web stats

ข่าว

 


Love Seeds vol.3- Chapter 19.5 : The Best Mom

โพสต์โดย: anhann วันที่: 09 กันยายน 2015 เวลา 19:08:21 อ่าน: 289






Chapter 19.5 : The Best Mom 




"นี่อย่ามาวีนใส่ฉันนะยัยเม็ท" ราเชลขู่ใส่โทรศัพท์ที่แนบหูอยู่  นึกเสียใจที่ไม่น่าเปิดมือถือทิ้งไว้ก่อนเข้านอน  ไม่อย่างนั้นยัยลูกครึ่งอังกฤษ-ญี่ปุ่นคงไม่มีโอกาสโทรข้ามทวีปมาปลุกเธอตั้งแต่ตีสาม  เพิ่งจะมีโอกาสได้นอนเตียงสบายๆ วันนี้คืนแรกแท้ๆ

"ต้องให้ฉันพูดไหมว่า  ฉันก็ไม่ได้พอใจเท่าไหร่ที่เอฟทิ้งงานไปญี่ปุ่นแบบนั้น  แต่เพราะฉันเห็นเค้าเป็นหลาน  และซิลค์ยืนยันว่า  เค้าจะดูแลงานแทนให้  ฉันถึง---"

"ฉันแค่ไม่เข้าใจว่า  เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวฉัน"

น้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจดังแทรกเข้ามาพาให้ดวงตาวาววับด้วยความโกรธค่อยๆ ลดความเกรี้ยวกราดลง  ร่างโปร่งลุกขึ้นจากโซฟา  เดินไปยังบาร์เครื่องดื่มที่ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนในห้องนั่งเล่นภายในห้องพักวีไอพีของโรงแรมในเครือพาเวลส์  คว้าขวดเหล้าสก็อตยี่ห้อดังที่ท่านประธานกลุ่มบริษัทชื่อเดียวกันกับโรงแรมเตรียมไว้ต้อนรับมารินใส่แก้วใส  จิบมันไปนิดหน่อย  และระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด  ที่ปลายสายโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงประมาณเดียวกันดังตามมา

"ด้วยความสัตย์จริงนะเม็ท  ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน"

"ฉันนึกว่า  อิซซี่จะเล่าอะไรให้เธอฟังบ้าง"

"ก็เล่า..  แต่เธอจะให้ฉันฟังแค่แง่มุมของเค้าเท่านั้นเหรอ  หรือเธออยากฟังแค่นั้น"

"อะไรก็ได้  เผื่อฉันจะคิดออกว่า  มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง  เอฟเป็นเด็กมีความรับผิดชอบ  เธอก็เห็น  แต่ตั้งแต่ที่เค้าไปอยู่บ้านเธอ  เค้าก็เป็นแบบนี้  แล้วจะให้ฉันคิดอะไรออกอีกล่ะ"

ราเชลพยายามจะไม่คิดว่า  เพื่อนกำลังด่าเธออยู่แต่มันก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่คิด  "เหมือนเธอกำลังโทษว่า  ทั้งหมดมันเป็นความผิดอิซซี่"

"ไม่ราเชล..  โทษที  จริงๆ มันเป็นเรื่องของเด็กๆ  ฉันก็แค่เป็นห่วงลูก  แต่บางทีฉันควรคุยกับซิลค์มากกว่า  ขอโทษนะ"

"เฮ้.. เดี๋ยว.."  เธอร้องห้ามก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดสายไป  จะนอนหลับได้ยังไง  ถ้าเรื่องมันยังไม่เคลียร์แบบนี้  "เอางี้ไหมเม็ท..  ช่วงที่เค้ายังอยู่กับเธอ  ลองคุยกับเค้าหน่อย"

"จะให้ฉันถามเรื่องส่วนตัวของลูกเหรอ..  ไม่เอาหรอก  จะยิ่งทำให้เค้าอึดอัด  พาลจะหนีฉันไปอีกน่ะสิ"

"ไม่ใช่ยัยบ้า..  อย่าเพิ่งโวยวายได้ไหม..  ฉันแค่เพิ่งจำได้ว่า  ดาเรนเคยพูดว่ายังไง  เรื่องเด็กๆ"

"ยังไง.. ปะป๋าเจ้าแฝดแสบสันต์นั่น  ก็ดีแต่ตามใจลูกน่ะสิ"

"ถ้าตามใจจริง  เธอคงจะได้เห็นพวกเขาอินดี้และเหมือนจอมมารมากกว่านี้อีก"  เสียงหัวเราะที่บอกได้ถึงอารมณ์ที่ดีขึ้นของอีกฝ่ายพาให้เธอสบายใจขึ้นได้อีกหน่อย  หากในขณะที่คิดจะพูดต่อ  บางคนก็เดินออกมาจากห้องนอนและมาแบมือขอโทรศัพท์ไปจากมือเธอ  และเธอก็ได้แต่ส่งให้หล่อนไปอย่างไม่มีเงื่อนไข  ยืนฟังเสียงหล่อนคุยกับปลายสายแทน

"นี่แอนนาเบลล์นะคะคุณเม็ท"  สาวร่างเล็กรายงานตัวเสร็จสรรพ  "เม็ทคะ  ตอนนี้ที่คุณทำได้  คืออยู่กับเค้า  รับฟังเค้า  ฉันเชื่อว่า  เอฟไว้ใจคุณมากพอที่จะทำแบบนั้น  ใจเย็นกับเค้าหน่อยนะคะ"

"โอเคเบลล์  ขอบคุณนะ  และขอโทษด้วยที่รบกวนเวลานอน"

"ไม่มีปัญหาค่ะ  ฝากความคิดถึงถึงเอฟด้วยนะคะ" แอนนาเบลล์กดวางสายหลังจากบอกลาคนอีกฟากทวีปแล้ว  ดวงตาสีน้ำตาลมองคนตรงหน้าและยื่นโทรศัพท์คืนให้ไป  "ไปนอนต่อเถอะค่ะ"  เธอชวนพร้อมคว้าข้อมืออีกคนให้เดินตามกันมา  มืออีกข้างปิดปากหาวไปด้วย

"เอ่อ..เบลล์..  เรานอนคนละห้องกันไม่ใช่เหรอ"  ราเชลเอ่ยหน้าซื่อ  จากนั้นมือเล็กๆ ก็ปล่อยข้อมือเธอออก  แอนนาเบลล์ทิ้งเธอไว้ตรงนั้นระหว่างห้องสองห้องและเดินเข้าห้องที่จับจองเป็นของหล่อนไปหน้าตาเฉย  ตอนนี้ชักนึกโกรธตัวเองขึ้นมาตงิดๆ ไม่น่าตามใจหล่อน  ขอสเปคห้องกับอลิซแบบนี้เลย  ถ้ามีห้องเดียว  เธอยังมีสิทธิ์ได้รับอนุญาตให้นอนข้างภรรยาบ้างหลังจากที่โดนงอนไม่ให้เข้าห้องตั้งแต่วันแรกที่ส่งลูกสาวคนเดียวไปเข้าแคมป์ดัดนิสัย

"บางครั้งคุณก็ซื่อบื้อจนเหลือเชื่อนะคะราเชล" 

เสียงหวานๆ ดังแทรกความคิดเข้ามา  ดวงตาสีฟ้ากะพริบปริบและมองเห็นผู้หญิงตัวเล็กยืนกอดอกอยู่ข้างประตู  สีหน้าอ่อนอกอ่อนใจจริงจัง

"ต้องให้ฉันเชิญเข้ามาไหมคะท่านประธานกิลเบอร์ก"

ราเชลหัวเราะเขิน  ปรี่เข้ามากอดร่างเล็กทันใด  "ก็เธอยังโกรธฉันอยู่  ไม่ใช่เหรอคะ"

"ใช่.. แต่ไม่คิดจะง้อกันบ้างหรือไง"  แอนนาเบลล์กำหมัดทุบหลังคนตัวสูงกว่าระบายความหงุดหงิด  "ฉันว่า  อิซซี่ต้องได้ความซื่อบื้อแบบนี้จากคุณไปแน่ๆ"

"อ้าว.. ทำไมมาลงที่ฉันละคะ"

"ก็มันจริงนี่.. ไม่เคยจะละเอียดอ่อนอะไรบ้างเลย  เป็นผู้หญิงซะเปล่า  ทำไมถึงไม่เข้าใจว่า  ผู้หญิงคิดอะไร  อย่างเวลาฉันไล่คุณ  คุณก็ออกไปแบบนี้  ทำไมคุณไม่คิดว่า  ที่ฉันไล่เพราะแค่หงุดหงิดและอยากให้คุณง้อกัน"

"เอ่อ.. ก็ฉัน---"  นิ้วเล็กๆ ที่จิ้มปลายจมูกไว้  หยุดคำพูดเธอไว้ทั้งหมด  เธอมองมันจนตาเกือบเหล่  จากนั้นก็มองหน้าเจ้าของมันอย่างงงงัน  หล่อนถอนมือออกไปแล้วสั่นหัวราวปลงกับเธอเต็มที  จะอ้าปากพูดอีกก็โดนตัดออก

"แล้วลูกคุณนะ  เอฟไปแบบนั้น  ยังไม่เคยโทรไปหาเลย  ลูกคุณมันเหมือนคุณชะมัด  งี่เง่าที่สุด"

"เบลล์..  เธอเป็นคนคลอดเค้ามานะคะ"

"แล้วไง.. เค้าเหมือนคุณมากกว่าฉัน  ทั้งหน้าตาและนิสัย  โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่น่าจะบื้อ  ก็ยังบื้อได้อีก  ถามจริงเถอะ  พวกคุณคุยอะไรกันเวลาที่แอบซุบซิบกันสองคน  ฉันควรจับพวกคุณขังไว้ในห้องแล้วบังคับให้อ่านหนังสือของเพลโต"

"โอ.. เบลล์คะ  ฉันกับลูกจะได้อะไรกับการอ่านปรัชญาของตาเฒ่าชาวกรีกคนนั้น  ฉันนึกว่า  เธอจะยัดให้เราอ่านโรมิโอจูเลียตซะอีก"

"อันนั้นพวกคุณก็คงซาบซึ้งกันไปแล้วมั้ง  แต่  Symposium น่ะ อาจจะทำให้พวกสิ่งมีชีวิตสมองใสแต่ไร้ความโรแมนติกในชีวิต  ไม่มีความละเอียดอ่อนเรื่องความรู้สึกของมนุษย์อย่างพวกคุณสองคนได้รู้สึกอะไรๆ บ้างก็ได้" แอนนาเบลล์บอก  น้ำเสียงประกาศถึงอาการประชดประชันอย่างชัดเจน  ราเชลได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เป็นปลาสำลักน้ำ  หาคำมาเถียงไม่ทัน

"ไง.. เถียงไม่ออกใช่ไหม..  ไปนอนได้แล้ว"  เจ้าของร่างเล็กดุ  ดันหลังคนตัวสูงกว่าที่ยังยืนเอ๋อ  แปลกใจที่หล่อนยังเหลียวมายิ้มหวาน  "ยิ้มทำไม  ชอบโดนดุหรือ"

"ก็ไม่เชิง  แต่มันก็ดีกว่า  เธอไม่พูดกับฉันแหละ"

แอนนาเบลล์อึ้งไปหน่อย  จากนั้นก็ส่ายหัวปลง  "ฉันคงต้องบอกทริคเอฟสักหน่อยมั้ง  ว่าถ้าเค้าอยากจะคบคนบ้านกิลเบอร์ก  อย่าไปเหนื่อยคิดอะไรให้เปลืองสมอง"

"เฮ้.. ทำไมพูดอย่างนั้นคะที่รัก  เหมือนฉันเป็นพวกไม่มีสมองอย่างนั้นล่ะ"  ราเชลเกือบจะวีน  ไม่มีใครเคยว่าเธอแรงขนาดนี้มาก่อนเลย

"ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ  ก็ทั้งคุณและลูกสาวคุณ  เคยเข้าใจอะไรบ้าง  นอกจากความหื่นของตัวเอง  พวกตัวเลขน่าปวดหัวแบบนั้นกับความบ้างาน"

"โอ.. ขอโทษทีที่ฉันเกิดมาพร้อมความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ปกติที่คงไม่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของปรัชญาอะไรๆ ได้เหมือนพวกนักปรัชญา  นักกวี  นักเขียนโด่งดังขวัญใจของเธอ  และรหัสพันธุกรรมของฉัน  มันก็ดันไปอยู่ต้นๆ ของลูกซะอีก  แต่เธอจำไว้หน่อยนะเบลล์  พวกฉันซับซ้อนน้อยกว่าเธอ  และความสุขได้กับแค่เรื่องง่ายๆ  อย่างเช่น  ได้บอกรักเธอ  ผ่านร่างกายของฉัน"

แอนนาเบลล์คิดจะแย้ง  แต่เธอก็ช้ากว่าคนที่ก้มลงบดเบียดริมฝีปากบนเรียวปากของเธอ  จากนั้นคำพูดทุกคำก็สลายหายไป  และเธอก็เป็นฝ่ายรั้งหล่อนเอาไว้ด้วยสองมือที่ล็อกทั้งใบหน้าและจับท้ายทอย  หงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อหล่อนผละออกไปมองตากัน

"ใช่ไหม..  ตัวฉันเข้าใจง่ายกว่าเธอเยอะ  ถ้าเธอบอกว่าอิซซี่เหมือนฉันมากขนาดนั้น  เค้าก็ไม่มีความซับซ้อนอะไรเลย  พวกเธอต่างหากที่ทำให้เราเครียด  ทำให้เราต้องคิดว่า  เราควรจะทำหรือไม่ควรจะทำอะไร  ทำให้เรากลัวสารพัด  อยากได้อะไร  ชอบหรือไม่ชอบ  ทำไมไม่พูดตรงๆ ละคะ  พวกฉันไม่ใช่นักถอดรหัสลับนะ  ฉันกับอิซซี่คงจะบอกเธอไม่ได้หรอกว่า  มีอะไรซ่อนอยู่ในรูปภาพของโมนาลิซ่า  เราไม่เข้าใจ"

น้ำเสียงอ่อนโยนและแววตาปราศจากความเจ้าเล่ห์บอกเธอว่า  เรื่องที่ได้ยินเป็นความจริง  แอนนาเบลล์ถอนหายใจและสวมกอดเจ้าของมันไว้  แล้วเธอก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  ภาษากายของคู่ชีวิตที่ลูบแผ่นหลังเธอ  กดจูบลงบนศีรษะเธออย่างถนอม  บอกอะไรได้มากมาย  แค่เพียงเปิดใจรับฟังมัน

"ฉันขอโทษ..  จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับคุณเลย  คุณทำดีที่สุดแล้ว  ฉันไม่ควรเครียดตามพวกเด็กๆ  ไม่ควรคิดแทนพวกเค้า"

"เธอสงสารเอฟ  ฉันรู้..  และเธอก็คิดว่าลูกอาจจะซ้ำเติมเค้าอีกสินะ"

"คุณก็รู้ว่า  เค้าเจออะไรมาบ้าง  แล้วเค้าก็ยังเป็นคนดีสำหรับลูกเรา"

"ก็จริงค่ะ  แต่เรื่องแบบนี้  มันขึ้นอยู่กับพวกเค้าสองคนนะ  พวกเค้าต้องเรียนรู้กันเอง  ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเค้าหรอกว่า  ปัญหาระหว่างกันมันคืออะไร  ถ้าแก้ไขไม่ได้  มันก็จบแล้วล่ะ  แล้วอีกอย่าง  ไม่มีใครทำลายชีวิตใครได้  ถ้าคนคนนั้นไม่ปล่อยให้ตัวเองโดนทำลาย"

"นั่นเพราะคุณเข้มแข็ง  คุณถึงพูดแบบนั้นได้"

"เปล่าเลยเบลล์.." ราเชลส่ายหัว  ยิ้มเซื่องซึม  "ฉันไม่ได้เข้มแข็ง  ฉันเคว้งคว้าง  ฉันเหงา  ฉันกลวงโบ๋  ฉันขาดความอบอุ่น  ไม่เคยได้อยู่กับพ่อแม่ ฉันเป็นแบบนั้นก่อนจะมีเธอเข้ามาในชีวิต  ฉันถูกหลอก  ถูกหักหลัง  อกหัก  ไม่รู้จะกี่ครั้ง  ฉันไม่มีใครที่วางใจพอที่จะพูดปัญหาด้วยได้  แต่ฉันก็ยังไม่ได้ตาย  ไม่ได้เสียคนเหมือนเด็กมีปัญหาทั่วๆ ไป  เพราะฉันรักตัวฉัน  ฉันไม่ยอมให้คนอื่นมาทำลายฉันได้"

"หมายความว่า  ถึงฉันจะเลิกกับคุณ  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  คุณก็จะไม่ตีโพยตีพาย  ร้องไห้เสียใจ  หรืออยากให้ฉันกลับมางั้นเหรอ"

"ถ้าถึงขั้นเลิกกัน  สำหรับฉันนะเบลล์  นั่นคือจุดสิ้นสุดแล้วล่ะ  เพราะมันคงหมายถึงว่า  เราไม่ได้รักกันแล้ว  หรือเธอไม่ได้รักฉัน"

"ถ้าฉันไม่ได้รักคุณ  คุณจะปล่อยฉันไป?  จะไม่ขอร้องหรือพยายามอะไรบ้างเลยเหรอ"

"ไม่รักก็คือไม่รักค่ะเบลล์  มันจบแล้ว"

"แล้วไม่คิดจะเสียดายอะไรบ้างหรือไง  ความผูกพัน อะไรทำนองนั้น"

"เสียดายสิ  แต่ฉันจะเก็บมันไว้  มันจะเป็นความทรงจำที่งดงามของฉันเสมอ  จะสุขหรือเศร้าตอนที่นึกถึงมัน  ก็เป็นอีกเรื่องนึง"

แอนนาเบลล์ยิ้ม  รู้สึกชอบคำตอบแบบนี้มากกว่าคำหวานๆ ที่ไม่รู้ว่า  จริงใจหรือเปล่า  "งั้นก็โชคดีที่มันเรื่องสมมติ"  ราเชลทำหน้าฉงนใจ  "เพราะต่อให้คุณไม่รักฉัน  ฉันก็จะขังคุณไว้อยู่แบบนี้แหละ"

"เพราะเธอรักฉันมากเหรอ"

"เปล่า..  เพราะฉันอยากให้คุณทรมานไปด้วยกัน" ราเชลหน้าเหวอ  เธอหัวเราะและลากหล่อนเข้ามานั่งบนเตียง  กระโดดขึ้นนั่งตักทันที  สองมือจับแก้มนิ่มๆ เอาไว้  จ้องตาสีฟ้าที่ดูจะหวาดหวั่นกันหน่อยๆ  "...เพราะฉันคงหาคนแบบคุณไม่ได้อีกแล้วไง  นอกจากอิซซี่  หรือคุณแอบไปแบ่งปันรหัสพันธุกรรมของคุณให้คนอื่นอีก"

"แต่เบลล์คะ  ฉันว่า  กิลเบอร์กไม่ได้มีแค่ฉันกับลูกนะ  ญาติๆ ฉัน.."

"แต่คุณแม่บอกว่า  มีคุณคนเดียวนี่แหละที่เป็นแบบนี้  เพราะฉะนั้น..  ถ้าฉันไปเจอ...."

"เบลล์...  เราเลิกพูดเรื่องสมมติกันเถอะ"  ราเชลแทรกและตัดคำพูดของอีกคนออกด้วยปากตัวเองที่เข้าไปประกบกับปากนุ่มๆ ของหล่อน  "เพราะตอนนี้ฉันอยากจะบอกรักเธอเต็มทีแล้ว..  ด้วยร่างกายของฉัน"

แอนนาเบลล์อยากจะเอ่ยขัด  หากเธอเองก็อยากได้รับคำยืนยันความรู้สึกนี้จากคู่ชีวิต  แม้จะอยู่ด้วยกันมานานจนลูกโตขนาดนี้  นั่นเพราะเธอก็อยากจะบอกความรู้สึกแบบเดียวกันกลับไปด้วย  หลังจากที่ทำใจร้ายกับหล่อนมาตั้งนาน  เธออาจไม่รู้ว่า  ปัญหาระหว่างลูกกับแฟนเขาเป็นยังไง  และคงช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าที่อยากจะทำ  แต่ก็ยังเชื่อว่า  ถ้าพวกเขารักกันจริง  ไม่ว่าอย่างไร  พวกเขาก็จะต้องหาทางโคจรกลับมาเจอกันอีกจนได้

เหมือนเธอกับราเชล...

......................................

"โอเคค่ะ  เข้าใจ..  ฉันคงไม่ต้องฝากดูแลเค้าหรอกนะคะ  เพราะเค้าเป็นแก้วตาดวงใจของคุณ"

"เธอไม่ได้ประชดฉันใช่ไหมซิลค์"

ซิลเวียส่ายหัว  เธอไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นแน่ๆ  แต่จะบอกว่า เธอไม่หงุดหงิดเลยก็คงจะโกหก  "บอกตามตรงนะคะเม็ท  ฉันน้อยใจ"

เสียงคนอีกฟากถอนหายใจ  เธอคงทำให้เขาหนักใจเสียแล้ว  แต่จะทำยังไงได้ล่ะ  เธออยากจะพูดตรงๆ "ฉันเลี้ยงเค้ามา  ฉันดูแลเค้ามานะคะเม็ท  แต่เค้าไม่ไว้ใจฉัน  เค้าไม่ปรึกษาฉัน  ไม่บอกว่าเค้าเป็นอะไร  คุณจะให้ฉันรู้สึกยังไง  ฉันรักเค้าเหมือนลูกแท้ๆ ถึงเค้าจะเรียกฉันว่าแม่ไม่ได้  ฉันก็ไม่เคยว่านะ  แต่เราเป็นเพื่อนซี้กันนะคะ  อย่างน้อย  ฉันก็คิดว่า  มันเป็นแบบนั้น  ซึ่งตอนนี้คงจะบอกได้แล้วล่ะว่า  ฉันเข้าใจผิดมาตลอด  หลงตัวเอง  ฉันไม่ได้เป็นอะไรสำหรับเค้าเลย"

"ใครว่า..  เธอเป็นที่หนึ่งในใจเค้าต่างหากล่ะ"

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลแดงกดหัวคิ้วลง  งงกับคำพูดที่สวนกลับมาอย่างรวดเร็ว  "อะไรนะคะเม็ท  คุณว่าอะไร.."

"ฉันบอกว่า  เพราะเค้ารักเธอมาก  เพราะรักถึงพยายามทำทุกอย่างให้เธอประทับใจ  แค่อยากให้เธอภูมิใจในตัวเค้า  ถึงจะสูญเสียความเป็นตัวตนยังไง  เค้าก็พร้อมจะแลก  นั่นแหละซิลค์  เอฟเป็นแบบนั้น"

"คุณพูดเหมือนฉันทำลายเค้า"  ซิลเวียเสียงแข็ง  รู้สึกเหมือนกำลังถูกกล่าวหา  "ฉันไม่เคยบังคับให้เค้าทำอะไร  ฉันแค่แนะนำในสิ่งที่ดี  ถ้าคุณคิดว่า  ฉันผิด  ฉันก็ขอโทษด้วย  และถ้าเค้าจะไม่กลับมา  ฉันขอแค่เค้ามาบอกแม่เค้าด้วยก็แล้วกัน"

"เดี๋ยวซิลค์..  เธอใจเย็นหน่อยได้ไหม  มันไม่ใช่แบบนั้น"

"แล้วมันเป็นแบบไหนล่ะ  ฉันรักเค้าแค่ไหน  คุณรู้บ้างไหม"

"เฮ้.. ซิลค์  หยุดนะ  อย่าร้องไห้นะจะบอกให้  ถ้าเอฟรู้ว่า  ฉันทำเธอร้องไห้  เค้าจะไม่พูดกับฉัน"

"ก็เรื่องของคุณสิ"

"ซิลค์.. ขอร้องล่ะ  หยุดงอแงเป็นเด็กได้ไหม  อย่าให้ฉันคิดว่าที่แคลร์มันงี่เง่า  โทรมาร้องไห้กับเอฟทุกวัน  เพราะมีแม่อย่างเธอ"

"เม็ทธานีส์..  อย่าคุยกันเลยดีกว่า  ลาก่อน"  นิ้วเรียวจิ้มวางสายทันทีโดยไม่ยินดีจะรับฟังอะไรอีก  เธอเกือบจะแกะโทรศัพท์ออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความโมโห  ถ้าไม่ทันเห็นบางคนออกมายืนพิงประตูมองกัน

"ทีน่า..  ทำไมลงมาเร็วจังคะ  ยังเช้ามืดอยู่เลย"

"ถ้าไม่ลงมาจะได้เห็นคนบางคนทำตัวเป็นเด็กๆ เหรอ"  ทีน่าตอบ  เดินมาดึงมือคนตัวสูงจูงไปนั่งบนโซฟารับแขก  ใช้ปลายนิ้วปาดคราบที่แก้มให้

"นี่อะไร  ร้องไห้ด้วย"

"เปล่าค่ะ  ฉันแค่เจ็บตา"  ซิลเวียไม่ยอมรับ  ยกมือขึ้นขยี้ตาจนถูกตีมือดังแปะ  "คุณ..  ฉันไม่ใช่แคลร์นะคะ"

"ตอนนี้เธองี่เง่า  งอแงยิ่งกว่าลูกอีกซิลค์"

"ใครว่า..  เค้าโทรไปฟ้องคุณงั้นเหรอ  คอยดูนะเม็ทธานีส์  ฉันจะไม่คุยด้วยจริงๆ"  บ่นงึมงำหน้าหงิก  จากนั้นก็โดนหยิกแก้มให้ร้องโอดโอย

"คุณ.. ฉันเจ็บ!"

"แค่เห็นหน้าเธอ  ฉันก็ไม่ต้องรอให้เม็ทมาฟ้องหรอก  ฉันอยู่กับเธอมากี่ปีแล้ว  จะไม่รู้อะไรบ้างหรือไง"  ทีน่าว่า  ยกมือขึ้นขยี้หัวคนตัวโตกว่าแต่อายุน้อยกว่าเกือบสิบปี  ซิลเวียโอดครวญก่อนจะเอาหน้ามาซุกกับบ่าบางของเธอ  กอดเธออย่างอ้อนๆ  และเธอก็แพ้ลูกอ้อนของเจ้าเด็กตัวโตคนนี้ตามเคย

แคลร์เหมือนใคร..  ก็เหมือนคนนี้ไงล่ะ..

"เม็ทว่าอะไรเธอล่ะ  ถึงงอนเค้าขนาดนี้"

"ฉันไม่ได้งอนสักหน่อย  ไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ"

"งั้นเหรอ..  แต่พฤติกรรมเธอตอนนี้  ไม่เหมือนท่านประธานเคิร์กที่น่าเคารพสักนิดเลยนะ"

"ก็ฉันอยู่กับคุณนี่นา..  ฉันชอบเป็นเด็กน้อยของคุณ"

ทีน่าหลุดยิ้มและรีบหุบมันก่อนที่คนขี้อ้อนจะเงยหน้ามาเห็น  ถ้าเธออ่อนข้อให้  คงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ๆ  "ไม่ต้องเฉไฉเลยซิลค์  ตอบคำถามมา"

"ดุจัง  ทีกับลูกไม่เคยดุเลยนะคะ"

"ซิลเวีย  เดี๋ยวนี้มีความลับกับฉันเหรอ"

ซิลเวียยกมือยอมแพ้  แต่ไม่วายทำหน้าหงิกเหมือนเด็กไม่พอใจ  เมื่อผละออกมานั่งพิงหลังกับพนักโซฟา  "ก็ปะป๊าของลูกสาวคุณน่ะ  หาว่า  ฉันทำให้เอฟสูญเสียความเป็นตัวเอง  ทุกอย่างที่เค้าทำ  ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรืองาน  เค้าเลือกมัน  เพราะฉัน...  เพราะเค้าอยากทำให้ฉันภูมิใจ  คุณว่ามันงี่เง่าไหมล่ะคะ  ฉันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นสักหน่อย  แล้วฉันเคยบังคับเอฟเหรอ"

"แต่ฉันว่า  เม็ทพูดถูกนะ"  ทีน่าตอบเสียงราบเรียบ  สีหน้าไม่บอกอารมณ์  ผิดกับคนฟังที่นั่งมองอย่างตะลึง  "ก็ฉันเคยบอกแล้วไง  เอฟรักเธอมากกว่าฉันซะอีก  และเพราะกลัวเธอไม่รัก  กลัวเธอผิดหวัง  กลัวเสียใจ  เค้าถึงได้ไม่เคยปริปากพูด  หรือเถียงอะไรเธอ  เค้ามีความสุขแค่ได้เห็นเธอพอใจ"

"ทีน่าคะ  ฉันรู้สึกว่า  มันชักจะทะแม่งๆ แล้วนะ  ฉันเป็นแม่เลี้ยงเค้านะคะ  ไม่ใช่แฟน"

"โธ่ซิลค์..  เธอมองไม่ออกจริงๆ เหรอ"  ซิลเวียสั่นหัว  ทีน่าถอนใจปลง  "บางครั้ง  คนฉลาดก็ตกม้าตายกับเรื่องง่ายๆ"

"คุณ..  ก็ฉันไม่ได้คิด---"

"ไม่ต้องกลัวหรอกซิลค์  เด็กผู้หญิงบ่อยครั้งเค้าก็หลงรักคนใกล้ตัวได้  ยิ่งเป็นคนที่คอยดูแลเค้าทุกอย่าง  ปกป้องเค้าอย่างที่เธอเป็น  แต่พอวันนึง  วันที่เค้าโตขึ้น  เค้าก็สามารถจะแยกแยะออกว่า  ความรักที่เค้ามีต่อคนคนนั้น  คือแบบไหน  และฉันคิดว่า  เอฟคงทำได้แล้ว  ไม่งั้นเค้าคงไม่ยอมมีแฟน"

ซิลเวียยังอึ้ง  ท่าทางเสียใจจนคนตัวเล็กกว่าต้องดึงมากอดปลอบ  แต่ยิ่งถูกปลอบก็เหมือนจะยิ่งทำให้อยากจะร้องไห้ "สรุปเพราะฉันเหรอคะ  เพราะฉันที่ทำให้เอฟมีปัญหาจนต้องหนีไปแบบนั้น  แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ  ฉันต้องไปอธิบายให้เค้าฟังไหม  ว่าเค้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อฉัน  ยังไงฉันก็รักเค้า  ฉันแค่อยากเห็นเค้ามีความสุข  เค้าไม่ต้องทำโรงแรมก็ได้  หรืออยากจะไปเรียนอย่างอื่นก็ได้  อยากเป็นเชฟแบบคุณ  หรืออยากเป็นสัตวแพทย์  ฉันจะไม่ว่าสักคำ  ฉันจะไม่ว่า  ไม่บ่นอะไรเลยจริงๆ  เค้าเป็นแก้วตาดวงใจของฉัน  ไม่ต่างจากแคลร์  คุณเข้าใจไหม?"

"ซิลค์..  ขอบใจนะ"  ทีน่าโพล่ง  จับอีกคนมาจูบปากขอบคุณ  ลูบแก้มขาวอย่างรักใคร่  ดวงตาสีน้ำตาลแดงกะพริบปริบๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไรออกมา  "ไม่มีอะไรซิลค์..  ฉันแค่ดีใจที่ฉันเลือกคนไม่ผิดเท่านั้น"

ซิลเวียยังดูงงๆ  หากก็กอดตอบเธอมา  ทีน่าอมยิ้มพอใจเมื่อสายตามองเห็นโทรศัพท์มือถือของอีกคนที่เธอแอบกดโทรออกเอาไว้ตั้งแต่แย่งมันมาถือเองยังปรากฎสัญญาณว่า  มันกำลังถูกใช้งานอยู่

หวังว่า  สิ่งที่ได้ยินคงจะช่วยลูกได้ไม่มากก็น้อย...

แต่อย่างน้อยตอนนี้  เขาก็คงจะรู้สึกเป็นอิสระแล้วล่ะ       


........................


คั่นเวลาด้วยตอนพิเศษจากบรรดาแม่ๆ ของคู่กรณีค่ะ

แล้วเจอกันใหม่  อีกยาวๆ เลยนะคะ ขอบคุณค่า :45:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น