web stats

ข่าว

 


Desperate KNIGHT - Chapter 1

โพสต์โดย: nuffy วันที่: 16 มิถุนายน 2014 เวลา 21:43:28 อ่าน: 687

"ในโลกของเรา... ทวีปที่เราอาศัยอยู่นี้... มนุษย์มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าเทพ พวกเราบูชา ศรัทธา และนับถือให้เป็นผู้ที่อยู่สูงสุดเหนือชีวิต เป็นผู้สร้างและรังสรรค์สรรพสิ่งต่างๆ เป็นผู้อำนวยการของกิจการที่มนุษย์กระทำ มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ และกว้างขวาง"

"เทพทั้งหลายคอยช่วยเหลือมนุษย์อย่างพวกเรามานานนับพันปี ช่วยเหลือเมื่อยามเรายากไร้และขาดแคลน ร่วมรบเมื่อมนุษย์เข้าสู่ภาวะสงคราม และสร้างความรุ่งเรืองให้แก่เมืองต่างๆ เหล่าเทพเป็นผู้ที่ปกปักษ์รักษาพวกเราจากเภทภัย เป็นทูตนำทางให้ดวงวิญญาณของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่ล่วงลับขึ้นไปอยู่ในอ้อมกอดแห่งสวรรค์ เป็นผู้นำทางให้ไปสู่ความดีงาม"

"เพราะฉะนั้นคำกล่าวว่า 'เหล่าเทพเฝ้ามองและคอยนำทางเรา' นั้นเป็นจริงเสมอ"

นักบวชชราหยุดพูดเมื่อเสียงระฆังประจำเมืองบอกเวลาเที่ยงวันดังขึ้น เขาปิดหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงชายราวสิบห้าคนที่นั่งอยู่หน้าเขา

"เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ พวกเจ้ากลับบ้านเถอะ"

"เย้!" เสียงเด็กๆ ดังขึ้นอย่างดีใจ ทุกคนปิดหนังสือในมือเก็บใส่กระเป๋าหนังแล้ววิ่งออกไปจากลานกว้างที่ใช้เป็นห้องเรียน

นักบวชชรายิ้มเล็กน้อยหลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในอาคาร ตรงเข้าไปที่หน้าแท่นบูชา

"เหล่าเทพเจ้า... ข้าวิงวอน... ขอให้วันนี้เป็นวันที่สงบสุขอีกวัน"

...

เสียงระฆังดังขึ้นรัวพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ประตูเมือง ผู้คนพากันวิ่งหนีตายเข้ามาในกำแพงเมือง ในขณะที่เหล่าทหารอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรบ ชุดเกราะและมือที่กำหอกแน่นของบรรดาเหล่าทหารหนุ่มสาวไม่อาจทำให้จิตใจของพวกเขาหยุดสั่นไหวได้ นี่เป็นอีกครั้งที่เมืองถูกโจมตีโดยปิศาจ... ปิศาจที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน

"แถวแรกเตรียมยันเอาไว้ พลธนูเตรียมพร้อม" เสียงผู้นำทัพร้องบอกกับเหล่าทหาร

"พวกมันมาเท่าไหร่? ตัวใหญ่ขนาดไหน?" แม่ทัพสาวหันไปถามทหารที่อยู่ข้างๆ

"จ... จำนวนไม่รู้แน่ชัด แต่เท่าที่รู้คือมีตัวใหญ่ 2 ตัวขอรับ"

"ให้ตายสิ มากันตั้งสองตัวเลยเหรอ" มีนา แม่ทัพใหญ่แห่งเซเนกรอสบ่นกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องเขม็งไปทางประตูเมือง

"เอ้า พวกเราเตรียมตัว!" เธอตะโกนร้องเมื่อเห็นอะไรบางอย่างเข้าใกล้ประตูเมืองมากขึ้น

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของทหารที่อยู่แถวหน้าดังขึ้น ตามมาด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ลอยขึ้นมาแตะจมูก ฝุ่นควันที่คละคลุ้งในแนวแถวทำให้แม่ทัพสาวมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้น เธอทำได้แค่เพียงบอกให้ทหารคนอื่นๆ รักษาแถวเอาไว้

"อย่าเพิ่งยิง! เอาน้ำสาดซะ" เสียงแม่ทัพตะโกนสั่งทหารคนที่แถวหลัง

สายน้ำจากถังหลายใบถูกสาดเข้าใส่กลุ่มฝุ่นเพื่อไม่ให้ฟุ้งกระจายไปมากกว่านี้ พร้อมกับช่วยให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้เร็วขึ้น

"บ้าเอ้ย!" มีนาสบถ หลังจากนั้นก็ควบม้าพุ่งเข้าไปหา

"ตายซะๆๆ" แม่ทัพสาวฟาดหอกใส่ร่างคล้ายมนุษย์ที่มีลำตัวสีเขียวคล้ำหน้าตาน่าเกลียดให้ล้มลงกับพื้นไปหลายสิบตัวพลางตะโกนบอกให้ทหารแนวหลังลากตัวผู้บาดเจ็บให้ออกไปจากสนามรบ

"จัดการเจ้าพวกนี้ให้หมดก่อนที่เจ้าตัวใหญ่จะมา!" เธอตะโกนสำทับกับผู้ใต้บังคับบัญชา

ทหารกองหน้าหลายสิบคนพร้อมหอกและดาบในมือเข้าประจัญบานกับปิศาจที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่ ร่างกายเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง พวกเขาไม่ยี่ระกับเลือดสีเขียวข้นที่กระเซ็นโดนใบหน้าและเสื้อเกราะ ร่างของปิศาจชั้นต่ำค่อยๆ ทับถมกันเป็นกองใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทว่า...

พื้นดินที่เหยียบสั่นสะเทือนราวกับมีอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่กำลังใกล้เข้ามา เสียงก้อนกรวดที่หล่นลงมาจากกำแพง เสียงร้องคำรามดังสนั่นทำให้เหล่าทหารขวัญหนี

"มันมาแล้ว! จัดแถว... เร็วเข้า เร็ว!"

ร่างของปิศาจตัวใหญ่หน้าตาเหมือนวัวปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ในมือของมันมีขวานอันใหญ่ติดมาด้วย และข้างๆ ของมันคือสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกับกวาง เขาของมันแหลมคม ทั้งสองตรงเข้ามายังกำแพงเมือง

"อย่ากลัวพวกมัน ตั้งแถวเอาไว้ ยกโล่ขึ้นมา พลธนู... พลหอกรอฟังคำสั่ง" เสียงของแม่ทัพสาวดังขึ้นอีกครั้ง

ทหารแนวหน้าตั้งโล่ขึ้นเป็นกำแพงตามคำสั่งของแม่ทัพ "มันมาแล้ว เตรียมตัวปะทะ!"

สิ้นเสียงของมีนา ปิศาจเขาแหลมก็วิ่งเข้าใส่กำแพงโล่ทันที เสียงของเขากระทบกับโล่เหล็กดังสนั่น ทหารแนวหน้ากระเด็นออกจากแถวไปหลายสิบคนเพราะแรงปะทะ แต่ก็มีทหารแถวที่สองวิ่งเข้ามาแทนที่ทันที

"พวกตัวเล็กมาอีกแล้ว พลธนูเตรียมตัว... ยิง"

ลูกธนูหลายร้อยดอกพุ่งแหวกอากาศตรงไปยังพื้นที่ว่างที่อยู่ด้านหลังของปิศาจกวาง และปักลงที่ร่างของปิศาจชั้นต่ำอย่างรวดเร็ว ธนูบางดอกพุ่งเข้าหาปิศาจวัว แต่ก็แทบจะไม่ระคายผิวของมันเลย

"ยิงอีก... ยิงเข้าไป"

เสียงสายธนูดังขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับเสียงร้องของทหารแนวหน้าที่กำลังต้านปิศาจกวางอยู่ ในที่สุดศัตรูก็สามารถฝ่าแนวทหารกองหน้าได้

"มันมาแล้ว!" แม่ทัพสาวตะโกนแล้วชักดาบออกมา เธอควบม้าตรงเข้าไปที่ปิศาจกวางและโจมตีเข้าที่ขาของมัน แต่ก็แทบไม่ระคายผิวที่แข็งเหมือนเกราะเหล็กเลย

"บ้าเอ้ย... หนังเหนียวจริงนะ" มีนาโจมตีใส่มันอีกครั้งและคราวนี้ก็เรียกเลือดสีคล้ำออกจากต้นขาของมันได้ "พลหอกจัดการมัน!"

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดปนรำคาญดังออกมาจากปิศาจเขาแหลมเมื่อหอกแหลมคมแทงเข้าที่ร่างกายของมันพร้อมๆ กับรอยกรีดจากดาบที่ต้นขา มันหันมามองแม่ทัพสาวที่อยู่ใกล้กว่าอัศวินและทหารคนอื่นๆ แล้วเริ่มโจมตีเธอ

มีนายิ้มมุมปากเมื่อเห็นท่าทางของศัตรูที่พุ่งความสนใจมาที่เธอผู้ที่ล่อให้พวกมันออกห่างจากเมือง เธอควบม้าให้วิ่งออกห่างจากกำแพงเมือง มุ่งหน้าไปทางปิศาจวัวที่ยืนดูเหมือนกำลังสังเกตการณ์ต่อสู้อยู่ แม่ทัพสาววิ่งมาได้แค่ครึ่งทางก็ถูกปิศาจกวางดักอยู่ข้างหน้า เขาแหลมๆ ของมันแทงเข้าที่ข้างลำตัวของม้าศึก

"เคียร่า!" มีนาร้องเรียกชื่อม้าคู่ใจของตัวเอง เธอถูกสะบัดตกจากหลังม้าที่กำลังเจ็บปวดจากบาดแผล แม่ทัพสาวกระชับดาบในมือแน่นแล้วพุ่งเข้าใส่ศัตรู

เพียงแค่แรงเหวี่ยงของลมจากกำปั้นของปิศาจที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เธอลอยกระเด็นลงไปกองกับพื้น หมวกเหล็กของแม่ทัพสาวกระเด็นลอยไปไกล ผมสีทองสวยของเธอสยายไปตามแรงกระแทก มีนาขืนตัวขึ้นมาจากความเจ็บปวดแล้วพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง แต่แล้วเธอก็โดนโจมตีกลับมาโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เธอบ้วนเลือดสีแดงสดออกจากปาก แรงกระแทกจากการโจมตีเมื่อครู่ทำให้ซี่โครงของเธอหักเป็นแน่ รูปร่างแข็งแรงแบบทหารของเธอปวดร้าวเมื่อยันตัวให้ยืนขึ้นจากพื้น

"ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกน่า" แม่ทัพสาวตั้งท่าพร้อมรับการโจมตีเมื่อเห็นปิศาจเขาแหลมพุ่งเข้าใส่เธอ มีนาพยายามแทงเข้าไปที่กึ่งกลางหน้าผากของมัน แต่ก็ไร้ผล... ดาบของเธอหักเมื่อกระทบกับกระดูกหน้าผาก เธอพยายามจะใช้มือทั้งสองจับที่เขาของมันเพื่อลดแรงปะทะ แต่ก็ไม่เป็นผล เธอกำลังจะเขาที่งอกขึ้นมาใหม่ตรงกลางหน้าผากแทง เธอจึงหลับตาเพราะเตรียมใจรับกับความตาย

เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของปิศาจกวางดังขึ้นทำให้แม่ทัพสาวลืมตาขึ้นมามอง เธอเห็นปิศาจเขาแหลมถูกแทงที่หน้าผากด้วยดาบหักๆ ของเธอเอง

"ข้าไม่ยอมให้สาวงามอย่างเจ้าต้องตายไปด้วยมือปิศาจธรรมดาแบบนี้หรอกนะ" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น เขายืนอยู่บนหัวของปิศาจกวาง ร่างสีทองเปล่งปลั่งเทียบเท่าแสงตะวัน

"ท่านมาช้านะ"

"จงอย่ากล่าวหาเทพเจ้าว่ามาช้า พวกเรามาทันเวลาต่างหาก" เขาพูดแล้วหันไปหาปิศาจวัว คันธนูสีทองอันใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากจากอากาศเพียงแค่สะบัดมือ เขาขึ้นสายแล้วเล็งไปที่ปิศาจที่กำลังจะถอยหนี

"หนีไปก็เสียแรงเปล่า เจ้าว่าไหมมีนา?"

"ข้าก็คิดเช่นนั้น" แม่ทัพสาวพูดขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นหัวของปิศาจวัวหลุดลอยออกจากลำตัว

ชายหนุ่มเดินลงมาจากปิศาจเขาแหลม เขาพยุงแม่ทัพสาวให้ยืนขึ้น "เจ้าไม่เป็นไรแล้ว"

"ก็ใช่ แต่พวกเราก็เสียคนไปมากเช่นกัน... ท่านไปอยู่ไหนมา? ข้าคิดว่าเราส่งสัญญาณให้พวกท่านรู้ตั้งแต่เห็นตัวพวกเขาเข้าเขตแดนเราแล้ว"

"...." ชายหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่หิ้วปีกมีนาเข้ากลับไปในกำแพงเมือง

"เกิดอะไรขึ้น... ท่านเป็นอะไร?"

"เปล่า ไม่มีอะไร"

อัศวินหญิงหลายคนวิ่งออกมารับตัวแม่ทัพสาวเมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ พวกเธอนำตัวมีนาไปรักษาทันทีในขณะที่เทพหนุ่มยืนมองซากของปิศาจชั้นต่ำที่กำลังถูกเก็บกวาดอยู่เงียบๆ

"ไฮเลน ท่านได้ยินข้าหรือไม่?" เขาพูดขึ้นมาเบาๆ

"ข้าฟังอยู่ครีก" เสียงหญิงสาวคนหนึ่งตอบกลับมา

"ท่านช่วยรักษาทหารที่นี่ได้หรือไม่?"

"ได้แน่นอน แต่ต้องรอก่อน ข้ายังมีอีก 2 เมืองที่ต้องไปดูแล เมืองของฟอยเยอร์ กับโอลก้าถูกปิศาจถล่มไปเสียเกือบครึ่ง ที่นั่นหนักกว่าที่ท่านอยู่ตอนนี้"

เทพหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมืองที่เทพแห่งไฟและเทพีแห่งน้ำดูแลอยู่ถูกปิศาจถล่มจนแทบจะย่อยยับเลยเชียวหรือ?

"ขอบคุณท่านมาก ...ข้ารู้สึกไม่ดีเลย"

"ถ้าเทพแห่งสงครามอย่างท่านรู้สึกไม่ดี ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ท่านคิดว่าพระบิดาจะทำเช่นไร?"

"ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน"

นามของผู้ที่มาช่วยอาณาจักรเซเนกรอสคือ ครีก เทพหนุ่มร่างสีทอง เขาเป็นเทพแห่งสงคราม เทพเจ้าที่คอยอำนวยอวยพรให้การสงครามของเหล่าผู้นับถือประสบแต่ชัยชนะเหนือศัตรู เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองบริวารที่บูชาเขา เป็นเมืองที่เขาต้องทำหน้าที่ปกป้องจากสิ่งที่เรียกว่าศัตรู

เทพหนุ่มเดินผ่านทหารที่บาดเจ็บและกองคาวเลือดของทั้งมนุษย์และปิศาจตรงไปยังวิหารบูชาของเขา รับการคาราวะจากนักบวชแล้วลงไปนั่งบนบัลลังก์

"ค่ำคืนนี้ ท่านไฮเลน เทพีแห่งการรักษาจะมาช่วยรักษาทหารที่บาดเจ็บ ขอให้พวกเจ้าจงวางใจ ข้าจะไปพบท่านมหาเทพเพื่อหารือกับเรื่องที่เกิดขึ้น" เทพแห่งสงครามบอกกับนักบวชแล้วหายตัวไป

...

ณ เทวสภา บนสรวงสวรรค์ เหล่าเทพและเทพีกำลังพูดคุยกันอย่าเคร่งเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น

"มันเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที พวกมนุษย์ไม่อาจสู้พวกมันได้ พวกมันทำลายไร่นาและปศุสัตว์ ทำลายชีวิตของผู้ที่บูชาพวกเรา" เรเฮว่า เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์เปิดประเด็น เธอเป็นเทพีที่มีผมยาวดำเป็นเงา อยู่ในชุดสีเขียวอ่อน

"พวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง เราต้องหาต้นตอว่ามันมาจากไหนกันแน่?" วิลีซัส เทพแห่งปัญญาพูดขึ้น เขาเป็นเทพหนุ่มผู้อยู่ในชุดเกราะอ่อนและมีสมุดเล่มบางกับปากกาขนนกอยู่ในมือตลอดเวลา แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดลงเพราะถูกขัดขึ้นมาว่า

"จะต้องหาต้นตอไปทำไมเมื่อท่านก็รู้อยู่แล้วว่าปิศาจมาจากไหน?" อนาเซีย เทพีแห่งดินฟ้าอากาศ เจ้าของผมสีบลอนด์ทอง ชุดสีฟ้าสดใส พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย "พวกปิศาจทำให้มนุษย์ไม่มีเวลาบูชาข้า แรงศรัทธาข้าเสื่อมถอยจนตอนนี้แย่กันหมด ถ้าคิดจะหาต้นตอข้าว่าพวกเราควรจะหาวิธีว่าจะจะทำอย่างไรให้มนุษย์ยังคงความศรัทธาในตัวพวกเราดังเดิมจะดีกว่านะ"

"ปิศาจทำให้มนุษย์ขาดศรัทธา พวกเราจึงต้องกำจัดพวกนั้นให้มนุษย์เชื่อในตัวเราสิ เราต้องกำจัดพวกมัน หากไม่... มนุษย์ก็จะตายทั้งหมด หรือไม่ก็ไม่มีศรัทธาแก่เรา แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไป" เทพแห่งปัญญาเถียงขึ้นมา

"ถ้าท่านอยากจะกำจัดปิศาจก็ควรมาลงแรงช่วยเทพคนอื่นๆ บ้างสิ! ไม่ใช่อยู่ในบนนี้คอยมองดูสถานการณ์อย่างเดียว" ครีกที่กำลังเดินเข้ามาในเทวสภาพูดขึ้น "พวกมนุษย์กำลังแย่ แต่พวกท่านมัวแต่มานั่งเถียงกันบนนี้ จะได้อะไรขึ้นมา?"

ทั้งหมดนั่งเงียบปล่อยให้เทพแห่งสงครามพูดต่อไป

"พวกท่านก็มีอิทธิฤทธิ์ ทำไมไม่ลงไปช่วยเมืองที่บูชาพวกท่านบ้าง ตอนนี้พวกปิศาจชั้นต่ำก็มีมากขึ้นทุกที ปิศาจร้ายก็เริ่มออกมาให้เห็นมากขึ้น ยังไม่นับตัวที่ร้ายแรงที่สุดนะ... ตอนนี้จิตใจของพวกมนุษย์กำลังสั่นไหว ข้ารู้สึกได้ และรู้ด้วยว่าพวกท่านก็รู้สึกเช่นกัน"

"แล้วจะให้พวกเราทำอย่างไร ในเมื่อก็รู้กันอยู่ว่าพวกเราทำอะไรไม่ได้ การมีปิศาจหมายถึงความสมดุลของโลกและเป็นสิ่งที่สร้างศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อพวกเรา" เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์พูดขึ้นมาเบาๆ

"ทำได้สิ ก็ช่วยพวกมนุษย์สู้ไง"

"มันน่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่าการต่อสู้!" วิลีซัสพูด

"แล้วจะให้ทำอย่างไร ข้าคิดไม่ออกแล้ว พลังอำนาจของข้ากับฟอยเยอร์ควบคุมมันไม่ได้ แม้แต่พระบิดาเองก็ไม่รู้วิธีที่จะควบคุมมัน การสู้เพื่อกำจัดพวกมันคือวิธีเดียวที่ข้าคิดและทำได้" ครีกตอบ

โคส เทพีแห่งศิลปะกรอกตาไปมา "เทพแห่งสงครามก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องสงครามเท่านั้นสินะ ทำไมไม่ลองวิธีการที่ดีกว่านั้น อย่างเช่นวิธีการทางการทูต การเจรจา กับคนที่ควบคุมมันได้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่... วิลีซัส?" นางหันไปทางเทพแห่งปัญญาพลางเล่นปอยผมสีน้ำตาลของตนเองไปด้วย

"...ก็ไม่เลว"

"จะให้คุยกับใครล่ะ?" เทพีแห่งดินฟ้าอากาศพูด "พวกมันไม่ได้มีผู้นำที่จะคุยด้วยได้ หรือจะให้คุยกับปิศาจทีละตัว? พวกมันไม่ได้มีสติปัญญาขนาดที่จะรับฟังเราได้หรอกกระมัง"

เทพีแห่งศิลปะยิ้มเยาะ "นี่ท่านท่องเที่ยวมากไปจนลืมเอาสมองมาด้วยหรอกเปล่าอนาเซีย ให้คุยกับปิศาจทีละตัวเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว... ท่านก็รู้ว่าพวกมันมาจากไหน คุยไปก็เสียเวลาเปล่า เหมือนที่ท่านคุยกับสายลม"

"อะไรนะ! นี่ท่านหาว่าข้าโง่เช่นนั้นหรือ!" อนาเซียโวยวาย

"ข้ายังไม่ได้พูดะไรแบบนั้นสักหน่อย แค่ลองใช้สมองคิดสักนิดก็จะรู้ว่าข้าหมายถึงใคร"

เทพีแห่งดินฟ้าอากาศเงียบเสียงลง "ถ้าเจ้าหมายถึงคนๆ นั้นข้าว่ายาก เพราะในบรรดาพวกเราไม่มีใครเข้าใกล้เขาหรือทำให้เขาเชื่อฟังได้ ยกเว้นพระบิดา"

"เอาล่ะ ได้ข้อเสนอแล้ว พวกเราไปพบพระบิดาเลยดีกว่า" วิลีซัสเสนอ "ท่านมีความเห็นอะไรอีกไหมครีก?"

"ข้าไม่ขัดข้องกับเรื่องนั้น ไปกันเถอะ"

...

หลายวันต่อมาหน้าพระราชวังของอาณาจักรเซเนกรอส...

เหล่านักบวชกำลังทำพิธีอวยพรให้กับทหารกล้า 5 นาย ที่จะเดินทางไปยังดินแดนสุดขอบโลกเพื่อส่งหมายเชิญเทพผู้ไม่เคยถูกเอ่ยนามให้เข้ามาประชุม ณ เมืองแห่งนี้ในวันแรกของฤดูเก็บเกี่ยว ทหารทั้ง 5 นายจะเดินทางโดยมีทอยมิส เทพแห่งการเดินทางเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

"พวกข้าขอสาบานว่าจะทำหน้าที่ในครั้งให้สมบูรณ์" ทหารทั้ง 5 กล่าวคำปฏิญาณต่อหน้านักบวชและกษัตริย์

"ขอให้ปวงเทพจงอวยพร" กษัตริย์กล่าวและทั้งหมดก็ออกเดินทาง

แม่ทัพสาวเดินเข้าไปที่วิหารของเทพแห่งสงคราม เธอทำความเคารพต่อหน้ารูปปั้นแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า

"ทำไมเทพอย่างพวกท่านไม่ไปส่งคำเชิญด้วยตัวเอง ทำไมต้องให้มนุษย์อย่างพวกเราเดินทางไปไกลถึงเพียงนั้นด้วย?"

เสียงเบาๆ จากที่ไกลๆ ดังตอบเข้ามาในหัวของมีนา "พระบิดา... ท่านมหาเทพเห็นว่าหากให้มนุษย์เดินทางไปเชิญจะเป็นการดีกว่า เทพองค์นี้ไม่เคยได้รับการกล่าวขานหรือคำสรรเสริญจากมนุษย์มาก่อน ให้พวกเจ้าไปจะเป็นการดีมากกว่า และอาจจะได้รับความเห็นใจจากท่านผู้นั้น"

"อาจจะเช่นนั้นเหรอ? ท่านหมายความว่าอย่างไร?"

"ไม่มีใครรู้ได้ แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านมหาเทพ ข้าว่าเจ้าไม่ควรขัดนะ"

"ข้าไม่ได้ขัด เพียงแต่สงสัย"

"เจ้าไม่ควรสงสัยในปวงเทพ"

"ขออภัย... ถ้าเช่นนั้น... ข้าขอตัว"

มีนากัดริมฝีปากแล้วเดินตรงไปที่พระราชวังโดยใช้ประตูทางทิศตะวันตก "ไม่ควรสงสัยในปวงเทพเช่นนั้นหรือ? แล้วทำไมข้าถึงสงสัยไม่ได้ล่ะ ในเมื่อข้ารู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่"

แม่ทัพสาวผ่านซุ้มประตูก็เอะใจว่าทำไมไม่มีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าในเวลานี้ เธอได้ยินเสียงดาบปะทะกันอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของประตูจึงรีบเข้าไปดู

หญิงสาวผมแดง มัดเป็นหางม้าในชุดทหารองครักษ์ ดูท่าทางอายุน้อยกว่าแม่ทัพสาวกำลังซ้อมดาบกับหุ่นไม้ การจับดาบของเธอยังดูเกร็ง ลมหายใจติดขัด และเมื่อหญิงสาวคนนั้นพยายามฟาดดาบเข้าไปที่หุ่นไม้ แรงกระทบทำให้ดาบของเธอหลุดจากมืออย่างง่ายดาย

"เจ้าจับดาบไม่ดีแบบนั้นแค่สะกิดดาบก็หลุดจากมือแล้ว" มีนาเดินเข้าไปหาหญิงสาว

"ท... ท่านแม่ทัพ"

"เจ้าทิ้งซุ้มประตูไว้แบบนั้นได้อย่างไร? หากมีใครลอบเข้ามารู้หรือไม่ว่าโทษของเจ้าคืออะไร?"

องครักษ์สาวก้มหน้าลงกับพื้นราวกับยอมรับผิดกับการกระทำของตนเอง

"เจ้าชื่ออะไร?" แม่ทัพหญิงถาม

"น... นิโคล"

"นิโคลเหรอ... เจ้าออกจากเวรกี่โมง?"

"ห้าโมงเย็น"

"ถ้าเช่นนั้นห้าโมงครึ่งมาพบข้าที่ลานซ้อม ข้าจะสอนเจ้าเรื่องวิธีการจับดาบให้ใหม่"

องครักษ์สาวยิ้มกว้างๆ ดวงตาสีเขียวของเธอส่องประกายด้วยความดีใจ "ค่ะ ท่านแม่ทัพ"

ช่วงเย็นของวันนั้นนิโคลเข้าไปพบกับแม่ทัพสาวเพื่อเรียนรู้การต่อสู้และการใช้ดาบที่ถูกต้อง

"ฟังให้ดี... การต่อสู้ด้วยดาบคือการหมุนเหวี่ยงดาบ ระหว่างตัวดาบและด้ามดาบ ให้มองว่าจุดที่ถือดาบเป็นจุดศูนย์กลาง"

มีนาหยิบดาบของตัวเองขึ้นมาแล้วชี้แต่ละจุดให้ดู แล้วสอนวิธีการจับดาบที่ถูกต้องให้กับอีกฝ่าย

"ดาบที่เจ้าถือเป็นอาวุธมือเดียว ถูกออกแบบมาเพื่อแทงโดยเฉพาะเพราะส่วนปลายของดาบเรียวแหลม แต่มันก็สามารถเหวี่ยงเพื่อฟาดฟันเกราะของศัตรูด้วยเช่นกัน" แม่ทัพสาวชี้ไปที่ดาบของสาวผมแดง หลังจากนั้นก็สอนวิธีการเหวี่ยงและแทง

"นั่นล่ะคือบทเรียนข้อที่ 1 ฝึกต่อไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน"

"ข้าจะเก่งขึ้นได้ใช่ไหม?"

"เจ้าอยากจะเก่งไปเพื่ออะไรกัน อยากจะไปอยู่แนวหน้าสู้กับปิศาจเช่นนั้นหรือ?"

"ป... เปล่า ข้าแค่อยากจะเก่งขึ้นเท่านั้นเอง"

"เจ้ารู้ไหม คนบางคนก็ไม่เหมาะที่จะเป็นนักรบ อย่างเจ้าก็..." แม่ทัพสาวจ้องมองไปที่ดวงตาสีเขียวของอีกฝ่าย

"อย่างข้าทำไมเหรอ?"

"ไม่มีอะไร..."

นิโคลฝึกดาบไปได้พักใหญ่ก็ลงมานั่งพักตามคำสั่งของมีนา ฝึกและพักอย่างละครึ่งเป็นหัวใจของการฝึกแบบฉบับของแม่ทัพใหญ่แห่งเซเนกรอส

"ท่านคิดว่าข้าจะเป็นอัศวินได้ไหม?"

"เจ้าอยากจะเป็นอัศวินไปทำไมกัน?"

สาวผมแดงก้มหน้าลง "...เพื่อครอบครัวของข้า"

แม่ทัพสาวยิ้มเยาะ "ในฐานะที่ข้าเป็นทหาร เป็นอัศวิน และเป็นแม่ทัพ ข้าขอพูดอย่างใจจริงเลยว่าการเป็นอัศวินเพื่อเงินตรา และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมันเป็นความคิดที่ผิดมากๆ"

"ผิดอย่างไร?"

"เงินตราไม่อาจจะช่วยชีวิตเจ้าในสนามรบได้"

"ข้าไม่กลัว หากเงินเหล่านั้นจะช่วยให้ครอบครัวข้าต้องรอดพ้นจากความอดอยาก"

มีนาพ่นลมหายใจออกจากจมูก "ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นก็ตามใจ ข้าบอกตรงเลยว่า เจ้าจะต้องเสียใจแน่ๆ และเจ้าจะไม่ได้เป็นอัศวินเพราะเจ้าขาดทักษะที่จำเป็นหลายอย่าง"

นิโคลก้มหน้าลง ริมฝีปากเม้มแน่นพยายามสะกดความไม่พอใจกับคำพูดที่แทงใจของอีกฝ่าย

"แต่ถ้าเจ้ายืนยันและอยากจะเก่งขึ้น ข้าจะหาเวลามาสอนเจ้าเรื่อยๆ ก็แล้วกัน"

สาวผมแดงยิ้มอย่างดีใจ แต่รอยยิ้มนั้นอยู่ได้เพียงชั่วครู่เพราะเสียงระฆังบอกว่ามีปิศาจกำลังย่างกรายเข้าใกล้เมืองนี้ดังขึ้นมาอีกครั้ง

"กลับบ้านไป รีบไป" แม่ทัพสาวสั่งขณะเดียวกับที่เจ้าตัวหยิบเกราะและดาบขึ้นมา

นิโคลเก็บดาบของตัวเองเข้าฝักแล้วรีบวิ่งไปตรงไปยังนอกเมือง ตรงไปยังบ้านของเธออย่างรวดเร็ว เมื่อหันกลับไปมองที่ลานกว้างอีกครั้งเธอเห็นมีนากำลังขึ้นม้าตัวใหม่แล้วนำกองทหารออกไปที่หน้าประตูเมือง

'เทพเจ้า ขอได้โปรดช่วยเมืองของเราด้วย ช่วยท่านแม่ทัพด้วย'

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น