web stats

ข่าว

 


Vampire Hunter Season3- Chapter 10 : A Little Place A Little Peace

โพสต์โดย: anhann วันที่: 24 กรกฎาคม 2015 เวลา 16:49:59 อ่าน: 359





Chapter 10 :  A Little Place  A Little Peace 



เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที  เมแกนเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองหามัน  ข้างๆ ตัวเธอ  แอชลีย์กำลังยืนฟังนายเจคตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์และเสียงลมที่มาพร้อมกับใบพัดของเจ้าแมลงปอตัวโตบนฟ้าที่เธอเริ่มจะมองเห็นมันแล้ว 

"มันจะไปส่งพวกเธอที่สนามบินที่ใกล้ที่สุด"  เสียงคู่หมั้นในนามของแฟนสาวของเธอบอกเสียงดังฟังชัด  เขาเป็นคนจัดการช่วยเหลือเรื่องการเดินทางกลับบ้านให้กับเธอและแอชลีย์  แต่ก็เพราะได้รับคำสั่งมาจากประมุขของเขาอีกที 

แฟรงคลินต้องการให้พวกเธอกลับไปช่วยดูแลคาริน่า  หลานสาวในไส้ของเขา  เป็นภารกิจลับที่ขัดกับนโยบายของสภาสูงซึ่งยังยืนยันว่า  ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดคาริน่าให้ได้  เด็กไฮบริดเป็นตัวกาลกิณี  เลือดสีโคลนที่จะทำให้ราชวงศ์แปดเปื้อน  เธอยอมรับว่า  ฟังเรื่องนี้แล้วยังแคลงใจ  แฟรงคลินบอกว่า  ที่คาริน่ายังอยู่รอดปลอดภัยได้ทุกวันนี้ก็เพราะเขาแอบส่งคนไปคอยดูแลหลาน  ขัดแข้งขัดขาคนของสภาอยู่ตลอด  แต่เขาก็ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ตลอดไป  สภาสูงเริ่มระแคระคายว่า  เขาลอบช่วยเหลือหลาน  และสังหารคนของทางสภา  พวกเขาคอยจับตาดูทั้งตัวแฟรงคลินเอง  เบนจามิน  และเจค  จนตอนนี้ทั้งสามแทบจะกระดิกตัวทำอะไรไม่ได้  แม้ผู้ภักดีต่อราชวงศ์จะมีอยู่มาก  หากสภาก็สามารถปั่นหัวให้ผู้คนเชื่อได้ว่า  ราชวงศ์ไม่เหมาะสมที่จะปกครองดินแดนนี้อีกต่อไป  เพราะฉะนั้น  แฟรงคลินจึงจำเป็นต้องถอนคนที่คอยดูแลคาริน่าออกและขอให้พวกเธอไปทำหน้าที่แทน  โดยที่เธอกับแอชลีย์จะได้รางวัลในการทำงานนี้อย่างคุ้มค่า  หากว่าสามารถปกป้องคาริน่าจากอันตรายได้ไปจนถึงวันที่เขาและเบนจามินกับพวก  จัดการกับสภาได้เรียบร้อยแล้ว  และที่นี่ปลอดภัยพอที่จะต้อนรับเจ้าหญิงของพวกเขากลับคืน

"ขอบคุณมากนะเจค"  แอชลีย์ร้องบอกเสียงดังท่ามกลางเสียงใบพัดและเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่แล่นลงจอดเรียบร้อยแล้ว

"ไม่มีปัญหาเจ้าหญิง" เจคโค้งตัวให้แอชลีย์อย่างนอบน้อม  เมแกนมองเขาอย่างประหลาดใจก่อนจะนึกได้ว่า  แอชลีย์ก็มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าหญิงเช่นเดียวกัน  เมื่อหล่อนเป็นลูกของน้องชายท่านประมุข

"โชคดีคนสวย" 

เมแกนไม่แน่ใจว่า  ชายหนุ่มพูดกับใครจึงมองหาใครที่เขาพอจะพูดอย่างนี้ด้วยได้  หากสุดท้ายสายตาขบขันของเขาก็ทำให้เธอเข้าใจทั้งยังท่าทางไม่พอใจของแอชลีย์ด้วย

"เมแกนไปกันเถอะ  เราต้องไปขึ้นเครื่องให้ทันไฟลท์"  แฟนสาวดึงแขนเธอให้เดินตามกันมาขึ้นเจ้าแมลงปอยักษ์ที่ติดเครื่องรออยู่  มีคนตามเอากระเป๋าของพวกเธอมาส่งให้  แอชลีย์โบกมือลาเจคอีกครั้ง  ชายหนุ่มยกมือให้ด้วยรอยยิ้มที่แต้มริมฝีปากอยู่บางเบา  เขาเลื่อนสายตาจากแอชลีย์มามองเธอ  ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยหากเขากลับค่อมหัวลงให้เธออย่างให้เกียรติ  เมแกนจำได้ทันทีว่า  เจคพูดอะไรกับเธอระหว่างที่แอชลีย์ขอตัวไปลาพ่อแม่หล่อน 

เขาไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเขายกแอชลีย์ให้เธอแล้ว  หรือยอมสละตำแหน่งคู่หมั้นคลุมถุงชนนั่น  แต่การที่เขาบอกเธอเป็นนัยๆ ว่าให้ดูแลแอชลียให้ดีและปกป้องคาริน่าให้สำเร็จ  ก็อาจเดาได้ว่า  เขาสนับสนุนเธอกับแอชลีย์ให้เป็นคู่กัน  เพราะแน่นอน  รางวัลที่เธอขอสำหรับงานนี้คือ  แอชลีย์..

"เฮ้.. ดีใจไหมจะได้กลับบ้าน"  เสียงร่าเริงของแอชลีย์ถามขึ้นระหว่างที่เสียงอื้ออึงจากเครื่องยนต์และใบพัดเหล็กยังคงรบกวนหูเธอไม่หยุดเหมือนวิทยุที่สวิทต์ปิดพัง 

ปรายตามองนักบินสลับกับผู้ช่วยอย่างระวัง  แม้พวกเขาจะเป็นเซอร์วิสจากนายเจคแต่ถ้าเธอจะระแวงไว้ก่อนคงไม่เสียหาย  ดีกว่าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ท่ามกลางภูเขาหิมะ

"เฮ้.."

"โอ.. เธอว่าอะไรนะแอช" ตาสีครามมองเธออย่างผิดหวังเล็กน้อย  เพราะหล่อนรู้ว่าเธอไม่ได้ฟังหล่อนเลยสักนิด  หากแอชลีย์ก็ฉลาดพอที่จะเข้าใจสถานการณ์  หล่อนวางมือลงบนต้นขาเธอและยิ้มปลอบใจ

"พวกเขาเป็นคนของพ่อฉัน  ไม่เป็นไรหรอก  อีกอย่าง.. เราใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว"  เมแกนชั่งใจ  มองกลับไปที่นักบินและผู้ช่วยที่เบาะหน้าอีกครั้ง  แล้วกลับมาพยักหน้าให้แฟน  ถึงเธอจะยังระแวงอยู่ก็เชื่อว่า  คงจะสามารถแก้ไขอะไรได้บ้าง  ถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ  ได้แต่หวังว่า  คนพวกนี้คงไม่ถึงขนาดยอมแลกชีวิตกับผู้หญิงเพียงแค่สองคนหรอก

ถึงพวกเธอจะไม่ใช่แค่ผู้หญิงสองคนก็เถอะ  และบางทีพวกเขาก็อาจจะไม่ใช่แค่ผู้ชาย  โอ..ใช่.. มนุษย์หมาป่า..

"รู้ไหม.. เจคสัญญาว่า----"

"เฮ้.. เธอคิดว่าฉันจะเอาอะไรเป็นของฝากฟลอเรนดีล่ะ"  แอชลีย์หรี่ตามองเธออย่างสงสัย  หากพอเธอขยิบตาเพียงครั้งหล่อนก็อ้าปากค้างทำสีหน้าเข้าใจและเล่นไปตามน้ำ

"เอาเป็น... ผ้าพันคอก็ได้  ถ้าฉันจำไม่ผิด  มีร้านเจ๋งๆ อยู่แถวสนามบิน  หวังว่า  เราคงมีเวลาพอไปเลือกมัน"

"โอเค.. เยี่ยมเลย  เค้าต้องชอบแน่" เมแกนยิ้มกว้าง  แสร้งชะโงกหน้ามาหอมแก้มขอบคุณเจ้าของไอเดีย  และแอบกระซิบข้างหูหล่อน  "ฉันรู้ว่า ควรจะไว้ใจพวกเขา  แต่กันไว้แต่กว่าแก้  จับตาดูพวกเขาไว้ตลอดนะ" 

แอชลีย์ฮัมรับ  ดวงตาสีครามมองตรงไปข้างหน้าอย่างสังเกตสังกา  ส่วนตาเธอก็พยายามมองไปรอบๆ และมองเส้นทางที่เฮลิคอปเตอร์บินผ่าน  เตรียมตัวต้อนรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ

......................................

ฟลอเรนล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กข้อความล่าสุดที่เพิ่งมาถึงไม่ถึงวินาที  ระหว่างที่เสียงพูดคุยในบ้านเรฟแลนด์ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง  เธอเลือกจะทิ้งมันไว้เบื้องหลังและมาสนใจกับสิ่งนี้มากกว่า  เพราะอย่างไรซะ การถกเถียงในเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์คงยังไม่จบหรือได้ข้อสรุปง่ายๆ  แม้มันจะใช้เวลามาร่วมชั่วโมงแล้ว

"เฮ้.."  เสียงคุ้นเคยดึงดวงตาเธอให้เหลือบขึ้นมองคนที่เดินมาหา  ดวงตาสีฟ้ากระจ่างฉายแววความฉงนใจ

"ของเมแกนน่ะ"

อัลร์กะพริบตา  ท่าทางสนอกสนใจขึ้นมาทันที  "เค้าว่ายังไงบ้าง"

"เค้ากำลังกลับมา  เพิ่งลงจากเฮลิคอปเตอร์  เอ่อ.. เพิ่งถึงสนามบิน"

"สนามบิน?  เค้าจะขึ้นเครื่องบินได้ยังไง  เค้าไม่มีชื่ออยู่เรคคอร์ดของเมือง  หรือว่ามี.."

"มีค่ะ  เมแกน  มาแชล"  ฟลอเรนตอบ  ความเข้าใจระคนแปลกใจปรากฏชัดบนสีหน้าคนฟัง  "ฉันก็เพิ่งจะรู้ค่ะ  ผู้ตรวจการ.."  ตาสีม่วงครามมองทอดไปยังมาเซียที่ยืนกอดอกถกปัญหากับญาติผู้น้องอยู่  "เธอใส่ชื่อเค้าไว้แล้ว  แต่ตั้งแต่ตอนไหน  ฉันไม่รู้จริงๆ"

"ว้าว.."  แวมไพร์สาวอุทานเหลือเชื่อ  เหลือบมองผู้หญิงน่าทึ่งคนนั้นบ้าง  เพียงแต่ก็เลิกสนใจหล่อนในเวลาไม่กี่นาทีเพราะค่อนข้างจะรู้ดีว่า  คงไม่มีอะไรที่มาเซียผู้นี้ทำไม่ได้  หากหล่อนจะทำ

"นั่นเป็นข้ออธิบายที่เค้ากับเจ้าหญิงหมาป่าสามารถขึ้นเครื่องบินร่อนไปร่อนมาได้  งั้นหรือ..  ถ้างั้นทำไมไม่ขึ้นไปตั้งแต่แรก"

"ถ้าจำไม่ผิด  เค้าบอกว่า  แอชลีย์พยายามหลบคนของฝ่ายนั้นค่ะ  แต่กลายเป็นว่า  เกิดการเข้าใจผิดกัน  เพราะคุณลุงของเธอไม่ได้ส่งคนมาเพื่อทำอันตรายคาริน่า  แต่เพื่อคอยระวังภัยจากคนของสภา"

"สภามนุษย์หมาป่าน่ะเหรอ"

"ค่ะ  และเฮลิคอปเตอร์ที่มาส่งก็เป็นอภินันทนาการจากคุณลุง  รวมถึงตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส"

อัลร์ทำหน้าทึ่ง  "ลืมไปว่า  พวกนี้เป็นมหาเศรษฐี" 

"คุณรู้จักพวกเขามาก่อนหรือ"

"ไม่เชิง..  และไม่อยากรู้จัก" 

ฟลอเรนกลั้นยิ้มกับท่าทีชิงชังอย่างไม่จริงจังของแวมไพร์สาวตรงหน้าที่มีต่อคู่แค้นเก่าแก่  เพราะถ้าเธอไม่ได้เข้าใจผิดไป  เธอคิดว่าอัลร์เริ่มยอมรับการที่ต้องมีพวกเขาเดินไปมาอยู่รอบๆ ตัว  ตั้งแต่ที่มีคาริน่าเข้ามาในชีวิต

"พวกเขาจะมาถึงตอนเช้าค่ะ"  อัลร์มองเธอด้วยสายตารับรู้  "แล้ว..  ทางนั้นว่ายังไงบ้าง"  สองสายตามองไปทางจุดที่หลายๆ คนในบ้านจับกลุ่มกันอยู่  ฟลอเรนอดไม่ได้ที่จะนึกสงสารชายที่ถูกล่ามโซ่หนาๆ เอาไว้ราวสัตว์ป่า  แต่เพื่อความปลอดภัยแล้ว  คงไม่มีทางเลือก

"มาเซียเสนอให้กำจัดทิ้งและตามล่าพวกที่เหลือให้หมด  บางทีอาจต้องแกะรอยไปถึงต้นตอด้วย  แต่มาทาขอเวลาเก็บมันเอาไว้ศึกษา  และหายารักษา"

"แอนตี้ไวรัส?"

"ประมาณนั้น" อัลร์พึมพำ  เงยหน้าขึ้นมองหลานสาวที่ยืนเกาะระเบียงชั้นลอยคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ กับเจ็นนี่ที่เกาะติดเขาแจราวองครักษ์ส่วนตัว  คาริน่าส่งยิ้มบางๆ แต่น่ารักมาให้จนอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มกลับก่อนจะละสายตากลับมาหาคู่สนทนาเดิม "ขอบใจที่ช่วยเค้ากลับมา"

 "ไม่เป็นไรค่ะ  หน้าที่ฉันอยู่แล้ว" ฟลอเรนยิ้มรับ  มองอีกฝ่ายอย่างสังเกตสังกา  มองนานจนคนไม่ใช่คนหันมาเลิกคิ้วให้  "คุณไม่ว่าฉัน  เรื่องไม่รับโทรศัพท์  ไม่อาละวาด"

อัลร์อุทานเบาๆ ถอนใจแผ่ว  แล้วขยับใบหน้าเข้าไปจูบแก้มคนรัก  "ฉันอาละวาด  ทั้งฉันทั้งแอล  แต่ก็อย่างที่รู้  ผู้หญิงตระกูลมอนทาน่าร์นั่นบอกให้ฉันอยู่ที่นี่  สงบใจรอ"

"คุณไม่เคยเชื่อฟังใคร"

"ฉันเชื่อ..  เป็นบางที"  ตาสีฟ้าจ้องสีม่วงครามอย่างรักใคร่  ปลายนิ้วไล้แก้มเนียนแผ่วเบา  "ฉันเชื่อใจเธอ  และเธอก็ไม่ได้ไปคนเดียว"

"โอ้.. ฉันนึกว่า  คุณเกลียดแคทเทอรีน"

"ก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่"

"ฉันก็ว่างั้น"  ฟลอเรนหัวเราะในลำคอ  ยกสองแขนขึ้นโอบรอบคอคนตัวสูงกว่าที่โน้มลงมาจนปลายจมูกเราแตะกัน 

"ฉันเป็นห่วงเธอแทบตาย  เวลาเธอไม่รับโทรศัพท์"

"ขอโทษค่ะ  ฉันตั้งสั่นไว้  หรือบางทีใต้ดินอาจไม่มีสัญญาณ"  อัลร์ฮัมและจรดริมฝีปากลงกับปากเธอในที่สุด  เราจูบกันเพื่อคลายความกังวลให้กันและกันอย่างเคย  "ที่นั่นเป็นห้องแล็ป  คงเป็นแหล่งผลิตหรือทดลองมนุษย์ไวรัส  ฉันพยายามจะห้ามแล้ว  แต่แคทเทอรีนซ่อนระเบิดไว้ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  และหล่อนก็ระเบิดมันทิ้งตอนที่ทั้งหมดพากันออกมาแล้ว"

"หล่อนตัดสินใจถูกแล้วล่ะ"

"ฉันคงต้องเห็นด้วย  เพราะกว่าเราจะหาทางแก้ได้  คงจะมีคนอย่างผู้ชายคนนั้นออกมาเดินเกลื่อนกลาดถนนเต็มไปหมด" ฟลอเรนทำท่าสยอง  มองกลับไปยังมนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกพันธนาการอยู่  ร่างกายเขาดูเหมือนเริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

"อาการคงกำเริบจากความกดดันทางอารมณ์"

"แล้วก็ควบคุมไม่ได้"  เธอเสริม  อีกคนพยักหน้า "เป็นไปได้ไหมว่า  นานๆ เข้า  ผู้ชายคนนี้ก็จะเป็นเหมือนกรณีที่พี่ชายคุณเคยเปลี่ยนสมุนแวมไพร์ของเขาให้กลายเป็นไฮบริดและล้มเหลว"

"ฉันไม่แน่ใจ  วิทยาศาสตร์อาจทำได้มากกว่า"

"แน่ล่ะ  เดี๋ยวนี้มันถึงขนาดจะผ่าตัดเปลี่ยนหัวกันแล้ว"  เสียงมาทาแหลมขึ้นมาอย่างหงุดหงิด  พลางส่ายหัวอย่างเบื่อหน่ายให้แวมไพร์และฮันเตอร์  การถกเถียงปัญหากับมาเซียเป็นอะไรที่สร้างความเพลียให้เธอได้ทุกครั้ง

"แล้วไงคะ  ชนะไหม" ฟลอเรนถาม  พยายามยิ้มเอาใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์  มาทาปล่อยให้เธอลุ้นอยู่สองนาทีก่อนจะคลี่ยิ้มและขยิบตาให้

"คุณเจ๋ง"  ชะโงกหน้าจะมาหอมแก้มคุณแม่มดที่ดันมีบางคนยื่นหน้ามาขวาง  จมูกโด่งๆ ของเธอจึงกดลงกับแก้มเย็นเฉียบนั้นแทนแก้มอุ่นๆ นุ่มๆ  และกลิ่นที่คุ้นเคยแต่แตกต่างก็ทำให้เธอดันไหล่เจ้าของแก้มออกไป

"แอล!"

"โอ.. เก่งอ่ะ  จำได้ไง" ฝาแฝดของแฟนเธอแสร้งทำแปลกใจ

"คุณตาสีเขียว  และกลิ่นเหมือนวิสกี้ร้อยปี"

"เฮ้.. พี่สาว..  ดูแฟนพี่สิ  ปากหวานชะมัด"  แอลประชดขี้เล่น  ฟลอเรนและมาทากลอกตาเบื่อหน่ายกับมุกเก่าๆ พวกนี้เต็มที  แต่มีหรือที่แวมไพร์แฝดน้องจะสนใจ  เปลี่ยนเรื่องพูดได้หน้าตาเฉย  "จะเอาไปไว้ไหนล่ะ  ห้องนั้นไม่ได้หรอกนะ  มีแวมไพร์หนังเหี่ยวจอง"

"งั้นก็ห้องใต้บันได  หรือห้องหนังสือ" มาทาเสนอ

"ห้องใต้บันไดดีกว่า" อัลร์ขัด  ไม่อยากให้ห้องหนังสือต้องมีกลิ่นไม่พึงประสงค์นอกจากกลิ่นอับของบรรดากระดาษเก่าๆ และปกที่ทำจากหนังของหนังสือเก่าเก็บ  แอลก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับพี่สาว  เพราะหนังสือส่วนใหญ่ในนั้นเป็นความทรงจำของตน  เป็นตัวแทนของเฮเลนน่า

"ตามนั้น  พวกเธอสองคนจัดการได้ไหม"  มาทาหันมาถาม  สองผู้ที่ถูกถามพยักหน้ารับแม้จะดูออกเลยว่าฝืนทำ  ระหว่างที่แวมไพร์ฝาแฝดปฏิบัติงาน  คุณแม่มดก็หันมาหาคนที่เหลือ

"คุยกันหน่อยได้ไหม" ฟลอเรนเลิกคิ้วแปลกใจ  หากต่อมาก็ผงกหัว "งั้นไปที่ที่ส่วนตัวหน่อยดีกว่า"  คุณแม่มดบอกและเดินนำออกไปราวกับที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง  เด็กสาวเดินตามหลังคนอายุมากกว่าอย่างไม่คิดอะไรมากมาย  แต่สายตาหนึ่งก็ดึงเธอให้หันไปมองเขา  และหากสัญชาตญาณเธอยังเชื่อถือได้  เธอก็แน่ใจว่า  มนุษย์กลายพันธุ์นั่นจะต้องอยากบอกอะไรกับเธอสักอย่าง

.....................................

เมแกนมองถาดอาหารที่ว่างเปล่าตรงหน้าที่อาหารในนั้นเพิ่งหายเข้าท้องไปในท้องของเธอ  เธอกินมันด้วยความหิวโหยอย่างไม่ใส่ใจรสชาติ  เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง  นายเจคให้เธอกับแอชลีย์รีบออกเดินทางก่อนที่จะมีใครโผล่หน้ามาขัดขวาง  เขาคงเป็นเหตุผลที่ดี  และเธอก็อยากกลับแล้ว   

ยอมรับว่าการขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอมันตื่นเต้นดี  แต่หากเทียบกับเฮลิคอปเตอร์ที่ขึ้นครั้งแรกเหมือนกัน  เครื่องบินในชั้นเฟิร์สคลาสนี่ก็ดูจะไร้ความน่าสนใจไปโดยสิ้นเชิง  นอกจากอาหารเครื่องดื่มดีๆ และที่นั่งกว้างขวางเป็นส่วนตัวแล้ว  ก็เห็นเพียงแอร์โฮสเตสเท่านั้นที่ดึงดูดสายตาเธอได้  แต่ครั้นจะสนใจมากไปก็เกรงใจคนที่มาด้วยกัน

"หลับไปเลยก็ได้  เดี๋ยวเครื่องแลนดิ้งแล้วฉันจะปลุก"

นั่นไงล่ะ ยังไม่ทันไรเลย..

เสียงแอชลีย์เสนอขึ้นระหว่างที่เธอส่งยิ้มคืนให้นางฟ้าคนหนึ่งบนเครื่อง  คนเดียวกันกับที่เอาอาหารมาเสิร์ฟให้  เมแกนหันไปเลิกคิ้วให้หล่อนที่นั่งอยู่อีกเบาะแต่คู่กันกับตน  หมาป่าสาวแสนสวยแม้จะไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงอะไร  หากเธอสามารถเห็นความไม่พอใจในดวงตาสีครามนั่นได้ชัด

แน่นอนล่ะ  แอชลีย์ขี้หึงสุดยอดอยู่แล้ว  แทบจะขยำคอทุกคนที่เข้าใกล้เธอเลยก็ว่าได้  ไม่แน่ใจว่า  ควรดีใจหรืออึดอัดมากกว่ากัน

"ฉันไม่ง่วง  ทำอย่างอื่นได้ไหม" เมแกนยิ้มเอาใจแฟนสาวพลางส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้  แอชลีย์ยิ้มเขินนั่งบิดจนเธอนึกขำ  คำเดียวที่นึกได้ตอนนี้คือหล่อนน่ารักที่สุด  คุ้มค่ากับการเสี่ยงตายที่สุดด้วย  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกเรื่องที่เธอลืมไม่ได้

ฟลอเรน...

เธอต้องบอกเรื่องนี้กับฟลอเรนด้วย  ชีวิตเธอกับฮันเตอร์เชื่อมโยงถึงกัน  หากคนใดคนหนึ่งในพวกเธอเป็นอันตราย  อีกคนย่อมรับรู้ได้  แล้วถ้าเธอตาย ฟลอเรนก็ต้องตายด้วย  แต่ในทางกลับกัน  หากฟลอเรนเป็นฝ่ายบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิต  เธอก็ดับไปด้วยกัน 

ทำยังไงจะหยุดเรื่องนี้ได้  ใช่ว่าเธอเห็นแก่ตัว  ไม่อยากร่วมรับผิดชอบอะไรไปกับฟลอเรนด้วย  แต่เธอห่วงหล่อน  ห่วงว่าสิ่งที่เธอทำอาจมีผลกระทบกับหล่อน  มันต้องมีอยู่แล้วล่ะ  บางทีเราอาจคิดเหมือนกัน  เรามักจะคิดอะไรคล้ายๆ กันเสมอพักนี้  ดีอย่างเดียวที่ไม่ได้ชอบคนคนเดียวกัน  ไม่งั้นคงยุ่ง

"เฮ้.. ไม่ต้องเขิน  แค่จะชวนดูหนัง" เมแกนแกล้งแซว  จึงโดนมือหนักๆ ซัดเข้าให้จนไหล่แทบทรุด  ผู้หญิงของเธอยังคงโหดเสมอต้นเสมอปลาย

"อะไรล่ะ  ฉันพูดอะไรผิด"  แอชลีย์มองเธอเคืองๆ และสะบัดหน้าหนีระหว่างที่เธอลูบไหล่ตัวเองให้คลายเจ็บ  "เฮ้.. แอชหันมานี่หน่อยสิ  มีอะไรให้ดู"

"ไม่ต้องมาพูด  จะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะ"  หมาป่าสาวทำเสียงงอน  หากไม่วายแอบมองอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้  เห็นเมแกนเอามือขึ้นมาประกบกันไว้ ท่าทางเหมือนซ่อนบางอย่างอยู่ภายในสองมือนั่น  และความอยากรู้อยากเห็นก็ไม่ปรานีใคร 

"อะไรน่ะ  เอามาให้ดูเลยนะ" 

เมแกนยิ้มขี้เล่น  ส่ายหน้าปฏิเสธคำสั่งคนรัก  ซ้ำส่งสายตากวนๆ ใส่หล่อนจนคนอารมณ์แปรปรวนง่ายทนไม่ไหว  ชะโงกหน้าข้ามที่กั้นระหว่างเก้าอี้สองตัวมาหา  และหล่อนก็เสร็จเธอ

แอชลีย์หน้าเหวอที่ถูกอีกริมฝีปากโฉบลงมาประกบปากเธอไว้  สองมือของเมแกนที่เหมือนซ่อนอะไรอยู่เมื่อกี้เปลี่ยนมาจับบ่าเธอไว้ข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างก็ประคองแก้มเธอไว้คล้ายจะล็อกไว้ไม่ให้หนีได้  และความตกใจที่มีก็เปลี่ยนเป็นความพึงพอใจ  เธอจูบตอบอย่างไม่คิดแคร์อะไร  ไม่สนใจว่าอาจจะมีแอร์โฮสเตสเดินมาดูความเรียบร้อยของผู้โดยสาร  พวกเธอเหมือนจะพลัดหลงเข้าไปในโลกส่วนตัวที่มีเพียงสองคน

"เฮ้ๆ พอก่อน" เมแกนร้องห้ามเมื่อรู้สึกว่า  มืออีกคนชักจะซนมากเกินไปหน่อย  แอชลีย์เคยตัวทุกทีทุกครั้งที่เราจูบกัน  มือหล่อนก็ล้วงลึกเข้าไปเรื่อย  ไม่ว่าจะในเสื้อเธอหรือในกางเกง

"อย่างอนเลยน่า  ถ้าอยู่กันสองคน  ฉันเคยว่าเธอที่ไหน"  พยายามพูดเอาใจแฟน  แอชลีย์ดูเหมือนไม่อยากจะยอมนัก  แต่หล่อนคงจำได้ว่าเราไม่ได้อยู่ในที่ส่วนตัว  และหล่อนก็คงไม่ชอบถ้าใครจะได้มาเห็นเนื้อตัวของเธอหรือตัวเธออีกด้านที่ควรมีแต่หล่อนที่เห็นได้  ในฐานะแฟนหรือว่าที่ภรรยาสุดที่รัก

พูดถึงคำว่า 'ภรรยา'  มันออกจะไกลไปไหนไหมนะ  แต่มันก็เป็นคำที่ให้กำลังใจดี  ตรงไหนล่ะ

"ก็ได้..  แล้วจะดูหนังอะไรล่ะ"

"ตามใจเธอสิ  แต่ดูคนละเรื่องก็ได้นะ มีคนละจอนี่นา"

"มีคนละจอก็ดูเรื่องเดียวกันได้"

"ทำไม  ไม่ต้องแย่งกันดูก็ดีแล้วนี่"

"ก็แค่อยากรู้สึกเหมือนได้นอนดูอยู่กับเธอนี่นา  ไม่ได้เหรอ"

โอ.. พระเจ้า..  คุณเคยเห็นหมาป่าที่ไหนอ้อนเก่งขนาดนี้ไหม...

"ด..  ได้สิ  เรื่องเดียวกันก็ได้" เมแกนตอบกระท่อนกระแท่น  ไม่ได้หนักใจอะไรที่ต้องตามใจอีกฝ่ายหรอกนะ  เธอแค่สำลักความน่ารักน่าเอ็นดูของผู้หญิงข้างๆ  อยากจับมาฟัดให้หายมันเขี้ยว  แต่ก็ทำได้แค่มองอย่างเสียดาย

แอชลีย์เลือกหนังให้เธอและของหล่อนเป็นเรื่องเดียวกันตามที่ตกลงไว้  หล่อนใช้เทคโนโลยีที่เธอไม่ถนัดได้อย่างคล่องแคล่วสมแล้วที่อยู่ในเมืองมานาน

"ดูทไวไลท์ไหม"  หล่อนถามเสียงหยอกเย้าราวจงใจจะแกล้งป่วนเธอ  รู้นี่ว่า เธอไม่ชอบหนังเรื่องนี้  แต่ไม่ได้เกี่ยวกับพ่อหนุ่มหมาป่าที่บังเอิญมาชื่อเดียวกันกับคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของหล่อนหรอกนะ  แต่เพราะเธอเบื่อเรื่องใกล้ตัวแบบนั้นแล้วต่างหาก 

หมาป่า  แวมไพร์  การตามล่า  ถึงจะไม่เชิงเหมือนกันเสียทีเดียว  เพราะสเตเฟนี เมเยอร์  คงไม่ได้เอาชีวิตพวกเธอไปเขียน  แต่ก็นะ  ถ้ามีอย่างอื่นให้เลือกดูได้  จะดูไปอีกทำไมกันเล่า

"ไม่อยากดูสินะ  งั้นเอาเรื่องนี้แล้วกัน"  แอชลีย์พูดพร้อมรอยยิ้มน่ารักที่มองอีกครั้งก็ไม่มีเบื่อ  หล่อนกดเลือกหนังอีกครั้งและที่หน้าจอของเธอก็ปรากฏภาพที่เธอไม่เคยเห็น

"มันเป็นหนังของอเมริกาน่ะ  ลอสแอนเจลลิสในอนาคต  เขาว่างั้น"

"เรื่องมันเป็นไง  เคยดูไหม" เมแกนถามอย่างสนใจและไม่ได้เสแสร้ง  เธอชอบเวลาที่แอชลีย์พูด  หน้าตาและเสียงหล่อนมันน่าหลงใหลไปหมด  เธอคงจะรักหล่อนจนยากจะถอนตัวขึ้นได้แล้ว  แปลกแต่จริง  และน่ากลัว...

"นับไม่ได้เลยล่ะ  จำได้แต่ว่าดูทีไรร้องไห้ทุกที"  แอชลีย์ตอบน้ำตาคลอจนคนมองชักกังวล  แต่เสียงหัวเราะใสๆ และท่าทางเคอะเขินก็ช่วยคลายความเครียดให้กันไปได้

"มันชื่อ 'Her' เป็นหนังรักเหงาๆ  ไซไฟ  โรแมนติก  คอมเมดี้  เป็นเรื่องของหนุ่มนักเขียนขี้เหงาคนหนึ่งที่หลงรักโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาว  แต่ถ้าให้ฉันเล่า  คงไม่เท่ากับเธอดูเองหรอก"

ตาสองสีมองจ้องกันนิ่งๆ แอชลีย์ยิ้มให้ก่อน  เมแกนยิ้มตามอย่างอดไม่ได้และพยักหน้ารับ  จากนั้นเราทั้งคู่ก็ดูหนังเรื่องเดียวกัน  คนละจอ  แต่มือยังกุมประสานกันไม่ห่าง  อาจจะดูเหมือนพวกเธอไม่สนใจโลกภายนอก  ลืมไปแล้วว่า  พวกเธอไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาหรือมีหน้าที่ที่รอให้ไปรับผิดชอบ  แต่ไม่ใช่...

ตอนนี้พวกเธอแค่ขอช่วงเวลาสั้นๆ กับพื้นที่เล็กๆ ให้กันและกันเท่านั้น


.......................................


ไม่รู้มีใครรอเรื่องนี้อยู่ไหม  คิดว่าคงพอมี

เอาเถอะ จริงๆ มันก็น่ารักดีนะจะบอกให้  ไม่ได้เครียดไปทั้งเรื่อง  โดยเฉพาะคู่สองหมาป่า  อิอิ  :01:

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันค่ะ  แล้วเจอกันใหม่น้า  :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น