web stats

ข่าว

 


Love is Harmonization ตอนที่ 17

โพสต์โดย: ณัชมาลย์ วันที่: 26 กันยายน 2015 เวลา 18:12:54 อ่าน: 2589

ตอนที่ 17

      คิมหันต์เดินนำภูริดาในเครื่องแต่งกายใหม่ไปตามระเบียงที่ทอดยาวสู่ห้องทำงานของบิดา วันนี้ทุกคนในบ้านออกไปทำงานกันหมดเหลือเพียงพลเอกดุษฎีผู้เป็นบิดาที่ยังไม่ได้เวลาเข้ากระทรวง และคิมหันต์ที่ยังไม่เริ่มทำงานอะไรเพราะเพิ่งกลับมาเมืองไทยได้เพียงวันเดียวเท่านั้น

      ดวงหน้าสวยหวานของนักดนตรีสาวหันกลับมายิ้มอ่อนโยนพลางเอื้อมมือมาเกาะกุมมือของเจ้าหญิงในใจของเธออย่างทะนุถนอมคิมหันต์แอบรู้สึกดีใจลึกๆ ที่สาวตาคมไม่ได้ปฏิเสธการเกาะกุมมือของเธอจนต้องเบือนหน้าไปกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสุขใจเหลือประมาณได้แต่คิดในใจว่า 'ขอแค่ได้มีกันและกันในทุกวันแบบนี้ คิมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วค่ะพี่กวาง'

      แพทย์สาวปล่อยให้เรียวนิ้วขาวเกาะเกี่ยวมือเธอไว้อย่างเต็มใจ ภูริดารู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งเมื่อได้อยู่ใกล้กับเจ้าของรอยยิ้มและดวงตาที่ทอประกายประดุจแสงอาทิตย์ในยามเช้าชวนให้รู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งยามที่ได้จ้องมองดวงตากลมโตที่ระยิบระยับอยู่ตรงหน้าเจ้าของนัยน์ตาสีนิลรู้สึกเก้อเขินจนต้องแอบเบือนหน้าไปอมยิ้มพร้อมรำพึงในใจว่า 'นี่เราหลงเสน่ห์เค้าได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือไงนะ...กวางเอ๋ยกวาง...'

      ทั้งสองเดินจับมือกันเงียบๆ จนมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ที่คิมหันต์เคยมาหยุดนิ่งอยู่ที่นี่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว นักดนตรีสาวสูดลมหายใจเข้าไปกักเก็บไว้ในปอดเพื่อเรียกกำลังใจและเผลอบีบมือของแพทย์สาวแน่นขึ้นราวกับต้องการเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่กำลังเกิดอยู่นี่คือความจริงมิใช่เพียงแค่ความฝัน

      สาวตาคมรู้สึกประหลาดใจกับอากัปกิริยาของสาวนักเปียโนตรงหน้า สัมผัสอุ่นจนร้อนและแรงบีบที่แน่นขึ้นจากอุ้งมือขาวนั้นทำให้สาวผิวสีน้ำผึ้งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจนต้องเหลียวมองดวงหน้าสวยหวานและพบว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายหวั่นไหวหม่นลงจนแพทย์สาวรู้สึกใจหาย เธอบีบมือคิมหันต์กลับเบาๆ เสมือนต้องการส่งผ่านความห่วงใยให้กับนักดนตรีสาวให้รู้สึกว่ามีเธออยู่เคียงข้างเสมอ

      สาวตาหวานยิ้มบางๆ ให้กับสาวตาคมพยายามปั้นเสียงให้เป็นปกติก่อนจะเอ่ยว่า "งั้นพี่กวางนั่งรอคิมอยู่แถวๆ นี้แป๊บนึงนะคะ" พร้อมกับจูงมือแพทย์สาวไปยังชุดรับแขกหน้าห้องทำงานของบิดาตน "พี่กวางนั่งอ่านหนังสือรอตรงนี้นะคะ เดี๋ยวคิมจะให้เด็กเอาของว่างมาให้ค่ะ"

      "ไม่เป็นไรจ้ะน้องคิม พี่พึ่งทานข้าวมาเองเมื่อเช้า ยังอิ่มอยู่เลยจ้ะ เชิญน้องคิมตามสบายเลยเดี๋ยวพี่อ่านหนังสือรอนะคะ" สาวตาคมเอ่ยเสียงนุ่มนวลก่อนยิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยรับรู้ได้ว่านักดนตรีสาวคงต้องมีเรื่องไม่สบายใจเป็นแน่

      "งั้น...รอคิมครู่เดียวนะคะ" สาวหน้าหวานทอดเสียงบอกสาวตาคมอย่างอ่อนโยน หัวใจของเธอพลันรู้สึกมีพลังในการเผชิญหน้ากับบิดาอีกครั้งเมื่อได้รับกำลังใจผ่านรอยยิ้ม และดวงตาที่ทอประกายอ่อนโยนของภูริดาคิมหันต์เอ่ยเสียงสดใสขึ้นก่อนยิ้มอย่างมีกำลังใจ ร่างขาวสมส่วนหมุนตัวเดินไปหยุดอยู่หน้าแผ่นไม้แกะสลักบานใหญ่รวบรวมกำลังใจก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ

      "ก๊อก ก๊อก ก๊อก คิมเองค่ะคุณพ่อ" สาวนักดนตรีขานเรียกผู้เป็นบิดาอย่างสำรวม

      สิ้นเสียงเคาะประตู ก็มีเสียงทุ้มอย่างผู้ทรงอำนาจขานตอบกลับออกมาว่า"คิมเองเหรอลูก เข้ามาได้เลยพ่อรออยู่"

      คิมหันต์ค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปแล้วเดินยิ้มแย้มตรงเข้าไปหาผู้เป็นบิดาอย่างแสนคิดถึง "สวัสดีค่ะคุณพ่อ คิมคิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ" เจ้าของเสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมเดินเข้าไปสวมกอดชายผมสีดอกเลาที่กำลังยืนเลือกหนังสือบนชั้นในห้องทำงานอย่างประจบประแจง

      พลเอกดุษฎีหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมหันกลับมาอมยิ้มให้บุตรสาวเพียงคนเดียวของเค้าอย่างเอ็นดู"ว่าไงดร.สาวของพ่อ มาทำเป็นบอกว่าคิดถึงพ่อเนี่ยไม่รู้ว่าไปอยู่ที่โน้นเสียนานคงจะลืมพ่อคนนี้เสียแล้วล่ะมั้ง เจ้าตัวน้อย"ผู้เป็นพ่อเอ่ยทักทายนักดนตรีสาวอย่างอาทร

      "แหม...ใครจะลืมคุณพ่อที่แสนน่ารักของลูกได้ลงล่ะคะ" สาวนักดนตรียังคงออดอ้อนเสียงหวานพร้อมเดินเกาะแขนผู้เป็นบิดาที่เธอทั้งรักและเคารพยิ่ง มานั่งลงตรงชุดรับแขกพร้อมกัน

      ชายวัยกลางคนลูบหัวบุตรสาวอย่างอารีก่อนที่จะไตร่ถามสารทุกข์สุขดิบ "แล้วอยู่ที่โน้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ สุขสบายดีหรือเปล่า พ่อให้แม่เค้าถามลูกไปว่าขาดเหลืออะไรมั้ย ลูกก็บอกว่าไม่ขาดเลยซักอย่าง" เสียงทุ้มต่ำพูดคุยอย่างมีความสุขและดีใจที่บุตรสาวที่ตนเองหวงนักหวงหนาเรียนจบกลับมาอย่างน่าภูมิใจ

      "ก็คิมสบายดีจริงๆ นี่คะคุณพ่อ ลำพังที่พักและทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่จัดการให้คิมก็มากมายจนเกินพอแล้วล่ะคะ" สาวหน้าหวานเอ่ยตอบอย่างเจื้อยแจ้ว

      "เห็นลูกคิมสบายดี และเรียนจบกลับมาพ่อปลื้มใจมากๆ แล้วลูก"ชายวัยกลางคนยิ้มแย้มอย่างร่าเริงเอ่ยถามประโยคต่อไปว่า "แล้วกลับมาเมืองไทยคราวนี้ได้พกลูกเขยกลับมาเป็นของฝากให้พ่อด้วยหรือเปล่าล่ะเจ้าตัวน้อย" ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามเสียงกลั้วหัวเราะ

      นักดนตรีสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะลากเสียงหวานตอบไปว่า"โอ้ยยยยย คุณพ่อคะ ลูกจะไปมีลูกเขยคนไหนมาฝากคุณพ่อได้คะ"ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างร่าเริง

      ชายวัยกลางคนหลิ่วตาลงอย่างพินิจพิเคราะห์พร้อมเอ่ยว่า "หื้ม... อย่าบอกพ่อนะว่า อย่างลูกเนี่ยนะไม่มีใครมาจีบ"

      "โธ๋...คุณพ่อขา... ลูกจะเอาเวลาที่ไหนไปคบใครละคะมีแต่จะรีบเรียนให้จบไวๆ เสียมากกว่าค่ะ อีกอย่าง...ถึงมีคนเข้ามาจีบ ลูกก็ไม่ได้ชอบเค้านี่คะ...คุณพ่อก็ทราบดี"นักเปียโนสาวเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างประจบก่อนที่จะทิ้งท้ายประโยคด้วยการเน้นคำช้าๆ ราวกับต้องการเข้าสู่ประเด็นของการสื่อสารในครั้งนี้อย่างรวดเร็ว

      เป็นอย่างที่ผู้เป็นบิดาคาดไว้ไม่ผิดเพี้ยน พลเอกดุษฎีทราบจากป้าแช่มที่เข้ามารายงานแล้วว่าวันนี้ภูริดาแวะมาเยี่ยมบุตรสาวของตนแต่เช้า กอปรกับเห็นอาการของคิมหันต์ที่มีต่อสาวตาคมข้างบ้านในงานเลี้ยงเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้ชายวัยกลางคนมั่นใจในบางสิ่งบางอย่างระหว่างเด็กสาวทั้งสองคนที่เค้าเคยเป็นกังวลเมื่อ 8 ปีที่แล้ว

      ด้านนักดนตรีสาวเมื่อเห็นบิดาตนขรึมลงก็บีบนวดไหล่ให้อย่างเอาอกเอาใจก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนว่า "คุณพ่อขา...รักลูกบ้างมั้ยคะ"

      ใบหน้าคมสันคร้ามแดดของชายผมสีดอกเลาส่ายไปมาอย่างยอมพ่ายแพ้ต่อการออดอ้อนและความรักที่มีต่อบุตรสาวอย่างราบคาบ ดวงตาสีเข้มทอประกายอ่อนลงก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มว่า "ลูกคือดวงใจของพ่อเสมอ พ่อรักลูกยิ่งกว่าชีวิต"

      สาวหน้าหวานก้มลงหอมแก้มผู้เป็นบิดาอย่างออดอ้อนก่อนจะปะเหลาะด้วยการทำเสียงอ้อนว่า "ถ้าคุณพ่อรักลูก... คุณพ่อยังคงจำสัญญาที่ลูกเคยรับคำไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วได้มั้ยคะ"

      "สัญญาของชายชาติทหารไม่มีวันลืมเลือน" เสียงทุ้มกังวาลของชายผู้มีอำนาจเอ่ยตอบบุตรสาวผู้เป็นที่รักของตนอย่างคนรักษาสัจจะ

      "แล้วถ้าลูกจะบอกว่าลูกก็รักคุณพ่อมากนะคะ...ตอนนี้ลูกก็เรียนจบปริญญาเอกตามที่คุณพ่อต้องการคุณพ่อจะอนุญาตให้ลูกได้ทำตามใจตัวเองได้มั้ยคะ" คิมหันต์เอ่ยอย่างแผ่วเบาอย่างกริ่งเกรงใจ

      พลเอกดุษฎีขบคิดเพียงครู่เดียวก็กลั้นลมหายใจก่อนระบายออกเบาๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ลูกตอบคำถามพ่อมาก่อน แล้วพ่อจะให้คำตอบกับลูกเช่นกัน"

      ดวงหน้าหวานพยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยอย่างมั่นใจไม่แพ้กัน "ลูกจะขอตอบทุกคำถามด้วยความสัจค่ะ"

      "ข้อแรก ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ลูกได้เคยเปิดใจลองคบใครอื่นผู้บ้างหรือเปล่า"ประมุขแห่งอัคราธรณ์เอ่ยถามด้วยเสียงกังวาลดูน่าเกรงขาม

      "ลูกเคยลองเปิดใจคบกับคนอื่นๆ อยู่สองสามคนค่ะ แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งเค้าเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่ชื่อไมเคิลได้ 1 เดือนคนนี้ลูกคบได้นานที่สุด แต่ลูกก็ไม่ได้รู้สึกรักหรือรู้สึกอะไรทำนองนั้นกับเค้าหรือกับใครเลยค่ะ" นักดนตรีสาวเลือกที่จะระบุชื่อของบุคคลคนนั้นเพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าตนได้ลองคบกับผู้ชายตามที่ผู้เป็นบิดาต้องการให้ทดสอบใจตนเองแล้ว

      นัยน์ตาสีเข้มของชายวัยกลางคนอ่านสีหน้า แววตา และน้ำเสียงอันบ่งบอกถึงความสัจจริงทุกคำพูดจากบุตรสาวของตนแล้วจึงพยักหน้าอย่างยอมรับในคำตอบพร้อมเอ่ยถามข้อต่อไปว่า "แล้วความรู้สึกของลูกที่มีต่อ...เอ่อ...หนูกวางน่ะ ยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า"

      นักดนตรีสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นบิดาก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า "ทุกความรู้สึกที่ลูกมีต่อพี่กวางนั้น...ยังคงเดิมและไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อีกทั้งลูกยังสามารถตอบหัวใจตนเองได้อย่างชัดเจนมากขึ้นเมื่อผ่านกาลเวลาอีกด้วยค่ะ"

      ท่านนายพลระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนที่จะหลับตาลงนิ่งๆ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบและจริงจังว่า "ลูก...รัก...หนูกวางใช่หรือไม่"

      นิ้วขาวเรียวเผลอบีบเข้าหากันอย่างประหม่าก่อนที่เจ้าของดวงหน้าขาวหวานจะเอ่ยตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า "ลูก...รัก...พี่กวางค่ะ รักอย่างที่คนๆ หนึ่งจะมอบหัวใจทั้งหมดให้เค้า และปรารถนาที่จะดูแลเค้าคนนั้นไปตลอดชีวิตค่ะ"

      ผู้เป็นพ่อถึงกับกระแอมอย่างเก้อเขินด้วยคาดไม่ถึงว่าบุตรสาวของตนจะเติบโตขึ้น และมีความกล้าในการเปิดเผยความรู้สึกมากมายถึงเพียงนี้"แล้วหนูกวางเค้ายังคงรักลูกอย่างที่ลูกรักเค้าหรือเปล่า หลังจากที่ห่างกันไป ซึ่งพ่อเชื่อว่าลูกรักษาสัญญาที่จะไม่ติดต่อกับหนูกวางอีกตลอด 5 ปีที่ผ่านมา"

      "ลูกคิดว่า...ลูกมองคนไม่ผิดค่ะ ลูกเชื่อมั่นใจคนๆ นั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลูกอยากขอให้คุณพ่อโปรดเมตตาอนุญาตให้ลูกได้เดินตามเส้นทางที่ลูกเลือกเองได้หรือไม่คะ" นักเปียโนสาวทอดเสียงอ่อน พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนผู้เป็นบิดา "นะคะ...คุณพ่อ"

      นัยน์ตาสีเข้มทอประกายอ่อน พลเอกดุษฎีรักบุตรสาวคนเล็กมากจนยอมละทิฐิเมื่อเห็นว่าความรักที่เกิดขขึ้นมิใช่ความรู้สึกที่ฉาบฉวยอีกต่อไป "ถ้าลูกพิสูจน์ได้ว่าหนูกวางรักลูกจริง ให้สมกับที่ลูกรักเค้า พ่อก็จะไม่ขัดขวางใดๆ ลูกอีก" เสียงทุ้มยังเอ่ยสำทับต่อไปอีกว่า "ในระหว่างนี้ พ่ออนุญาตให้ลูกเดินหน้าเพื่อพิสูจน์ความรักของลูกได้เต็มที่" วงแขนที่มั่นคงของชายชาติทหารโอบไหล่บุตรสาวของตนอย่างให้กำลังใจพร้อมกับรักษาคำมั่นที่เคยให้คำสัตย์ไว้ว่าจะไม่ขัดขวางนักดนตรีสาวอีกต่อไปหากทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้

      นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายวาววับอย่างคาดไม่ถึง ริมฝีปากบางแย้มยิ้มด้วยอย่างดีใจด้วยความสุขเหลือประมาณก่อนจะกอดผู้เป็นบิดาตนอย่างซาบซึ้งใจพร้อมกับละล่ำละลักออกไปว่า "คิมรักคุณพ่อมากที่สุดเลยค่ะ รักๆๆๆ ขอบคุณมากๆ นะคะ คิมสัญญาว่าคิมจะไม่ทำอะไรให้คุณพ่อและอัคราธรณ์ต้องมัวหมองแน่นอนค่ะ"

      รอยยิ้มค่อยๆ ระบายฉายชัดบนใบหน้าคร้ามแดดของท่านนายพล ก่อนที่จะลูบศีรษะนักดนตรีสาวอย่างปราณี "เพราะว่าพ่อก็รักลูกมากเช่นกัน และหวังว่าลูกคงเข้าใจ  และไม่โกรธที่พ่อทำไปเช่นนั้น เพราะพ่ออยากประคับประคอง และมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก พ่อจึงต้องทำไปแบบนั้น" ดวงตาของชายวัยกลางคนพลันพล่าเลือนด้วยหน่วยน้ำตาที่คลอเอ่อ

      คิมหันต์ค่อยๆ ทรุดตัวลงบนพื้นพรมพร้อมกับก้มลงกราบที่ปลายเท้าของผู้เป็นบิดาอย่างซาบซึ้งในพระคุณอย่างสุดประมาณ "ลูกขอกราบขอบคุณคุณพ่อที่เลี้ยงลูกมาอย่างดี ลูกไม่เคยโกรธเคืองคุณพ่อเลยนะคะ และลูกเข้าใจทุกสิ่งที่คุณพ่อทำไป ลูกเองที่ต้องเป็นฝ่ายกราบขอโทษคุณพ่อที่ทำให้คุณพ่อต้องทุกข์ใจกับลูก แต่ลูกสัญญานะคะว่าลูกจะไม่ทำให้คุณพ่อต้องเสียใจเรื่องใดๆ อีกเลย" สาวนักเปียโนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับหยาดน้ำตาลรินไหลอาบสองแก้มอย่างซาบซึ้งในพระคุณของผู้เป็นบิดา

      สองมือแข็งแกร่งค่อยๆ ประคองบุตรสาวให้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะกลั้นน้ำตาของชายชาติทหารไว้พร้อมเอ่ยว่า "เอาล่ะ ไปเถิดลูก หนูกวางท่าจะรออยู่นานแล้วเห็นว่าเป็นคนดูแลพาลูกมาส่งตั้งแต่เมื่อคืน แถมยังมาเยี่ยมเยือนไตร่ถามอาการแต่เช้าอีก แล้วนี่ท่าทางจะได้ยาดีกระมั้งเราน่ะดูไม่เห็นจะอิดโรยเลย"ผู้เป็นพ่อกระเซ้าบุตรสาวเพื่อปรับอารมณ์ให้สถานการณ์ผ่อนคลายมากขึ้น

      "โธ๋...คุณพ่อก็...ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ เป็นเพราะลูกได้พักผ่อนต่างหากเล่าคะ" นักดนตรีสาวเอ่ยอย่างเขินอาย ก่อนจะสวมกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งพร้อมกับหอมแก้มอย่างเอาใจ "ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวก่อนนะคะ เย็นนี้ลูกขออนุญาตทานข้าวข้างนอกเลยนะคะ"

      "เอาเถอะๆ ตามสบายพ่อมันแก่แล้วนี่ ไม่ต้องอยู่ทานข้าวกับพ่อหรอก" ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างขบขันระคนเอ็นดู

      นักดนตรีสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างร่าเริงราวกับโลกทั้งใบเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ผลิดอกเบ่งบาน "คุณพ่อยังไม่แก่เลยค่ะ ดูสิคะออกจะหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวซะขนาดนี้ ไว้ลูกขอชดเชยให้คุณพ่อที่น่ารักของลูกมื้อหน้านะคะ" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายระยิบระยับด้วยความสุขก่อนที่จะเดินออกจากห้องทำงานของบิดาด้วยจิตใจเบิกบาน

      คิมหันต์ปิดประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ด้วยสีหน้า และอารมณ์ที่แตกต่างไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนโดยสิ้นเชิง ก่อนที่ร่างขาวจะหมุนตัวเดินตรงดิ่งไปหาเจ้าของเรือนร่างสีน้ำผึ้งที่กำลังนั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่โซฟาด้านข้างอย่างร่าเริงราวกับยกภูเขาออกจากอก

      "เรียบร้อยแล้วค่ะพี่กวางขา...รอคิมนานมั้ยคะ" เสียงหวานๆ ของนักดนตรีสาวเอ่ยทักทายผู้เป็นเจ้าของหัวใจอย่างรื่นเริง

      หัวใจของสาวตาคมพลันกระตุกไหวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหวานๆ ที่แสนจะคุ้นหูนี้ เธอแปลกใจเหลือเกินที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร เสียงของคนๆ นี้ก็มีปฏิกิริยาต่อหัวใจของเธอได้เสมอทุกครั้งไป

      ดวงหน้าสวยคมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อเก็บอาการหวั่นไหวของตนเอง นัยน์ตาสีนิลสบประสานกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอประกายแพรวพราวกระจ่างตารับกับแสงอาทิตย์ในยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างทรงสูงดูช่างงดงามสะกดให้แพทย์สาวจ้องมองดวงตากลมโตคู่นั้นราวกับต้องมนต์

      'สวยเหลือเกิน น้องคิมของพี่สวยเหลือเกิน' แพทย์สาวรำพึงรำพันในใจอย่างตื่นตะลึง

      "พี่กวางคะ พี่กวาง" เสียงเรียกจากสาวนักดนตรีเหนี่ยวรั้งสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาอย่างรวดเร็ว

      "อะ เอิ่ม... จ้ะน้องคิมว่าไงคะ" แพทย์สาวละล่ำละลักตอบ พวงแก้มสีน้ำผึ้งแดงซ่านอย่างเขินอาย

      "คิมถามว่า... พี่กวางรอคิมนานมั้ยคะ" นักดนตรีสาวทอดเสียงหวาน พร้อมคลี่ยิ้มกว้างที่เปล่งประกายความสุขสะท้อนวิบวับอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวย วันนี้เธอมีความสุขมากมายเหลือเกิน เพราะเป็นวันแรกในรอบ 5 ปีที่ได้ปลดเปลื้องพันธะสัญญากับพลเอกดุษฎีผู้เป็นบิดาได้อย่างไร้ข้อกังวลใจอีกต่อไป

       "อ๋อ...ไม่นานหรอกจ้ะ" ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มตอบรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของนักดนตรีสาว 'คนอะไรเวลายิ้มก็ยิ่งน่ารัก' แพทย์สาวรำพึงในใจอย่างหลงใหลจนเผลอไผลพึมพำออกไปเบาๆ ว่า "สำหรับน้องคิม...นานกว่านี้พี่ก็รอได้เสมอ"

      "หื้ม...พี่กวางพูดว่าอะไรนะคะ" สาวหน้าหวานถามพร้อมเลิกคิ้วสูง

      สาวตาคมที่ได้สติกลับมาอีกครั้งรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า "พร้อมกันหรือยังเอ่ย ประเดี๋ยวสายแล้วแดดจะร้อนนะคะเด็กน้อย"ดวงหน้าคมขำยังคงเจือด้วยเลือดฝาดแดงระเรื่อด้วยอาการประหม่าที่เวลาอยู่ต่อหน้าสาวนักเปียโนทีไร แพทย์สาวก็ไม่อาจควบคุมตนเองได้เลยแม้เพียงสักครั้ง

      ด้านนักดนตรีสาวเธออมยิ้มละไมพวงแก้มขาวแดงซ่านด้วยความอิ่มเอิบใจ มีหรือที่หูของนักดนตรีมือเอกอย่างเธอจะไม่ทันได้ยินสิ่งที่ภูริดาพึมพำออกมา แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาปานใดก็ตาม หัวใจของสาวหน้าหวานเต้นไม่เป็นส่ำฟูฟ่องประหนึ่งว่าเสียงหวานที่ได้ยินจากภูริดาคือท่วงทำนองดนตรีที่มีความไพเราะเสียจนดึงดูดให้เธอคล้อยไปตามอารมณ์ของบทเพลงได้อย่างมิอาจต้านทานได้

      "ค่า...เราไปกันเลยนะคะ คิมพร้อมแล้วค่ะ" สาวนักดนตรียิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ เธอเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่สาวตาคมพึมพำออกมาเพื่อเป็นการให้เกียรติด้วยการไม่ต้อนแพทย์สาวให้จนมุมอีกทั้งยังได้เก็บถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากก้นบึ้งจากใจของภูริดาไว้ในความทรงจำแสนหวานของตนเองเงียบๆ เพียงเท่านี้คิมหันต์ก็รู้สึกสุขใจเหลือประมาณ

      สาวหน้าหวานเรียกป้าแช่มเข้ามาเพื่อฝากให้บอกที่บ้านว่าเธอออกไปข้างนอกกับภูริดา และคงไม่ได้กลับมาทานมื้อเย็นที่บ้าน

      สายตาของหัวหน้าแม่บ้านฉายแววประหลาดใจที่เมื่อเช้าเธอเห็นภูริดานั่งอยู่ในห้องคุณหนูของเธอในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีฟ้า แต่?ทำไมภูริดาตอนนี้สวมเสื้อคอจีนสีเขียวกับกางเกงยีนส์สีน้ำตาลเข้ม

      แพทย์สาวสังเกตเห็นแววตาสงสัยของหญิงชราจึงหันไปสบตากับสาวนักเปียโนเพื่อขอความช่วยเหลือในทันที

      สาวหน้าหวานคลี่ยิ้มให้อย่างปลอบประโลมใจก่อนที่จะออกตัวปกป้องสาวตาคมโดยแสร้งทำเป็นปรารภกับภูริดาออกไปอย่างขอลุแก่โทษว่า

      "คิมขอโทษนะคะพี่กวางที่เมื่อเช้าซุ่มซ่ามไปหน่อยตอนขึ้นจากสระ คิมมึนหัวเลยเซไปชนพี่กวางตกสระว่ายน้ำเข้า" นักดนตรีสาวเอ่ยเสียงอ่อนพร้อมทำท่าทางรู้สึกผิดประกอบบทละครเฉพาะกิจได้อย่างแนบเนียน

      ป้าแช่มได้ยินดังนั้นจึงเผลอพยักหน้าหงึกหงักพร้อมปลีกตัวกลับเข้าไปด้านในโดยไม่ติดใจสงสัยใดๆ อีก

      เมื่อหัวหน้าแม่บ้านหันหลังไปแล้ว แพทย์สาวก็ขยับปากโดยไม่เสียงออกมาว่า "ขอบคุณนะคะ" พร้อมกับโปรยยิ้มหวานเป็นรางวัล ก่อนทั้งคู่จะเดินเคียงข้างกันออกไปในเวลานี้รอบกายของทั้งคู่ช่างสดใสราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้าที่เปล่งประกายยามต้องแสงอาทิตย์

      "น้องคิมอยากไปเที่ยวไหนคะวันนี้" สาวตาคมเอ่ยถามเสียงหวานอย่างเอาอกเอาใจ ในขณะที่พากันเดินลัดเลาะไปตามทางเดินโรยกรวดที่นำไปสู่รั้วไม้เตี้ยๆ ที่เชื่อมระหว่างบ้านของทั้งคู่

      "ไปที่ไหนก็ได้ค่ะ คิมอยากไปทุกที่ๆ ขอเพียงแค่มีพี่กวางอยู่ด้วยเท่านั้น" รอยยิ้มละไมประดับบนดวงหน้าสวยหวานอย่างเริงร่าประดุจนกน้อยได้ออกจากกรงทองที่พันธนาการหัวใจของเธอไว้นานถึง 5 ปีเต็ม

      นักดนตรีสาวยังคงเปร่งเสียงเจื้อยแจ้วต่อไปว่า "ถ้าวันนี้พี่กวางไม่แวะมา คิมก็คงได้แต่ว่ายน้ำทั้งวันจนตัวเปื่อยแน่ๆ ค่ะ" ทั้งคู่เดินมาหยุดตรงหน้าประตูไม้ฉลุที่แสนคุ้นเคย มือราวเรียวผลักประตูเบาๆ และค้อมตัวเปิดทางให้สาวตาคมได้เดินเข้าไปก่อนอย่างอ่อนโยน

      "อ้าว...แล้วน้องคิมไม่ไปหาเพื่อนๆ ล่ะคะ เพื่อนๆ คงคิดถึงน้องคิมแน่ๆ" ภูริดาเลิกคิ้วประหลาดใจ พร้อมกับเดินนำไปที่โรงจอดรถของตนเองริมฝีปากอวบอิ่มยิ้มแย้มร่าเริงเพียงแค่ได้ใช้ช่วงเวลาด้วยกันกับเจ้าของหัวใจแม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้สาวตาคมรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน

      "ก็คิม?ไม่ค่อยอยากเจอใครเวลานี้นิคะ คิมชอบอยู่เงียบๆ ไม่ค่อยชอบปาร์ตี้สักเท่าไร" ดร.สาวกล่าวเสียงอ่อย เพราะความที่เธอเป็นนักดนตรีคลาสสิค คิมหันต์จึงมักจะหลีกเลี่ยงที่จะไปท่องเที่ยวยามค่ำคืนอย่างที่วัยรุ่นเค้าชอบไปกัน เพราะเสียงอึกทึกเกินไปซึ่งเป็นผลเสียต่อโสตประสาทของนักดนตรีที่จำเป็นต้องใช้ความสามารถเฉพาะทางโดยเฉพาะโสตประสาท นักดนตรีจึงมีหูที่ไวต่อเสียง และสามารถแยกแยะเสียงต่างๆ ได้ละเอียดกว่าคนทั่วไป เพราะต้องผ่านการฝึกทักษะในการจำแนกเสียงมาตั้งแต่เด็กๆ

      "วันนี้เอารถพี่ไปนะคะ" เรียวขายาวของแพทย์สาวก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉงผิดกับท่าเดินอ้อยสร้อยเมื่อเช้าราวฟ้ากับดิน

      นักเปียโนสาวพยักหน้าระบายยิ้มออกมาอย่างเต็มอกเต็มใจยิ่ง ในเวลานี้พอเพียงแค่มีสาวนัยน์ตาแขกอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะขึ้นเหนือล่องใต้ สาวตาหวานก็ยินยอมพร้อมใจติดตามไปทุกที่อย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ

      ทั้งคู่เดินพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันมาโรงจอดรถที่จอดกันเรียงรายมากมาย ดวงตากลมโตเบิกโพลงอย่างตื่นตะลึงพลางกลอกไปมาล่อกแล้กพร้อมเลิกคิ้วเรียวอย่างฉงนใจก่อนเอ่ยตามเสียงอ่อยว่า "เอิ่ม?ว่าแต่รถพี่กวางเนี่ย...คันไหนคะ?"

      ภูริดาหัวเราะอย่างเอ็นดูกับท่าทีเด็กๆ ของคิมหันต์ "คุณหนูคิมหันต์ชอบคันไหนล่ะคะหื้ม?" เธอกระเซ้าดร.สาวที่อาจกล่าวได้ว่าฐานะทางบ้านของสาวหน้าหวานเรียกได้ว่าติดอันดับเศรษฐีระดับต้นๆ ของเมืองไทย แต่ดูเก้อเขินและประหม่ากับฐานะทางบ้านของเธอ "ลองทายใจพี่สิคะ ว่าพี่ชอบ?แบบ?ไหน" สาวนัยน์ตาคมจงใจพูดเว้นคำเป็นช่วงๆ เพื่อสื่อความนัย

      "อืม?แบบไหนกันนะที่พี่กวางชอบ?" นักเปียโนสาวแสร้งเอ่ยถามอย่างใสซื่อ พร้อมกระพริบตาปริบๆ นัยน์ตาคู่หวานเต้นระริกเชิงยั่วเย้า

      'หึ!ทำตัวราวกับอ่อนต่อโลกเสียจริงนะ! จับได้ไล่ไม่ทันก็แล้วไป'แพทย์สาวนึกเข่นเขี้ยวในใจก่อนจะตวัดนัยน์ตาสีนิลคู่สวยค้อนอย่างหมั่นไส้

      ริมฝีปากบางอมชมพูของนักดนตรีสาวคลี่ยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินไปเดินมาเพื่อพินิจพิจารณารถหรูที่จอดเรียงรายอยู่ทีละคันๆ พร้อมทำสุ่มเสียงจริงจังประดุจกำลังสืบคดีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด "ถ้าให้คิมทาย?ใจ?ของพี่กวางแล้วล่ะก็?" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเปร่งประกายขบคิดพร้อมยกมือขาวขึ้นลูบคางตนเองเบาๆ ทำท่าประหนึ่งนักสืบในนิยาย

      ภูริดาเดินตามคิมหันต์มาพร้อมกับเอามือกอดอกรับฟัง ทำสีหน้าประหนึ่งสนอกสนใจการวิเคราะห์ของนักสืบสาวหน้าหวานอย่างมาก ทั้งๆ ที่แท้จริงเธอเกือบจะหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางเลียนแบบนักสืบที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดูแบบนั้น

      "ข้อที่ 1 พี่กวางเป็นคนเรียบๆ น่าจะชอบรถสีขรึมๆ" นักสืบสาวหน้าหวานเริ่มทำการวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของสาวนัยน์ตาแขกอย่างจริงจัง

      แพทย์สาวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจที่สาวตาหวานจะเป็นคนช่างสังเกตมากมายถึงเพียงนี้ พลางพยักหน้ายอมรับก่อนเอ่ยถามกลับไป "อืม! แล้วยังไงต่อคะคุณนักสืบ"

      "ข้อที่ 2 พี่กวางเป็นคนใจร้อน แม้ภายนอกจะดูเป็นคนใจเย็นก็ตาม ดังนั้น! จึงน่าจะชอบรถที่ตอบสนองฉับไวและมีแรงม้าสูง" สาวตาหวานยังคงทำการวิเคราะห์เป็นฉากๆ อย่างมั่นอกมั่นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภูริดามีหรือที่คิมหันต์จะไม่ทราบเพราะสาวตาคมคือหนึ่งเดียวในดวงใจ จึงไม่แปลกที่นักเปียโนสาวจะสังเกตและจดจำทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับสาวผิวสีน้ำผึ้งได้อย่างแม่นยำ

      "ช่างรู้ลึกไปถึงนิสัยใจคอเลยนะคุณนักสืบจอมป่วน" ภูริดากระเซ้าหากแต่ในใจแอบรู้สึกประทับใจที่คิมหันต์ช่างเอาใจใส่ และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอมากมายถึงเพียงนี้

      "ข้อที่ 3 พี่กวางชอบความเร็ว น่าจะชอบรถสปอร์ต แต่ไม่ชอบความโดดเด่นจนเกินไปจึงน่าจะชอบรถที่ไม่ได้ออกแบบอย่างแปลกตาหรือดึงดูดสายตาคนอื่นมากนัก" นักสืบสาวยังคงวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับระบายลมหายใจพร้อมคลี่ยิ้มอย่างพึ่งพอใจในบทวิเคราะห์ของตนออกมา และสรุปอย่างรวดเร็วด้วยสุ่มเสียงที่มั่นอกมั่นใจอย่างยิ่งว่า"รถของพี่กวางคือ...ออดี้ อาร์8 สีดำคันนี้แน่นอนค่ะ ฟันธง!"

      ภูริดาถึงกับปรบมือให้อย่างชอบใจ นัยน์ตาสีนิลทอประกายระยิบระยับด้วยความปลาบปลื้มใจก่อนที่จะระบายรอยยิ้มแจ่มใสก่อนเอ่ยเสียงหวาน "ปิ๊งป่อง! เก่งมากค่ะนักสืบตัวป่วน"

      คิมหันต์ทำท่ายืดอกพร้อมเอ่ยอย่างภูมิใจ "ก็แน่ล่ะค่ะ คนเค้าออกจะเก่ง" จากนั่นก็แอบคิดในใจว่า 'จะไม่ให้วิเคราะห์ถูกได้ยังไงละคะ ก็ในเมื่อพี่กวางเป็นเจ้าของหัวใจของคิม ทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับความชอบ ไม่ชอบ คิมจดจำได้เสมอไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจหรอกค่ะ'

      "น่ารักจริงๆ นักสืบคนนี้อยากได้รางวัลอะไรคะ" สาวตาคมยิ้มกระจ่างไปทั้งดวงหน้าและแววตา วงแขนสีน้ำผึ้งตะหวัดโอบรอบเอวของนักดนตรีสาวอย่างสนิทสนมเธอลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจเมื่อ 5 ปีก่อนไปเสียสิ้นในเวลานี้

      ทว่านักสืบสาวยังคงวางท่าพร้อมวินิจฉัยต่อไปว่า "ข้อที่ 4 พี่กวางชอบรถคันนี้มากๆ เพราะกระจกรถคันนี้ค่ะ" นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มทอประกายวิบวับอย่างเจ้าเล่ห์

      "หื้ม? กระจกรถ?" นัยน์ตาสีนิลฉายแววฉงนใจ เรียวคิ้วยาวเลิกขึ้นอย่างพิศวงกับการวิเคราะห์ในครั้งนี้ของนักสืบสาวตาหวาน

      "พี่กวางลองมองไปที่กระจกรถคันนี้สิคะ แล้วบอกคิมหน่อยสิคะว่าพี่กวาง?ชอบ?จริงๆ หรือเปล่าคะ" นักเปียโนสาวทอดเสียงหวานฉ่ำพลางบรรจงเชยคางของแพทย์สาวอย่างอ่อนโยนให้หันไปมองกระจกรถที่ติดฟิล์มสีดำสนิท

      สาวหน้าคมขมวดคิ้วอย่างงวยงงแต่ก็ยอมหันไปดูที่กระจกรถแต่โดยดี แล้วหัวใจของสาวตาคมก็พลันกระตุกไหววูบเมื่อพบว่ายามจ้องมองเข้าไปในกระจกที่ติดฟิล์มดำสนิทแล้วเห็นเงาสะท้อนของนักสืบสาวหน้าหวานสะท้อนฉายชัดอยู่ในกระจกบานนั้นนั่นเองหญิงสาวนัยน์ตาแขกรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้าด้วยเลือดที่สูบฉีดจากหัวใจที่เต้นระรัวกับภาพตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มเผลอเม้มเข้าหากันอย่างขวยเขินกับลูกเล่นที่แสนจะแพรวพราวของสาวนักดนตรีตรงหน้า

      'อืม! เจอเข้าอีกแล้วสินะ'สาวตาคมนึกหมั่นเขี้ยวในใจ ก่อนจะยิ้มมุมปากตอบกลับไปด้วยเสียงหวานฉ่ำว่า "ชอบ?สิคะ ชอบ...มากเลยทีเดียวเชียวล่ะ"

      ดวงตาคู่หวานถึงกับเบิกโพลงเมื่อได้ยินคำตอบของสาวตาคม รอยยิ้มผุดขึ้นเหนือริมฝีปากอมชมพูระเรื่อในทันที "พี่กวาง...ชอบ...จริงๆ หรือคะ" นักดนตรีสาวกระซิบเสียงหวานฉ่ำ   

      แต่แล้วรอยยิ้มละไมของดร.สาว ก็มีอันต้องหุบลงอย่างเร็วเร็วเมื่อได้ยินประโยคคำตอบของแพทย์สาวตาคมที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ตามมาว่า"ก็ฟิล์มสีดำนี้พี่เลิกเองกับมือจะไม่ชอบได้ไงล่ะคะ" ตามมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของสาวผิวสีน้ำผึ้ง

      สาวหน้าหวานถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนอมยิ้มแล้วแสร้งทำแก้มป่องอย่างคนแสนงอนพลางคิดในใจอย่างเข่นเคี่ยวว่า 'รู้ทันกันจริงๆ เลยนะคะพี่กวางขา ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้คะเนี่ย'

      ด้านสาวนัยน์ตาแขกเมื่อเห็นแววตาแพรวพราวของนักดนตรีสาวที่แสร้งทำเป็นงอนแก้มป่องก็ถึงกับกลั้นรอยยิ้มขบขันไว้ไม่อยู่พลางนึกในใจว่า 'เป็นไงล่ะคะน้องคิมคิดว่าพูดอยู่กับใครกันคะ รับรองว่าศึกครั้งนี้สมน้ำสมเนื้อแน่นอนจ้ะ'จากนั้นภูริดาก็ยักไหล่พลางส่งสายตาวิบวับผ่านนัยน์ตาสีนิลกลับไปยังนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอย่างผู้ชนะในการปะทะคารมในครั้งนี้

      ทั้งคู่ตอบโต้กันทางสายตาอยู่ครู่หนึ่งแพทย์สาวจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ว่ามัวแต่คุยเล่นกันจนเสียเวลาไปมาก "อุ้ย!เดี๋ยวพี่ไปหยิบกุญแจกับกระเป๋าสตางค์ก่อนนะจ้ะ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย" ว่าแล้วภูริดาก็ทิ้งระเบิดด้วยเสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะก่อนเดินตัวปลิวเข้าไปภายในบ้านอย่างสมใจ

      นักดนตรีสาวเดินเตร็ดเตร่รออยู่ครู่เดียวแพทย์สาวก็เดินยิ้มร่าสะพายกระเป๋าออกมาพร้อมกับพยักหน้าแย้มยิ้มสดใส ร่างขาวปรี่เข้ามาบรรจงเปิดประตูรถด้านคนขับให้เรือนร่างสีน้ำผึ้งเข้านั่งประจำที่สารถี สาวตาคมส่งสายตาประทับใจในความใส่ใจของสาวตาหวานที่มีให้เธออย่างสม่ำเสมอ

      สาวผิวสีน้ำผึ้งค่อยๆ เคลื่อนรถคันงามออกจากโรงจอดรถโดยมีนักดนตรีสาวหน้าหวานนั่งตาแป๋วอยู่ด้านหน้าอย่างตื่นเต้น "นี่เราจะไปที่ไหนกันคะพี่กวาง" คิมหันต์อดที่จะถามไม่ได้

      "เอ้?เราจะไปที่ไหนกันดีน้า หรือว่าพี่จะลักพาตัวน้องคิมไปซ่อนไว้ดีคะ?" ภูริดาเอียงคอถามคนช่างสงสัยที่นั่งอยู่ข้างๆ

      "อ้าว! พี่กวางจะลักพาตัวคิมก็ไม่บอกจะได้จัดเตรียมกระเป๋ามาให้พร้อมค่ะ"คิมหันต์แสร้งเอ่ยกระเซ้าด้วยเสียงสูงอย่างแสนเสียดาย

      สาวนัยน์ตาคมถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อเจอย้อนกลับด้วยปฏิภาณที่ไม่แพ้กัน ก่อนจะเอ่ยเสียงแง่งอนที่โดนสาวหน้าหวานย้อนเกล็ดเข้าให้อย่างละมุนละม่อม "ไม่ลักพาตัวไปหรอกค่ะ!ตัวป่วนซะขนาดนี้ ไม่เห็นจะน่าลักพาตัวไปตรงไหนเลย" ริมฝีปากอิ่มขบเม้มอย่างแสนงอน

      เสียงหัวเราะหวานใสดังแว่วออกมาจากริมฝีปากบางของนักดนตรีสาว เมื่อเห็นแพทย์หญิงภูริดาที่ทั้งดุและเงียบขรึมในสายตาคนทั่วไปกำลังทำท่างอนตุ๊บป่องราวกับเด็กที่โดนผู้ใหญ่ขัดใจคิมหันต์รู้สึกสุขใจเหลือประมาณที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของภูริดาที่น้อยคนนั้นจะได้รู้จักและสัมผัสมุมเล็กๆ ที่แสนจะน่ารักของสาวตาคมคนนี้

      สาวหน้าหวานเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน "อย่างพี่กวางนี่ ไม่ต้องลักพาตัวคิมหรอกค่ะ มีแต่คิมจะมาเกาะติดแจเสียมากกว่ามั้งคะ" คิมหันต์อมยิ้มอย่างแสนรัก

      "ขอให้จริงเถอะค่ะ" ภูริดาบ่นอุบอิบด้วยเสียงแผ่วเบา แต่มีหรือที่หูขั้นเทพของนักดนตรีอย่างคิมหันต์จะไม่ได้ยิน เธอตอบออกไปทันทีว่า "จริงไม่จริงอันนี้ต้องลองพิสูจน์ดูค่ะ"

      ในทันทีที่ได้ยินเสียงของนักดนตรีสาวสวนกลับมาใบหูของแพทย์สาวก็พลันร้อนวูบขึ้นทันทีเธอนึกค่อนขอดในใจว่า'นี่น้องคิมหูทิพย์มาเองหรือคะเนี่ย'

      คิมหันต์ได้แต่หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงสูงว่า "แน่ะ! ได้ยินนะคะว่าคิดอะไรอยู่"

      สาวนัยน์ตาแขกถึงกับหันขวับสาวตาหวานอย่างรวดเร็ว "หื้ม? รู้ได้ยังไงคะว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่?"

      "มองทางค่ะพี่กวาง มองทางโธ๋...คิมแกล้งเล่นแหมคิมไม่ได้ยินหรอกค่ะว่าพี่กวางกำลังคิดค่อนขอดอยู่ในใจซะขนาดนั้น"ดร.สาวลากเสียงหวานยั่วเย้าคู่สนทนาอย่างนึกสนุกริมฝีปากบางยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงตัวสวยอย่างร่าเริง

      'กรี้ด!' แพทย์กรีดร้องออกมาในใจริมฝีปากอิ่มนั้นเผลอเม้มเข้าหากันอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบหันกลับไปมองทางข้างหน้าพลางรำพันกับตนเองต่อไปในใจว่า 'จะหาใครเข้ามาป่วนหัวใจได้เท่าน้องคิมอีกนะเฮ้อ! ท่าทางเราจะหนีเด็กป่วนนี่ไม่พ้นซะแล้วละมั้ง'ดวงหน้าสวยคมขำส่ายไปมาอย่างยอมพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายอย่างยอมจำนนต่อหัวใจรัก

      ออดี้ อาร์ 8 สีดำคันงามกำลังบ่ายหน้าสู่อัมพวา จ.สมุทรสงคราม สาวผิวสีน้ำผึ้งที่ชื่นชอบความเร็วเริ่มแตะคันเร่งแรงขึ้น เมื่อรถยนต์เริ่มเข้าเขตชานเมือง สาวผิวขาวถึงกับนั่งหลังติดเบาะ ปลายเท้าจิกพื้นด้วยความตื่นเต้นที่เริ่มก่อมวนขึ้นภายในท้องน้อย "พี่กวางนี่ใจร้อนกว่าที่คิดอีกนะคะ" คิมหันต์ยิ้มเจื่อนๆ ตากลมโตคู่นั้นเบิกโพลงมองทางข้างหน้า

      "พี่ยังมีอะไรเหนือความคาดหมายอีกเยอะค่ะ" แพทย์สาวเอ่ยด้วยเสียงเจือการท้าทายกลายๆ นัยน์ตาคมกริบภายใต้แว่นกันแดดทรงเฉี่ยวเปล่งประกายสะท้อนบางสิ่งบางอย่างที่แฝงเร้นอยู่ภายในใจ

      นัยน์ตาคู่หวานเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสาวผิวสีน้ำผึ้งที่แสนงดงามนั้นพร้อมกับเอ่ยว่า "ถ้าเช่นนั้น...พี่กวางก็บอกคิมมาสิคะ ว่า?ยังมีอะไรทีเหนือความคาดหมายในตัวของพี่กวางอีก" นักเปียโนสาวใคร่รู้ว่าผู้หญิงหลายบุคลิกคนนี้จะมีสิ่งใดที่เก็บซ่อนไว้ให้เธอได้ประหลาดใจได้อีก ยิ่งได้เข้าใกล้และสัมผัสภูริดามากขึ้นเท่าไร คิมหันต์ก็ยิ่งเกิดความหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของสาวนัยน์ตาสีนิลผู้เปี่ยมไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหาคนนี้มากมายเหลือเกิน

      "ถ้าเช่นนั้นพี่คิดว่า...น้องคิมคงต้องลองเล่นบทนักสืบดูอีกสักครั้งเพื่อค้นหาความลับที่พี่ซ่อนเอาไว้ดูสิคะ" สาวตาคมทอดเสียงหวานอย่างยั่วเย้า

      หัวใจของนักดนตรีสาวไหววูบระรัวขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงหวานระคนท้าทายนั่น 'โอ้...พี่กวางขา แค่นี้คิมก็ปั่นป่วนหัวใจจนแทบจะต้านทานไม่ไหวอยู่แล้วนะคะ รู้หรือไม่คะว่าพี่กวางช่างเร่าร้อน ลึกลับมีแรงดึงดูดคิมมากมายจนคิมไม่อาจหลุดพ้นจากมนเสน่ห์นี้ได้เลยแม้เพียงวินาทีเดียว' นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายหลงใหล เธอเผลอไล้สายตาไปที่ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มที่คลี่ยิ้มตรงมุมปากอย่างเย้ายวนใจของภูริดาที่ดูประหนึ่งว่าสาวตาคมกำลังส่งสาร์นท้าทายมายังคิมหันต์เป็นนัยๆ

      'โอ้ย!อย่าโปรยเสน่ห์มากได้มั้ยคะพี่กวางขา แต่นี้ก็หลงจะแย่อยู่แล้ว'นักดนตรีสาวพร่ำเพ้อด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ดวงหน้าสวยหวานหันมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างขวยเขินนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายเคลิ้มฝันระยิบระยับสะท้อนประกายตกกระทบบนกระจกรถโดยที่นักเปียโนสาวไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าทุกอากัปกิริยาของตนได้ถูกนัยน์ตาสีนิลคู่งามลอบมองอย่างหลงใหลอยู่เช่นกัน ทั้งคู่จึงได้แต่แอบอมยิ้มให้กับความหวานละมุนที่ฟุ้งกระจายแผ่ซ่านอยู่ภายในรถจนต่างฝ่ายแทบจะหลอมละลายติดไปกับเบาะ ด้านสาวนักดนตรีเองก็ตกอยู่ในภวังค์เสียจนลืมจิกเท้ากับความเร็วที่แพทย์สาวกำลังไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ อย่างลืมตัวเพราะมัวตกอยู่ในห้วงแห่งความเสน่หาอยู่เช่นกัน

      นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่หวานทอดมองออกไปชมทิวทัศน์อันเป็นนาเกลือกว้างสุดลูกหูลูกตา นักเปียโนสาวตกหลมรักทุกสิ่งที่เป็นภูริดาเนื่องด้วย แพทย์สาวเป็นผู้หญิงที่มีความอ่อนโยน เอาใจใส่คนรอบข้าง มีน้ำใจ มีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนมีเหตุผล ที่สำคัญที่ทำให้สาวหน้าหวานรู้สึกประทับใจในตัวสาวตาคมอย่างยิ่งเมื่อได้พบปะพูดคุยกันในครั้งแรกตรงปฏิภาณไหวพริบที่ทันกันนั่นเอง เจ้าของดวงหน้าสวยคมขำนั้นมีการพูดจาที่ฉะฉาน ฉลาดเป็นกรด รู้เท่าทันสาวหน้าหวานทุกอย่าง

      ด้วยอุปนิสัยของนักดนตรีสาวนั้นเป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว เป็นคนมีมิตรสัมพันธ์ดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงไม่ค่อยชอบพูดหรืออธิบายความรู้สึกภายในใจมากนักสาวตาหวานจึงรู้สึกประทับใจในตัวสาวตาคมที่ดูเหมือนว่าเพียงแค่มองตาเธอก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อได้อย่างรวดเร็วจนคิมหันต์รู้สึกทึ่งอยู่เสมอ นอกจากนี้นักเปียโนสาวยังหลงใหลในความลึกลับดูมีเสน่ห์น่าค้นหาที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้นัยน์ตาสีนิลที่สะกดใจเธอได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบกันอาจเรียกได้ว่าเธอรักในทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นภูริดา ดารากร คนที่ขโมยจูบแรกของเธอ ซึ่งตราตรึงภายในใจเธอเรื่อยมาจวบจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าในชีวิตของดร.สาวจะมีใครผ่านเข้ามาอีกมากมาย หากแต่ถ้าไม่ใช่สาวนัยน์ตาแขกคนนี้ คิมหันต์ก็ไม่สามารถมอบหัวใจดวงนี้ให้ใครได้อีก

      นัยน์ตาสีนิลคู่งามเหลือบเห็นดวงหน้าสวยหวานแดงซ่านไปด้วยเลือดฝาดก็ลอบอมยิ้มด้วยความสมใจที่ได้ปล่อยระเบิดชุดใหญ่เข้าไปก่อกวนในใจของคิมหันต์ให้สั่นสะเทือนกระเพื่อมไหวได้อีกคราพลางนึกขันในใจว่า

      'เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับพี่!'จากนั้นศีรษะได้รูปก็ส่ายไปมาเล็กน้อยไปตามจังหวะดนตรีที่เปิดคลอเติมเต็มบรรยากาศให้ฟุ้งกระจายไปด้วยความสุขที่เปี่ยมล้นอยู่ภายในใจคนทั้งสองอย่างที่ไม่สามารถจะหุบยิ้มลงได้เลยแม้เพียงวินาทีเดียว

      ดวงหน้าคมขำของแพทย์สาวทอดสายตามองตามถนนที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าพลางคิดทบทวนหัวใจตนเองเงียบๆ ดร.สาวหน้าหวานที่นั่งอยู่ด้านข้างเธอคงไม่รู้ตัวว่าเธอหลงเสน่ห์สาวนักดนตรีตั้งแต่แรกพบผ่านเสียงเปียโนแว่วหวานซึ้งที่แพทย์สาวยังคงจดจำทุกท่วงทำนองได้อย่างมิเคยลืมเลือน ภาพสาวงามหมดจดราวกับภาพวาดที่กำลังกรีดนิ้วลงบนเปียโนช่างสะกดอารมณ์ให้กับสาวผิวสีน้ำผึ้งผู้ที่ไม่เคยประสบพบพานกับความรักในรูปแบบเช่นนี้มาก่อน

      ทำให้สาวน้อยตาคมพยายามพาตนเองเข้าไปพบปะพูดคุยให้มากขึ้นและก็พบว่านอกจากคนๆ นี้จะเป็นสาวงามนัยน์ตาหวานซึ้งที่เธอแสนหลงใหลแล้วคิมหันต์ยังเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ น่ารัก นิสัยดี ขี้อ้อน อ่อนน้อม ให้เกียรติคน และที่สำคัญเธอชอบคนมีอารมณ์ขัน เพราะลำพังสาวที่ดูเคร่งขรึมอย่างเธอมีแต่คนเรียบๆ ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เข้ามาจีบด้วยคำถามเดิมๆ ซึ่งเธอก็ได้ได้แต่ถามคำตอบคำอย่างแหนงหน่าย เห็นจะมีแต่นักเปียโนสาวคนนี้ที่เธอยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งว่า "รู้เท่าทันกัน" และเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เธอยิ้มได้อย่างสนิทใจราวกับว่าสาวหน้าหวานได้นำพาเอาสายลมแห่งความอบอุ่นพัดผ่านเข้ามายังหัวใจที่แสนเย็นชาของสาวนัยน์ตาแขกจนทำให้หัวใจที่เคยว่างเปล่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น อ่อนโยน ที่ก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนเจ้าของเรือนร่างสีน้ำผึ้งที่ไม่เคยรักใครมาก่อน ไม่สามารถขาดนักดนตรีสาวคนนี้ได้อีกต่อไป

      สาวที่ยึดมั่นในรักอย่างภูริดาเมื่อปักใจกับใครแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยน เมื่อเธอยอมรับคิมหันต์เข้ามาในหัวใจเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แม้ว่าจะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจที่เธอยังคงหาคำตอบไม่ได้ หัวใจรักของเธอก็ยังคงมั่นคงดังเดิมอย่างมิอาจเปลี่ยนแปลงไปได้เลยแพทย์สาวตาคมจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง ตั้งรับบ้าง เพื่อหวังจะพิชิตใจผู้หญิงนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคนนี้อีกครั้งอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป

      แต่แล้วจินตนาการของสาวนัยน์ตาแขกก็หยุดชะงักลงกระทันหันก่อนจะเผลออุทานอย่างลืมตัว "อุ้ย!แย่แล้ว!! เกือบลืมไปเสียสนิทเลยเรา" ดวงตาคมขำเบิกโพลงอย่างตกใจผละมือจากพวงมาลัยเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าหนังเรียบหรูที่วางไว้ด้านข้างคนขับก่อนที่จะควานหาบางสิ่งบางอย่างในกระเป๋าอย่างรีบร้อน สายตามองทางด้านหน้าพร้อมประคองรถคันงามด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างช่ำชอง

      เมื่อเห็นอาการกระวนกระวายของคนขับสาวนักเปียโนก็ขันอาสาช่วยเหลือเนื่องจากเกรงว่าแพทย์สาวจะขับรถไม่สะดวก"พี่กวางหาอะไรอยู่คะ ให้คิมช่วยมั้ยคะ"คิมหันต์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

      "อ๋อ?พี่หามือถือน่ะค่ะ น้องคิมช่วยหยิบให้พี่ทีสิคะ อยู่ในกระเป๋านี่ละค่ะ" สาวตาคมตอบคำถามพร้อมกันนั้นมือสีน้ำผึ้งก็หย่อนกระเป๋าใบงามของตนวางลงบนตักของสาวผิวขาวอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

      อุ้งมือขาวเรียวของคิมหันต์ประคองกระเป๋าใบนั้นอย่างทะนุถนอมก่อนที่ริมฝีปากบางบนดวงหน้าหวานจะขยับถามอย่างลังเลใจว่า "เอิ่ม?จะดีหรือคะ ที่พี่กวางจะให้คิมหยิบมือถือในกระเป๋าให้" เธอยังคงนั่งนิ่งไม่กล้าเปิดกระเป๋าของภูริดา ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทเพราะกระเป๋าถือเป็นของใช้ที่ส่วนตัวมากนั่นเอง

      รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายชัดที่มุมปากอิ่มบนดวงหน้าสวยคม "อืม?ก็แน่ล่ะสิคะ พี่วานน้องคิมช่วยหามือถือให้พี่หน่อยนะคะ พี่หาไม่ค่อยสะดวก" แพทย์สาวเอ่ยอนุญาตให้นักดนตรีสาวค้นกระเป๋าเธอได้อย่างรู้สึกสนิทใจเป็นการสื่อถึงเจ้าของหัวใจว่า เธอยินดีที่จะแบ่งปันทุกสิ่งในชีวิตรวมทั้งความเป็นส่วนตัวให้กับผู้หญิงตาสวยคนนี้

      คิมหันต์รู้ดีว่าโดยปกติภูริดาเป็นคนที่ค่อนข้างถือเนื้อถือตัวเธอไม่เคยให้ใครมาถือกระเป๋า หรือหยิบของใช้ส่วนตัวให้เป็นอันขาด นักดนตรีสาวจึงแอบรู้สึกปลื้มใจในสิทธิพิเศษที่ได้รับจากสาวตาคมในครั้งนี้ได้โดยที่ไม่ต้องเอื่อนเอ่ยใดๆ มากมาย


      "ถ้าอย่างนั้น?คิมขออนุญาตนะคะพี่กวาง" เสียงหวานแว่วของนักดนตรีสาวเอ่ยขออนุญาตอย่างให้เกียรติก่อนจะบรรจงเปิดกระเป๋าของสาวนัยน์ตาคมและสอดมือเข้าไปค้นหาอย่างสุภาพ

      หลังจากค้นกุกกักๆ อยู่สักพัก คิมหันต์ก็ร้องออกมาว่า "นี่ไงคะมือถือพี่กวาง" สาวนักเปียโนชูมือถือขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มสดชื่นเปล่งประกายอย่างดีใจราวกับว่าได้ช่วยกอบกู้โลกไว้ได้ก็ไม่ปาน

      "ขอบใจนะจ้ะเด็กน้อย" แพทย์สาวอดที่จะเอ็นดูกับกิริยาท่าทางของดร.สาวไม่ได้ รอยยิ้มละไมยังคงระบายอยู่บนดวงหน้าสวยคมขำพร้อมกับแบมือรับโทรศัพท์ที่คิมหันต์ยื่นให้ เธอรีบกดเบอร์โทรออกโดยเลี่ยงที่จะต่อโทรศัพท์ผ่านบูลทูชในรถยนต์ด้วยเกรงว่าคนที่นั่งมาด้วยจะได้ยินเสียงการสนทนาผ่านเครื่องขยายเสียงรถยนต์นั่นเอง

      "สวัสดีจ้ะ สุ" ภูริดาเอ่ยทักทายสุวัจนีเพื่อนสนิทของเธอ

      "พอดีวันนี้เราคงไปไม่ได้แล้วล่ะ ติดธุระทางบ้านนิดหน่อยน่ะจ้ะ" สาวตาคมแอบนิ่วหน้าอย่างรู้สึกผิดที่จำต้องโกหกเพื่อนสาวไปเช่นนั้น

      "อืมๆ เรารู้แล้ว ขอโทษด้วยนะจ้ะ ไว้จะชดเชยให้คราวหน้านะ น่านะ ไม่โกรธเราน้า" ริมฝีปากอวบอิ่มยังคงออดอ้อนปลายสายอย่างต่อเนื่อง

      คิมหันต์เบือนหน้ามองออกไปนอกกระจกเพื่อแสดงว่าไม่ได้แอบฟังการสนทนาอย่างมีมารยาท ภูริดาคุยอีกสักพักก็วางสาย พร้อมกับขับรถต่อไปบรรยากาศในรถดูคุกรุ่นขึ้นมาราวกับมีม่านหมอกบางๆ กางกั้นทั้งคู่ไว้อย่างเงียบๆ

      นักดนตรีสาวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวูบวาบขึ้นมาในใจอย่างน่าประหลาด 'พี่กวางคุยกับใคร และใครกันที่นัดพี่กวางไว้' เพียงแค่นึกได้เท่านี้หัวใจที่เคยชุ่มฉ่ำเมื่อครู่ก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาทันทีจนสาวหน้าหวานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยเสียงตึงๆ ออกไปว่า "คุยโทรศัพท์โดยไม่ผ่านบูลทูซมันอันตรายนะคะ"

      "หวงเหรอคะ?" แพทย์สาวเอ่ยขึ้นลอยๆ พร้อมกระตุกริมฝีปากอย่างถือไพ่เหนือกว่า

      "อะไรคะ! ใครกันที่หวง! ไม่มีซะหน่อย" ดร.สาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงสูงปรี้ดอย่างรวดเร็วดวงหน้าขาวใสแดงซ่านขึ้นด้วยเลือดที่สูบฉีดไปทั่วกายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแสร้งตีหน้าซื่อ อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าเธอคือคนสำคัญ เพราะสาวตาคมเลือกที่จะยอมยกเลิกนัดหมายเมื่อมากับเธอในวันนี้

      นัยน์ตาสีนิลส่งค้อนขวับอย่างหมั่นไส้คนปากแข็งพลางก่อนนึกสนุกในใจว่า 'แกล้งเด็กแถวนี้ซะหน่อยก็คงจะดี'

      เมื่อคิดได้ดังนั้นริมฝีปากอิ่มจึงแสร้งทำเป็นทอดเสียงหวานออกไปว่า "ว้า?อุตส่าห์ดีใจนึกว่า มีเด็กน้อยติดพี่สาวบางคนขี้หวง" นัยน์ตาสีนิลทอประกายวิบวับอย่างหมายมาดจะกระตุกหัวใจใครบางคนให้สั่นไหว

      "ใช่สิ?เค้ามันเด็ก ตัวเองเป็นพี่สาวเค้านิ" คิมหันต์เอ่ยตามด้วยน้ำเสียงแง่งอนดวงหน้าขาวใสเชิดขึ้นพลางทำแก้มป่อง ปากจู๋อย่างเด็กเอาแต่ใจ

      สาวนัยน์ตาคมถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ก่อนที่จะเอื้อมมือหยิกแก้มป่องๆ อย่างหมั่นเขี้ยว พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันว่า "ก็ใช่น่ะสิคะ ดูท่าทางนี้สิ เด็กน้อยม๊ากมากเชียวค่ะ"

      "โอ๋ๆ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวไปถึงอัมพวาแล้วพี่สาวคนนี้จะเลี้ยงขนมนะจ้ะเด็กน้อย" ภูริดาชอบแกล้งคิมหันต์ซะเหลือเกินไม่รู้เป็นอะไร เธอชอบที่จะเห็นดวงหน้าสวยหวานตีหน้าแสนงอนเพราะนักเปียโนสาวในมุมนี้ช่าง น่ารักน่าเอ็นดูมายมายเสียเหลือเกินนัยน์ตาสีนิลทอประกายระยิบระยับอย่างมีความสุขเมื่อคิดไปว่าน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เข้ามาในมุมส่วนตัวของดร.สาวคนนี้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่แสนพิเศษเสียเหลือเกินสำหรับภูริดา

      "คำก็เด็ก สองคำก็พี่สาว" พวงแก้มขาวยังคงเต็มไปด้วยลมที่กระพุ้งแก้มจนป่องออกทั้งสองข้าง นักเปียโนสาวยังคงบ่นอุบอิบริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากัน "คิมไม่ใช่เด็กแล้วนะคะพี่กวาง!" วงแขนทั้งสองตะวัดรัดลำตัวในท่ากอดอกอย่างลืมตัว

      "ค่ะ พี่เชื่อมากๆ เลยค่ะว่า ดร.คิมหันต์ไม่ใช่เด็กๆ แล้วจ้ะ" ภูริดาเอ่ยอย่างขบขัน เธอหยุดที่จะหัวเราะไม่ได้เสียจริงๆ ในเวลานี้

      แต่ในขณะที่เจ้าของดวงหน้าสีน้ำผึ้งคมขำกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจอยู่นั้น แก้มซ้ายของภูริดาก็รู้สึกร้อนวูบวาบด้วยสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นร้อนของ "เด็กน้อย" ที่เธอปรามาสไว้เมื่อสักครู่

      "เป็นเด็กก็ต้องหอมพี่สาวได้สินะคะ" คิมหันต์ทำหน้าซื่อตาใสก่อนเอ่ยเสียงหวานฉ่ำต่อไปว่า "แก้มพี่สาวหอมจังเลยค่ะ"

      'ว้าย!'ภูริดากรี้ดร้องในใจ เธอถึงกับพูดไม่ออกกับลูกเล่นของดร.สาวหน้าหวานที่แพรวพราวเสียเหลือเกิน จนเผลอที่จะพึมพัมออกมาว่า "เด็กอะไรกัน แก่แดดออกป่านนี้!"

      "คิมไม่ใช่เด็กแก่แดดนะคะ แต่เป็นผู้ใหญ่ที่มีสติสัมปัญชัญญะครบถ้วนทุกประการ" นักดนตรีสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

      แพทย์สาวนึกเจ็บใจตนเองที่ไม่สามารถที่จะหุบยิ้มบนใบหน้าลงได้ 'โอ้ย!กวางเอ๋ย แล้วจะยิ้มทำไมเดี๋ยวเค้าก็หาว่าเราเป็นผู้หญิงใจง่ายเข้าหรอก'

      "น้องคิมคงทำกับพี่สาวคนอื่นๆ อย่างนี้บ่อยสินะคะ" สาวตาคมเอ่ยเสียงเรียบๆ เมื่อฉุกคิดได้ว่าที่นักดนตรีสาวมีคารมคมคายมากขึ้นคงจะไปทำเจ้าชู้ไว้จนชำนิชำนาญก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนี้หัวใจของสาวผิวสีน้ำผึ้งก็ให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที

      "ถ้าคิมจะบอกว่า คิมไม่เคยคิดจะทำอย่างนี้กับคนอื่นเลยละคะ" คิมหันต์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยความรู้สึกผิดว่าสาวตาคมอาจไม่ชอบใจในการกระทำด้วยหัวใจเพรียกหาของเธอสักเท่าไรเพราะแพทย์สาวอาจมีใครคนอื่นอยู่ในหัวใจแล้วตอนนี้ก็เป็นได้

      ดร.สาวจึงเลือกที่จะเอ่ยตัดพ้อเสียงแผ่วเบาว่า "แต่ถ้า?พี่กวาง?รังเกียจ?คิมก็ขอโทษนะคะ" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววสลดลงอย่างเห็นได้ชัด "แล้วคิมจะไม่ทำอย่างนี้อีกค่ะ คิมสัญญา" 

      ภูริดาถึงกับใจหายเมื่อได้ยินคำตัดพ้ออย่างร้าวรานใจของคิมหันต์ เพียงแค่คิดว่าสัมผัสที่เธอถวิลหาอย่างมิเคยสร่างซ่าจะหายวับไป ดวงใจของสาวผิวสีน้ำผึ้งก็บีบรัดตัวอย่างร้าวรานใจเหลือประมาณจนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปประคองอุ้งมือขาวของสาวนักดนตรีเอาไว้อย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยเสียงสั่นอย่างยากที่จะควบคุมว่า

      "ทำไมน้องคิมคิดอย่างนั้นล่ะคะ พี่ไม่เคยรังเกียจน้องคิมเลย" อุ้งมือสีน้ำผึ้งบีบกระชับฝ่ามือขาวเนียนไว้แน่นอย่างหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียของรักไปอีกครั้ง "ถ้าพี่รังเกียจน้องคิม พี่จะออกมาเที่ยวกับน้องคิมทำไมละคะ...จริงมั้ยคะคนดี" ภูริดาเอ่ยเสียงอ่อนโยนอย่างปลอบประโลมใจ

      "คิมก็ไม่รู้สิคะ คิมกลัวว่าพี่กวางจะคิดว่าคิมไม่ให้เกียรติ หรือล่วงเกินพี่กวาง" ดร.สาวเอ่ยอย่างสำนึกผิด ก่อนที่จะรำพึงรำพันกับตนเองภายในใจว่า 'ทุกสิ่งที่คิมทำไปล้วนก่อเกิดจากความความรู้สึกที่เอ่อล้นท่วมท้นออกมาจากหัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ'

      นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายหวั่นไหวยามเหลือบมองเสี้ยวหน้าสวยคมของเจ้าของหัวใจ "พี่กวางขา...คิมไม่เคยคิดจะหาเศษหาเลยกับพี่กวางแม้เพียงสักครั้ง ทุกสิ่งที่คิมทำไปล้วนมีสติครบถ้วนนะคะ" คิมหันต์เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

      'คิมพร้อมที่จะรับผิดชอบหาก?พี่กวาง?ไม่รังเกียจ คิมพร้อมที่จะดูแลพี่กวางด้วยความรักที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีให้คนที่เค้ารักไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของคิมทั้งหมดนะคะ' นักดนตรีสาวกล้ำกลืนประโยคสุดท้ายลงไปในคออย่างหวาดหวั่นเกรงว่าจะเร็วไปที่จะสารภาพทุกความจริงในใจที่เก็บงำมานานแสนนาน

      สาวตาคมได้ยินเสียงสั่นเครือของนักดนตรีสาวก็ถึงกับใจอ่อนยวบลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอรีบจอดรถตรงไหล่ทาง นัยน์ตาสีนิลหันมาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่หวานที่บัดนี้กำลังท่วมเอ่อด้วยรอยน้ำตาอย่างสุดแสนสะท้อนใจ

      เหตุเพราะความรักของคนทั้งสองจึงไม่สามารถที่จะเอื้อนเอ่ยออกไปได้อย่างชัดเจนเพียงเพราะต่างเป็นผู้หญิงเช่นเดียวกันจึงทำให้ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไปด้วยกลัวที่จะสูญเสียคนที่ตนเองรักไปตลอดกาลนั่นเองหากแม้นมีใครคนใดคนหนึ่งเผยใจออกมาก่อน อีกฝ่ายก็พร้อมที่จะเปิดใจเพื่อสานสัมพันธ์อย่างไม่ลังเล ด้วยเหตุนี้ความรักของทั้งคู่จึงดำเนินอยู่ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเปราะบางมากมายเหลือเกิน

      "น้องคิมคะ หันมามองพี่หน่อยสิคะคนดี" ภูริดาเอ่ยเรียกคิมหันต์เสียงอ่อน หากแต่ดวงหน้าขาวใสหาได้หันกลับมาตามคำบอกของสาวตาคมไม่ นักดนตรีสาวยังคงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยทอประกายหวานบัดนี้คลอเอ่อด้วยน้ำตาแห่งความน้อยใจ หัวใจเว้าแหว่งราวกับจะขาดออกจากกันด้วยความรักที่ไหลรินท่วมเอ่อจนล้นใจหากแต่ไม่สามารถเผยความนัยในอีกฝ่ายได้รับรู้ได้

      แพทย์สาวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกน้อยใจที่แผ่ซ่านออกจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น เธอสูดลมหายใจเข้า เพื่อเรียกความกล้าให้กับตนเอง ก่อนจะโน้มใบหน้าสีน้ำผึ้งเข้าไปใกล้ดวงสวยหวาน ริมฝีปากอวบอิ่มของภูริดาค่อยๆ บรรจงประทับลงบนนวลแก้มขาวใสของคิมหันต์อย่างแผ่วเบาด้วยความรักที่หมุนวนขึ้นภายในใจของสาวตาคมเช่นกัน

      "แล้วอย่างนี้ยังจะคิดว่าพี่?รังเกียจ?น้องคิม อยู่อีกหรือเปล่าคะ" ภูริดากระชิบข้างหูของคิมหันต์ด้วยเสียงพริ้วแผ่วเบาอย่างขวยเขินระคนหวาบหวามใจ เธอไม่เคยง้องอนใครด้วยวิธีแบบนี้มาก่อนเลย

      ดวงหน้าสวยหวานหันกลับมาอย่างรวดเร็วจนปลายจมูกทั้งสองชนกัน นัยน์ตาสีนิลประสานเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอย่างต้องมนต์เสน่ห์ของกันและกัน ราวกับช่วงเวลานี้จะมีเพียงหัวใจรักของทั้งคู่ที่เร่งเร้าให้ทั้งสองโน้มใบหน้าเข้าหากันอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีนิลหลุบลงอย่างยินยอมรอรับสัมผัสที่ตนปรารถนาจากเจ้าของหัวใจตรงหน้า ริมฝีปากบางของนักดนตรีสาวเคลื่อนเข้าหาริมฝีปากอวบอิ่มของสาวตาคมใกล้เสียจนทั้งคู่สัมผัสลมหายใจที่อุ่นร้อนของกันและกัน

      "ปี๊นๆ" เสียงแตรจากรถด้านหลังที่กำลังบีบแตรไล่กับรถอีกคันที่แล่นแข่งกันมา คิมหันต์และภูริดารีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งลูบหน้าลูบตาตนเองอย่างลุกลน ก่อนที่แพทย์สาวจะเป็นฝ่ายเรียกสติได้ก่อนจะเปิดสัญญาณไฟขอทางเพื่อเคลื่อนรถของตนกลับเข้าสู่ท้องถนนอีกครั้ง

      "ถือว่าพี่สาวหอมแก้มน้องสาวขี้งอนคืนแล้วนะคะ" สาวตาคมแสร้งพูดออกตัวไปอย่างเก้อเขิน

      ด้านคิมหันต์ก็รู้สึกประหม่าจนมือไม้เปะปะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี ได้แต่นั่งทำท่าเก้ๆ กังๆ ก่อนจะหัวเราะเสียงแห้งเอ่ยตอบไปแก้เกี้ยวว่า "อ่ะ...เอิ่ม?ค่ะๆ งานนี้ถือว่าเราเสมอกันนะคะพี่สาว"

      นักดนตรีสาวเสมองออกไปข้างทางพร้อมกับร้องออกมาอย่างรวดเร็วว่า "เลี้ยวซ้ายตรงนี้ค่ะพี่กวาง ป้ายชี้บอกว่าเข้าอัมพวาเลี้ยวซ้าย" พลางชี้มือบอกทิศทางกันอลหม่าน

      "อ๋อ?ค่ะๆ เลี้ยวซ้ายตรงนี้นะคะ" สาวตาคมได้สติหมุนพวงมาลัยตามที่คนด้านข้างทักท้วง เพราะเธอมัวแต่ใจสั่นหวั่นไหวเสียจนลืมมองป้ายจราจร "เกือบเลยแล้วมั้ยล่ะ"

      ภูริดาและคิมหันต์สบตากันหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างขบขันต่างฝ่ายต่างเก้อเขินกับความรู้สึกหวามไหวและแรงดึงดูดที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กันมากมายเหลือเกินจนเรียกได้ว่าทั้งสองต่างตกหลุมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าบรรยากาศแห่งความสุขโรยตัวแผ่ซ่านไหลวนเข้าสู่หัวใจของคนทั้งคู่อย่างอบอุ่นและนำพาหัวใจให้เต้นไปตามบทเพลงแห่งรักที่ดังแว่วมาอีกครั้ง

:45: :45: :45: :45: :45:

Rating: ***** โดย 1 สมาชิก
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

14 กันยายน 2017 เวลา 09:57:40
อยากจะมโนว่า นักเขียนกลับมาพร้อมเปิดให้ซื้อ e-book รอ ร๊อ รอ อยู่นะคะ????
Tabby Ch-Bi
หน้าใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0


ดูรายละเอียด อีเมล์
26 กันยายน 2015 เวลา 23:02:11
ว้าวๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สวัสดีค่าพี่นักเขียนอิอิ? :54:ขอแซวหน่อยนะคะว่าภายในรถคันนี้อบอวลไปด้วยความหอมหวานละมุนจังเลยค่า  :08:  ตอนที่ 17 เหมือนเป็นตอนที่ ปม 2 ปมกำลังถูกคลี่คลายออกแล้วดีใจจังเลย :65:
ปมที่ 1 ปมของพันธะสัญญาระหว่างบิดากับน้องคิมที่แสนจะหนักหนาค่า
ปมที่ 2 ปมของคนทั้งสองเองที่รู้สึกพิเศษต่อกัน แต่ต่างฝ่ายต่างมิเอื้อนเอ่ยออกมาตรงๆซะที
?อุปสรรคของความรักที่ว่ายากนักหนา   ยังไงแล้วก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับ หัวใจที่แสนเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ  :29:
ยึดมั่น และแสนจะมั่นคง คิมหันต์เองก็ได้พิสูจน์ตัวเองเพื่อความรักท่ามกลางพันธะสัญญา บวกกับเอาชนะความเคว้งคว้าง ความโดดเดี่ยว ที่คอยจะเข้ามากัดกร่อนหัวใจทุกขณะในระยะเวลา 8 ปี แต่เพราะหัวใจที่อดทน แข็งแกร่ง และซื่อสัตย์ในรักแท้จริงๆ เท่านั้นจึงทำหั้ยมีวันที่รอคอยเป็นจริงค่า เป็นตอนที่นักอ่านเองเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปด้วยจริงๆ  ว้าวๆๆ
? ความรักมิใช่สิ่งที่ต้องคอยหลบซ่อน และปิดบังซ้อนเร้น? แล้วจริงๆหรอเนี่ย อิอิ? ชื่นใจจังเลยค่า :58:
เย้ๆๆๆๆ ตอนนี้คุณนักเขียนยังถ่ายทอด ให้ผู้อ่านรู้สึกคล้อยตามไปกับช่วงเวลาของคนสองคนที่มีโมเม้นที่แสนจะน่ารัก น่าอิจฉา และสอดแทรกคาแรคเตอร์เฉพาะของตัวละครของน้องคิมและพี่กวาง อ่านไปเชื่อไม๊คะว่ายิ้มตามไปด้วยจริงๆ  :69:เพราะอะไรน๊า หัวใจของนักอ่านกำลังสัมผัสได้ถึงความพิเศษบางสิ่งส่วนหนึ่งในงานเขียนนี้ อิอิ?  :36:เหมือนที่ว่า ? ยิ่งอ่านก็ยิ่งเจอ ยิ่งอ่านก็ยิ่งใช่? นักอ่านจับนิสัยลักษณะตัวละครได้ดังนี้
น้องคิม สาวน้อยในสายตาพี่กวาง ขี้อ้อน อ่อนน้อม น่ารัก ให้เกียรติผู้อื่น ฉลาด มีไหวพริบ ผู้มีโลกส่วนตัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกมากมาย  คิดเร็ว ทำเร็ว มิตรสัมพันธ์ดี สาวที่มีอารมณ์ขี้เล่นอยู่แต่มิได้จะให้ใครจะเห็นง่ายๆ
พี่กวาง สาวเรียบ ดูภายนอกใจเย็น  แต่แฝงความใจร้อนอยู่เหมือนกัน มีมุมที่คนอื่นอาจดูว่าเย็นชา ยึดมั่นในความรัก สาวผู้มีระยะกับคนอื่นๆในการวางตัว ชอบความเร็ว อิอิ  อ่อนโยน มีน้ำใจ เอาใจใส่คนรอบข้างน่ารักนะคะเนี่ย มีน้ำใจ มีความเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล เป็นสาวหลายบุคลิก มีอะไรชวนให้คาดเดาได้ยาก และมีเสน่ห์น่าค้นหา อิอิ :57:
ว่าไปแล้วลักษณะของสาวทั้งสองเหมือนจิ๊กซอมาเติมเต็มให้กันและกัน เกิดเป็นจิ๊กซอความรักที่แสนอบอุ่นใจจริงๆ ใช่ว่าคนสองคนต้องเหมือนกันถึงรักกันได้  :54:ว้าวๆๆๆคงต้องติดตามความรักของคนทั้งสองที่สมุทรสงครามต่อ อัมพวาจะโรแม้นน่ารักแค่ไหนน้องนักอ่านรออยู่ค่า เป็นกำลังใจให้พี่นักเขียนนะค่า   :08: :65:
DP.
หน้าใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0


ดูรายละเอียด อีเมล์
26 กันยายน 2015 เวลา 20:39:10
'กาลเวลามิอาจพรากความรู้สึกดีๆของทั้งสองคน...#นักอ่านก็เช่นเดียวกัน'  :60:
ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะไรท์เตอร์คนเก่ง หายไปนานแต่ความหวานยังคงเหมือนเดิมเลยนะคะ มีรอยยิ้มตั้งแต่ตัวอักษรตัวแรกยันตัวสุดท้ายเรื่อยมากระทั่งตอนนี้เชียวล่ะค่ะ คุณพ่อของน้องคิมสมกับเป็นชายชาติทหารอย่างแท้จริง เอ๊ะ หรืออาจเจอลูกอ้อนของน้องคิมเอ่ย แม้จะผ่านอุปสรรคไปแล้วหนึ่งด่าน หากแต่อุปสรรคที่น่ากลัวที่สุดคงหนีไม่พ้นจิตใจของทั้งคู่ กับระยะเวลา 8 ปีที่ไม่เข้าใจกัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับมาเผยความรู้สึกได้ง่ายๆ ต่างต้องใช้เวลาเป็นตัวคอยกล่อมเกลาอะไรๆให้เข้าที่เข้าทาง
อ่านตอนนี้แล้วได้เจอเซอร์ไพร์สบางอย่าง นั่นคือนิสัยขี้เล่นขี้แกล้งของพี่กวางจากเดิมที่เห็นเป็นสาวนิ่งๆ มาดขรึม แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นคาแร็คเตอร์พิเศษที่คนพิเศษเท่านั้นที่จะได้เห็นได้สัมผัส จริงมั้ยคะพี่ณัช? น่ารักดีค่ะชอบๆ  :54:  อาจจะจริงอย่างที่พี่กวางกล่าวเอาไว้ค่ะว่า "พี่ยังมีอะไรเหนือความคาดหมายอีกเยอะค่ะ"  :21:
ป.ล.เป็นกำลังใจและจะคอยติดตามตลอดนะคะไรท์เตอร์คนเก่ง ทำงานหนักๆ พักผ่อนบ้างน้าาา รอพี่กวางพาทัวร์อัมพวาในตอนต่อไปจ๊ะ ขนมหวานที่ว่าอร่อยๆ คงต้องแพ้ความหวานของทั้งคู่เป็นแน่ค่ะ  :65:

#DP.
แสดงความคิดเห็น