web stats

ข่าว

 


รักสุดท้ายที่ปลายโค้ง ตอนที่ 1 เพื่อนบ้านที่แสนดี

โพสต์โดย: พิมพ์ญา วันที่: 03 กรกฎาคม 2015 เวลา 14:01:43 อ่าน: 238

1
เพื่อนบ้านที่แสนดี

ตาที่หลับๆ ตื่นๆ ชั่วโมงกว่าค่อยๆ ลืมขึ้นเพราะเสียงตะโกนโหวกเหวกของกระเป๋ารถชายที่บอกชื่อจุดหมายต่อไปให้ผู้โดยสารได้ทราบ ไอลิษาลืมตาเต็มที่จนเห็นชัดว่ารถบัสไร้เครื่องปรับอากาศที่เธอโดยสารมานั้นโยกคลอนไปมาจนน่าหวาดเสียว และเสียงหน้าต่างสิบกว่าบานที่เผยขึ้นครึ่งหนึ่งก็ดังเคร้งๆ สลับกับลมโกรกหวืดๆ จนผมยาวสยายของหญิงสาวปลิวว่อนพันเกี่ยวอิรุงตุงนังยากที่จะใช้มือขึงออกจากกันได้
ไอลิษารีบนั่งตัวตรงพลางมองลอดออกไปนอกหน้าต่างรถ เธอไม่ทราบแน่ชัดว่าถึงที่แห่งไหนแล้ว เพราะเมื่อครู่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นจึงฟังกระเป๋ารถไม่ถนัดหู
เมื่อทราบแน่ชัดถึงสถานที่ที่รถบัสจะหยุดจอดไอลิษาก็เอนหลังพิงพนักเบาะอีกครั้ง เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้วที่เธอไม่ได้มาเหยียบอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถปรับอากาศมาหลายชั่วโมง อีกทั้งยังต่อรถบัสซึ่งเป็นรถแอร์ธรรมชาติที่พาเธอปุเรงๆ ออกมานอกเมืองเกือบชั่วโมงครึ่งทำให้เธอเผลอหลับมาตลอดทาง
ลมที่ปนออกมากับออกซิเจนบริสุทธิ์มากกว่าอากาศที่อยู่ในเมืองแออัดนั้นทำให้ไอลิษาเผลอสูดเข้าเต็มแรงอย่างชื่นชม แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะกระชับเป้สะพายขนาดย่อมที่เบาะข้างๆ ให้แน่นมือ
เนื่องจากรถคันนี้เป็นรถรอบสุดท้ายที่ออกมาจากตัวจังหวัดและกำลังอยู่ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเด็กนักเรียนนักศึกษาจึงทำให้เบาะที่นั่งหลายที่ว่าง ไอลิษาจึงถือโอกาสวางกระเป๋าไว้เคียงข้างแทนที่จะเอาเก็บไว้ที่ชั้นเหนือศีรษะ
ไอลิษารู้สึกหวาดหวั่นใจอยู่นิดๆ เพราะไม่รู้ว่าป้ายข้างหน้านี้จะผ่านบ้านย่าของตัวเองมาไกลแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งกระเป๋ารถชายร่างกำยำส่วนสูงพอประมาณตะโกนบอกอีกรอบเธอจึงใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะเป็นชื่อเทศบาลที่เธอกำลังจะลงพอดี มันอาจจะผ่านบ้านย่าของเธอมาแล้วประมาณห้าร้อยเมตร แต่เธอคิดว่าน่าจะหารถสามล้อแถวๆ นั้นต่อไปได้ไม่ยาก
เมื่อรถบัสกระป๋องจอดสนิทตามสภาพแล้วก็ทำให้ร่างบางของไอลิษาที่ยึดราวเหล็กไว้นั้นเอนเอียงจนศีรษะเกือบคะมำ หญิงสาวลอบถอนหายใจแรงด้วยใจหายก่อนก้าวผ่านประตูที่โล่งโจ้งไม่มีแม้แต่บานปิดลงไปเหยียบพื้นคอนกรีตแข็งๆ
หญิงสาวกระชับเป้สะพายไว้ที่แขนข้างขวาแล้วก้าวเท้ายาวไปชิดกับต้นมะม่วงต้นหนึ่งซึ่งติดกับศาลาไม้ริมทาง รอจนกระทั่งเจ้ารถกระป๋องปุเรงๆ จากไปก่อนถึงยอมก้าวเท้าเดินช้าๆ ด้วยหัวใจกระตุกเล็กน้อยเพราะไพล่ตามองไปเห็นว่าเทศบาลแห่งนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก จากที่ตึกอาคารร้านค้ามีแค่ไม่กี่หลังตอนนี้ห้อมล้อมกันจนแน่นขนัด สี่แยกใหญ่กว้างที่อยู่ตรงหน้านั้นก็มีรถแล่นตัดไปตัดมาครึกครื้นกว่าเดิม
ห้าปีแล้วอะไรๆ ก็พัฒนาไปตามกาลเวลา จากที่เมื่อก่อนเป็นดินลูกรังตอนนี้เปลี่ยนเป็นคอนกรีตเสียหมด หญิงสาวพยายามกวาดตามองให้รอบๆ ทั่วทิศ แต่แล้วเธอกลับไม่เห็นสามล้อเครื่องเลยสักคันเดียว เธอเริ่มใจหายในนาทีนั้น
ไอลิษารวบรวมสติแล้วมองไปเห็นร้านมินิมาร์ทร้านหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหัวมุมฝั่งตรงข้าม พอเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นชัดว่าหน้าร้านนั้นมีศาลาไม้งามเอาไว้ให้ลูกค้าได้นั่งพักผ่อนกัน ในศาลานั้นก็มีกลุ่มวัยรุ่นนั่งกันแน่นจนเต็ม พร้อมทั้งส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวออกมาให้ได้ยินชัดหู
คนเพิ่งเดินทางมาถึงอย่างเหน็ดเหนื่อยละสายตาจากกลุ่มหญิงชายเหล่านั้นเสีย เธอเดินเข้าไปหาเจ้าของร้านซึ่งยืนเด่นอยู่หลังโต๊ะไม้เตี้ยเพียงลำพัง
ไอลิษากระชับสายสะพายให้แน่นเข้าพลางทอดน่องเข้าไปหาหญิงสาวเจ้าของร้าน เห็นหน้านวลผ่องนั้นเด่นแต่ไกล รูปร่างสูงโปร่งกำลังยงโย่ทำอะไรบางอย่างอยู่หลังโต๊ะเตี้ยนั้น ดูแล้วเธอน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ
ครั้นไอลิษาเดินเข้าไปหาจนเกือบถึงขอบโต๊ะหญิงสาวคนนั้นก็พลันเอี้ยวหน้ามามองเธอ ไม่เพียงแต่รูปร่างสมส่วนเท่านั้น เธอยังมีใบหน้าสวยที่มีองค์ประกอบรับกันอย่างสวยงาม ตาคมโตใต้แพขนตาหนางอนนั้นรีบจับเรดาห์มาที่คนเพิ่งเดินเข้ามาในร้าน แล้วปากชมพูเรื่อรูปหัวใจที่นิ่งงันอยู่นั้นจู่ๆ ค่อยๆ เผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา
"ขอโทษนะคะ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ... พอดีกำลังหารถสามล้ออยู่ค่ะ แต่ไม่ทราบว่าหายไปไหนกันหมด เมื่อก่อนยังเห็นจอดเรียงกันอยู่แถวๆ สี่แยกนี้"
หยาดพิรุณมุ่นคิ้วอยู่เพียงชั่วครู่ก็ร้องออกมา "อ๋อ... สามล้อไม่มีตั้งเกือบปีแล้วล่ะค่ะพี่"
"อ้าว!..." ไอลิษาอุทานออกมาด้วยใจที่หล่น
"คนแถวนี้เค้ามีรถส่วนตัวใช้กันเยอะขึ้น พวกสามล้อก็พากันขาดรายได้ เค้าก็เลยเปลี่ยนอาชีพกันหมดแล้วค่ะ" หญิงสาวพูดติดตลกพลางยิ้มพริ้มพรายอย่างสดใส "แล้วพี่กำลังจะไปไหนคะ"
หยาดพิรุณไพล่ตาสำรวจเห็นเป้สะพายและการแต่งตัวมิดชิดของอีกฝ่ายด้วยกางเกงยีนส์ขายาวเสื้อยืดตัวหลวม อีกทั้งไม่ลืมสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวตัวหนาๆ นั้น
"พี่กำลังจะไปบ้านย่าวลีค่ะ ออกไปตามถนนใหญ่นี้ซักประมาณห้าร้อยเมตรน่าจะได้ อยู่ติดแถวๆ ทางโค้งน่ะค่ะ เอ่อ... งั้น... ไม่ทราบว่าน้องพอจะแนะนำรถรับจ้างสักคันให้ได้มั้ยคะ"
"บ้านย่าวลีเหรอคะ นี่พี่ไอใช่มั้ยคะ"
"ใช่ค่ะ พี่เป็นหลานสาวแก"
"หยาดจำพี่ได้ค่ะ" หญิงสาวหน้าสวยยิ้มกว้างออกมาจนเห็นเขี้ยวแหลมสองข้างที่ซ้อนกันอยู่นั้นโผล่ลอดให้หัวใจคนดูกระตุก ใครกันช่างปั้นแต่งได้เหมาะเจาะลงตัวถึงเพียงนี้ "หยาดเคยเห็นพี่ที่งานศพย่าวลี เดี๋ยวหยาดไปส่งก็ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา"
ไอลิษายิ้มรับในไมตรีนั้น และเธอก็ไม่ปฏิเสธเพราะเธอเองก็เหนื่อยจากการเดินทางมาเต็มแก่ ถ้าให้น้องคนนี้ไปส่งแล้วจ่ายค่าน้ำมันให้สักเล็กน้อยก็คงจะไม่น่าเกลียด
"งั้นหยาดบอกแม่ให้มาเฝ้าร้านแทนก่อนนะคะ" ว่าแล้วหยาดพิรุณก็โก่งคอไปทางหลังร้าน "แม่!... แม่!"
หญิงสาวตะโกนเสียงดังแต่รู้สึกว่ากลั้วไปด้วยความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เรียกขานมารดาออกไปครั้งหนึ่งแล้วแต่หลังร้านไม่มีเสียงตอบกลับ ได้ยินแต่เสียงกุกๆ กักๆ เหมือนจัดการกับอะไรบางอย่างในนั้น
"แม่!" ผู้เป็นลูกสาวจึงตะโกนไปอีกระลอก
"อะไร!"
คราวนี้เกิดเสียงตอบกลับดังลั่น แล้วสักพักก็มีหญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมอ้วนผมสั้นหยิกดัดก้าวเท้าพ้นผ่านประตูออกมา
"มีอะไร..." ป้านวลจ้องมองหน้าลูกสาวอยู่ครู่ก่อนไพล่ตาไปเห็นร่างเล็กบางซึ่งกำลังยืนยิ้มพริ้มพรายพร้อมกันยกมือไหว้ทักทาย
ป้านวลรีบพนมมือรับไหว้ จากนั้นก็ค่อยๆ คลายหน้าที่หงุดหงิดจากเมื่อครู่นั้นออกก่อนระบายยิ้มออกมาด้วยรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนมาเยือน
"แม่เฝ้าร้านก่อนแปบนึง หยาดจะไปส่งพี่ไอที่บ้านย่าวลี พี่เค้าเป็นหลานย่าวลี" ลูกสาวบอกกล่าวด้วยเสียงตื่นเต้น
"ออ... หนูนี่เอง" ป้านวลยิ้มกว้างพลางพยักหน้าสองสามที "จำป้าได้มั้ยลูก... ป้าเคยไปช่วยงานศพย่าวลีไง"
ไอลิษายิ้มรับด้วยความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในท่วงที นึกดีใจที่คนแถวนี้ยังจำเธอได้ เพราะเธอเองก็เคยแวะเวียนมาเยี่ยมเทศบาลเล็กๆ แห่งนี้แค่ช่วงปิดเทอมเมื่อตอนยังศึกษาเล่าเรียนอยู่ เธอจึงไม่ใคร่จะรู้จักมักจี่สนิทสนมกับคนแถวนี้เป็นพิเศษ
"จำได้ค่ะ"
"เพิ่งเดินทางมาถึงเหรอหนู"
"ค่ะ กว่าจะออกจากกรุงเทพฯ มาก็หลายชั่วโมง แล้วก็ต้องต่อรถมาที่นี่อีก หนูเองก็ลืมถามอาแพรสนิทเลยค่ะ ว่ารถรอบสุดท้ายถึงที่นี่หมดกี่โมง เลยเกือบตกรถ ดีที่เค้าเพิ่งออกจาก บขส. ไปไม่ไกล วิ่งตามแทบไม่ทัน"
"รอบสุดท้ายจากตัวจังหวัดน่าจะไม่เกินทุ่มนึงนะหนู แต่เป็นรถธรรมดา ถ้ารถปรับอากาศหมดไปตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วจ้ะ"
"ใช่ค่ะ หยาดก็เทียวไปเรียนในตัวจังหวัดอยู่บ่อยๆ มีอะไรถามหยาดได้นะคะ" หยาดพิรุณเสริม
"เอ้า! งั้นหยาดก็รีบไปส่งพี่เค้าเร็วๆ ลูก ค่ำมืดดึกดื่น นี่มันก็ทุ่มกว่าแล้ว"
"ค่ะ" สาวน้อยร่างสูงโปร่งรีบออกมาจากหลังโต๊ะสีไม้สักแล้วนำหน้าไอลิษาลิ่วๆ ไปยังศาลาไม้ซึ่งยังคงมีหนุ่มสาววัยรุ่นนั่งสรวลเสเฮฮากันอยู่
"เฮ้ย! สกี ยืมเวสป้าหน่อยสิ ไปส่งพี่เค้าแปบเดียว" หยาดพิรุณตะโกนขอเพื่อนซึ่งอยู่ในวงสนทนานั้น
วงสนทนาเงียบลงทันที หญิงสาวผมยาวซึ่งถูกเรียกขานชื่อก็ยื่นหน้าออกมาพร้อมกับโยนกุญแจรถให้เพื่อน หยาดพิรุณกุมรับไว้อย่างคล่องแคล่วโดยที่ไม่หลุดร่วงลงพื้น จากนั้นหยาดพิรุณก็เดินอ้อมไปเอาเจ้าเวสป้าสีครีมออกมาจากข้างศาลาแล้วสตาร์ทเครื่องเสียงดังซึ่งเป็นเสียงเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้ ไอลิษาค่อยๆ ก้าวข้ามนั่งลงบนเบาะหลัง ใช่ว่าจะไม่เคยนั่งรถจักรยานยนต์มาก่อน เธอออกจะโชกโชนจนคล่องแคล่วด้วยซ้ำเมื่อครั้งอยู่ในชุมชนเมืองหลวงที่ต้องรีบเร่งแข่งกับเวลา เธอจึงเคยใช้บริการวินมอ" ไซด์อยู่บ่อยๆ
สาวน้อยร่างบางพาขับเวสป้าอย่างคล่องแคล่วไปตามริมถนนใหญ่ ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน แต่เนื่องจากพระอาทิตย์ตกดินไปสักสองชั่วโมงเศษๆ เห็นจะได้ อีกทั้งต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่จึงทำให้อากาศบริสุทธิ์และลมพัดโกรกเย็นสบาย
"อากาศดีนะคะ" ไอลิษาชักชวนคนขับสนทนา
"ตอนเย็นอากาศดีค่ะ ยิ่งตอนดึกๆ นะพี่ไอต้องหาผ้าห่มหนาๆ มาห่มเลยเชียว" หยาดพิรุณพยายามพูดเสียงดังเพราะลมพัดปลิวไปที่อื่นเสียหมด แต่ถึงกระนั้นแล้วไอลิษาก็ยังพอจับใจความได้อยู่ "แล้วพี่มาเที่ยวเหรอคะ"
ไอลิษานิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนเอื้อนเอ่ยตอบออกมา "เปล่าจ้ะ... พี่จะย้ายมาอยู่ที่นี่"
"จริงเหรอคะ!" เสียงหยาดพิรุณกลั้วด้วยความตื่นเต้น "ดีเลยค่ะ หยาดจะได้มีเพื่อนบ้านใหม่อีกคน แถมยังน่ารักด้วย... เพื่อนเก่าหยาดเค้าก็เพิ่งย้ายมาเหมือนกันค่ะ ก็เพื่อนที่เป็นเจ้าของเวสป้าคันนี้ล่ะค่ะ มันย้ายไปเรียนที่อื่นตั้งแต่ประถม คิดยังไงไม่รู้ถึงกลับมาอีกครั้ง ครอบครัวเพื่อนหยาดเค้าย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมด ที่โน่นก็เจริญกว่าบ้านเรา หยาดก็งงอยู่เหมือนกันว่ามันจะกลับมาทำไม"
คำพูดของหยาดพิรุณเป็นเพียงคำพูดลอยลมเพราะคนข้างหลังเหม่อลอยไปแห่งหนไหนไม่รู้ เธอเอาแต่ครุ่นคิดกับเรื่องการตัดสินใจมาอยู่นอกเมืองทั้งๆ ที่เธอเป็นเด็กเมืองหลวงมาตั้งแต่กำเนิดแท้ๆ หากแต่เบื้องหลังชีวิตนั้นแสนจะวุ่นวายจนต้องหลบมาอยู่ในที่ที่เธอคิดว่าจะให้ความอบอุ่นแก่เธอได้บ้าง
แต่ไอลิษาก็ยังลังเลใจอยู่ดีว่าการตัดสินใจของตัวเองนั้นอาจจะเป็นแค่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ เธอหวั่นกลัวอยู่ลึกๆ ว่านอกเมืองที่พากันหลับใหลเสียตั้งแต่ยังไม่ทันตั้งหม้อข้าวจะทำให้เธอเหงาหงอยจนต้องโหยหาแสงสีในเมืองศิวิไลซ์อีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงจะได้กลับไปเริ่มต้นใหม่อีก เพราะเธอออกจากงานและก็ขายคอนโดฯ ทิ้งไปเสียแล้ว
ไอลิษาเรียกสติตัวเองกลับคืนมาได้ก็ต่อเมื่อหยาดพิรุณจอดรถกึกใกล้ริมรั้วไม้สีขาวที่ค่อนข้างซีดตามกาลเวลา ขาเรียวเล็กภายใต้กางเกงยีนส์หนาก้าวข้ามพ้นเบาะรถที่ยังแผดเสียงอยู่
หยาดพิรุณกวาดตามองรอบๆ บริเวณบ้านซึ่งยังสะอาดสะอ้านดีอยู่ ต้นไม้ใบหญ้าไม่ได้ขึ้นรกหูรกตา ไฟในตัวบ้านเปิดสว่างจ้าทุกดวงราวกับรู้ว่าจะมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มวันนี้
"ในบ้านยังมีคนอยู่เหรอคะ" หยาดพิรุณถามอย่างงุนงง
ไอลิษาเงยหน้าขึ้นจากที่ก้มงุดๆ ที่กระเป๋าสะพาย "อาแพรกับน้องวิวจ้ะ"
"อ้อ... หยาดลืมสนิทเลยว่าน้าแพรยังไม่กลับเหนือ น้องวิวก็ปิดเทอม คงยังไม่กลับหอพัก"
"หอพักเหรอคะ" ไอลิษามุ่นคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย "น้องวิวเค้าไม่ได้พักที่บ้านหรอกเหรอ"
"ไม่ค่อยเห็นกลับมาบ้านนะคะ หยาดเคยถามเค้า เค้าก็บอกว่าพักที่หอพักในตัวอำเภอ"
ไอลิษายิ้มบางๆ ก่อนยื่นธนบัตรให้ตามที่เห็นว่าสมควร "พี่ช่วยค่าน้ำมันค่ะ"
"อุ๊ย! ไม่เอาค่ะ ไม่เอา... ใกล้แค่นี้เอง" สาวน้อยโบกมือปฏิเสธพัลวัน "ที่หยาดหยุดรอเพราะแค่อยากรู้ว่าทำไมในบ้านเปิดไฟสว่างจัง หยาดไม่ได้ต้องการค่าว่าจ้างนะคะ"
"รับไว้เถอะค่ะ ถึงจะใกล้นิดเดียว แต่พี่ก็อยากแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ถึงหยาดจะไม่อยากได้แต่เจ้าของรถเค้าอาจจะอยากได้นะคะ"
"เพื่อนหยาดมันไม่เรื่องมากหรอกค่ะ และหยาดเองก็อยากจะแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกัน" หยาดพิรุณยืนกรานเสียงแข็ง "แล้วถ้าวันไหนพี่ไออยากจะไปที่ไหนล่ะก็ ใช้บริการหยาดได้ทุกเมื่อนะคะ ถ้าไม่ไกลมากเรียกใช้หยาดได้เลย ฟรีด้วย... หยาดไม่คิดตังค์ค่ะ หยาดจะเอามอ" ไซด์หยาดมาเอง วันนี้ไอ้ตั้มมันเอาไปซิ่งไหนก็ไม่รู้... น้องชายหยาดน่ะค่ะ"
ไอลิษาชักธนบัตรคืนเมื่อคำรบเร้านั้นไม่เป็นผล ในใจก็อดชื่นชมน้ำใจของหยาดพิรุณไม่ได้ ถ้าหากทุกคนมีน้ำใจงามเหมือนสาวน้อยคนนี้คงจะดีไม่น้อย
"ขอบคุณมากนะคะที่มาส่งพี่"
"ยินดีค่ะ" หยาดพิรุณยิ้มแป้นด้วยรอยยิ้มใสๆ "งั้นหยาดกลับก่อนนะคะ ว่างๆ หยาดจะแวะมาทักทาย"
"ยินดีต้อนรับทุกเมื่อค่ะ"
แล้วเวสป้าสีครีมก็แผดเสียงจากไป ชั่วครู่เท่านั้นไอลิษาก็ผลักประตูรั้วไม้เข้าไปข้างใน แถวนี้คงจะปลอดภัยกว่าเมืองหลวงมากโข แพรพรรณผู้เป็นอาสาวถึงไม่ได้ลงกลอนล็อคประตูรั้วเอาไว้
แพรพรรณวัยย่างเข้าสามสิบแปดรวบผมยาวเพียงบ่าไว้ที่ท้ายทอย เธอเอี้ยวตัวอันสูงผอมหันมายิ้มเปื้อนเต็มใบหน้าเมื่อเห็นหลานสาวเดินเข้ามาหา แพรพรรณโอบกอดร่างเล็กบางของไอลิษาไว้แน่นด้วยความเต็มตื้นเพราะหลานสาวไม่ได้บอกกล่าวแม้แต่คำเดียวว่าจะมาถึงวันนี้
แพรพรรณเคยเอ่ยปากชวนไอลิษาเพราะไอลิษาเองก็อยู่ตัวคนเดียวหลังจากสิ้นบุญบิดาเมื่อปีก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนมารดาของไอลิษาก็เสียชีวิตไปตั้งแต่ไอลิษายังอยู่มัธยมปลายด้วยโรคมะเร็ง เธอเคยลองตะล่อมถามชวนหลานสาวอยู่หลายหนว่าให้ย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน ทั้งๆ ที่ค่อนข้างจะแน่ใจทีเดียวว่าคนในเมืองตั้งแต่ลืมตาดูโลกอย่างไอลิษาคงจะไม่เลือกนอกเมืองอันเงียบเชียบเป็นแน่แท้
"อาดีใจจริงๆ หนูไอ ที่หนูไอตัดสินใจมาอยู่ที่นี่"
ไอลิษามองอาสาวด้วยน้ำตาที่รื้นออกมาเล็กน้อย "ไอก็เหลือญาติแค่อาแพรกับน้องวิวสองคน ขอไอมาอาศัยอยู่ด้วยคนนะคะ"
"พูดอะไรอย่างนั้นล่ะหนูไอ อาศัยอะไรกัน บ้านนี้เป็นบ้านของเราสามคน เป็นของหนูไอด้วย เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะจ๊ะ"
"ขอบคุณนะคะอาแพร ไอดีใจที่ยังมีครอบครัวอยู่" ใจที่เหน็บหนาวของไอลิษารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
"ไอมาก็ดีแล้ว อาจะได้หายห่วง อาน่ะห่วงทั้งหนูทั้งน้องวิว" แพรพรรณเอื้อมมือไปกุมเอวบางของลูกสาววัยมัธยมปลายซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กัน วิลาวรรณเพียงแต่เผยยิ้มบางๆ ให้ไอลิษาก่อนผลุบตาลงต่ำ
"หนูไออยู่ที่นี่อาฝากดูแลน้องด้วยนะ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วง อาจะส่งมาให้ทุกเดือน"
ไอลิษาชักสีหน้า "ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ไอไม่อยากเป็นภาระนะคะ" หน้าไอลิษาเศร้าลงถนัดตา พูดไปแบบนั้นแต่ก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่จะสามารถทำอะไรได้บ้าง
"เป็นภาระที่ไหนกัน มีหนูไอมาอยู่ดูแลน้องดูแลบ้านก็พอแล้ว"
"ยังไงไอก็ต้องหางานทำให้ได้ค่ะอาแพร"
"ที่นี่ไม่เหมือนในเมืองนะหนูไอ เป็นเมืองเล็กๆ งานไม่เยอะขนาดนั้น" แพรพรรณกล่าวเสียงอ่อนโยน แต่เมื่อสังเกตเห็นหลานสาวทำหน้าม่อยก็รีบให้กำลังใจทันควัน "แต่ก็เอาเถอะจ้ะ... ในตัวอำเภอน่าจะมีงานอะไรให้หนูไอทำได้บ้าง แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องงานตอนนี้เลยนะ เหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน หนูไอไปอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวก่อนเถอะจ้ะ เรื่องอื่นแล้วค่อยคิดกันทีหลัง เสร็จแล้วลงมาทานข้าวพร้อมกัน อาจะเตรียมไว้ให้หลายอย่างเลยเชียว"
"ค่ะ" ไอลิษายิ้มรับพลางพยักหน้าเนือยๆ รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่อาสาวว่า
"วิวลูก... วิวช่วยขึ้นไปจัดห้องนอนให้พี่ไอหน่อยสิจ๊ะ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาแพร" ไอลิษารีบโบกมือปฏิเสธ "เดี๋ยวไอจัดการเอง ห้องไหนคะ"
"ห้องฝั่งหน้าบ้านจ้ะ แน่ใจนะว่าจัดการเองได้ เมื่อยล้ามาทั้งวันแล้วนะ ให้น้องช่วยไม่ดีกว่าเหรอ"
"ไอไม่เหนื่อยขนาดนั้นหรอกค่ะอาแพร ยังมีแรงเยอะอยู่ นอนบนรถมาก็ทั้งวัน งั้นไอขึ้นไปข้างบนก่อนนะคะ"
ไอลิษายึดราวบันไดด้วยมืออันอ่อนแรง ปากก็แข็งไปอย่างนั้นเอง เธอพาร่างบางเล็กไปจนถึงชั้นบนแล้วเข้าไปจัดแจงเก็บข้าวของปัดปูที่นอนและพื้นห้องพอลวกๆ เพื่อให้นอนได้ในค่ำคืนนี้เสียก่อน แต่ห้องนอนก็ไม่ได้สกปรกรุงรังอะไรมากมาย เพราะแพรพรรณทำความสะอาดเสมอเมื่อกลับมาบ้าน
ไอลิษากวาดตามองรอบๆ ห้องเห็นเฟอนิเจอร์ค่อนข้างจะครบครันยกเว้นตู้เย็น ที่เห็นก็มีโทรทัศน์จอแบนประมาณสามสิบกว่านิ้ว เตียงนอนไซส์ใหญ่นอนได้สามคนก็ยังเหลือที่ว่างอีก ตู้เสื้อผ้าอยู่ติดฝาผนัง โต๊ะเครื่องแป้งอยู่มุมห้องฝั่งปลายเตียง ชิดกันนั้นเป็นตู้เก็บผ้าห่มผ้านวมและหมอนหลายใบ ถัดไปอีกไม่ไกลมีราวเหล็กขนาดค่อนข้างเล็กวางไว้อยู่
บ้านหลังนี้เป็นปูนสองชั้น ชั้นบนมีห้องนอนสามห้อง ห้องน้ำรวมหนึ่งห้อง มีเพียงห้องนอนใหญ่ของย่าวลีที่มีห้องน้ำในตัว และตอนนี้วิลาวรรณก็ใช้ห้องนี้อยู่จึงไม่ได้ออกมาใช้ห้องน้ำด้านนอก ส่วนชั้นล่างของบ้านนั้นโล่งโถง มีเพียงห้องส้วมเล็กๆ ห้องเดียวอยู่ใต้บันได และด้านหลังก็เป็นห้องครัวซึ่งปิดกั้นมิดชิด
หลังจากร่วมมื้อดึกที่ครัวชั้นล่างแล้วไอลิษาก็หอบสังขารอันเหนื่อยล้าขึ้นไปพักผ่อน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ไม่มีเรี่ยวแรงจะชื่นชมห้องนอนใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยเลยสักนิด

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น