สืบรักป่วนหัวใจ yuri ตอนที่ 3
โพสต์โดย:
meAyou
วันที่: 14 กรกฎาคม 2014 เวลา 17:01:34
อ่าน: 528
|
เสียงฝีเท้าที่เดินลงมาจากบันไดทำให้คนที่นั่งอยู่ต้องค่อยๆวางหนังสือในมือลงก่อนจะทำท่ากอดอกพร้อมกับการจ้องไปยังเจ้าของเสียงที่กำลังโผล่หน้ามาทีละน้อย "มาทีบ้านแทบทรุด" การวิ่งเปลี่ยนเป็นเดินทันทีก่อนที่คนถูกจับผิดจะค่อยๆฉีกยิ้มส่งไปยังต้นเสียงแต่เพียงไม่นานกันติชาก็ต้องกลืนรอยยิ้มลงคอเมื่อสายตาดุยังคงจ้องมาอย่างไม่ลดละ "จะออกไปก่อเรื่องอีกล่ะสิ" "ไม่ใช่นะคะกันแค่จะออกไปเจอเพื่อน" "ฉันก็อยากจะเชื่อแต่มันกี่ครั้งแล้วที่แกก่อเรื่อง" "โถ่ แม่คะเชื่อใจกันบ้างสิ" กันติชาเดินเข้าไปสวมกอดมารดาพร้อมกับการยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มอย่างเอาใจ "ใช้ลูกอ้อนคิดว่าจะได้ผลเหรอ" "กันทำไปไม่ได้หวังผลอะไรเลยนะคะแต่กันรู้ว่าแม่ของกันใจดีแล้วก็สวยมากด้วย" "นี่คิดว่าแม่เป็นคนหลงตัวเองอย่างนั้นเหรอ" "เปล่านะคะ กันพูดความจริงต่างหาก" คนพูดทำน้ำเสียงออดอ้อนก่อนจะส่งสายตาเศร้าๆมองไปยังมารดา "โตแล้วยังจะทำท่าทางเหมือนตอนเด็กอีกคิดว่าน่ารักเหรอ" "ก็ต้องน่ารักสิคะได้เชื้อแม่มาเต็มๆ" กันติชาคลายอ้อมกอดพร้อมกับการเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างภาคภูมิใจ "แน่นอนถ้าเอนเอียงไปทางพ่อป่านนี้ลูกก็ขี้เหล่แบบกู่ไม่กลับแล้วล่ะ" "นั่นสินะคะงั้นกันไปก่อนนะคะนัดเพื่อนเอาไว้ออ"นินทาคุณพ่อระวังท่านจะมาเอาคืนนะคะ" คนพูดชี้ไปที่รูปติดผนังจากนั้นก็ทำท่าทางสั่นๆแล้วรีบวิ่งออกประตูไปทำเอาคนถูกหลอกถึงกับขนหัวลุกไปทั้งตัวแต่พอได้ยินเสียงรถที่แล่นออกไปจากบ้านก็รู้ได้ทันทีว่าถูกลูกสาวตัวดีหลอกล่อให้ไปสนใจเรื่องอื่นจนลืมประเด็นสำคัญอีกจนได้ แล้วแบบนี้เธอจะให้คนตามคนที่เพิ่งออกไปได้ยังไงไปแบบไร้ฝุ่นขนาดนั้นหวังว่าครั้งนี้คงไม่ไปก่อเรื่องอะไรอีกหรอกนะ "แม่ครับ แม่ แม่ครับ!" เสียงเรียกที่ดังจากด้านหลังทำเอาคนที่จมอยู่ในความคิดกลับมาหัวใจเต้นแรงอีกครั้งก่อนจะคลายความตกใจลงเมื่อหันไปเห็นว่าเป็นใคร "ตาภูนั่นเองแม่ตกใจหมด" "ผมเรียกคุณแม่ตั้งนานก็ไม่ยอมหันมามีอะไรหรือเปล่าครับ" ภูวเดชเอ่ยถามอย่างสงสัยก่อนจะช่วยพยุงมารดามานั่งที่โซฟา "ก็น้องแกน่ะสิก่อเรื่องไม่เว้นแต่ล่ะวันนี่ก็ออกไปอีกแล้ว" "แล้ววันนี้ยัยกันก่อเรื่องอะไรเหรอครับ" "ไม่มี" "อ่าว?" "ใม่ต้องมาอ่าว...ครั้งนี้แม่มีลางสังหรณ์แปลกๆ" "แม่ต้องไว้ใจน้องบ้างนะครับยัยกันโตแล้วมีความรับผิดชอบพอ" "แต่อาทิตย์ก่อนแม่เพิ่งไปลากน้องแกออกมาจากห้องขังนะ" ภูวเดชอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะพยายามนึกคำพูดดีๆมาปลอบโยนมารดาแต่ก็ดูเหมือนทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจะถูกหมดทุกข้อจนทำให้เขาที่พยายามแก้ต่างให้ถึงกับพูดไม่ออก "ถ้ายัยกันเป็นแบบภูแม่คงหายห่วงได้มาก" "ไม่เอานะครับคนเรามีข้อดีไม่เหมือนกันยัยกันก็เหมือนกัน" "ไหนบอกข้อดีของน้องแกให้แม่ฟังซักข้อซิ" "เอ่อ?" ชายหนุ่มหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อคิดออก "ยัยกันน่ารักไงครับทำให้เราสองคนรักได้" "เนี้ยนะข้อดี ถ้าวันหนึ่งมีคนมาขอแม่จะประเคนให้แถมจะเป็นฝ่ายยกขันหมากไปขอเองเลย" "แม่ครับ?" "แม่พูดจริง" จันทนาคิดเลยเถิดไปถึงงานแต่งของบุตรสาวหากว่ามีใครทำให้ลูกของเธอเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้เธอจะไม่รีรอเลยสักนิดจะจับตัวคนนั้นให้มาเป็นคู่ของลูกสาวเธอให้จงได้ แต่จะมีใครล่ะที่ทำได้แบบนั้นและพอมาคิดได้ถึงเรื่องนี้บางอย่างก็ทำให้เธอต้องหันไปหาลูกชายอีกคนที่ยังคงมองมาทางเธอด้วยสายตาเป็นห่วง "ภูล่ะลูก" "ครับ?" "เรื่องที่แม่คุยไว้ลูกจะว่าไง" ภูวเดชอึ้งเล็กน้อยไม่คิดว่าจะมีเรื่องของตัวเองเข้ามาสอดแทรกจะว่าไปเรื่องนั้นเขาก็ยังไม่ได้คิดอะไร ใจจริงอยากจะทำงานช่วยมารดามากกว่าเพราะท่านก็เริ่มจะทำงานหนักไม่ไหวแต่บทจะขัดใจเขาก็ยังไม่เคยทำเลยสักครั้ง "ผม?" "ภูคงไม่ดื้อทำให้แม่หนักใจอีกคนใช่มั้ย" คนพูดเอ่ยหน้าเศร้านั่นทำให้หัวใจของลูกชายอย่างภูวเดชถึงกับอ่อนลง ชายหนุ่มชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะส่งยิ้มให้คนหน้าเศร้า "ถ้าคุณแม่เห็นว่าดีผมก็จะทำตามครับ" "มันต้องอย่างนี้ซิ" ใบหน้าเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันทีแต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังสวมบทบาทในอารมณ์ไหนรอยยิ้มที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆหุบลงทีละน้อยจนในที่สุดใบหน้าเศร้าก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการดึงตัวลูกชายที่น่ารักเข้าสู่อ้อมกอด "แต่ถ้าฝ่ายนั้นไม่ตกลงเราก็อย่าไปบังคับเค้าเลยนะครับ" "ไม่หรอกแม่เชื่อว่าใครได้เจอกับลูกชายแม่ตัวเป็นๆต้องหลงทุกราย" ภูวเดชแอบถอนหายใจออกมาเบาๆความหนักใจเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย การแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขาถ้าไม่รักจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไรแม้จะเคยเห็นหน้าตาหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นบ้างจากรูปถ่ายแต่มันจะใช้ประกอบได้อย่างไรเมื่อเขาและเธอยังไม่เคยพูดหรือเจอกันเลยสักครั้งแต่จะให้พูดปฏิเสธมารดาเขาก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
กันติชาเดินเข้ามาในร้านอาหารกึ่งผับด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจะไม่ให้เธออารมณ์ดีได้อย่างไรเมื่อคนที่นัดเธอมาวันนี้คือรุ่นพี่ที่ตัวเองแอบปลื้มมาตั้งแต่เด็ก และรอยยิ้มก็ต้องฉีกกว้างขึ้นเมื่อมีมือน้อยๆโบกมาทางเธอพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆของเจ้าของมือ "สวัสดีค่ะพี่มน" "สวัสดีค่ะน้องกันไม่เจอกันนานน่ารักขึ้นเยอะเลยน๊า" ฐิติมนเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานก่อนจะเดินไปฉุดแขนคนมาใหม่ให้มานั่งข้างตัวเอง หญิงสาวแอบสังเกตใบหน้าของรุ่นน้องที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัดด้วยรอยยิ้ม เธอพอจะดูออกว่ากันติชาแอบปลื้มตัวเองอยู่มากและเธอก็เอ็นดูอีกฝ่ายเหมือนกันแต่เพราะความที่ไม่ชอบคนที่อ่อนกว่าทำให้เธอคิดกับคนข้างๆเพียงแค่น้องสาวที่น่ารักเท่านั้นและนั่นทำให้เธอทั้งจับทั้งกอดแถมหอมแก้มอีกคนได้อย่างบริสุทธิ์ใจแต่ไอ้คนถูกกระทำนี่สิแทบจะละลายติดดิน "ว่าแต่พี่มนมีเรื่องอะไรให้กันช่วยคะ" "ทำไมรู้ล่ะ" "ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะรู้แล้วล่ะค่ะว่าเครียด" "แหม"รู้ใจพี่ขนาดนี้เลยเหรอน่ารักจัง" จากที่มองหน้ารุ่นพี่มาตลอดบันนี้กันติชาต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะความหวานในดวงตาของอีกฝ่ายที่มองมามันใช่ว่าจะปราณีเธอซะที่ไหน ก็พอจะรู้ว่าคนข้างๆคิดอย่างไรแต่ไอ้หัวใจขี้ปอดของเธอนี่สิมันดันไม่เคยชินกับการแกล้งแบบนี้สักทีมามุขนี้ทีไรเป็นอันต้องไปไม่เป็นทุกที กันติชาเอียงตัวไปข้างๆอย่างเร็วเมื่อจู่ๆรุ่นพี่คนสวยก็เขยิบเข้ามาใกล้พร้อมกับการยื่นหน้ามาแนบที่ข้างหู "ตกใจอะไรคะพี่ไม่ใช่ผีซักหน่อย" คนพูดหัวเราะออกมาน้อยๆกับท่าทางหลบหลีกของคนข้างๆก่อนจะค่อยๆสอดมือไว้ที่ต้นคอแล้วโน้มเข้ามาใกล้ตัว กันติชาหลับตาลงพร้อมกับร่างกายที่เกร็งไปหมดแต่เธอก็ยอมเอนตัวตามแรงดึงของคนข้างๆอย่างว่าง่าย "ตัวสั่นเป็นลูกนกเลยนะ" รอยยิ้มหวานถูกคลี่ออกมาอีกครั้งก่อนริมฝีปากอวบจะขยับขึ้นลงเพื่อเอ่ยเล่าเรื่องราวต่างๆพร้อมกับแผนการที่ทำให้คนคิดไปไกลต้องรีบดึงตัวเองกลับมาอีกครั้ง "จะดีเหรอคะ" "ช่วยพี่หน่อยน๊า พี่มองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ" "แต่ว่า?" "แต่ถ้ากันลำบากใจก็ไม่เป็นไร พี่ไม่บังคับ" คนฟังรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกท่าทางและคำพูดของคนข้างๆที่บอกไม่บังคับมันกำลังบีบเธอจนเกือบถึงทางดัน ช่างเป็นการเล่นแง่โดยใช้จิตวิทยาขั้นสูงจริงๆกดดันจนหาทางออกไม่เจอ "แล้วใครกันคะคู่หมั้นของพี่ภู" "เพื่อนพี่เองเอ"พี่ว่ากันก็น่าจะรู้จักนะพี่สิกาไงจำได้มั้ย" กันติชานึกย้อนไปสมัยเรียนซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็นึกหน้าของรุ่นพี่อีกคนไม่ออกซะทีจนในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้ "นี่จำไม่ได้จริงๆเหรอ" "ไม่ได้ค่ะที่จำได้ก็มีแค่"เอ่อแค่ พี่มนคนเดียว" "ปากหวานนะเรา" "อันนี้เรื่องจริงค่ะ" "ก็ยังหวานอยู่ดีพูดแบบนี้ถ้าพี่ใจอ่อนขึ้นมาต้องรับผิดชอบด้วยนะ" พูดจบฐิติมนก็ฝังจมูกลงไปที่แก้มเนียนของคนข้างๆจนใบหน้าที่เป็นปกติของกันติชากลับมาเป็นสีแดงอีกครั้งและนั่นก็ทำให้คนขี้แกล้งเผยยิ้มออกมาอย่างชอบใจแต่แล้วฐิติมนก็ต้องปล่อยมือออกจากคนขี้อายเมื่อได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากด้านหลัง "ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า" คนมาใหม่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆก่อนจะนั่งลงแม้จะไม่มีใครชวน "ขัดอะไรล่ะมาช้าเองอย่ามาหาเรื่อง" "คิดงั้นแน่นะ" ฐิติมนยิ้มเจ้าเลห์ก่อนจะหันไปหาคนที่เอาแต่นั่งเงียบ "นี่ไงคะเพื่อนพี่พอจะนึกออกหรือยัง" ลักษิกายังคงส่ายหน้าไปมาเพราะไม่คุ้นใบหน้าของคนมาใหม่เลยสักนิด "แล้วแกล่ะจำน้องกันได้มั้ย" ลักษิกามองหน้าคนถามสลับกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นน้องไปมาจะว่าไปเธอก็รู้สึกคุ้นหน้ายัยเด็กนี่อยู่ไม่น้อย คิด คิด คิด "นึกออกล่ะ" "เงียบตั้งนานนึกว่าจะเสียเวลาเปล่า" "ที่บอกว่านึกออกก็เพราะฉันเคยเห็นหน้าแบบนี้ไปนอนเล่นในคุกเมื่อวันก่อน" กันติชาถึงกับสำลักน้ำและเมื่อเธอเงยหน้าไปพินิจพิเคราะห์คนพูดอย่างจริงจังเธอก็พอจะนึกออกบ้างแล้ว "อะไรนะ!" ฐิติมนแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแต่พอหันกลับมาหาคนที่ถูกกล่าวหาก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจเมื่อตอนนี้ใบหน้าของคนข้างๆซีดอย่างกับไก่ต้ม "เรื่องมันแล้วไปแล้วก็ช่างมันเถอะนะมาคุยเรื่องของฉันดีกว่าตกลงว่าไงไหนล่ะคนที่จะมาช่วย" เป็นลักษิกาที่เปลี่ยนเรื่องเพราะเธอไม่คิดจะสนใจอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้วยัยเด็กนี่จะเข้าออกห้องขังหรือก่อเรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของเธอจากนี้ไปอีกสามเดือนต่างหาก ลักษิกาเดินไปยังรถอย่างอนาถใจไม่คิดเลยว่าในชีวิตของตำรวจอย่างเธอจะต้องให้คนที่อายุน้อยกว่าช่วยเหลือ แล้วหน้าตาแบบนั้นเนี้ยนะจะช่วยอะไรเธอได้และทันทีที่ขึ้นรถสายเรียกเข้าจากคนต้นคิดก็ดังขึ้นจนเธอต้องรีบกดรับอย่างเร็ว "โทรมาก็ดีแล้วฉันว่าแก?" "หยุด หยุดพูดแล้วก็ฟังอย่างเดียว" เสียงปลายสายเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างดังก่อนจะพูดย้ำแผนการในครั้งนี้อีกครั้ง "จะไหวเหรอมน" "ไม่ไหวก็ยอมแต่งงานไปเลยแต่ถ้าไหวก็ลุยต่อแค่นี้นะ ฉันเดินไปส่งเด็กฉันก่อนเดี๋ยวโดยซิว" ทันทีที่พูดจบปลายสายก็วางลงทันทีทิ้งความหนักใจให้คนที่ต้องเป็นฝ่ายปฏิบัติอย่างไม่มีทางเลือก แต่ฐิติมนพูดถูกถ้าเธอไม่ทำอะไรเลยชีวิตการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นอาจเป็นฝันร้ายที่เธอจะต้องเผชิญก็ได้เพราะฉะนั้นภายในสามเดือนเธอต้องเรียนรู้คู่หมั้นของตัวเองให้มากที่สุดหากเขาเป็นคนดีอย่างที่แม่ของเธอบอกเธอก็หวังว่าตัวเองจะรักเขาได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
|
Rating: โดย 3 สมาชิก
|
|
ความคิดเห็น
|