web stats

ข่าว

 


Apple & Cinnamon (Second Dishes)-Lesson 8 : The Art Of Love

โพสต์โดย: anhann วันที่: 07 ตุลาคม 2015 เวลา 21:37:23 อ่าน: 337





Lesson 8 :  The Art Of Love 





ในที่สุดเธอก็ได้มาที่พิพิธภัณฑ์ดอร์แซสักที  ความจริงเธอไม่ได้เป็นคนเข้าใจอะไรเรื่องศิลปะลึกซึ้งเลยสักนิด  เธอแค่บอกได้ว่า ภาพอันไหนสวย  อันไหนไม่สวย  ด้วยความชอบของเธอ  ไม่ได้เทียบมันกับความรู้อะไร  แต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้  เธอรู้สึกเหมือนในก้าวเข้ามาในโลกอีกใบ  คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นกับร้านหนังสือเลอ แก โรซีโญล

แม้ว่าร้านกาแฟของเธอจะเป็นร้านกึ่งแกลลอลี่ที่มีงานศิลปะต่างๆ ตั้งโชว์อยู่ตามผนังและมุมห้องมากมาย  ซ้ำยังเป็นสถานที่จัดงานแสดงภาพวาดภาพถ่ายของศิลปินบางท่านในบางวาระ  แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เธอได้เห็นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้  อย่างเช่นรูปสลักหินอ่อนตรงหน้าเธอ  มันเหมือนจริงจนเหลือเชื่อ  เหมือนว่าหญิงสาวคนนี้มีชีวิตอยู่จริงๆ  น่านับถือความพยายามและความละเอียดลออของศิลปินผู้สร้างสรรค์งาน  พาลให้นึกไปว่า  เธอจะมีความพยายามในการทำอะไรสักอย่างได้มากเท่าพวกเขาหรือไม่

"คนสมัยก่อนเขาทุ่มเทมากเลยนะคะ  ต้องใช้เวลามากเท่าไหร่นะ  กับงานชิ้นนึง"  อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม  คนข้างกายที่คล้ายจะพลัดหลงเข้าไปในอีกโลกแล้ว  หันมายิ้มให้กันอย่างเลื่อนลอย  แต่ก็ตอนที่เธอกระตุกแขนเสื้อเป็นครั้งที่สอง  สีหน้าของสเปนเซอร์ตอนนี้ทำเอาเธออดหัวเราะไม่ได้จริงๆ "เฮ้.. กลับมาหรือยังคะ"

สเปนเซอร์เกาแก้มเบาๆ ยิ้มเขินอายช่างน่ารักน่าชัง  "ล้อเลียนจังเลยนะคะ  ก็ฉันชอบงานพวกนี้นี่นา"

แอ๊บบิเกลยิ้ม  สอดแขนเข้าไปกอดแขนคู่หมั้นดึงกันให้เคลื่อนตัวจากจุดเดิมบ้าง  ถ้าปล่อยให้สเปนเซอร์ดูงานพวกนี้ตามแต่ใจ  เชื่อได้เลยว่า เวลาทั้งวันก็ไม่มีทางจะพอ

"ฉันชอบภาพนี้จังค่ะ ยกเว้นแต่สีหน้าของพวกเธอดูเศร้าไปหน่อย"

"งานของ วินสโลว์  โฮเมอร์" สเปนเซอร์บอกโดยไม่ต้องอ่านชื่อที่ป้ายกำกับ  "ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่  ฉันก็อยากจะไปถามเหมือนกันว่า  สองสาวนี่เต้นรำกันด้วยอารมณ์แบบไหน  ทำไมมันเศร้านัก"

เด็กสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  มองสองสาวที่เต้นรำใต้แสงจันทร์ริมทะเลอย่างกังขา  ทั้งที่องค์ประกอบภาพค่อนข้างจะตื่นตาตื่นใจด้วยแสงจันทร์สีขาวนวลสะท้อนกับคลื่นระยับ  หากใบหน้าของทั้งคู่กลับดูเหงาจนจับใจ

"พวกเธออาจกำลังรอการกลับมาของคนรักก็ได้มั้งคะ"

เซียนศิลปะเลิกคิ้วมองคนที่อยู่ๆ ก็รำพึงออกมา  หลายครั้งแล้วที่เธอมั่นใจว่า  แอ๊บบิเกลเป็นสาวอารมณ์อ่อนไหวขั้นวิกฤตตัวจริง  ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ก่อนที่เราจะมาที่นี่กัน  คู่หมั้นวัยใสของเธอร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว  กับเรื่องที่ยังไม่มาถึง  เรื่องที่จะต้องให้คำตอบกับผู้จัดละครที่เสนองานมาให้  บางทีสาวน้อยอาจจะเป็นพวกพานิค  หรือพารานอยด์  หรืออะไรก็แล้วแต่ที่พวกจิตแพทย์ชอบคิดชื่อเท่ๆ ให้  เหมือนครั้งที่พวกเขาลงความเห็นว่า  เธอเป็นไบโพล่าร์ก่อนจะให้ยาเธอมาเป็นกระตั๊ก  และสั่งให้เธอไปคุยกับพวกเขาอาทิตย์ละวัน 

นานเป็นปีที่เธอต้องเดินเข้าออกในห้องทำงานของผู้ชายชื่อโรแกน  เธอไม่เคยต้องเจอกับผู้ชายที่ไหนนานเท่านี้มาก่อนนอกจากพี่ชายกับพ่อ  แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรมากไปกว่า  ความคิดที่ว่า  'นี่ฉันต้องมานั่งเล่านิทานให้อีตานี่ฟังทุกสัปดาห์เลยหรือไง' หรือ 'ฉันเบื่อขี้หน้าอีตานี่กับคำถามเดิมๆ ของเขาเหลือเกิน'  แต่พอหมดช่วงการบำบัดแห่งความน่าเบื่อนั้นไป  เธอกลับรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว  คล้ายๆ จะเป็นส่วนตัวและมีอิสระดี  แต่บางครั้งเวลาอยากระบายเรื่องบางเรื่องที่ให้ใครรู้ไม่ได้แม้แต่คนใกล้ตัว  เธอก็คิดถึงนักบำบัดคนนั้น  คนที่เธอสามารถเล่าอะไรๆ ให้ฟังได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเอาไปเปิดเผยให้คนอื่นรู้  ถ้าเขาไม่อยากถูกฟ้องจนหมดตัว

"ทำไมคะ  คุณไม่เห็นด้วยหรือไง"  เสียงแอ๊บบิเกลถามย้ำเมื่อไม่ได้รับคำตอบโต้อะไรกลับไป  สเปนเซอร์สั่นศีรษะ  แน่นอนว่าเธอมีคำตอบให้กับคู่หมั้นผู้ช่างซักถามคนนี้อยู่แล้ว

"มันอาจเป็นอย่างที่เธอคิด  แต่ถ้าถามความคิดฉันละก็  ฉันว่านะ.. บางทีพวกเธออาจจะใช้การเต้นรำนี้เป็นการอำลาจากกัน  แทนการพบเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย"  เด็กสาวอึ้งไปสนิทเมื่อพูดความเห็นของเธอจบ  และเธอพบว่า  ในดวงตาสีฟ้าอมเขียวเริ่มมีหยดน้ำใสๆ ก่อตัวกันขึ้นมา

เอาล่ะ  ท่าทางเธอจะไปสะกิดอารมณ์ไหวหวั่นของสุดที่รักเข้าซะแล้ว

"แอ๊บบี้.."

"โทษทีค่ะ  ฉันนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ"  แอ๊บบิเกลยิ้มฝืนๆ ให้คนรัก "เราไปดูงานของแวนโก๊ะกันดีกว่าค่ะ  ไปช้าเดี๋ยวจะแทรกเข้าไปดูไม่ได้  ได้ข่าวว่า  มีคนอยากดูรูปของเขาเยอะมาก"

สเปนเซอร์ยอมให้ตัวเองถูกลากไปอย่างเต็มใจ  แต่ก็ไม่ได้หลงชื่นชมความงามในงานของผู้ชายที่มาโด่งดังเอาตอนตายไปแล้วนั่นมากกว่าการคอยสังเกตสังกาสีหน้าท่าทางของผู้ร่วมทาง  ถึงจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่สำหรับเธอ  แอ๊บบิเกลยังคงเป็นเด็กน้อย  คนที่เธอยังอยากจะดูแลให้ดีที่สุดเสมอไป

"ฉันนึกว่า  คุณจะสนุกกว่านี้ซะอีก"  แอ๊บบิเกลพูดขึ้นระหว่างยืนซื้อฮอทดอกที่ร้านริมทางหลังจากที่พากันเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ดอร์แซ 

"ทำไมถึงคิดว่า ฉันไม่สนุกล่ะคะ" สเปนเซอร์ย้อน บีบซอสมะเขือเทศโรยบนไส้กรอกและส่งให้คนถามที่รับมันไปอย่างไม่ตอแย  แล้วก็ทำซ้ำแบบนั้นอีกครั้งให้กับฮอทดอกของตัวเอง  ก่อนควักเงินมาจ่ายให้พ่อค้า  เราพากันเดินมานั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างริมถนนซึ่งเดินไปอีกไม่ไกลนักก็จะไปถึงพิพิธภัณฑ์ที่สองในแพลนสำหรับวันนี้ของเรา

"ก็คุณมองหน้าฉันนานกว่าภาพ Starry Night อันโด่งดังที่เพิ่งกลับเข้ามาตั้งแสดงเมื่อสองสามวันนี้อีกนี่นา" สาวน้อยพูดอย่างระวังกลัวขนมปังจะติดคอ  ไม่ลืมรับขวดน้ำที่อีกคนส่งมาให้เอามาดื่มด้วย

"รู้ขนาดนี้  แสดงว่าไม่ได้ดูภาพเลยหรือเปล่า"

"เปล่าสักหน่อย  ฉันดูอยู่  แค่รู้สึกว่าถูกจ้อง  ก็เลยมองดูว่าใคร  นึกว่าแฟนคลับที่ไหนตามมา  ที่แท้ก็คนใกล้ตัว" แอ๊บบิเกลพูดไปยิ้มไป  อีกฝ่ายหัวเราะแล้วทำท่าเหมือนมันเขี้ยวเธอเสียเต็มประดา  เชื่อเลยว่า  ถ้าไม่ได้อยู่กลางถนนด้วยกันแบบนี้  สเปนเซอร์อาจจะงับจมูกหรือแก้มเธอไปแล้ว

"ผิดหวังเลยสิคะที่ไม่ใช่แฟนคลับ"

"ไม่เลยค่ะ" สาวน้อยปฏิเสธทันที  ไส้กรอกที่เคี้ยวอยู่เกือบติดคอ  กระแอมอยู่สองทีให้คอเคลียร์จึงหันมาขยายความต่อให้คนที่กำลังจิบเบียร์กระป๋องสบายใจ  แอบไปซื้อมาตั้งแต่ตอนไหนนะ  "ฉันไม่ใช่พวกชอบเป็นจุดสนใจสักหน่อย  จริงๆ มันก็ดีใจนะคะที่ไปไหนแล้วมีคนทักบ้าง  มีคนรู้จัก  แต่ถ้ามันเยอะไปแบบเมื่อก่อน  แบบมีปาปารัซซี่คอยตามตลอด  ฉันคงแย่"

"แต่พอเธอรับงานที่เขาเสนอมา  เรื่องแบบนี้มันก็ต้องกลับมาอีก  เธอควรทำใจให้ชินกับมันนะสาวน้อย"  สเปนเซอร์แนะนำ  คู่หมั้นวัยใสกลอกตาหน่ายใจ  "ตกลงว่า  ตัดสินใจได้หรือยังคะ  อืม.. แต่ฉันไม่ควรถาม  วันนี้เราควรจะเที่ยวกันโดยไม่คิดเรื่องงานนี่นะ"

"ถูกแล้ว..  คุณนี่ขี้ลืมจังเลย  บอกเองแท้ๆ" แอ๊บบิเกลแกล้งว่า  จึงโดนแกล้งกลับด้วยการกระแทกไหล่ใส่ของคนตัวใหญ่กว่า  "โอย.. กระดูกคุณแข็งอย่างกับเหล็กแหนะสเปนซ์"

"เป็นเพราะเธอไม่ค่อยออกกำลังกายต่างหาก  ช่วงหลังๆ มานี้  เธอไม่ไปจ้อกกิ้งเลยนะ" คนอายุมากกว่าแต่แข็งแรงกว่าแอบบ่น  อีกคนยิ้มแหยให้  แล้วอ้างไปเรื่อยถึงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบที่ร้านกาแฟที่เธอมอบหมายให้ทำ

"ถ้าตื่นเช้าอีกสักหน่อย  ต้องทันออกไปวิ่งแน่ค่ะ"

สาวน้อยทำตาโตใส่คนรัก  รีบกลืนขนมปังที่คาปากอยู่แล้วส่งเสียงแย้งอย่างไม่ยอมแพ้  "เอางี้ไหมล่ะ  ตอนที่คุณจะออกไปวิ่ง  คุณแบกฉันขึ้นหลังไปด้วยเลย  เปลี่ยนเสื้อผ้ากับใส่รองเท้ารันนิ่งให้ด้วยนะ"

"แอ๊บบี้คะ  เธอไม่ใช่ลูกสาวฉันนะ  เธอเป็นภรรยา"  สเปนเซอร์เน้นคำสุดท้ายจนอีกฝ่ายทำฮอทดอกติดคอต้องช่วยทุบหลังเอาออกให้

"เอางี้ไหมคะ  ฉันมีทางออกให้เธอแล้วล่ะ"

ตาสีฟ้าอมเขียวเหลียวมองคู่หมั้นที่อยู่ดีๆ ก็พูดอะไรขึ้นมาแปลกๆ "ทางออกอะไรคะ  คุณคิดอะไรแผลงๆ อีกหรือเปล่า"

สาวเจ้าของเรือนผมสีดาร์กบลอนด์ส่ายหน้า  ดวงตาสีน้ำตาลมีแววความจริงจังจนคนมองเริ่มข้องใจ  "ฉันจะยอมให้เธอรับงานแสดงได้  แต่เราต้องตกลงเงื่อนไขกันก่อน"

"เงื่อนไขอะไรคะ" แอ๊บบิเกลสนใจ  นัยน์ตาสีสวยพราวระยับขึ้นมาทันที  คล้ายมองเห็นแสงสว่างในความมืด

"แต่งงานกับฉันก่อน  แบบจดทะเบียนสมรส" สเปนเซอร์ตอบ  ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นในสีหน้าหรือแววตาใดๆ ทั้งสิ้น  ผู้หญิงอีกคนนั่งตาโตอึ้งไปหลายนาทีกว่าจะตั้งสติได้

"นี่คุณขอฉันแต่งงานแบบนี้เหรอสเปนซ์"

"ใช่..  ทำไมหรือคะ"

"ยังจะมาถามอีก  ก็มันไม่โรแมนติกสักนิดเลยน่ะสิ  แบบนี้มันเท่ากับคุณบังคับฉันด้วยซ้ำไป  ถึงตอนนี้เราจะอยู่กลางถนนของเมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลกก็เถอะ  แต่มันไม่ใช่ป่ะคะ" แอ๊บบิเกลสาธยายยาวยืด  แต่อีกคนกลับส่งมือมาโยกหัวเธออย่างเอ็นดูราวเธอเป็นเด็กเล็กๆ  แล้วใครบอกว่าเธอไม่ชอบ

"คุณเป็นคนที่มีอะไรย้อนแย้งในตัวเต็มไปหมด  ฉันละงงจริงๆ"

"ยังไม่ชินอีกเหรอคะ" คนหลายบุคลิกแกล้งถาม  สาวหน้าใสข้างๆ เอาแต่ยิ้มไม่ยอมตอบอะไร  "แล้วตกลงว่า  ยังไงคะ?"

เจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเขียวเลิกคิ้ว  เก๊กท่าทำเป็นครุ่นคิดอย่างหนัก  "คุณไม่กลัวฉันใช้เงินคุณหมดเหรอคะ  จดทะเบียนสมรส  เงินคุณที่หามาได้  ต้องเป็นของฉันครึ่งนึงนะ"

"ของเธอก็เหมือนกัน  แถมอีกหน่อย  เธอจะต้องหาเงินได้มากกว่าฉันแน่ๆ เลยล่ะสาวน้อยมหัศจรรย์"

"เฮ้.. แบบนี้ก็แปลว่า  คุณคิดคำนวณผลได้ผลเสียเอาไว้แล้วนี่นา"

สเปนเซอร์หัวเราะใส่นิ้วมือที่ชี้หน้าอยู่  เพราะเจ้าของมันดูไม่ได้จริงจังอะไร  ความจริงพวกเธอสองคนก็แทบจะใช้เงินกระเป๋าเดียวกันมาตั้งแต่ตอนที่หมั้นหมาย  ย้ายมาลงหลักปักฐานทำร้านด้วยกัน 

"โอ.. แล้วอีกอย่างด้วย"  น้ำเสียงตื่นเต้นของคู่หมั้นจอมเจ้าเล่ห์พาให้สาวหน้าใสนึกฉงนใจ  คนเก่งของเธอจะมีแผนอะไรอีก

"มีอะไรอีกคะ  นี่คุณยังควบคุมฉันไม่พออีกเหรอ"

"ยังค่ะ  ยังไม่พอ  เธอต้องให้ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวด้วย"

แอ๊บบิเกลอ้าปากค้าง  ก่อนโวยวายอย่างอดไม่ได้  "คุณว่างขนาดนั้นเลยเหรอคะ กลับไปเขียนหนังสือกับสอนนักเรียนของคุณเลย  ฉันมีผู้จัดการประจำตัวอยู่แล้ว  ไม่รบกวนหรอกค่ะ"

"งั้นให้ฉันเป็นรองผู้จัดการได้ไหม  ไม่รับเงินด้วยนะ  ทำให้ฟรี"

"อย่าดีกว่าค่ะ  เดี๋ยวคุณเก็บค่าจ้างด้วยวิธีอื่น  ฉันจะแย่"  สาวน้อยดักคออย่างรู้ทัน  อีกคนนั่งขำ  หัวเราะจนแก้มแดงแต่ไม่ใช่เพราะเบียร์ที่ดื่มกิน  และตอนนี้ปากสวยๆ ของสเปนเซอร์ก็น่าจูบเสียเหลือเกิน 

"จะแย่หรือจะชอบคะที่รัก"  คนเจ้าเล่ห์ถามอย่างรู้ดี  เด็กสาวกลั้นยิ้มเขินอายเอาไว้  และรีบลุกขึ้นเดินหนีไปเสียเฉยๆ  "นี่.. เธอยังไม่ให้คำตอบฉันเลยนะแอ๊บบี้"  สเปนเซอร์ร้องถามตามหลัง  เสียงดังจนคนระแวกนี้หันมามอง  แต่คนหน้าไม่อายอย่างนี้หรือจะสนใจ

"คำตอบอะไรเล่า  เดี๋ยวค่อยถามสิคะ  เรามาเที่ยวกันอยู่นะ"

"ก็แค่ตอบมาว่า  จะแต่งหรือไม่แต่งเท่านั้นเอง  ไม่ยากสักหน่อย"

สาวน้อยสั่นหัวให้คนตัวสูงกว่าที่ยังตามมาตอแยไม่เลิก  เธอเดินหนีหล่อนไม่ได้เสียด้วยสิ  ถ้าหลงทางในปารีสอายเขาแย่  "คุณรู้อยู่แล้ว  ไม่เห็นต้องถามฉันเลยนี่นา"

"รู้ว่าอะไรคะ  ฉันจะไปรู้ใจเธอทุกอย่างได้ยังไง  อีกอย่าง  เธอก็ยังไม่ได้บอกเลยว่า  เธอจะตอบกับมิสเตอร์ซูร์ว่ายังไง"  สเปนเซอร์แย้งอย่างมีเหตุผล  คนอายุน้อยกว่าคิ้วขมวดอย่างคิดไม่ออกว่าจะแย้งกลับว่ายังไงดี  แต่ไม่กี่นาทีต่อมากลับทำให้เธออึ้งด้วยคำพูดนิ่มๆ แต่ทิ่มหัวใจดังฉึก

"ถึงฉันจะตอบมิสเตอร์ซูร์ว่ายังไง  มันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของเราสักหน่อย  ถ้าฉันจะไม่แต่งกับคุณ  ฉันก็ไม่แต่ง  คุณเอางานมาบังคับฉันไม่ได้อยู่แล้วล่ะ"  พูดจบ  ร่างบางก็เดินนำลิ่วๆ ไปอย่างไม่รีรอ  คนที่ยืนช็อกอยู่หลายนาทีรีบวิ่งตาม  ก้าวมาดักหน้าอย่างไม่ยอมแพ้

"ไม่เอานะแอ๊บบี้  ฉันต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้เลย  ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีแก่ใจจะทำอะไรอีกแล้ว  เธอก็รู้นี่ว่า  ฉันน่ะ  รัก---"

"ฉันรักคุณค่ะสเปนซ์   ถ้าฉันไม่แต่งกับคุณ  ฉันจะแต่งกับใครล่ะ"

สเปนเซอร์ยืนอึ้งรอบสอง  หมุนตัวมองตามหลังคนที่เดินนำออกไปด้วยดวงตาที่ยังเต็มไปด้วยความมึนงง  สมองเธอคล้ายจะหยุดสั่งการไปชั่วคราว  จนกระทั่งแว่วหูได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดออกมาเป็นภาษาบ้านเธอ

"ผู้หญิงกับผู้หญิง  เค้าขอแต่งงานกันแบบนี้เหรอครับ  น่ารักจังนะ"

สาวอเมริกันในเมืองฝรั่งเศสกลั้นยิ้มแทบไม่ไหว  ทั้งอายทั้งเขิน  แต่ตามประสาคนมารยาทดี  แทนที่วิ่งหนี  เธอหันไปผงกหัวกระซิบคำขอบคุณให้ชายหนุ่มยิ้มสวยที่ไม่แน่ใจว่า  เป็นคนสัญชาติเดียวกับเธอหรือเปล่า  แล้วจึงรีบจ้ำอ้าวตามหลังสาวน้อยสุดที่รักของตนไป

คนที่ทำให้เธอเจอความงดงามของศิลปะนอกจากในพิพิธภัณฑ์..

..........................................................

"โอย..  ฉันอิจฉา"  เมลิสซ่าร้องขึ้นมาข้างเคาน์เตอร์กาแฟ  ลูกค้ารุ่นคุณแม่คนหนึ่งถึงกับหันขวับมามองอย่างตกใจ  ไคลีย์ต้องรีบเบี่ยงเบนความสนใจของนางด้วยการยื่นแก้วกาแฟที่เป็นออร์เดอร์ส่งให้ด้วยรอยยิ้มหวานที่พยายามสร้างขึ้นมาอย่างสุดชีวิต  และมันก็หายไปพร้อมกับแผ่นหลังของลูกค้าที่เดินออกไปจากประตูร้าน

"เป็นอะไรของเธอ  อยู่ดีๆ ก็ร้องเหมือนถูกผีเข้า"  สาวหน้าเข้มโยนผ้าเช็ดโต๊ะใส่เพื่อนซี้ที่เตรียมจะกรี๊ดกลับมาถ้าไม่ถูกชี้หน้าคาดโทษเอาไว้ก่อน  แต่ยัยผมบลอนด์ก็หันไปฟ้องกับอีกคนเข้าจนได้

"ลุฟท์  นายร่วมงานกับยัยคนป่าเถื่อนนั่นได้ยังไง  ไล่ออกมาจากบาร์เลยเหอะ"

"ไม่ต้องพูดมาก  เพราะเธอชงกาแฟไม่ได้สักอย่าง  ฉันเลยต้องทำ  ยังจะมาโยนความผิดให้กันอีกหรือไง"

"นี่ฉันว่า  วันนี้เธอพูดมากไปนะยัยโย่ง"  สาวเปรี้ยวเฉไฉว่าไปอีกเรื่อง  จากนั้นก็กวักมือเรียกลุฟท์ที่ดูจะหัวอ่อนว่าง่ายกว่าเพื่อนรักของตนมาดูอะไรบางอย่างในมือถือด้วยกัน  โชคดีที่ตอนนี้เขาว่างอยู่พอดี

"อะไรฮะ  วันนี้มีอะไรน่าสนใจ"  บาริสต้าหนุ่มที่เคยชินกับการอยู่ท่ามกลางสาวๆ เพราะเจอหน้ากันมาร่วมสองปีแล้ว  ถามขึ้นอย่างรู้จักนิสัย 

เมลิสซ่าทำหน้ายู่ไม่ถึงสองวินาทีก็ทนทานความอยากอวดสิ่งที่ได้เจอมาไม่ได้  เธอยกไอโฟนรุ่นล่าสุดขึ้นมา โชว์ภาพในแอปพลิเคชั่นอินสตาแกรมให้คนที่เต็มใจจะดูอย่างชัดเจนกับอีกคนที่ทำเป็นชำเลืองมามองเหมือนไม่ได้สนใจไยดีอะไรนัก

"โห.. วันนี้อัพเยอะนะฮะ" ลุฟท์วิจารณ์  ไม่มีทีท่าแปลกใจอะไรนัก  เพราะเจ้านายสาวที่ไปเที่ยวไกลถึงปารีสของเขา  ชอบถ่ายรูปลงไอจีอยู่แล้ว  และคงจะอัพเดตข่าวสารให้พวกเพื่อนๆ รู้มากกว่าที่จะตั้งใจอวดใครว่าไปเที่ยว

"เยอะมากเลยล่ะ  แต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่าข้อความที่หล่อนแคปชั่นไว้ใต้ภาพ"  สาวเปรี้ยวชี้แจงอย่างตื่นเต้นแต่ยังลีลาไม่ยอมเฉลยให้หมด  คนที่ทำเป็นไม่สนใจอย่างไคลีย์ถึงกับชักสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาด้วยความอยากรู้

"จะพูดก็พูดออกมาให้หมดสิ  ลีลาแบบนี้  เดี๋ยวลูกค้ามาก็อดเม้าท์  แล้วจะมาบ่นไม่ได้นะ"

"เธออยากรู้ก็พูดมาตรงๆ ก็ได้นะไคลีย์  ไม่มีใครว่าอะไรหรอก"

"ฉันไม่ได้---"

"โอ..  bride-to-be เหรอฮะ" เสียงทุ้มๆ ดูตกใจและตื่นเต้นของหนุ่มคนเดียวในร้านไม่นับลูกค้า  พาให้สองสาวหยุดทุ่มเถียงกันไปได้  แต่ไคลีย์รีบคว้ามือถือจากมือของเมลิสซ่าไปดูทันทีเหมือนไม่เชื่อว่า  ลุฟท์จะอ่านถูก

"ว่าที่เจ้าสาว?"  สาวหน้าคมอุทาน  มองหน้าเพื่อนสุดเปรี้ยวของตนอย่างถามความเห็น  เมลิสซ่ายักคิ้วกวนๆ กลับมา  "หมายความว่า  แอ๊บบี้จะแต่งงานแล้ว?"

"อืม.. ท่าทางจะแอบขอกันที่นั่นล่ะมั้ง  สงสัยจะทนบรรยากาศของเมืองแห่งความโรแมนติกนั่นไม่ไหว  ไม่ดวงซวยไปเหยียบอึหมาอย่างฉัน  ก็ให้มันรู้ไปสิ"  สาวบลอนด์สันนิษฐานแต่อดจะบ่นไม่ได้ในช่วงท้าย  ประสบการณ์อันเลวร้ายครั้งก่อนยังจำฝังใจ  "เพราะยัยหมอบ้านั่นคนเดียว  อยากจะไปในที่ที่ชาวบ้านเขาไม่ไปกัน"

"แต่เท่าที่ฉันรู้มา  เธอไม่ใช่เหรอที่บอกว่า  อยากรู้จักเรียลปารีสน่ะ"  ไคลีย์แย้ง  แม่สาวเปรี้ยวเตรียมจะอ้าปากเถียงแต่เสียงของชายหนุ่มก็ดึงความสนใจไปก่อน

"แต่งงานแล้วจะกลับไปแสดงละครได้เหรอฮะ" ลุฟท์สะดุ้งเล็กน้อย  เพราะเขากำลังถูกจับจ้องด้วยดวงตานิ่งๆ ของผู้หญิงถึงสองคน  "เอ่อ.. ผมแอบได้ยินพวกคุณคุยกัน"

"เพราะเธอเลยเมลิสซ่า  เสียงดังซะขนาดนั้น  ใครไม่ได้ยินคงหูหนวก"

"เพราะเธอนั่นแหละที่ชอบทำหน้าเหมือนไม่ได้ยิน  ฉันก็ต้องพูดดังๆ"

"ฉันได้ยินทุกคำที่เธอพูดนั่นแหละ  แค่ขี้เกียจพูดตอบ"

"ทีหลังก็หัดตอบโต้ซะบ้างสิยะ  ฉันจะได้รู้ว่า  ไม่ได้คุยกับคนใบ้"

ไคลีย์ส่ายหน้า  ไม่อยากจะต่อกรอะไรให้หมดพลังงานไปโดยใช่เหตุ  ยังไงเมลิสซ่าก็ต้องเถียงเธอทุกคำ  เธอจึงหันไปคุยกับนายลุฟท์แทน  "ฉันว่า.. แอ๊บบี้คงมีทางออกของเค้าเองล่ะ"

"ใช่.. แต่ถ้าเป็นฉันนะ  ฉันเลือกแต่งงานกับสเปนเซอร์  แคมเบลล์  และสบายไปทั้งชาติ  ดีกว่าไปตากหน้าหน้ากล้อง  โดนแสงไฟสาดจนแสบตา  ฉีกยิ้มปลอมๆ พูดจาตามบท  แสดงนู่นนี่  แล้วก็เฟคใส่คนนู้นทีคนนี้ทีในสังคมเฮงซวยนั่น"

"มันคงไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นมั้งฮะ" บาริสต้าหน้ามนทำหน้าแหยงๆ อยากจะแย้งให้มากกว่านี้แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงโดนเฉ่ง 

"นายไม่รู้อะไร  อย่าพูดดีกว่า"  เมลิสซ่าตัดบท  ดึงมือถือตนจากมือเพื่อนกลับไป  "ฉันขอไปแชทกับยัยขี้เห่อนี้ก่อนนะ  มีอะไรก็เรียก"

ไคลีย์พยักหน้าส่งๆ ตอบกลับ  และหันมายักไหล่ให้ชายหนุ่มที่ยังมองอย่างสงสัย  เห็นเธอทำท่าอย่างนั้น  ลุฟท์ก็ยอมแพ้  พอดีกับที่ลูกค้ารายใหม่เข้ามาสั่งกาแฟ  เธอจึงไม่ต้องทนอยู่ท่ามกลางสายตาฉงนใจของเขา

"ว่าที่เจ้าสาว.."  สาวผมดำพึมพำอยู่ลำพังระหว่างตีฟองนมไปด้วย  พลางคิดไปว่า  เธอน่าจะทำลาเต้อาร์ตรูปหัวใจแล้วอัพไอจีและแท็กแสดงความดีใจไปให้เพื่อนดีหรือเปล่า 

แต่แบบนั้น  เธอก็ขี้เห่อไม่ต่างจากเมลิสซ่าเลยน่ะสิ!     




........................................


ยังอยู่ที่ปารีสกันค่ะ  แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ไปไหนเลย  ได้แต่งุ้งงิ้งกันอยู่สองคน 5555

แต่เค้าขอแต่งงานกันแล้วนะคะ  (รู้สึกนิยายเราจะขอแต่งงานกันหลายเรื่องแระ 555)  ขอแล้ว ตอบหรือยังนะ  ไม่รู้  คิดเอาเองแล้วกันค่ะ

ส่วนเรื่องแอ๊บบี้จะไปเล่นละครหรือเปล่า  และจะยอมให้สเปนซ์เป็น ผจก.ส่วนตัวไหม  ต้องดูกันต่อไปค่ะ  :02:

อย่าลืมมาติดตามกันต่อนะคะ  ถ้าเป็นแฟนเรื่องนี้ ขอบคุณมากค่ะ  :44:

ป.ล. เรากำลังรอซีรีส์ซุปเปอร์เกิร์ลอยู่  ที่ เมลิสซ่า บีนอยส์ (อิมเมจ แอ๊บบี้) แสดง  เหลืออีก 20 วันเท่านั้นได้ดูแล้ว  มีใครรอเหมือนเราบ้างไหมนะ  รู้สึกจะหาพวก 5555  ช่วงนี้นั่งดู Glee ซีซั่น 4 กับ 5 อยู่ค่ะ  ฟังนางร้องเพลง เพราะดี  อยากรู้ว่าเพราะจริงหรือเปล่า ไปหาดูได้นะคะ (ได้ค่าโฆษณาไหม  ไม่เลยค่ะ 5555)

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น