของร้านกันเถอะ"

ข้อมูลที่ได้จากเจ้าของร้านน้อยมาก ตอนแรกเขาตกใจเมื่อนักสืบทั้งสองชูตราตำรวจให้ดู แล้วก็ถอนหายใจเพราะพวกเขาแค่มาถามเรื่องเหตุการณ์ที่ลูกค้าสาวถูกข่มขืน เขาบอกแค่ว่าวันนั้นมีลูกค้ามาเต็มร้าน ทั้งคนเอเชีย คนผิวสี และผิวขาว เขาไม่ได้สังเกตว่ามีคนผิวสีกี่คน เขามารู้อีกทีว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นก็ตอนที่ลูกน้องยกขยะไปทิ้งที่หลังร้านแล้วเจอตัวเด็กสาวนอนอยู่จึงรีบเรียกรถพยาบาล

"แล้วแถวนี้มีคนผิวสีทำงานอยู่บ้างมั้ย?" โจแฮนสันถาม

"มีอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่พวกคนดำมักทำงานกับพวกเราได้ไม่นาน" เจ้าของร้านตอบแบบไม่ใส่ใจ แต่เขาก็ให้ความร่วมมือด้วยการบอกว่าร้านไหนมีลูกจ้างที่เป็นคนผิวสีทำงานอยู่

"เราคงต้องสืบประวัติคนพวกนี้ต้องหาให้หมด สอบปากคำคนแถวนี้ด้วย" นักสืบหนุ่มพูด

"ฉันจะลองสืบดูว่าเคยมีคดีที่คนผิวสีข่มขืน ทำอนาจาร หรือคดีที่เกี่ยวกับเพศ หรือล่วงละเมิดทางเพศกับคนเอเชียในคลังข้อมูลของเราบ้างหรือเปล่า เผื่อเราอาจจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มขึ้น" โคลพูด

"เห็นด้วย งั้นฉันจะตามเรื่อง ID Name ของคนร้ายเอง คิดว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแน่"

สองวันต่อมาโจแฮนสันนั่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานอย่างเหนื่อยอ่อน เขาลองสืบหาและสอบถามข้อมูลหญิงสาวคนที่เคยคุยกับใครก็ตามที่ใช้ชื่อว่า 'Dinh Tao' บางคนที่ได้คุยกับเขาก็บอกว่าเป็นคนที่ตลกและมีอัธยาศัยดี และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตในอเมริกา แต่สำหรับหญิงสาวบางคนที่ได้ยินชื่อของคนๆ นี้ พวกเธอนิ่ง เงียบ และไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเขาอีก

"ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงเป็นแบบนี้" นักสืบหนุ่มพูด

"เท่าที่ฉันรู้ ผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่ไม่กล้าบอกใครและไม่กล้าแม้แต่จะแจ้งความเมื่อถูกข่มขืน เพราะจะรู้สึกกลัว อับอาย และมักถูกกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้ถูกข่มขืน รวมไปถึงไม่ได้รับการสอบสวนที่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายที่มีแต่ผู้ชาย" นักสืบหญิงตอบ "พวกเธอมักจำทนและจำยอมกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมักจะถูกกระทำซ้ำถ้าคนที่ข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศเป็นคนรักหรือเป็นคนในครอบครัว"

โจแฮนสันมองหน้าคู่หูด้วยความสงสัย โคลตอบกลับไปว่า "ถ้าอยากรู้ข้อมูลของคนเอเชีย ก็ต้องอ่านงานวิจัยที่เกี่ยวกับคนเอเชียสิ"

"หรือออกเดตกับคนเอเชีย"

ตำรวจสาวค้อนอีกฝ่ายทันที

"หรือว่าไม่จริง" นักสืบหนุ่มพูดแบบไม่ใส่ใจ "เวียดนามนี่อยู่ใกล้กับประเทศไทยใช่มั้ย?"

"หุบปากไปเลยพอล" นักสืบหญิงพูดกัดฟัน "หรือนายอยากจะมีเรื่อง"

"เปล่า... แล้วเรื่องที่เธอสืบเป็นยังไงบ้างล่ะ?"

"กำลังรอข้อมูลจากล่ามที่ส่งไปแปลให้อยู่ พวกนายจ้างดันเก็บที่อยู่ของคนทำงานไว้เป็นภาษาตัวเอง" โคลตอบแล้วโยนแฟ้มงานบนโต๊ะ "ส่วนกรณีข่มขืนหรือล่วงละเมิดทางเพศคนเอเชียโดยคนผิวสีก็มีสองราย เอ็ดเวิร์ด วอชิงตัน ข่มขืนแล้วฆ่าผู้หญิงสี่รายเมื่อสี่ปีก่อน หนึ่งในสี่เป็นคนจีน ตอนนี้ติดคุกตลอดชีวิต อีกคนนึงชื่อมัลคอม เจมส์ โทษตลอดชีวิตเหมือนกัน รายนี้ทั้งปล้น จี้ และข่มขืนผู้หญิงเก้าราย สามในเก้าเป็นคนเอเชีย สองคนเป็นจีนอีกหนึ่งเป็นคนเวียดนาม... เป็นคดีเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว"

"สี่ปีกับยี่สิบปีที่แล้วเหรอ?" โจแฮนสันพูด "สถิติดูจะห่างมากเกินไปหน่อยนะ"

"หรืออีกนัยหนึ่ง... ในบรรดาเหยื่อของคนผิวสีที่เป็นคนเอเชียไม่มาแจ้งความ เลยทำให้สถิติหายไป"

"นั่นสิ"

เสียงโทรศัพท์ของโคลดังขึ้น หลังจากที่รับสายได้ไม่นานเธอก็บอกกับคู่หูว่า "เอกสารแปลเสร็จแล้ว นายจะไปกับฉันมั้ย?"

"แน่นอน"

...

บ่ายวันต่อมาในร้านอาหารใกล้กับแม่น้ำชาร์ลส์ ฝั่งอีสต์เคมบริดจ์ของบอสตัน

"สวัสดีจ้ะ เธอใช่คนที่ช่วยเบอนิต้าใช่มั้ยจ้ะ?" หญิงผมน้ำตาลลอนที่จูงเด็กหญิงร้องทักศรัณยา

"คะ? อ้ะ! คุณคือพี่สาวของแองจี้ แล้วนี่ก็เบอนิต้าใช่มั้ยจ้ะ?"

"สวัสดีค่ะ" เด็กหญิงผมน้ำตาลในชุดแจ็คเก็ตและกางเกงยีนส์ทักทาย

"ใช่จริงๆ ด้วย! ฉันโซเฟีย พี่สาวของแองจี้จ้ะ" โซเฟียทักทาย "ฉันกับครอบครัวมากินข้าวกันที่นี่ ถ้าไม่รังเกียจฉันอยากเชิญเธอร่วมโต๊ะกับเราจะได้มั้ยจ้ะ?"

"คงไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พอดีฉันมีธุระนิดหน่อย"

"เถอะน่า... เธอ... เอ่อ"

"ศรัณยาค่ะ..." สาวไทยบอกชื่อตัวเอง "เรียกว่าเล็กก็ได้นะคะ"

"นะจ้ะเล็ก ฉันอยากตอบแทนที่เธอช่วยลูกสาวฉันเอาไว้"

ศรัณยาคิดนิดหนึ่ง "ก็ได้ค่ะ แต่ยังไงก็คงต้องขอตัวถ้าถึงเวลานัดนะคะ"

"จ้ะ"

พี่สาวของโคลพาสาวไทยไปที่โต๊ะอาหาร ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่สี่คน เธอแนะนำศรัณยาให้รู้จักกับริชาร์ด ชายแก่หน้าบูดบึ้ง พ่อของเธอ แมรี่ หญิงชราผมบ็อบสั้น แม่ของเธอ ดีเร็ก ชายร่างใหญ่ น้องชายของเธอ และสตีฟ พาร์คเกอร์ ชายในชุดสูทเนี้ยบสามีของเธอ

"สวัสดีค่ะ" สาวไทยทักทายแล้วยิ้มให้กับทุกคน

ครอบครัวโคล และพาร์คเกอร์กล่าวขอบคุณที่เธอช่วยเบอนิต้าไว้จากคนที่ตั้งใจจะลักพาตัว ศรัณยาตอบรับและพูดว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่ช่วยเด็กหญิงไว้คือแองเจล่า คนในครอบครัวของพวกเขาต่างหาก

"คุณมาจากประเทศอะไรครับ?" สตีฟถาม

"ประเทศไทยค่ะ"

"อยู่แถวไหนของเอเชียเหรอ ใช่ไต้หวันหรือเปล่า?" ดีเร็กถามต่อ

"ไม่ใช่ค่ะ ประเทศไทยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้กับเมียนมาร์ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ ส่วนไต้หวันอยู่ใกล้กับฮ่องกงกับจีน"

"ว่าแต่คุณรู้จักกับแองเจล่าได้ยังไง?" ริชาร์ดถาม

"แองจี้เป็นคนรับผิดชอบคดีฆาตกรรมลูกพี่ลูกน้องของฉันเองค่ะ พวกเราเลยรู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้น"

"งั้นเหรอ... คดีจบไปหรือยัง?"

"ตอนนี้อยู่ในชั้นศาลค่ะ แต่ฉันคงจะพูดอะไรมากไม่ได้"

"แองจี้ทำงานดีมั้ยจ้ะ?" โซเฟียถามบ้าง

"ฉันคงตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะ ที่รู้คือเธอเป็นคนที่ทุ่มเทกับงานถึงขั้นบ้างานซะด้วยซ้ำ แล้วก็เป็นคนที่มุ่งมั่นกับการทำงานมาก เธออยากช่วยทุกคน ดูแลทุกคนที่เดือดร้อนจนแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเอง"

"จะจริงเร้อ?" ดีเร็กพูดขัดเบาๆ "คนอย่างแองเจล่าเนี่ยนะจะดูแลทุกคนจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ก็เห็นแต่งตัวตามแฟชั่นอยู่ตลอดเวลา"

"ก็ผู้หญิงนี่คะ จะปล่อยให้ตัวเองดูแย่ได้ยังไง" สาวไทยตอบ เธอรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของอีกฝ่ายที่แขวะแฟนของเธออยู่

"ดูยังไงก็ไม่น่าจะทำงานให้คุณชมได้ถึงขนาดนี้ ก็แองเจล่าเป็น..." คุณพ่อพูดอีกครั้งแต่ก็หยุดไว้เพราะโดนภรรยาห้ามด้วยสายตา

"อะไรเหรอคะ?" ศรัณยาถาม

"เปล่าหรอกจ้ะ ไม่มีอะไร" แมรี่ตอบกลับ "ดูท่าทางหนูจะสนิทกับแองเจล่า"

"ก็... ค่ะ" สาวไทยตอบ เธอไม่กล้าพูดถึงสถานะใหม่ของเธอกับตำรวจสาว เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศของครอบครัวนี้แปลกๆ ทั้งคำพูด ท่าทางที่มีต่อนักสืบหญิง รวมทั้งสีผมและสีตาของครอบครัวนี้ที่เป็นสีน้ำตาล แต่ของแฟนสาวของเธอเป็นสีบลอนด์ทองและน้ำเงิน

ศรัณยามองดูที่นาฬิกาข้อมือแล้วขอตัวเพราะได้เวลานัดของเธอแล้ว เธอเดินออกมาได้นิดหน่อยแล้วหันกลับไปดูครอบครัวของคนรัก นอกจากสตีฟ โซเฟียและเบอนิต้าแล้ว ทุกคนที่โต๊ะนั้นดูท่าทางไม่ชอบและตั้งแง่กับแฟนสาวของเธอ

โคลกลับมาถึงบ้านก็พบกับสาวไทยที่เพิ่งจะล้างจานเสร็จ

"เฮ้ ขอบคุณนะ ฉันกะว่าจะกลับมาล้างให้ทันก่อนคุณมา" ตำรวจสาวพูดแล้วเดินเข้าไปจูบอีกฝ่าย

"เห็นว่าคุณยังไม่มาก็เลยจัดการให้ก่อน... วันนี้เป็นยังไงบ้าง?"

"ก็เหมือนเดิม มีคดีเข้าติดกันอีกสอง เมาแล้วยิงปืนใส่ข้างบ้าน กับสามีทำร้ายภรรยา แล้วก็คดีที่ยังตามข้อมูลอยู่"

สองสาวเดินลงไปนั่งที่โซฟา นักสืบหญิงเอนตัวลงนอนบนตักของอีกฝ่าย "เหนื่อยจัง" เธอพูดแล้วจูบมือศรัณยา

"บ่นแบบนี้ทุกที แต่ก็ไม่เห็นจะหยุดพัก" สาวไทยพูดพลางหัวเราะ

"ฉันบ่นไม่บ่อยสักหน่อย" โคลพูดแล้วบีบแก้มแฟนสาว "วันนี้ไปพบเจ้าหน้าที่ของกงสุลมาเป็นยังไงบ้าง?"

"ส่วนใหญ่คุยเรื่องภาพรวมของคดี แล้วก็คุยกันเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองที่ไทยนิดหน่อย อ้อ! ฉันเจอครอบครัวคุณด้วยล่ะ"

"ครอบครัวฉัน?"

"พี่โซเฟียกับเบอนิต้า พ่อแม่คุณ พี่ชายคุณ แล้วก็พี่เขยคุณ... บังเอิญเจอกันที่ร้านอาหารน่ะ พวกเขาชวนฉันร่วมโต๊ะแต่ก็แค่แป๊บเดียวแล้วฉันก็ขอตัวออกมาก่อน"

"งั้นเหรอ..."

สาวไทยมองสีหน้าอีกฝ่ายที่เรียบเฉย แต่ดวงตาของนักสืบหญิงฉายแววกังวลเล็กน้อย "แองจี้... มีอะไรหรือเปล่า?"

"เปล่า... ยังไงพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรฉันอยู่แล้ว"

"พวกเขาถามถึงคุณด้วยนะ"

"ถามเรื่องอะไรเหรอ?"

"ฉันรู้จักคุณได้ยังไง คุณทำงานเป็นยังไง แล้วพวกเขาก็พูดอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับคุณ"

"เหรอ" นักสืบหญิงพูดเสียงเรียบ

"แองจี้... ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณกับพวกเขามีเรื่องอะไรกัน แต่ฉันอยู่ข้างคุณนะ"

ตำรวจสาวมองหน้าแฟนสาวแล้วนอนตะแคงซุกหน้าลงกับหน้าอกของอีกฝ่าย "เล็ก ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะบอกคุณ"

"อะไรเหรอคะ?"

โคลค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วกอดศรัณยาไว้ "คุณสังเกตมั้ยว่าสีผมกับสีตาของฉันไม่เหมือนกับคนอื่นๆ"

"ค่ะ"

"ฉันเป็นเด็กที่พวกเขาไม่ต้องการ... เฮ้อ... ฉัน... ฉันเป็นลูกที่เกิดจากแม่ที่ถูกข่มขืน*"

*Rapist's child

"อะไรนะ!?"

นักสืบหญิงคลายอ้อมกอดออก "แม่ของฉัน แมรี่ โคล ถูกเพื่อนของพ่อชื่อ นีล คริสเต็นเซ่น ข่มขืน"

"คุณรู้ได้ยังไง?"

"พวกเขาบอกฉันเอง" โคลพูด "ฉันรู้เรื่องนี้ตอนอายุ 14 พ่อกับแม่พาฉันไปหาเขาที่คุก... นีล คริสเต็นเซ่น ติดคุกตลอดชีวิตฐานค้าเฮโรอินกับยิงตำรวจตายไปสองคน"

"แองจี้..."

"เขาเป็นเพื่อนกับพ่อ ฉันหมายถึงริชาร์ด โคล คนที่ฉันเรียกว่าพ่อ เป็นเพื่อนรักเลยล่ะ พ่อไม่เห็นด้วยที่เขาทำผิดกฎหมายแต่ก็ห้ามไม่ได้ พ่อเลยแจ้งตำรวจให้จับเขาวันนึงเขามาหาพ่อที่บ้านแต่พ่อไม่อยู่ เขาเลยข่มขืนแม่เพราะอยากแก้แค้นพ่อ... แม่ไม่ได้บอกว่าตัวเองถูกข่มขืน พอแม่ท้องแม่ก็คิดว่าฉันไม่ใช่ลูกของเขา เพราะตอนนั้นแม่ก็นอนกับพ่อเหมือนกัน แต่พอฉันเกิดมาเรื่องก็แตกเพราะสีผมกับสีตาฉันมันเหมือนกับของเขา แล้วที่แย่กว่านั้นคือเขาโดนจับก่อนที่ฉันจะเกิดได้ไม่กี่เดือน พวกเขาเลยส่งฉันไปให้เขาเลี้ยงไม่ได้แล้วก็ไม่กล้าส่งฉันไปสถานสงเคราะห์"

สาวไทยลูบแก้มอีกฝ่ายที่เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังด้วยเสียงเรียบๆ

"พวกโคลก็ไม่ได้เลี้ยงฉันแบบทิ้งขว้างหรอกนะ เพียงแต่ฉันไม่รู้สึกว่าพวกเขารักฉัน แต่เลี้ยงตามหน้าที่... ที่ปล่อยให้ฉันเกิดมา เพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านสงสัยพวกเขาเลยบอกกับคนอื่นๆ ว่าฉันเป็นญาติห่างๆ ที่พ่อแม่ตายไปแล้วเลยรับฉันเป็นลูกบุญธรรมแทนลูกในท้องที่แท้งไป... คุณคงจะเดาออกว่าพวกเขาหมายถึงอะไร"

"ค่ะ... ฉันพอจะเดาได้"

"ฉันสงสัยเรื่องสีผมกับตาตัวเองตลอดเวลา ทำไมฉันเหมือนพวกเขา ทำไมพวกเขาถึงเย็นชากับฉัน ทำยังไงพวกเขาถึงจะดีกับฉันบ้าง ฉันอยากให้พวกเขายอมรับฉันถึงกับเคยย้อมสีผมให้เป็นสีน้ำตาลแล้วก็ใส่คอนแท็คเลนส์สีเดียวกับพวกเขา เพื่อให้ดูเหมือนกับคนอื่นๆ ในบ้าน จนกระทั่งพ่อทนไม่ได้ที่จะเห็นฉันพยายามทำเป็นเหมือนพวกเขา เขากับแม่ก็เลยบอกความจริงกับฉันด้วยการพาฉันไปพบกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง" ตำรวจสาวเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง

"พอเรื่องเป็นแบบนี้แล้วฉันก็เลยเลิกคิด แล้วก็เลิกทำทุกอย่างเพื่อจะให้เป็นเหมือนพวกเขา เพราะฉันเชื่อว่าไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่พวกเขาก็คงไม่ยอมรับในตัวฉัน... แม้แต่ตอนนี้ก็ตาม" นักสืบหญิงพูดแบบปลงๆ

"พี่สาวคุณ... ก็ดูท่าทางรักคุณนะ" ศรัณยาพูด

"โซเฟียเป็นคนเดียวที่พอจะเข้าใจฉัน แต่พวกเราก็ยังมีเรื่องไม่เข้าใจกันอยู่หลายอย่าง"

"เหรอคะ"

"คุณอยากจะถามอะไรเรื่องนี้มั้ย? อยากรู้อะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า?" โคลถาม

สาวไทยส่ายหน้า "คุณอยากให้ฉันรู้แค่ไหน ฉันก็จะรู้เท่าที่คุณเล่า ฉันเดาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณกังวลมานานว่าจะเล่าให้ฉันฟังดีหรือเปล่าแต่ฉันอยากให้คุณรู้ไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณคือคนที่ฉันอยากอยู่ด้วย เพราะคุณเป็นตัวคุณเอง จะดีหรือเลว คุณเลือกที่จะเป็นตัวคุณเองไม่ใช่เพราะคุณเป็นลูกของใครก็ตาม และคุณก็เลือกแล้ว"

ตำรวจสาวยิ้มแล้วจูบอีกฝ่ายอย่างเนิ่นนาน เธอรู้สึกโชคดีที่ได้พบกับผู้หญิงคนนี้

...

โจแฮนสันกำลังแกะรอยคนร้ายเจ้าของ ID Name ว่า Dinh Tao ด้วย IP Address ที่เขาใช้ จากข้อมูลย้อนหลังเกือบ 4 ปีพบว่าส่วนใหญ่คนร้ายใช้บริการร้านอินเตอร์เน็ตที่ให้บริการยี่สิบสี่ชั่วโมงและเข้าใช้ในเวลาเช้าและบ่าย ซึ่งตรงกับเวลาเย็นและดึกของเวียดนาม รวมทั้งช่วงเวลาอื่นๆ ในช่วงดึก

"จากข้อมูลที่มีเราจัดกลุ่มได้ประมาณ 3 เขตใหญ่ๆ คือ ไชน่าทาวน์ ลิตเติ้ลไซง่อน และย่านถนนสจ๊วต" นักสืบหนุ่มอธิบายให้กับทีมและหันไปมองคู่หู

"ฉันได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาว่าผู้หญิงเวียดนามที่ถูก มัลคอม เจมส์อัฟริกัน-อเมริกันข่มขืนเมื่อยี่สิบปีที่แล้วเธอตั้งท้องและคลอดลูก... เป็นผู้ชาย" โคลพูด

"ลูกของเจมส์?" สมาชิกในทีมคนหนึ่งถาม

"ใช่" นักสืบหญิงตอบ "ฉันว่าเราควรไปหาเธอเพื่อดูรูปพรรณของลูกชายที่เธอคลอดออกมา"

"เห็นด้วย" โจแฮนสันสนับสนุน หลังจากนั้นพวกเขาก็แบ่งงานเพื่อแกะรอยคนร้ายที่ใช้ชื่อว่า 'Dinh Tao' ต่อไป

"อะไร?" โคลถามคู่หูที่มองเธอแบบแปลกๆ ขณะที่กำลังขับรถไปที่เขตโดเชสเตอร์ ซึ่งเขตหนึ่งในแถบนั้นเป็นย่านชุมชนคนเชื้อสายเวียดนามที่อยู่ในบอสตัน

"ก็แค่ไม่คิดว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้"

"แบบไหน?"

"เรื่องประวัติของผู้หญิงเวียดนามที่เธอหามา ลูกชายของเธอเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของพวกเรา"

นักสืบหญิงถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากนั้นก็หัวเราะ "ให้ตายสิพอล ฉันทำตามหน้าที่นะ... นายคิดว่าฉันจะรู้สึกสงสาร หรืออยากจะช่วยผู้ต้องสงสัยที่เป็นลูกที่ถูกคนอื่นข่มขืนเหมือนกันงั้นเหรอ?"

"เปล่า... แค่คิดว่าเธอจะทำหน้าที่ดูแบบ... ลำบากใจกว่านี้" นักสืบหนุ่มตอบ "ฉันไม่ได้เหมารวมนะ"

"เออ... ฉันเข้าใจ ฉันรู้จักคำพูดคำนี้มาแทบจะตลอดชีวิตอยู่แล้ว" ตำรวจสาวตอบ

'ความคิดเหมารวม (stereotype**)'  โคลเข้าใจคำนี้ได้ดีและดีมากยิ่งขึ้นหลังจากที่รู้ว่าพ่อแท้ๆ ของเธอคือใคร ริชาร์ด คนที่เธอเรียกว่าพ่อมักจะพูดอยู่เสมอๆ ว่าเธอมีพฤติกรรมที่เลวร้ายเหมือนกับนีลคริสเต็นเซ่นอยู่เสมอ 'ลูกของคนเลว ต่อให้ดียังไงก็ยังเป็นคนเลวอยู่ดี' นี่คือคำพูดของเขา เธอตั้งใจที่จะเป็นตำรวจเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่

**ความเชื่อหรือความคิดของลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลหรือบางสิ่งว่าควรเป็นอย่างไรการคิดแบบเหมารวมว่าคนหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องเป็นเหมือนกันหมดเช่นคนจีนเก่งคณิตศาสตร์ คนไทยกินเผ็ด คนแก่อ่อนแอ เด็กวัยรุ่นเลือดร้อน คนผิวดำไม่ขยัน คนอเมริกันไม่สนใจประเทศอื่น นักดนตรีใช้ยาเสพติด สาวผมบลอนด์โง่

"จริงๆ นะ ฉันคิดว่าเธอจะทำหน้าแย่กว่านี้" โจแฮนสันย้ำ "พวกเราไม่เคยเจอคดีแบบนี้มาก่อนจริงมั้ย?"

"ใช่... แต่เอาเหอะ ฉันว่าเราไปคุยกับผู้หญิงคนนี้ก็มีประโยชน์พอดู อย่างน้อยๆ ฉันก็จะได้รู้ว่าฉันจะรับมือกับเรื่องพวกนี้ยังไงถ้ามีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นอีก" นักสืบหญิงพูด

ทั้งสองเดินไปที่บ้านหลังหนึ่งที่มีล่ามแปลภาษามายืนรออยู่แล้ว พวกเขาขอเข้าพบกับโฮทิตัน ผู้หญิงตัวเล็ก ผมสั้น แก้มตอบ เสียงของเธอเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน เธอตกเป็นเหยื่อของการถูกข่มขืนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เรื่องเกิดขึ้นตอนที่เธออายุ 22 ปี นักสืบหนุ่มรู้สึกอึ้งเมื่อรู้ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์เลวร้าย ผู้หญิงคนนี้ก็แทบจะไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนอีกเลยยกเว้นย่านของคนเชื้อชาติเดียวกัน เพราะครอบครัวหัวโบราณของเธอรู้สึกอับอายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอคลอดลูกที่โรงพยาบาลและเลี้ยงดูเขาท่ามกลางความเกลียดชังของญาติๆ ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน

"ลูกชายของเธอชื่อฟามดินห์ เขาออกจากบ้านไปได้ประมาณ 5 ปีแล้ว" ล่ามแปลคำบอกพูดของโฮทิตันให้กับนักสืบทั้งสอง

"แล้วเขาติดต่อกลับมาบ้างมั้ย?" นักสืบหนุ่มถาม

"มีบ้าง ประมาณเดือนละครั้ง"

"ครั้งที่สุดท้ายที่ติดต่อมาล่ะ?"

"เมื่อสิบกว่าวันที่แล้ว เขาเอาเงินมาให้"

"คุณพอจะมีรูปของลูกชายคุณบ้างมั้ย?" โคลถาม

โฮทิตันมีท่าทางตกใจแต่ก็หยิบรูปให้โดยดี เธอยื่นให้กับนักสืบหญิง รูปใบนั้นเป็นภาพของเธอยืนคู่กับชายผิวสีคนหนึ่ง เขาตัวสูงไม่มาก น่าจะราว 172 เซนติเมตร ร่างกายแข็งแรงเมื่อดูจากกล้ามแขนและหน้าอก ผมสั้นและฟู ใบหน้าเหลี่ยม กรามสูง หน้าผากเถิก ให้ความรู้สึกดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้มีอายุมากกว่าแม่ของเขาเสียอีก

"เขาทำอะไรผิดเหรอ?" โฮทิตันถาม

"มีเรื่องเกิดขึ้นที่ไชน่าทาวน์ ล่อล่วงและข่มขืนผู้หญิงเวียดนาม คนร้ายใช้วิธีแชทคุยกับเหยื่อและนัดเจอโดยใช้ภาษาเวียดนาม แต่เมื่อเจอหน้ากันเหยื่อกลับเดินหนีและต่อว่าเพราะว่าคนร้ายเป็นคนผิวสี" โจแฮนสันอธิบาย "เราไม่ได้ปักใจเชื่อว่าลูกชายคุณนายเป็นคนทำ เราเพียงแค่มาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อหาความเป็นไปได้ของคนร้ายเท่านั้น"

หญิงเวียดนามนั่งฟังคำอธิบายของนักสืบหนุ่มอย่างสงบ และตอบคำถามเท่าที่เธอจะตอบได้ รวมทั้งให้ที่อยู่ของลูกชายเธอด้วย

"ฉันมันผิดเอง" โฮทิตันพูดเป็นภาษาของตัวเองก่อนที่สองนักสืบจะลากลับ

"อะไรนะ?" ตำรวจสาวหันไปถาม

"ฉันผิดเอง" ล่ามแปล "ฉันผิดเองที่ขัดคำสั่งพี่ชายและกลับบ้านดึกๆ คนเดียวจนทำให้เกิดเรื่อง ฉันผิดเองที่คลอดเขาออกมา ฉันมันไม่ดีเอง"

"คุณนายคะ" โคลแตะไหล่ของอีกฝ่าย "เรื่องนี้คนผิดคือมัลคอม เจมส์ ไม่ใช่คุณ ลูกที่คุณคลอดออกมาก็ไม่ใช่ความผิดของคุณ หรือเป็นเรื่องที่คุณต้องรับผิดชอบ คนเราเลือกสิ่งที่จะเป็นได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย ชีวิตของลูกชายคุณเขาเป็นคนเลือกว่าจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี เราเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ฉันว่าเราไม่ควรเหมารวมว่าเขาเป็นคนไม่ดีเพราะเขาเป็นลูกของคนเลว"

"พูดได้ดีนี่" นักสืบหนุ่มชม หลังจากที่เดินกลับมาขึ้นรถ

"บอกแล้วไงว่าผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่จะรู้สึกผิดหลังจากที่ตัวเองถูกข่มขืน"

"แล้วคำพูดที่ว่าเลือกที่จะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีล่ะ เธออ่านมาจากงานวิจัยเล่มไหน?"

นักสืบหญิงยิ้มมุมปาก "ฉันเรียนรู้มาจากคนไทยคนนึงที่ฉันออกเดตด้วย"

ต่อจากนั้นสองนักสืบเดินทางไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตแห่งหนึ่งในเขตถนนสจ๊วต ร้านนี้เป็นร้านที่ระบุว่ามีสถิติสูงสุดในการล็อคอินเข้าใช้งานของ Dinh Tao พวกเขาถามเจ้าของร้านว่ามีคนผิวสีเข้ามาใช้บริการที่นี่เป็นประจำกี่คน และได้รับคำตอบว่ามีอยู่ประมาณ 5 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาที่พักอาศัยอยู่ละแวกนี้

"แล้วคุณเคยเห็นผู้ชายคนนี้มั้ย?" โคลถามพร้อมยื่นรูปถ่ายของฟามดินห์ให้เจ้าของร้านดู

"อ๋อ ดินห์อ่ะเหรอ เขามาบ่อยนะ เขาทำงานอยู่ในไชน่าทาวน์"

"ปกติเขาจะมาเวลาไหน?" โจแฮนสันถาม

"ประมาณบ่ายๆ แล้วมาอีกทีก็ช่วงเช้ามืดไปเลย บางครั้งก็ดึกๆ ส่วนใหญ่เขาจะชอบแวะมาหลังที่เขาเลิกงานน่ะ เขาทำงานไม่ค่อยเป็นเวลาเท่าไหร่"

เจ้าของร้านเล่าต่อว่าฟามดินห์ชอบนั่งตรงมุมห้อง บางทีก็ยิ้มและหัวเราะอยู่คนเดียวและพูดกับตัวเองเป็นภาษาแปลกๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่พวกเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะคนหลากหลายเชื้อชาติที่มาใช้บริการพูดคนเดียวกับหน้าจอมอนิเตอร์เมื่อพบอะไรถูกใจหรือไม่ถูกใจอยู่ตลอดเวลา

นักสืบหญิงเดินไปดูที่ที่นั่งประจำของฟามดินห์ส่วนคู่หูของเธอกำลังสอบถามเกี่ยวกับที่อยู่ของคนผิวสีอื่นๆ เธอกดดูโปรแกรมต่างๆ สักพักแล้วก็เดินไปสมทบกับเพื่อนร่วมงาน หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตตามเขตอื่นๆ ที่คนร้ายใช้งาน

โคลรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจและสอบถามจากร้านอินเตอร์เน็ตทั้งหมดในวันนี้ ส่วนนักสืบหนุ่มกำลังอ่านผลการตรวจร่างกายของผู้เคราะห์ร้าย

"ผลการตรวจเทียบเคียงดีเอ็นเอกับคราบอสุจิจะตามมาอีกสองสามวัน" เขาพูด

"แล้วทำไมส่งมาพร้อมกันไม่ได้ล่ะ?" ตำรวจสาวถาม

"คนไม่พอ... ตอนนี้มีบาร์ดทำงานอยู่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ถูกดึงไปทำคดีอื่น เธอก็รู้ว่าเขาทำงานยังไง ละเอียด แต่ช้าเป็นบ้า" โจแฮนสันตอบแบบเซ็งๆ "เขากำลังตรวจดีเอ็นเอจากอสุจิและหาผลเทียบกับคนร้ายผิวสีทั้งหมดในประวัติที่เรามี"

นักสืบหนุ่มจิบกาแฟแก้วที่ห้าของวัน คืนนี้เขาอยู่โยงส่วนคู่หูของเขาจะได้กลับบ้านเป็นวันแรกของสัปดาห์นี้ "ฉันนึกถึงคำถามของเธอที่ไชน่าทาวน์"

"ว่า?"

"มีคนผิวสีกี่คนที่พูดภาษาเวียดนามได้?"

"แล้วยังไง?"

"ถ้าคนร้ายไม่ใช่ฟามดินห์... ฉันยังไม่ได้บอกว่าเขาผิดนะ" เขาแก้ตัวเมื่อเห็นสายตาของคู่หูที่มองมาแบบไม่สบอารมณ์นักเมื่อพูดข้อสันนิษฐานที่เลื่อนลอย "ฉันหมายถึงตอนนี้เทคโนโลยีก้าวไกลมาก เจ้า Dinh Tao นี่มันอาจจะเป็นคนดำที่ไหนก็ได้ที่ใช้กูเกิ้ลแปลภาษาอังกฤษ-เวียดนาม หรือเวียดนาม-อังกฤษ คุยกับคนที่ประเทศนั้นจนทำให้เขาหลงเชื่อได้"

"ก็มีส่วนนะ" นักสืบหญิงพูด "ข้อสันนิษฐานนายก็ไม่ใช่ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ยังไงก็ตามเจอกันพรุ่งนี้ คืนนี้ฉันจะเอาข้อมูลกลับไปทำให้ นายเร่งให้บาร์ดหาผลเทียบเคียงดีเอ็นเอให้เร็วๆ ก็แล้วกัน อ่อ... แล้วก็อย่าลืมล็อคอินถามข้อมูล Dinh Tao จากในกลุ่มแชทด้วยล่ะ"

"รู้แล้วน่า ถ้าพวกนั้นจะคุยกับฉันเป็นภาษาอังกฤษบ้างสักหน่อยก็ดี พวกนั้นเอาแต่หัวเราะเยาะฉันตลอดเลยเวลาที่ฉันถามคำถามที่ฉันแปลเป็นภาษาเวียดนามที่ได้จากกูเกิ้ลแปลภาษา ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน หงุดหงิดเป็นบ้า"

...

โคลขับรถไปรับศรัณยาที่บ้านพักก่อนที่จะกลับบ้านตัวเอง การได้พักผ่อนและอยู่กับคนสำคัญของเธอถือว่าเป็นรางวัลในการทำงานหนักตลอดแบบไม่ได้หยุดพัก สองสาวไม่ได้พบกันเกือบอาทิตย์แล้ว เพราะนักสืบหญิงติดงานและนอนออฟฟิศ ส่วนสาวไทยอยู่ในช่วงสอบและสรุปรายงานวิจัยให้กับอาจารย์ที่ปรึกษา

ศรัณยาหัวเราะลั่นเมื่อตำรวจสาวเล่าว่าคู่หูของเธอสืบหาเบาะแสของคดีด้วยการคุยกับคนเวียดนามโดยใช้กูเกิ้ลแปลภาษาเป็นตัวช่วยในการสื่อสาร

"คุณรู้มั้ยว่ามันแปลได้ห่วยแตกมากๆ ความหมายผิดและได้คำตลกๆ ขึ้นมาแทน" เธอพูด

"ขนาดนั้นเชียวเหรอ?"

"ใช่ คนที่ใช้แต่ภาษาอังกฤษอย่างคุณคงไม่รู้... คือบางคำก็แปลออกมาได้โอเคนะ ไม่น่าเกลียด แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็ดูตลกสำหรับเจ้าของภาษา"

"อย่างเช่น?"

"ยกตัวอย่างที่เป็นภาษาไทยก็แล้วกันนะ เช่น ประโยคที่บอกว่า นี่เป็นทางตัน (It's a dead end) พอเอาไปแปลมันจะแปลออกมาเป็นคำว่า มันเป็นปลายตาย หรือคำว่า ฉันขอคุยกับคุณบราวน์ได้มั้ย? (May I talk to Ms. Brown?) มันก็แปลออกมาว่า ฉันอาจจะพูดคุยกับนางสาวสีน้ำตาล?"

นักสืบหญิงหัวเราะท้องแข็ง "นี่มันหายนะชัดๆ เลย"

"ก็ถึงบอกไงว่ามันแปลออกมาได้ห่วยมาก คุณควรจะบอกคุณโจแฮนสันให้เลิกใช้วิธีนี้แล้วจ้างล่ามแปลภาษามาช่วยงานเถอะ"

"ไม่ล่ะ แกล้งหมอนั่นสักหน่อยก็สนุกดี"

"แองจี้..." ศรัณยาดุอีกฝ่าย

"ก็ได้ๆ แต่ไว้ฉันจะบอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน"

โคลเอางานขึ้นมาทำต่อหลังจากที่สาวไทยหลับไปแล้ว เธอจูบหน้าผากของอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงแล้วเดินไปนั่งทำงานในห้องนั่งเล่น นักสืบหญิงทำสรุปข้อมูลผู้ต้องสงสัยออกมาโดยยึดช่วงเวลาเกิดเหตุ พยานที่พบเห็นในที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง ข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ตจากทั้งสามแห่งตามสถิติของทีมที่สรุปมา และความสามารถของภาษา ซึ่งก็คือภาษาเวียดนามเป็นหลัก เธอทำรายชื่อของผู้ต้องสงสัยออกมาได้ 4 รายชื่อโดยมีชื่อของฟามดินห์รวมอยู่ด้วย

'เอมิล เจฟเฟอร์สัน: อัฟริกัน-อเมริกัน อาชีพอิสระ เรียนภาษาเวียดนามในสถาบันสอนภาษาบอสตัน พบเห็นอยู่ในที่เกิดเหตุ'

'ไบรอั้น โบลตัน: อัฟริกัน-อเมริกัน นักศึกษามหาวิทยาลัยนอร์ธอีสต์เทิร์น เคยเป็นอาสาสมัครขององค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ที่เวียดนามอยู่สองปี พบอยู่บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ'

'เซบาลเตียน แกร์ม: นักศึกษาผิวสีจากอัฟริกาใต้ (ตามข้อมูลจากเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ต) เรียนคณะเอเชียศึกษาภาษาเวียดนาม มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ พบเห็นอยู่ในที่เกิดเหตุ'

'ฟามดินห์ โฮ: ลูกชายของโฮทิตันที่ถูกนักโทษอัฟริกัน-อเมริกันข่มขืน (มัลคอม เจมส์) อาชีพรับจ้างทั่วไปในย่านไชน่าทาวน์และลิตเติ้ลไซง่อน พบเห็นอยู่ในที่เกิดเหตุ'

ตำรวจสาวส่งข้อมูลเข้าอีเมล์ของโจแฮนสันและทีมสืบสวน โดยขอให้พวกเขารีบหาข้อมูลทั้งประวัติส่วนตัวและประวัติอาชญากรของทั้งสี่โดยเร็วที่สุด และนัดแนะกับคู่หูเพื่อนัดพบกับทั้งสี่และเหยื่ออีกครั้ง

นักสืบหญิงเดินกลับไปขึ้นเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน เธออดนอนมาสองวันครึ่งแล้ว เมื่อล้มตัวลงนอนศรัณยาก็กอดเธอไว้

"นึกว่าคุณจะทำงานทั้งคืนซะแล้ว" สาวไทยพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย "กำลังคิดอยู่เลยว่าฉันควรจะไปหาคุณที่อีกห้องนึงดีมั้ย"

"ไม่ต้องหรอก... ฉันไม่ปล่อยให้คุณนอนคนเดียวแน่" โคลพูดแล้วจูบอีกฝ่าย หลังจากนั้นเธอก็หลับในอ้อมกอดของแฟนสาว

...

การตรวจสอบประวัติของทั้งสี่คนไม่พบประวัติอาชญากรรม นักสืบทั้งสองจึงต้องเดินทางไปพบและสัมภาษณ์ผู้ต้องสงสัยทีละคน ไบรอั้น โบลตัน และเซบาสเตียน แกร์ม ตอบรับการขอเข้าพบของเจ้าหน้าที่ทั้งสองแทบจะในทันทีเพื่อยืนความบริสุทธิ์ของตัวเอง ตำรวจพยายามติดต่อเอมิล เจฟเฟอร์สัน และพบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไมอามี่ และจะเดินทางกลับมาบอสตันในสัปดาห์หน้า ส่วนฟามดินห์นั้นโจแฮนสันและนักสืบอาเธอร์ โทมัส ไปหาเขาที่ไชน่าทาวน์ แต่ไม่เจอเพราะเจ้านายสั่งให้เขาไปส่งของที่นอกเมืองโดยขอให้ตำรวจติดต่อมาอีกครั้ง

"ฉันเบื่ออาหารจีนเต็มทนแล้ว" นักสืบหนุ่มบ่นใส่คู่หูของเขาทางโทรศัพท์ "บอกให้สาวน้อยของเธอทำอาหารไทยมาให้กินทีได้มั้ย?"

"รู้แล้วน่า... เล็กทำมาเผื่อนายอยู่แล้ว ว่าแต่... นายได้อะไรมาบ้างหรือเปล่า?"

"ฟามดินห์ไม่อยู่แต่คงจะกลับมาอีกไม่นานนี้ ฉันจะอยู่รอเขาที่นี่กับอาเธอร์ เธอเข้าออฟฟิศไปเร่งบาร์ดเถอะ คิดว่าป่านนี้คงจะได้ข้อมูลแล้ว"

"ได้ แล้วเดี๋ยวเจอกัน"

นักสืบหญิงโทรไปเร่งผลการตรวจพิสูจน์กับหัวหน้าทีมพิสูจน์หลักฐาน ทั้งสองคนปะทะคารมเหมือนอย่างที่เคย สุดท้ายเขาก็รับปากว่าจะรีบส่งให้ภายในบ่ายวันนี้

"ขอภายในครึ่งชั่วโมงไม่ได้หรือยังไง?" โคลถามกึ่งขอร้อง

"ลองมานั่งทำเองสิ เธอจะรู้ว่ามันยากแค่ไหน" บาร์ดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "ให้ตายเหอะ เธอชอบเร่งงานฉันเหลือเกินนะ จะบอกอะไรให้... หน้าสวยๆ ของเธอมันไม่ได้กระตุ้นให้ฉันอยากจะบริการข้อมูลให้หรอกนะนักสืบแองเจล่า โคล"

"แล้วอาหารไทยโดยฝีมือคนไทยแท้ๆ ที่อยู่ในมือฉันตอนนี้ล่ะ มันกระตุ้นนายพอมั้ย" นักสืบหญิงพูด แฟนสาวของเธอทำอาหารไทยให้เธอกินวันนี้ รวมทั้งทำเผื่อให้เพื่อนร่วมงานของเธอด้วย

"หึ... ยังต่อรองเก่งเหมือนเดิมเลยนะ ก็ได้อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะส่งข้อมูลให้... อย่ากินหมด อย่าให้ใครแตะต้อง แม้แต่โจแฮนสัน!" เขาพูด "ว่าแต่เธอไปเอามาจากไหน?"

"เถอะน่า... ฉันจะรอเมล์นาย ถ้าได้รับแล้วนายส่งคนมารับของกินได้เลย" เธอวางหู

ขณะที่กำลังรออีเมล์จากหัวหน้าทีมพิสูจน์หลักฐาน โคลก็อ่านทวนเอกสารของผู้ต้องสงสัยทั้งสี่คนและข้อมูลการล็อคอินของ Dinh Tao แล้วเธอก็พบอะไรบางอย่าง

"เฮ้! นายช่วยตรวจสอบ IP Address ตรงนี้ได้มั้ยว่าอยู่ที่ไหน?" เธอถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคคนหนึ่ง

"รอสักครู่นะครับ... มาจากย่านที่อยู่อาศัยครับ"

"ลองค้นได้มั้ยว่าอยู่แถวไหน?"

"ขอเวลา 5 นาทีครับ"

ช่วงระหว่างนั้นตำรวจสาวก็ได้รับอีเมล์ของบาร์ดก็ส่งเข้ามาพอดี เธอเปิดอ่านแล้วกดโทรศัพท์หาคู่หูทันที

"รับซี่... รับ"

"ได้ข้อมูลแล้วครับ" เจ้าหน้าที่ยื่นข้อมูลที่ตรวจสอบให้กับโคล

"ขอบใจ" นักสืบหญิงรับมาอ่านหลังจากนั้นก็สวมแจ็คเก็ต "เชิญเหยื่อกับล่ามมาที่นี่ที แล้วก็คนที่อยู่ที่นี่ด้วย"

"แล้วคุณจะไปไหน?"

"ไปจับคนร้ายน่ะสิ"

...

ฟามดินห์ โฮ ตกใจเมื่อเห็นคนขาวสามคนเดินตรงมาที่เขา ผู้ชายสองผู้หญิงหนึ่ง เขาตามตำรวจทั้งสามไปที่สถานีตำรวจโดยไม่มีการขัดขืนแต่อย่างใด แต่เขาขอไม่พูดอะไรจนกว่าจะได้ทนาย

พักใหญ่ต่อมาโฮทิตันก็มาถึงที่สถานีตำรวจ พร้อมๆ กับเหยื่อและล่ามแปลภาษา

"ผลการตรวจสอบดีเอ็นเอที่ได้จากคราบอสุจิของเหยื่อมีความคล้ายคลึงกับดีเอ็นเอของมัลคอม เจมส์" โคลพูด "เราพบว่าคนร้ายได้ล็อคอินโปรแกรมแชทด้วย IP Address ที่มาจากบ้านพักของคุณในโดเชสเตอร์ นั่นเป็นเหตุผลที่เราควบคุมตัวเขาเอาไว้" นักสืบหญิงอธิบายให้กับแม่ของผู้ต้องสงสัยฟัง

โฮทิตันมองดูลูกชายถูกนำตัวไปที่ห้องชี้ตัวผู้ต้องหาด้วยน้ำตาคลอเบ้า เหยื่อสาวชี้ตัวเขาพร้อมกับถ้อยคำยืดยาวเป็นภาษาเวียดนามซึ่งล้วนแต่เป็นคำสบถ หลังจากนั้นสองนักสืบก็เข้าไปคุยกับฟามดินห์ พวกเขาคุยกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเขารับสารภาพว่าเขาคือ Dinh Tao และทำให้ทราบว่าเขาไม่ได้ทำแบบนี้ครั้งแรก แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้ว แต่ที่ไม่มีประวัติเพราะไม่มีใครมาแจ้งความจับเขา

"คุณไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกยังไงที่มีคนดูถูกคุณ ด่าว่าคุณ ผมมันไม่ได้เป็นทั้งคนเวียดนามทั้งคนอเมริกัน ไม่มีใครยอมรับผม ไม่มีใครเห็นหัวผม!" ฟามดินห์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดปนเสียใจ

"ทุกวันมีแต่คนว่าผม ผมเป็นปีศาจร้ายที่ไม่น่าจะเกิดมา พอผมรู้สึกดีกับคนอื่น คนเวียดนามที่เหมือนกับผม... พวกเขากลับรังเกียจ รังเกียจที่ผมไม่ได้เป็นคนเวียดนามเหมือนกับพวกเขา... พอเห็นหน้าผมก็ทำหน้าตกใจ เบ้หน้าใส่ผม กลัวผม ทำท่าขยะแขยงผม ผมเลยต้องสั่งสอนให้พวกเขารู้ซะบ้างว่าผมเป็นใคร"

"สั่งสอนด้วยการข่มขืนพวกเขางั้นสิ" นักสืบหนุ่มพูดขึ้นมาเบาๆ

"ก็ในเมื่อพวกเขาบอกว่าผมชั่ว ผมเลวเพราะพ่อผมเป็นไอ้ขี้คุก จอมข่มขืน ผมก็จะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าผมไม่เหมือนเขา"

"ไม่เหมือนตรงไหน? มัลคอม เจมส์ ข่มขืนผู้หญิงเก้าคน ส่วนนายก็ปาไปแล้วห้าคน" โจแฮนสันพูดต่อ "หรือว่านายจะบอกว่านายจะไม่ได้อยากทำแบบนี้แต่เพราะประวัติการเป็นเด็กที่เกิดจากการข่มขืนบังคับให้นายต้องทำแบบนี้งั้นเหรอ?"

"ใช่! ในเมื่อพวกเขาเหมารวมว่าผมเป็นลูกคนเลว ผมก็จะเป็นคนเลวตามแบบที่เขาพูด"

"นายไม่คิดเหรอว่านายทำให้คนที่รักนายเสียใจ" โคลพูดขึ้นมาเบาๆ "คนที่คอยปกป้อง ดูแลนาย"

"ไม่มีใครรักผมหรอก ไม่มี"

"มีสิ..." นักสืบหญิงยืนขึ้นจากเก้าอี้ "ลองคิดดูให้ดีๆ อีกอย่างไม่มีใครบังคับให้นายทำแบบนี้เพราะเพียงแค่นายเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ เป็นลูกของคนชั่วช้าที่ข่มขืนแม่นาย นายไม่จำเป็นต้องทำเลวเหมือนอย่างเขา แต่สิ่งที่นายทำคือนายเลือกที่จะทำชั่วเอง" เธอพูดแล้วสั่งให้คุมตัวผู้ต้องหาไปเขาห้องขัง

"ไม่ต้องห่วง ทางการจะหาทนายให้เอง" นักสืบหนุ่มตะโกนไล่หลังเมื่ออีกฝ่ายร้องว่าขอพบทนาย

ใบหน้าของฟามดินห์ซีดลงเมื่อพบแม่ของตัวเอง โฮทิตันนั่งร้องไห้เงียบๆ เธอตะโกนบอกลูกชายตัวเองเป็นภาษาเวียดนามอยู่หลายประโยคจนกระทั่งเขาลับตาไป

"เธอพูดว่าอะไร?" ตำรวจสาวถามล่าม

"เธอบอกว่าเธอรักเขา เขาเป็นลูกชายเธอ เธอจะไปเยี่ยมเขาที่คุกจนกว่าเขาจะพ้นโทษ หรือจนกว่า..."

"จนกว่าอะไร" โจแฮนสันถามต่อเมื่อเห็นล่ามเว้นจังหวะการพูด

"จนกว่าเธอจะตาย"

...

"เธอไม่รู้สึกอะไรใช่มั้ย?" โจแฮนสันถามคู่หูขณะที่เดินกลับห้องทำงาน เขาเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยสบายใจ

"ก็... นิดหน่อย" โคลตอบ "เขามีแรงกดดันมากกว่าฉัน และมองไม่เห็นว่าคุณค่าของตัวเองคืออะไร แถมยังไม่รู้ว่ามีคนที่รักเขาเหมือนกัน"

"นั่นสิ... เรื่องแบบนี้ถ้าเจอกับตัวเองคงทำใจได้ยาก"

"โคตรยากเลยล่ะ มีคนพูดกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นลูกใคร คนที่ทำให้เกิดมาเลวร้ายแค่ไหน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเลยสักนิด แถมถูกคนอื่นมองแปลกๆ ตลอดเวลา เฮ้อ... ช่างแม่งเถอะ ฉันหิวแล้ว" ตำรวจสาวพูด

"เออใช่! เธอยังติดอาหารไทยฝีมือสาวน้อยฉันอยู่นะ"

"อยู่ในออฟฟิศ แต่ฉันไม่การันตีว่านายจะได้กินมั้ยเพราะบาร์ดส่งคนมาเอาไปสองรอบ"

โจแฮนสันรีบเดินไปที่ห้องทำงานทันที เมื่อเห็นกล่องอาหารที่คู่หูนำมาเขาก็ร้องลั่น

"บาร์ดดดด ไอ้จอมตะกละ! นายเอาข้าวฉันไปหมดเลย!" แล้วเขาก็วิ่งลงบันไดเพื่อไปยังห้องของทีมพิสูจน์หลักฐาน

โคลหัวเราะออกมาเบาๆ "เห็นทีต้องให้เล็กทำมาให้ใหม่ซะแล้วละสิเนี่ย"

File 4, end/ To be continued

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น