web stats

ข่าว

 


Desperate KNIGHT - Chapter 26

โพสต์โดย: nuffy วันที่: 18 กันยายน 2015 เวลา 15:28:29 อ่าน: 915

ร่างของน็อกซ์ปรากฏขึ้นต่อหน้าเซ็ทโธเรียที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการปกป้องอาเนมิทิส หลังจากไปเยือนวิหารบูชาของเทพีแห่งฤดูกาล ใบหน้าสีซีดของเทพีตาสีนิลมีท่าทางตกใจ เธอรีบเข้าไปประคองเขา

"ท่านเซ็ทโธเรีย" เทพแห่งราตรีกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา

"เจ้าถูกทำร้าย... ผู้ใดกัน?"

"พ... พระบิดา... พระบิดากำลังรวบรวมจิตวิญญาณร้าย"

เทพีผู้สร้างปิศาจขมวดคิ้ว "เจ้าเห็นหรือ?"

"ข้าเห็น... พระบิดาอยู่ที่กาเวน พละกำลังของเขามากมายนัก ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มพูนมากกว่าเดิม... ข้าเห็นความดำมืดในจิตใจของพระบิดา"

เซ็ทโธเรียนิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะหมดลมหายใจ "ขอบใจเจ้ามากน็อกซ์ ขอให้เจ้าจงมีชีวิตที่เป็นสุขในยมโลก"

"ได้โปรดช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากภัยนี้ด้วย" คำพูดสุดท้ายออกมาจากปากของเทพแห่งราตรี แล้วเขาก็นิ่งไป

ริมฝีปากหยักของเทพีตาสีนิลเม้มแน่น เธอยกมือขึ้นไปเลื่อนเปลือกตาที่ยังเปิดอยู่ให้ปิดลง แล้วจุมพิตที่หน้าผากของอีกฝ่าย

"เสียใจด้วยไอติ... เจ้าสูญเสียลูกชายของเจ้าไปอีกคนหนึ่งแล้ว" เธอพึมพำออกมาเบาๆ

เธอรอให้ยมทูตของเดสโพซีสปรากฏเพื่อมารับวิญญาณของน็อกซ์และจัดการปลงศพของเขา หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไป

...

มีนาเข้าพบกับไฮเลนและเมลเฮลที่ห้องโถงเล็กของเทวสถาน เทพีเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งเธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย

"ก่อนที่เจ้าจะกลับไปยังโลกมนุษย์ พระบิดาสั่งการให้ข้าอวยพรและช่วยเหลือเจ้า" เทพีแห่งการรักษากล่าว

"ขอบคุณท่านมาก"

ไฮเลนเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับแม่ทัพสาว เธอจ้องมองลงไปที่ดวงตาสีฟ้าเข้มของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะกังวลเล็กน้อย

"...ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแค่จะช่วยให้เจ้ามีกำลังวังชาเหมือนดั่งที่เจ้าเคยมีก่อนที่เจ้าจะสิ้นชีพ"

"สิ้นชีพ?" มีนาทวนคำพูดของอีกฝ่าย "ท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้าตายไปแล้วหรือ?"

ริมฝีปากของเทพีเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะทำเรื่องผิดพลาดที่บอกความจริงกับสตรีที่อยู่ตรงหน้าไปเสียแล้วว่านางได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง

"ถูกต้อง... เจ้าตายไปแล้วและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่" ไฮเลนพูดแล้วปรายตามองไปที่เทพหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขามีท่าทางตกใจกับคำพูดของเธอ

"ไฮเลน..." เขากล่าวออกมาเบาๆ "เจ้าไม่ควร... ไฉนเจ้าถึงพูดเช่นนี้?"

"ข้าไม่อยากโกหกนาง และตั้งแต่ที่เคยพบกัน ข้าก็ไม่เคยโกหกนางด้วย" เทพีเจ้าของชื่อตอบแล้วหันมาหาแม่ทัพสาวอีกครั้ง "เชื่อคำข้า... ข้าไม่เคยโกหกเจ้า"

หัวใจของมีนากระตุกเมื่อได้ยินคำๆ นี้ 'เชื่อคำข้า... ข้าไม่เคยโกหกเจ้า' ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่คุ้นเคย ราวกับเธอได้ยินใครบางคนพูดด้วยประโยคเช่นนี้มาก่อนกับเธอ อีกทั้งตอนนี้เธอรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอร้อนรุ่มราวกับได้สัมผัสหรือถูกบดเบียดกับอะไรบางอย่างอยู่... ความรู้สึกนั้นคล้ายกับเธอกำลังถูกจุมพิต แม่ทัพสาวยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากทันที

เทพแห่งการช่างและเทพีแห่งการรักษาขมวดคิ้วเมื่อเห็นอาการของมนุษย์ ทั้งสองหันมาสบตากัน

"อย่างที่พระบิดาได้บอกกับเจ้าไปแล้วว่าตอนนี้โลกมนุษย์กำลังเกิดสงคราม สงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายเกินกว่าสงครามครั้งใดที่เจ้าเคยพบเจอ" ไฮเลนกล่าวขึ้นมาทำลายความเงียบ

"ในฐานะที่ข้าเป็นเทพีแห่งการรักษา ข้าขออวยพรให้เจ้ามีพลังในการฟื้นฟูร่างกาย ไม่ว่าจะบาดเจ็บสักเท่าใดก็ตาม ร่างกายของเจ้าจะสามารถฟื้นคืนและกลับมาแข็งแรงเช่นเดิมได้ในเวลา 1 ราตรี"

"ข้าตายได้อย่างไร? ที่ไหน? เมื่อใด? แล้วทำไมข้าถึงจำอะไรไม่ได้?" มีนาถามหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ เธอแทบจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเมื่อครู่เสียด้วยซ้ำ

เทพีแห่งการรักษาถอนหายใจแล้วปรายตามองไปที่เมลเฮมอีกครั้ง "ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะตอบเจ้าในเรื่องนี้"

"ทำไมล่ะ?"

"มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่อาจจะพูดหรือบอกกับเจ้าได้ โปรดเข้าใจด้วย แต่... ข้าจะช่วยให้เจ้าจำได้ด้วยตัวของเจ้าเอง สิ่งที่ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้ก็คือ เมื่อมนุษย์สิ้นชีพแล้วถูกพาตัวไปยังยมโลก พวกเขาต้องดื่มน้ำจากแม่น้ำแห่งความลืมเลือน และวิญญาณเหล่านั้นจะลืมเรื่องของภพก่อนจนสิ้น นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าจำอะไรไม่ได้"

ไฮเลนขยับตัวเข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้วยกมือทั้งสองจับบริเวณขมับของแม่ทัพสาว ภายใต้ห้วงความคิดคำนึงของมีนาเธอเห็นร่างของบุคคลสองคน และเธอก็มั่นใจว่าทั้งสองที่เธอเห็นในความคิดของมนุษย์ผู้นี้คือเซ็ทโธเรียและนิโคลอย่างแน่นอน เธอใช้พลังของตนเองปัดเป่าหมอกควันที่ห่อหุ้มร่างของบุคคลทั้งสองในความคิดของแม่ทัพสาวออกไปและทำให้ภาพของบุคคลทั้งสองแจ่มชัดขึ้นในมโนภาพของอีกฝ่าย

[จงเก็บอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าขณะที่ยังอยู่ที่นี่ อย่าให้คนอื่นได้รับรู้ว่าเจ้ากำลังคิดถึงอะไร เพราะสิ่งนั้นจะทำให้เจ้าพบกับความยากลำบากได้] เทพีกล่าวกับแม่ทัพมนุษย์ในห้วงความคิด

[ข้าเข้าใจ]

[อย่าละความพยายามที่จะมองหาคนที่อยู่ในความคิดเจ้า] ไฮเลนพูดต่อ

[พวกเขาเป็นใครกัน?] มีนาถามกลับ

[คนที่เจ้าคำนึงหาในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตก่อนที่เจ้าจะตาย] เทพีตอบกลับ [พวกเขาคือคนที่เจ้ารักครั้งที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ และพวกเขาก็รักเจ้า]

[ข้าจะพบพวกเขาให้จงได้] แม่ทัพสาวตอบกลับ

ก่อนที่ไฮเลนจะพูดอะไรต่อไปวิลีซัสก็ดินเข้ามาในห้องโถงเล็กพร้อมกับกล่าวว่า "ข้ามาอวยพรให้กับแม่ทัพมนุษย์ตามคำสั่งพระบิดา" เขามองไปที่ไฮเลน "เจ้าดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง"

เทพีแห่งการรักษามองผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยหางตา ใบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความไม่พอใจเล็กน้อย เธอหันไปมองมีนาอีกครั้งแล้วลดมือลง

"เรียบร้อยแล้ว"

เทพแห่งปัญญารีบเดินเข้ามาแทนที่อีกฝ่ายที่กำลังลุกขึ้นทันทีแล้วยื่นมือขวาไปแตะที่ศีรษะของมีนา

"ข้าขออวยพรให้เจ้าสามารถขจัดอุปสรรคทั้งปวงที่ขวางหน้าเจ้า และมิให้เจ้าลังเลใจในการจับดาบและสังหารศัตรูของเจ้า..."

เมลเฮมเดินเข้ามากระซิบถามไฮเลนด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า "เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?"

"ใช่" เทพีตอบ "ทีนี้ก็เหลือส่วนของเจ้า... เรียบร้อยดีใช่ไหม?"

"แน่นอน" เทพแห่งการช่างตอบกลับขณะที่สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่แม่ทัพมนุษย์

เมื่อวิลีซัสอวยพรให้กับมีนาเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปในทันที ทิ้งความเงียบและสายตาที่เหนื่อยหน่ายของเทพเจ้าอีกสององค์ไว้เบื้องหลัง ขณะที่แม่ทัพสาวกำลังคิดคำนึงถึงบุคคลที่อยู่ในห้วงความคิดของเธอ

เทพหนุ่มร่างใหญ่และกำยำเดินเข้ามายืนตรงหน้ามีนา ท่าทางของเขาแฝงไปด้วยความสุภาพอยู่ในที เขาขอให้เธอเดินตามเขาออกนอกห้องโถงพร้อมกับเทพีแห่งการรักษา ทั้งสามเดินตรงไปที่ห้องรับรองทีอยู่อีกฟากหนึ่งของเทวสถาน ห้องรับรองนั้นคือห้องที่ติดกับห้องพักส่วนตัวของเมลเฮม

"ข้าตีชุดเกราะ ดาบ และโล่ใหม่ให้กับเจ้า" เทพหนุ่มกล่าวแล้วฝายมือไปบนโต๊ะ

มีนาลองสวมเสื้อโซ่ถัก เกราะเหล็กเต็มยศ พร้อมทั้งชุดคลุมทูนิคติดสัญลักษณ์ประจำตระกูลลงบนร่างกาย เธอแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของน้ำหนักระหว่างก่อนและหลังสวมใส่ชุดเกราะเหล่านั้นเลย

"มันเบามาก ท่านทำได้อย่างไรกัน?"

"เมลเฮมเป็นเทพแห่งการช่าง เพราะฉะนั้นชุดเกราะและอาวุธที่เจ้าได้รับในวันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดยิ่งกว่าฝีมือของช่างมนุษย์" ไฮเลนกล่าว

"และสองสิ่งนี้จะทำให้เจ้ากลายเป็นอัศวินที่ไร้คู่ต่อกร" เทพหนุ่มยื่นโล่และดาบยาวให้

ดาบยาวสองคมที่มีน้ำหนักเบาอย่างน่าประหลาดทำให้อุ้งมือของแม่ทัพสาวอุ่นวาบขึ้นมาทันทีที่เธอได้สัมผัสมัน

"ด้วยดาบนี้เจ้าสามารถปลิดชีพศัตรูได้เพียงแค่ฟาดฟันมันแค่ครั้งเดียว ข้ายังทำกริชและมีดสั้นให้เจ้าติดตัวไปด้วย"

มีนาหยิบโล่ขึ้นมาถือในมือซ้าย น้ำหนักของมันก็เบาเช่นกัน ด้านหน้าของมันถูกสลักเป็นตราประจำตระกูลของเธอเช่นเดียวกับบนเสื้อทูนิค ขอบโล่มีขลิบสีเดียวกับเสื้อทูนิค เมื่อสวมใส่ชุดเกราะพร้อมด้วยอาวุธครบมือเช่นนี้ความรู้สึกที่เธอไม่อาจจะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ก็ถาโถมขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกทั้งดีใจ และตื่นเต้น รวมไปถึงผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน

แม่ทัพสาวควงดาบยาวในมือแล้วเริ่มขยับท่าทางต่างๆ ราวกับอัศวินที่กำลังฝึกซ้อม เธอไม่รู้ว่าเธอทำเช่นนี้ได้อย่างไรแต่ดูเหมือนสัญชาติญาณของเธอบอกว่านี่คือสิ่งที่เธอเคยทำมาตลอดช่วงที่ยังเคยมีชีวิตอยู่ มีนาเหวี่ยงดาบและเคลื่อนไหวร่างกายไปทั่วห้องอย่างคล่องแคล่วว่องไวและไม่รู้สึกว่าเหนื่อย และแล้วเธอก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระจก

ใบหน้าที่อยู่ภายใต้หมวกเหล็กดูมีท่าทางดีใจและผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด มีนาเห็นตนเองอยู่ในชุดเกราะสีเงินที่ถูกคลุมด้วยเสื้อทูนิคสีฟ้าอมเขียวประดับด้วยตรานกอินทรีคาบกริชอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล ภาพนี้ทำให้เธอพูดไม่ออก รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอพร้อมกับความรู้สึกตื้นตัน

"แค่สีหน้าเช่นนี้กับคำขอบคุณจากเจ้า... เพียงเท่านั้นข้าก็ดีใจแล้ว" เทพแห่งการช่างกล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

แม่ทัพสาวยิ้มกว้างแล้วหันไปหาอีกฝ่ายทันที "มีความรู้ในเชิงช่างมากมายพร้อมกับอำนาจเวทมนตร์? สิ่งเหล่านี้มันช่างวิเศษมาก ขอขอบคุณท่านจากใจจริง"

เมลเฮมเดินเข้ามาใกล้เพื่อกล่าวคำอวยพร

"อัศวินมนุษย์... เจ้าจงทำตามสิ่งที่เจ้าปรารถนา ด้วยอำนาจแห่งข้า... ดาบนี้จะได้ลิ้มรสเลือดเฉพาะคนที่เป็นศัตรูของเจ้า... แต่หากบุคคลที่เจ้ากำลังต่อสู้อยู่ด้วยไม่ใช่ศัตรูมันจะร้องเตือนเจ้าเอง"

"อย่างไร?"

"เจ้าจะรู้ด้วยตัวของเจ้าเอง ณ เวลานั้นมาถึง"

มีนาทำท่าไม่เข้าใจและกำลังจะเอ่ยปากถามต่อ แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดเมื่อไฮเลนกล่าวออกมาว่า

"จงเตรียมตัวให้พร้อมเถิด... เจ้าจะต้องเดินทางอีกไม่ช้านี้"

...

ภายในห้องส่วนตัวอันว่างเปล่าของมหาเทพ มีบางสิ่งบางอย่างแอบซ่อนและเร้นกายอยู่ใต้เงาของชั้นหนังสือและเสาหินอ่อนลวดลายวิจิตร สิ่งนั้นเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วแต่ทว่าเงียบงันและไร้เสียง

ด้วยขนาดตัวที่เล็กและคล่องแคล่วทำให้สิ่งนั้นสามารถลักลอบเข้ามายังเทวสถานได้อย่างง่ายดาย ไม่มีผู้ใดสนใจมัน อีกทั้งจำนวนทูตสวรรค์ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็มีจำนวนน้อยลงกว่าที่เคยเป็นจึงทำให้การรักษาความปลอดภัยลดน้อยถอยลงไป หรือพูดได้ว่าแทบจะไม่มีเลย ทำให้สิ่งนั้นสามารถเข้าและออกห้องต่างๆ ได้โดยสะดวก

สิ่งนั้นสอดส่ายสายตาไปทั่วห้องส่วนตัวของอัลฟอนด์ และเมื่อเห็นว่าผู้เป็นเจ้าของห้องมิได้อยู่ในที่แห่งนี้มันจึงแสดงตัวออกมาแล้วเดินไปรอบๆ ห้องราวกับกำลังสำรวจสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ด้วยความละเอียดและรอบคอบ สายตาของมันสอดส่ายไปมาด้วยความระแวดระวัง

เมื่อค้นหาสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนชั้น บนโต๊ะไปจนทั่วห้องแล้ว มันก็หยุดยืนเอียงคอมองที่ใต้แท่นบรรทมใหญ่ของมหาเทพ ดวงตาของมันจ้องลึกลงไปในนั้นราวกับว่าได้พบกับอะไรบางอย่าง เมื่อแน่ใจแล้วมันก็มุดลงใต้เตียงทันที

ภายในบริเวณที่มืดมิดและน่าอึดอัดของใต้แท่นบรรทมนั้น สายตาของมันก็พบอะไรบางอย่างบนพื้น มันเป็นจุดคล้ายรอยเปื้อนสีเข้ม ดวงตาคมของมันจ้องมองไปที่บริเวณนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เปลี่ยนมือของมันให้เป็นใบมีด มันค่อยๆ ขูดรอยเปื้อนสีเข้มนั้นออกจากพื้นแล้วนำสิ่งที่ได้ใส่ขวดแก้วเล็กๆ เอาไว้ รอเวลาส่งมอบให้ใครบางคน

เมื่อมันเคลื่อนตัวออกจากใต้เตียง มันก็พรางตัวเองให้อยู่ในลักษณะโปร่งแสง แล้วค่อยๆ เดินออกจากห้องไป และเมื่อถึงบริเวณห้องของอนาเซีย เทพีแห่งลมฟ้าอากาศ เพื่อสอดแนมต่อไป

...

นิโคลดึงหมวกจากเสื้อคลุมขึ้นมาสวมขณะที่กำลังเดินตรงเข้าไปที่อาณาจักรแองฮาร์ท เมืองใหญ่ที่เทพีแห่งลมฟ้าอากาศดูแลอยู่ และเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ยังคงมีมนุษย์เหลือรอดอยู่จำนวนพอๆ กับอาณาจักรเซเนกรอส เธอเดินเข้าแถวตามผู้คนที่หนีตายจากเมืองอื่นเพื่ออาศัยอยู่ในเมืองนี้ ประชาชนและผู้อพยพมีอาการอิโรย เหน็ดเหนื่อยและหิวโหย สาวผมแดงจำเป็นต้องแสร้งทำพฤติกรรมเหมือนกับพวกเขาเพื่อตบตาทหารที่ยืนตรวจเข้มอยู่หน้าประตูใหญ่

เมื่อได้เข้ามาในกำแพงเมืองแล้วอัศวินสาวก็ต้องพบกับความเจ็บปวดรวดร้าวทนทุกข์ทรมานของผู้คนที่หนีตายจากการคุกคามของปิศาจและสงครามระหว่างเทพเจ้า การปะทะกันของอัศวินและปิศาจที่เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อสองวันที่แล้ว โดยที่มนุษย์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแต่เป็นชัยชนะที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและความบอบช้ำ เธอจำได้ว่าระหว่างทางที่มายังอาณาจักรแห่งนี้เธอเก็บจิตวิญญาณร้ายไว้ได้มากมาย แต่ทว่าภายในอาณาจักรนี้ก็ยังคงมีจิตวิญญาณร้ายซ่อนอยู่จำนวนพอๆ กันเลยทีเดียว

ดวงตาสีเขียวของนิโคลที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสอดส่ายไปมาเพื่อหาที่พักรวมไปถึงจิตวิญญาณร้าย เธอพบร่องรอยของพวกมันอยู่หลายต่อหลายที่ทั้งมนุษย์ที่ดูเหมือนปกติ เด็ก และสัตว์เลี้ยง แต่พวกมันก็คลาดสายตาเธอไปแทบจะในทันที

'ซ่อนตัวเก่งเสียเหลือเกินนะ' เธอคิด

เมื่อสาวผมแดงคลาดกับการตามหาจิตวิญญาณร้าย เธอก็มองไปรอบๆ ตัว ความรู้สึกต่างๆ ก็ถาโถมและจุกขึ้นมาในลำคอทันที ความรู้สึกนั้นทำให้น้ำตาร้อนๆ เริ่มเอ่อขึ้นมาคลอเบ้า ภาพของเด็กหลายคนยืนรอคอยอย่างอดทนในแถวหน้าวิหารบูชาเทพเจ้าเพื่อให้ตนเองและครอบครัวได้รับปันอาหาร ภาพของบ้านเมืองแหลกสลาย ชาวบ้านอยู่กันตามมีตามเกิด ผู้คนคุ้ยเขี่ยเสื้อผ้าที่หลงเหลือจากซากอาคารและค้นหาอาหารตามกองขยะมาประทังชีวิต ใบหน้าของคนที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง... ภาพเหล่านั้นช่างทับซ้อนกับชีวิตของเธอในอาณาจักรเซเนกรอสเสียเหลือเกิน อัศวินสาวรีบสาวเท้าให้เดินออกห่างจากบริเวณนั้นโดยเร็ว

คำพูดของเซ็ทโธเรีย ผู้เป็นนายเหนือหัวดังขึ้นมาในห้วงความคิด เมื่อครั้งที่เธอถามว่าเหตุใดเทพีผู้สร้างปิศาจจึงไม่สามารถควบคุมปิศาจที่เกิดใหม่จากเครื่องสร้างปิศาจที่ถูกทำลายลงไปได้

'ปิศาจที่เกิดจากเครื่องสร้างปิศาจนั้นเป็นการสร้างที่ผิดแผกไปจากสิ่งที่ข้าทำ ถ้าเจ้าสังเกตปิศาจที่อยู่ในป่าของดินแดนสุดขอบโลก เจ้าจะเห็นความแตกต่าง'

นิโคลทำท่านึกแล้วตอบว่า 'พวกมันอ่อนโยน และเชื่อฟังท่าน และไม่ทำร้ายมนุษย์ในทันทีที่เห็น'

'ถูกต้อง นั่นเป็นเพราะข้าสร้างพวกมันทีละตัวๆ จากความตั้งใจของข้าเอง รวมทั้งเกิดจากวงวานศ์ของมันที่มีการบ่มเพาะและสั่งสอนเฉกเช่นเดียวกับสรรพสิ่งอื่นๆ แต่สิ่งที่เกิดจากเครื่องสร้างปิศาจนี้ไม่ใช่'

'เพราะพวกมันไม่มีผู้ใดสอนเช่นนั้นหรือ?' สาวผมแดงถาม

เทพียิ้มมุมปาก 'พวกมันได้ลืมวัยเด็กหัดเดินไปแล้ว และพวกมันไม่เคยลิ้มรสชีวิตเหมือนปกติ พวกมันจึงไม่รู้จักอะไรเลยนอกจากความหิวโหย สงครามและการทำลายล้าง'

'อัลฟอนด์ชอบคิดว่าใช้แค่กำลังก็สามารถสยบทุกสิ่งได้ แต่ดูเถิดว่าผลที่ตามมาคือความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นทุกทีและบานปลายจนทำให้โลกแตกสลายได้' เทพีตาสีนิลกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

อัศวินสาววิ่งผ่านถนนที่รกเรื้อไปด้วยเศษซากปรักหักพังจนมาหยุดพักที่โรงนาร้างสภาพย่ำแย่แล้วทรุดตัวลงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เธอมองเข้าไปในตัวเมืองที่เธอวิ่งผ่านมาสักครู่ด้วยสายตาที่ปวดร้าวพลางคิดถึงคำพูดของกษัตริย์บาเทลที่กล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดประชุม ณ อาณาจักรเซเนกรอส คำพูดนั้นทิ่มแทงใจของเธอ

'ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเกินกว่าภาวะปกติ มันเลยเถิดไปจนถึงจุดแตกหักแล้ว ครอบครัวแหลกสลาย ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตายโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของปิศาจ จิตวิญญาณร้าย เทพเจ้า หรือพวกมนุษย์ด้วยกันเอง'

กษัตริย์แห่งเซเนกรอสเรียกเธอเข้าไปหาอีกครั้งแล้วกล่าวว่า 'ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นอัศวินในการปกครองของเทพีผู้สร้างปิศาจ แต่ข้าก็อยากจะบอกกับเจ้า... คำพูดเดียวกันกับที่ข้าเคยบอกกับมีนาว่า ข้าไม่อาจมองเห็นหนทางที่จะทำให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย... ด้วยภารกิจของเจ้าที่ต้องพาตัวเข้าไปสู่ใจกลางพายุแห่งความริษยาลูกใหญ่ การกระทำของเจ้าจะเป็นทั้งเป็นประโยชน์และเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง นิโคล... ข้าเห็นมีนาในดวงตาของเจ้า เจ้ากล้าพูดและทำในสิ่งที่เราไม่กล้า'

ในเวลานั้นเธอทำได้แค่เพียงเงยหน้ามองอีกฝ่ายเงียบๆ แล้วฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป

'เมื่อสงครามยุติลง พวกเราจะได้พักกันจริงๆ เสียที? ข้าขอให้เจ้าได้พักอย่างเป็นสุข' กษัตริย์บาเทลกระซิบที่ข้างหูของเธอ

นิโคลลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็นเกือบจะค่ำแล้ว เธอลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดร่างกายไปมาให้ตื่นตัวหลังจากนั้นก็มองเข้าไปในเมือง ด้วยอำนาจของโลหิตทำให้เธอไม่รู้สึกหิวแต่กระนั้นสองเท้าของเธอก็เดินตรงเข้าไปในเมืองเพื่อจะหาเบาะแสของจิตวิญญาณร้าย

...

ครีกนำมีนาออกจากเทวสถานลงมาสู่โลกมนุษย์ ระหว่างที่เดินทางมานั้นเขามองไปทีหญิงสาวตลอดเวลา ในใจเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ถึงแม้เขาจะเคยชินกับภาพที่อีกฝ่ายใส่ชุดเกราะอัศวิน แต่เขาชอบใจและอยากให้แม่ทัพสาวในชุดลำลองดังสตรีสูงศักดิ์ทั่วไปเฉกเช่นวันที่เขานำเธอขึ้นมาจากยมโลก เขาใคร่อยากจะเห็นมีนาในคราบของหญิงสาวที่บอบบางและน่าทะนุถนอม มิใช่ในคราบของอัศวิน

เทพแห่งสงครามยังคงเสียใจและไม่พอใจที่อีกฝ่ายปฏิเสธการเป็นชายาของเขา รวมทั้งมหาเทพที่สั่งให้เขาพาเธอกลับไปยังโลกมนุษย์เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้เทพีผู้สร้างปิศาจและอัศวินผมแดงติดกับ ดูเหมือนว่าอัลฟอนด์จะชอบใจที่ได้เห็นบุคคลที่มีความผูกพันกันหันมาทะเลาะและประหัตประหารกันเอง  แต่เขาไม่ชอบใจนักถึงแม้จะมีส่วนในความคิดนั้นก็ตามที

"ข้าส่งเจ้าที่นี่" เขาบอกกับแม่ทัพสาวที่อยู่ในชุดคลุมป้องกันความหนาวจากอากาศ ขณะนี้ทั้งสองยืนอยู่หน้าเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง

มีนาพยักหน้ารับเล็กน้อย

"จงพักที่นี่ก่อน และจากนี้ให้เจ้าเดินทางไปยังทิศตะวันตก ใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ก็จะถึงเมืองของเจ้า"

"เมืองที่ข้าเคยอยู่มีชื่อว่าอะไร?"

"เซเนกรอส"

ครีกหันไปมองทหารยามที่เฝ้าหน้าประตู พวกเขามีท่าทางอิดอัดเมื่อเห็นเทพแห่งสงครามยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาของพวกเขาฉายแววแห่งความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

"นางคืออาคันตุกะของข้าและอาคันตุกะของเทพีผู้ดูแลเมืองของพวกเจ้า จงดูแลนางให้ดี" เขาตะโกนบอกกับทหารยาม

พวกเขาทำความเคารพหลังจากได้ยินคำสั่งของอีกฝ่าย และละลายตาจากทั้งคู่

เทพแห่งสงครามหันกลับมาหาแม่ทัพสาวอีกครั้ง "หลังจากเสร็จกิจของข้าแล้ว ข้าจะมารับเจ้า"

"ไม่จำเป็นหรอก ข้าเดินทางเองได้" มีนาตอบ

"ข้าจะมารับเจ้า" เขาย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น

ครั้งนี้แม่ทัพสาวไม่ตอบ เธอได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย

เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้อีกฝ่ายหมายที่จะจุมพิต แต่มีนาเบือนใบหน้าหนีไปทางอื่นแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า "ข้าเกรงว่าเวลานี้จะไม่เหมาะที่จะทำเช่นนี้"

คำพูดของแม่ทัพสาวทำให้เขาชะงัก ครีกกัดริมฝีปากเพื่อระงับความไม่พอใจ เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดแล้วก้าวเท้าถอยออกมาเพื่อออกเดินไปที่รถม้า

"ข้าไปล่ะ"

มีนาโค้งคาราวะให้กับเขาแล้วสาวเท้าตรงไปที่ประตูเมือง

ดวงตาสีฟ้าเข้มของแม่ทัพสาวเบิกโพล่งเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรง ลมหายใจของเธอสั่นไหว ภาพในความคิดของเธอที่ได้ยินคำว่าสงครามบนโลกมนุษย์นั้นเธอคิดว่าน่าจะเป็นการสูญเสียในสนามรบของผู้ที่ประกาศตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว... สงครามคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านมากกว่าสนามรบ

สายลมหนาวกรีดแทงใบหน้าของมีนายามที่เธอเดินไปตามถนนที่ชำรุดทรุดโทรม ชาวบ้านต่างซุกตัวในซากอาคารที่ยังไม่พังทลาย บ้างก็ขดตัวในเพิงพักที่สร้างขึ้นมาอย่างรวกๆ ไม่ก็ซอกเล็กๆ ที่พอจะแทรกตัวพอให้หลบลมหนาว สภาพของพวกเขาน่ารันทดยิ่งนัก ราวกับถูกทอดทิ้งให้ตกอยู่กับยถากรรม ใบหน้าของทหารและอัศวินบ่งบอกถึงความเบื่อหน่าย ท้อถอย ไร้วินัย ตลอดทั้งเผชิญกับความอดอยาก และความหนาวอันทารุณ

"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!" เธอพึมพำออกมาเบาๆ

แม่ทัพสาวมองไปรอบๆ ตัว ท้องฟ้ากำลังจะมืดลง สายลมหนาวพัดหวีดหวิว เมืองทั้งเมืองเหมือนเป็นเมืองที่ไร้จิตวิญญาณและชีวิตชีวา ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น เธอต้องการคำตอบ... คำตอบเพื่ออธิบายสิ่งที่เธอเห็น สิ่งที่เธอลืมไปหลังจากที่ตายไปแล้ว

'ใครก็ได้ช่วยบอกให้ข้าเข้าใจทีเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น!' เธอร้องตะโกนอยู่ในใจ

มีนาพยายามสาวเท้าไปตามถนนอิฐที่ผุพัง จุดหมายของเธอคือวิหารแห่งเทพเจ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เทพีที่ดูแลเมืองนี้ต้องบอกอะไรเธอได้แน่ แต่เมื่อเธอยืนอยู่ตรงหน้าวิหารแห่งเทพ ขาทั้งสองของเธอกลับหยุดและไม่เดินเข้าไปเพียงเพราะเธอเห็นว่าภายในวิหารมีผู้คนเข้ามาเบียดเสียดอยู่มากมายจนแทบไม่มีทางจะให้เดิน

"ถ้าไม่เข้ามาก็ปิดประตูเสีย มันหนาวนะ!" ชายคนหนึ่งตะโกนออกมาจากวิหาร

แม่ทัพสาวก้าวถอยหลังแล้วปิดประตูลง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่จะได้รับคำตอบ ดูเหมือนว่าชาวเมืองไม่สนใจผู้มาใหม่อย่างเธอ และจดจ่อกับเรื่องของความอยู่รอดของตนเองมากกว่าที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องสงคราม

'จะทำอย่างไรดี?' เธอถามตัวเองอยู่ในใจ

เธอออกเดินไปตามถนนอีกครั้งหวังว่าจะมีใครสักคนให้คำตอบในสิ่งที่เธอสงสัยได้ เธอรู้สึกว่าขณะนี้จิตใจของเธอมืดมัวและเศร้าสร้อยเหมือนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำใกล้มืดในเวลานี้ เธอดึงหมวกขึ้นมาคลุมเพื่อป้องกันความหนาว ส่วนสองเท้าของเธอเริ่มก้าวออกห่างจากตัวเมืองเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดยืนอยู่ที่ซากอาคารที่ผุพัง

มีนามองไปรอบๆ ตัว เธอรู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดแปลกไปจากในเมือง เหมือนมีแรงกดดันอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ บรรยากาศที่เงียบงันท่ามกลางความมืดที่โรยตัวเข้ามาโอบคลุมเมืองแห่งนี้ ด้านซ้ายของเธอเป็นลานกว้างคล้ายกับตลาด หรือสถานที่ๆ ชาวเมืองมารวมตัวกัน เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างของใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น

ณ ที่กลางลานนั้นเธอเห็นบุคคลๆ หนึ่งยืนอยู่ รูปร่างแบบบางเหมือนผู้หญิงแต่ไม่เห็นใบหน้าเพราะมีหมวกคลุมผมและใบหน้าอยู่ ในมือของบุคคลนั้นถืออะไรบางอย่างที่เรืองแสง และสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ กลุ่มควันสีดำกลุ่มใหญ่กำลังถูกดูดกลืนลงไปในมือนั้น

แม่ทัพสาวรีบวิ่งตรงไปลานนั้นทันที แต่ก่อนที่เธอจะใกล้ถึงตัวของบุคคลนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนออกมาว่า

"หมอบลง!"

มีนาล้มตัวลงตามคำพูดนั้นทันที เธอเห็นกลุ่มควันสีดำพุ่งผ่านร่างของเธอไปแล้วถูกดูดเข้าไปในมือทันที ท่ามกลางแสงเลือนรางใกล้ค่ำ เธอก็เห็นว่าในมือของบุคคลนั้นคือลูกแก้วลูกเล็ก

เสียงร้องคำรามดังขึ้นมาจากด้านหนึ่งของลานกว้างขณะที่แม่ทัพสาวยังไม่ทันจะลุกขึ้นยืน เธอเห็นอีกฝ่ายชักดาบสองเล่มออกมาจากเอวทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นเธอจึงชักดาบของเธอออกมาบ้าง ดวงตาของเธอจ้องไปยังที่มาของเสียงคำราม และเธอก็ได้พบกระทิงหนุ่มตัวใหญ่และแข็งแรงสองตัววิ่งตรงเข้ามา ดวงตาของพวกมันเปล่งแสงแดงฉาน มีนาขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งที่คล้ายกับเปลวเพลิงปกคลุมร่างของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า กระทิงหนุ่มทั้งสองพุ่งตรงเข้ามาหาเธอทันที

บุคคลนิรนามกระโดดหลบแล้วโจมตีกลับทันที ส่วนเธอเองที่ตั้งท่ารับการโจมตีก็รอจังหวะที่จะสังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้า กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งแน่น สองมือกำด้ามดาบ เธอรอให้มันพุ่งเข้ามา เมื่อใกล้จะถึงตัว เธอก็ม้วนตัวหลบไปทางซ้ายแล้วเหวี่ยงดาบฟันร่างของกระทิงตัวที่ตรงมาหาเธอขาดเป็นสองส่วน ศัตรูของเธอสิ้นชีพจากการฟันเพียงครั้งเดียว

มีนาหอบหายใจแล้วชันตัวให้ยืนขึ้นเธอมองดูดาบในมือด้วยสีหน้าที่ดูภูมิใจ ดาบนี้สามารถปลิดชีพศัตรูได้เพียงแค่ฟาดฟันมันแค่ครั้งเดียวอย่างที่เทพแห่งการช่างกล่าวเอาไว้จริงๆ และรู้สึกเชื่อมากขึ้นว่าตนเองนั้นเคยเป็นอัศวินมาก่อน แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงจิตสังหาร เมื่อเธอหันไปสายตาของเธอก็เห็นคมดาบที่พุ่งตรงเข้ามาหาเธอ

แม่ทัพสาวสะบัดดาบในมือปัดอาวุธของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาทันทีแล้วถอยออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการโจมตี คิ้วของเธอขมวดเมื่อรู้สึกว่าด้ามดาบที่อยู่ในมือเธอร้อนขึ้นหลังจากประทะกับดาบคู่ของอีกฝ่าย บุคคลนิรนามพุ่งดาบเข้าใส่เธออีกครั้ง เธอได้แต่ปัดป้องเพราะไม่สามารถโจมตีกลับได้ เนื่องจากดาบในมือไม่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของเธอ ทำให้เธอได้แต่จัดดาบเป็นท่าตั้งรับด้วยความหงุดหงิดใจ

ท่าทางของมีนาทำให้บุคคลนิรนามประหลาดใจและทำให้หยุดโจมตีพร้อมกับเก็บดาบคู่เข้าฝัก

"ท่านเป็นใคร?" บุคคลนิรนามถาม

แม่ทัพสาวนิ่งแล้วดึงหมวกที่คลุมผมและใบหน้าของเธอออก "ข้ามีนามว่า มีนา ข้ากำลังจะเดินทางไปยังเมืองที่มีชื่อว่าเซเนกรอส"

สิ้นเสียงของเธอบุคคลนิรนามก็พูดออกมาทันที "เป็นไปไม่ได้... เป็นไปไม่ได้..."

"ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีคนบอกกับข้าว่า... ข้าฟื้นขึ้นมาจากความตาย"

บุคคลนิรนามดึงหมวกที่คลุมออกทันที ปรากฎให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวผมแดงที่เธอเห็นในลูกแก้ว และเป็นบุคคลเดียวกันกับที่เธอเห็นใบมโนภาพ

"เจ้า..."

มีนาพูดออกมาเบาๆ และเธอก็พูดออกมาได้เพียงเท่านั้นเพราะอีกฝ่ายโผเข้ามากอดเธออย่างรวดเร็ว ทั้งสองทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงบนพื้น โดยมือทั้งสองของสาวผมแดงยังคงโอบกอดตัวของเธอแน่น

"เป็นท่าน... เป็นท่านจริงๆ ใช่ไหม? ท่านมีนา... ท่านมีนาของข้า ท่านกลับมาหาข้า..." เสียงที่ร้องออกมาจากอีกฝ่ายนั้นสะอื้น และเต็มไปด้วยความเต็มใจ

ใบหน้าของแม่ทัพสาวที่มีสีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นลูบผมของคนที่กอดเธออยู่เบาๆ

"ข้าคือมีนา... ข้าฟื้นขึ้นมาจากความตาย"

...

มีนากลับมาในรูปแบบนี้



อ้ะ ล้อเล่นน

หลบเข้าสู่ไหดองงงง

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น