web stats

ข่าว

 


Desperate KNIGHT - Chapter 24

โพสต์โดย: nuffy วันที่: 29 มิถุนายน 2015 เวลา 10:02:46 อ่าน: 336

ณ ดินแดนสุดขอบโลก

เซ็ทโธเรียกลับมายังที่พักของตนเองอีกครั้ง เธอนั่งชันเข่าลงต่อหน้าหลุมศพของมีนา มนุษย์อันเป็นที่รักของเธอ ด้านข้างนั้นคืออิดิธ่าที่ยืนมองเจ้านายของตนเองอยู่ เทพียกมือลูบผมของตุ๊กตากลเบาๆ

"ดูแลให้ดี หากมีผู้บุกรุก... เจ้าคงรู้นะว่าต้องทำอย่างไร" เธอบอกกับอิดิธ่า

เทพีผู้ส้รางปิศาจเดินเข้าไปจุมพิตที่หมวกเหล็กของแม่ทัพสาวแล้วกลับไปที่ประตูหน้าบ้าน ดวงตาสีนิลจ้องมองไปยังป่าปิศาจที่เธอสร้างขึ้นมา ปิศาจน้อยใหญ่นานาชนิดรวมตัวกันที่หน้าบ้าน เธอส่งยิ้มเศร้าๆ ให้กับพวกมัน

"อภัยให้ข้าด้วย" เธอกล่าวออกมาเบาๆ

เทพีตาสีนิลหลบตาลงแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเหนือหัว เธอสูดหายใจลึกๆ สองถึงสามครั้งก่อนที่จะกำมือแล้วดึงมือทั้งสองลงข้างลำตัว เธอหายใจเข้าอีกครั้งแล้วยกแขนสองข้างไขว้กันเหนือศีรษะ พร้อมย่อตัวลงหายใจออก แขนสองข้างหมุนเป็นวงกลมจนโค้งเข้าหากันเป็นรูปกากบาท

สายลมแรงกระพือโหมอยู่บนยอดไม้ เหล่าปิศาจกรีดร้องและตกใจ อากาศทั่วบริเวณทะเลทรายและภายในป่าเบาบางลงราวกับถูกดูดกลืนด้วยอะไรบางอย่าง เสียงร้องของปิศาจขนาดยักษ์ที่อยู่ในทะเลทรายและบึงใหญ่ดังขึ้นและรับต่อกันเป็นทอดๆ ลมโหมกระหน่ำพัดแรงขึ้นและแรงขึ้นเรื่อยๆ และก่อตัวขึ้นเป็นพายุหมุน มันพุ่งตรงเข้ามาหาเทพีที่ยังคงยืนอยู่ ณ ตรงจุดเดิม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและกินเวลานานเกือบชั่วโมงจนกระทั่งสงบลง

เซ็ทโธเรียหอบหายใจ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ร่างกายเซเล็กน้อยขณะที่ยืดตัวขึ้นมา เธอทรุดตัวลงนั่งที่ขอนไม้หน้าบ้านแล้วมองไปรอบๆ ตัวที่ทัศนียภาพยังคงเดิมมีเพียงแต่บรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เธอก้มมองดูที่มือทั้งสองข้าง มันรู้สึกหนักอึ้งขณะที่ลำตัวชาดิก เธอนั่งนิ่งๆ อยู่พักใหญ่แล้วลุกขึ้นยืน แต่งตัว แล้วดูความเรียบร้อยของบ้าน ป่า และทะเลทราย

"ดูแลตัวเองด้วย... ข้ารักพวกเจ้า" เธอกล่าวออกมาก่อนที่จะหายตัวไป

...

ครีกก้าวเท้าเข้ามาในเทวสถานด้วยท่าทางที่หยิ่งและทรนง หน้าประตูโค้งของสถานที่แห่งนี้พบร่างของทูตสวรรค์ที่บาดเจ็บหลายต่อหลายคนนอนกองรวมกันอยู่ เสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์รีบวิ่งเข้ามา ณ สถานที่แห่งนั้นทันทีเมื่อทราบว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา

เสียงอึกทึกของฝีเท้าจากเหล่าทูตสวรรค์ และเทพแห่งปัญญาต่างกรูเข้ามาในบริเวณลานกว้างของเทวสถาน ทูตสวรรค์ที่มีอาวุธครบมือวิ่งเข้ามาล้อมเทพแห่งสงคราม ด้านหลังของพวกเขาคือเทพเจ้าที่อยู่ในฝั่งของมหาเทพ

"เจ้ามาที่นี่ทำไม?" วิลีซัสตะโกนถาม "ที่นี่ไม่ต้อนรับคนทรยศอย่างเจ้า"

ครีกมองผู้ที่พูดแล้วตอบกลับว่า "ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า... ไว้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง"

"หึ ข้าไปทำอะไรให้เจ้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าถ้าเป็นเรื่องของอัศวินมนุษย์นั่น... ข้าคิดว่าเจ้าควรจะขอบคุณข้ามากกว่า เพราะข้าช่วยเจ้าไม่ให้ถูกนางสังหาร"

ดวงตาของเทพแห่งสงครามเต็มไปด้วยเปลวไฟของความโกรธ เขาพุ่งตรงไปที่เทพแห่งปัญญาที่ยืนอยู่ด้านหลังของทูตสววรค์ทันที ด้วยแรงปะทะและพละกำลังที่ดูเหมือนจะมีมากกว่าองค์รักษ์แห่งสวรรค์ พวกเขาต่างก็ล้มลงจากน้ำมือของครีก และเทพหนุ่มร่างสีทองก็จับตัววิลีซัสกระแทกเข้ากับเสาหิน สองมือบีบคอของอีกฝ่ายแน่น

"เจ้าทำร้ายมีนา! เจ้าฆ่านาง!" ครีกตะคอกใส่เทพผู้น้อง "ข้าจะแก้แค้นให้นาง!" เขาบีบคอให้อีกฝ่ายด้วยแรงที่มากขึ้น

"จงไปอยู่กับโคสเสีย!" เขาคำรามในลำคอ

วิลีซัสดิ้นไปมา ขาทั้งสองพยายามจะเตะและถีบเทพแห่งสงครามให้ออกห่างจากตัวพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์และเทพเจ้าองค์อื่นๆ เขาสงสัยว่าเพราะเหตุใดครีกถึงมีพละกำลังมากกว่าเขาที่มีพลังอำนาจกลับคืนมาหลังจากเปลี่ยนกฎ เหล่าทูตสวรรค์กรูเข้ามาแต่ก็ถูกแรงกระแทกที่มองไม่เห็นจากตัวของเทพแห่งสงครามจนกระเด็นออกมา

"ช... ช่วยด้วย!" เทพแห่งปัญญาส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง

ไฮเลน เทพีแห่งการรักษาวิ่งเข้ามาพร้อมกับเทพหนุ่มอีก 2 องค์คือ ไลแซนเดอร์ เทพแห่งรุ่งอรุณ และเมลเฮม เทพแห่งการช่าง พวกเขาตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น เทพหนุ่มทั้งสองรีบเข้าไปช่วยผู้ที่ถูกทำร้ายทันที พวกเขาร่วมกันดึงตัวของครีกให้ออกห่างจากวิลีซัส

เทพแห่งรุ่งอรุณและเทพแห่งการช่างช่วยกันโยนตัวผู้บุกรุกลงไปที่ลานกว้างและการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของทั้งสามก็เริ่มขึ้น พวกเขาทั้งแลกหมัด เตะ ถีบ ฉุดกระชากลากถูกันอย่างชุลมุน เมลเฮมแบกครีกไว้บนไหล่แล้วทิ้งเขาลงมาโดยยกเข่าดักไว้ให้หน้าของอีกฝ่ายเข้ากับหัวเข่าอย่างแรง เทพหนุ่มร่างสีทองร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด และเขาก็ส่งเสียงร้องออกมามากขึ้นเพราะโดนไลแซนเดอร์ขัดขาของเขาให้บิดไปในทิศทางที่ผิดธรรมชาติ

อัลฟอนด์เดินออกมาจากอาคารของเทวสถานหลังจากที่ทูตสวรรค์เข้าไปตามว่ามีผู้บุกรุก เขามองไปที่ไฮเลนที่กำลังดูแลเทพแห่งปัญญานิดหนึ่งแล้วมองตรงไปยังลานกว้างบริเวณที่มีการต่อสู้ระหว่างเทพหนุ่มทั้งสามองค์ เขาหรี่ตามองเทพหนุ่มร่างสีทองที่โดนกดอยู่บนพื้น

"พระบิดา" วิลีซัสกล่าวออกมาเบาๆ เมื่อเห็นมหาเทพเดินผ่านเขาและเทพีไป

"ปล่อยเขา" อัลฟอนด์ออกคำสั่ง

เทพหนุ่มทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่งแล้วปล่อยมือออกจากผู้บุกรุก ครีกสะบัดตัวด้วยความหงุดหงิดแล้วลุกขึ้นยืน เขามองเทพอีกสององค์ด้วยสายตาที่ไม่พอใจนักแล้วเงยหน้าจ้องตามหาเทพ

"เจ้ามาที่นี่ทำไม?" ผู้เป็นใหญ่บนสววรค์ถาม

"ข้ามีเรื่องที่จะถามท่าน"

"เจ้าคิดหรือว่าข้าจะตอบคำถามของคนทรยศอย่างเจ้า" อัลฟอนด์ก้าวเท้าลงบันได สองมือไพล่หลังพลางมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีเข้มอย่างไม่ค่อยพอใจนัก "ข้าลงโทษเจ้าตอนนี้ก็ยังได้นะครีก"

"คำตอบของท่าน... แลกกับข้อมูลของฝั่งพระมารดา" เทพแห่งสงครามพูด

"เจ้าน่ะหรือจะขายข่าวของไอติให้กับข้า..." มหาเทพกล่าวแล้วเดินวนไปรอบๆ อีกฝ่าย "เจ้าเป็นเทพแห่งสงครามนะ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ใช่ไส้ศึกที่จะมาสืบข่าวของข้า"

"ท่านมั่นใจได้ เพราะข้าจะไม่กลับไปหาพระมารดาอีกแล้ว" ครีกพูดเสียงเข้ม "ที่ใดมีเทพีผู้สร้างปิศาจ ที่แห่งนั้นจะไม่มีข้า"

"หึ พูดได้ดีนี่... ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีใจให้อัศวินมนุษย์ผู้นั้นมากสินะจนถึงกับประกาศตัวเป็นศัตรูกับมันผู้ นั้น" อัลฟอนด์หยุดยืนตรงหน้าเทพหนุ่ม "เจ้าอยากรู้เรื่องอันใด?"

"พระบิดา เราไม่ควรตอบคำถามของเขา!" เสียงคัดค้านของเทพแห่งปัญญาดังขึ้นมาจากด้านหลัง "เราไม่ควรไว้ใจคนทรยศ!"

มหาเทพยกมือขึ้นเพื่อให้วิลีซัสหยุดพูดแล้วมองหน้าเทพแห่งสงคราม "ได้! คำถามของเจ้า... แลกกับข่าวจากฝั่งไอติ"

"ข้าได้ยินไคล์กับเจฟเฟอร์สันพูดว่าท่านเขียนกฎใหม่และพลังของพวกเจ้ากลับคืนเกือบเท่าเดิมนั้นหมายความว่าอย่างไร?" เขาถามคำถามเดียวกับที่เคยถามเทพแห่งความฝัน

อัลฟอนด์ยกมือขึ้นกอดอกแล้วถามกลับว่า "แล้วเจ้ามีข่าวอันใดมาแจ้งข้า?"

"ท่านตอบคำถามข้าก่อนสิ"

มหาเทพยิ้มมุมปาก "ข้าให้เจ้าถามคำถามข้า แต่ข้าไม่ได้บอกนี่ว่าข้าจะตอบคำถามเจ้า..." เขามองเทพหนุ่มอีกสององค์ที่ยืนขนาบข้างผู้บุกรุก "พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าจะตอบคำถามของเขา?"

"ไม่เลยพระบิดา" เทพหนุ่มทั้งสองประสานเสียงตอบ

เทพแห่งสงครามกัดฟันด้วยความโกรธ เขาพุ่งตัวเข้าใส่อีกฝ่ายทันทีแต่แล้วเขาก็โดนไลแซนเดอร์และเมลเฮมที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ จับตัวเองไว้แล้วกดให้เขานั่งคุกเข่าลงบนพื้น อัลฟอนด์เดินเข้ามาหา กระชากผมครีกขึ้นมาเงยหน้าประชันกับเขา

"เจ้ามีข่าวอันใดมาแจ้งแก่ข้า? ตอบมา!"

"ตอบคำถามข้าก่อนสิ"

มหาเทพชกหน้าอีกฝ่ายจนเลือดกบปากแล้วกระชากผมขึ้นมาอีกครั้ง "เซ็ทโธเรียกับเดสโพซีสอยู่ฝ่ายเดียวกับไอติใช่หรือไม่? แล้วไคล์กับเจฟเฟอร์สันเป็นอย่างไร? ตอบข้ามา!"

ครีกเม้มริมฝีปากไม่ยอมตอบ เขาจึงถูกชกอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาจึงตอบว่า "ใช่... สองคนนั้นอยู่ฝ่ายพระมารดา ส่วนเจฟเฟอร์สันกับไคล์ตายแล้ว"

อัลฟอนด์ขมวดคิ้ว ริมฝีปากของเขาเผยให้เห็นยิ้มอันแสนเยือกเย็น "ศักดิ์ศรีเจ้าหายไปไหนหมด... ตอบคำถามข้ามาอย่างง่ายดายขนาดนี้เชียว"

"นี่เป็นเพียงเสี้ยวเดียวที่ท่านจะได้รู้ เพราะข้าจะไม่พูดอะไรมากกว่านี้จนกว่าท่านจะตอบคำถามข้า!"

"โอหังนักนะ" ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์กล่าวพลางหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา "ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะปากแข็งได้สักเท่าไหร่กันเชียว"

มหาเทพสั่งให้ลากตัวเทพแห่งสงครามเข้าไปขังหลังจากนั้นก็เดินตามไปทันที เขายืนอยู่ด้านหน้าห้องคุมขังที่เทพหนุ่มร่างสีทองอยู่ด้านใน อัลฟอนด์จ้องมองลูกชายตนเองและสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีท่าทางหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

"ข้ารู้ว่าในตัวของเจ้ามีอะไร และเจ้าก็รู้ตัวดีว่าในตัวของเจ้ามีอะไร ถึงเจ้าจะปิดบังคนอื่นๆ ได้ แต่ปิดบังข้าไม่ได้หรอกครีก"

เทพแห่งสงครามกระโจนเข้ามาเกาะลูกกรงเหล็กกล้า ดวงตาจ้องไปที่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าด้วยความอาฆาตแค้น

"แล้วท่านจะทำอะไรกับข้า!?"

"ข้าควรจะถามเจ้ากลับมากกว่าว่าเจ้าจะเป็นประโยชน์อะไรให้กับข้า?"

"แผนของพระมารดาและมนุษย์" ครีกตอบออกมาเบาๆ "และจุดอ่อนของเทพีผู้สร้างปิศาจ"

"เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่านางไม่มีจุดอ่อน" มหาเทพตอบ

"ขออภัย... สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกก็คือ สิ่งที่นางมีอาจจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นจุดอ่อนแต่ข้าเชื่อว่าสิ่งนั้นจะทำให้นางอ่อนแอลงและกำจัดนางได้"

อัลฟอนด์ยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น เขาเดินเข้าไปใกล้กรงขังแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มอันราบเรียบแต่ทว่าเย็นชา "แล้วเจ้าต้องการอะไร?"

"ในเมื่อท่านเห็นว่าข้าเป็นประโยชน์ให้กับท่านได้ ข้าก็ต้องการพลังอำนาจของข้าคืนมา อย่างที่ท่านมอบให้กับพี่น้องของข้าที่อยู่ที่นี่" เทพแห่งสงครามตอบ "หลังจากนั้นข้าจักเป็นผู้นำหัวของเทพีผู้สร้างปิศาจมาให้กับท่านเอง"

"เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะทำสิ่งที่เจ้าลั่นวาจาเมื่อครู่นี้ได้ ในเมื่อการต่อสู้ครั้งที่แล้วเจ้ายังจวนเจียนจะแพ้อัศวินมนุษย์อยู่เลยมิใช่หรือ?"

"ในตอนนั้นข้าประมาท และอ่อนแรง แต่โปรดจงเชื่อใจข้าเถิดพระบิดา ข้ามีแผนการที่จะทำให้เทพีผู้สร้างปิศาจสยบแทบเท้าท่าน"

มหาเทพครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบกลับว่า "ได้... แต่คนที่กำจัดเซ็ทโธเรียต้องเป็นข้าผู้เดียวเท่านั้น"

"น้อมรับบัญชาพระบิดา"

อัลฟอนด์สั่งการให้ปล่อยตัวครีกและพาอีกฝ่ายไปที่ห้องของเขาเพื่อพูดคุยถึงแผนการ รวมทั้งคืนอำนาจให้กับเทพแห่งสงคราม

...

"ท่านคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือ?" ไอติเอ่ยปากถามบุคคลที่อยู่ตรงหน้า

"มันจำเป็น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ผลเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยๆ วิธีนี้ก็น่าจะช่วยเหลือลูกๆ ของเจ้าได้ส่วนหนึ่ง" เซ็ทโธเรียตอบ ในมือของเธอมีกริชและจอกเล็กใบหนึ่ง

เทพีแห่งธรณีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยื่นมือให้กับอีกฝ่าย เธอเบือนหน้าหนีเมื่อเทพีผู้สร้างปิศาจลงใบมีดบนฝ่ามือหลังจากนั้นก็เทโลหิตไหลลงจอก

หลังจากทำแผลให้กับไอติแล้วเทพีตาสีนิลก็ยกจอกที่บรรจุเลือดของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วดื่มลงคอ เธอมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของอีกฝ่าย

"จงเตรียมรับมือ... ข้ารู้สึกได้ว่าเหตุการณ์สามารถพลิกผันได้อยู่เสมอ"

"ท่านหมายความว่าอย่างไร?"

"ความคลั่งไคล้ ความโกรธ ความรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจ ทำให้คนดีแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมได้" เซ็ทโธเรียพูดออกมาเบาๆ

"ท่านหมายความว่า... จะมีคนแปรพักตร์เช่นนั้นหรือ?"

เทพีผู้สร้างปิศาจพยักหน้าเล็กน้อย "ข้ารู้สึกได้ แต่ข้ายังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นผู้ใด... ไอติ... เจ้าจะอนุญาตข้าได้หรือไม่?"

"อนุญาตเรื่องอันใด?"

"อนุญาตให้ข้าสังหารลูกๆ ของเจ้าเมื่อจำเป็น"

เทพีแห่งธรณีเม้มริมฝีปาก น้ำตาเอ่อท้นเต็มดวงตา "ข้าอนุญาต หากเป็นสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องทำ"

"ขอบใจเจ้ามาก"

ไอติกอดอีกฝ่ายแน่นหลังจากจากนั้นก็จุมพิตลงบนแก้มซีด "ข้าขออวยพรท่าน"

...

เทพแห่งสงครามยืนอยู่ตรงหน้าทะเลสาปที่กว้างใหญ่ใจริมทิศตะวันตกของทวีปในแดนมนุษย์ ร่างสีทองของเขากระทบกับแสงแดดอ่อนล้าที่ตัดกับท้องฟ้าสีม่วงคล้ำในยามใกล้ค่ำ เขามองดูท้องน้ำที่เรียบไร้แรงกระเพื่อม สีน้ำเงินเข้มของน้ำในทะเลสาปสงบนิ่งจนน่ากลัว เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วเดินลงไปในทะเลสาป

ด้วยพลังอำนาจที่กลับคืนมาทำให้ครีกใช้เวลาไม่นานนักในการว่ายน้ำลงไปยังจุดหมายของเขา นั่นคือก้นทะเลสาปที่ลึกเกินจะหยั่งถึง และแล้วเขาก็มาถึงทางเข้าของยมโลก ดินแดนเร้นลับ อาณาจักรที่มืดมิดที่แม้แต่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องไม่ถึง เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปยังซุ้มประตูโค้งที่สูงใหญ่ทันที แต่แล้วก็ถูกขัดขวางด้วยยมทูตที่อยู่เฝ้าประตู

เทพแห่งสงครามใช้เวลาเพียงครู่เดียวจัดการสังหารยมทูตที่ขวางทางเขาแล้วขึ้นรถม้าที่ใช้เป็นพาหนะของที่แห่งนี้ เขาควบรถม้าด้วยความรวดเร็วเท่าที่จะทำได้และเมื่อรถม้าวิ่งมาถึงแม่น้ำวิปโยค พายุหมุนก็พุ่งขึ้นมาจากทุกสารทิศ แม่น้ำเกิดความปั่นป่วนและเข้าเอ่อท่วมรถม้า ราวกับจะพยายามคัดค้านไม่ให้เขาเข้าไปยังยมโลก ครีกมองภาพนั้นด้วยความไม่พอใจแล้วชักดาบยาวประจำกายออกมา เขาฟาดดาบลงบนแม่น้ำ กระแสน้ำที่อยู่ในทิศทางของดาบถูกตัดขาดออกจากกัน แล้วเขาก็ควบรถม้าไปยังทางนั้นอย่างรวดเร็ว

รถม้าวิ่งตรงประตูของกำแพงที่กว้างและยาวสุดลูกหูลูกตาตรงไปยังปราสาทที่ตั้งตระหง่านและโดดเด่น แต่แล้วถนนใต้พื้นก็เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงทำให้รถม้าพลิกคว่ำลง

"ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาเยี่ยมข้าถึงที่นี่ ครีก" เสียงทุ้มนุ่มของผู้ที่เป็นเจ้าแห่งความตายดังขึ้นมาจากหลังกำแพง

"ข้าต้องการของๆ ข้าคืน"

"ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเจ้า" เทพแห่งความตายกล่าว "ที่แห่งนี้มีแต่เพียงดวงวิญญาณที่เจ้าได้ส่งพวกเขามาให้ข้า"

ครีกเม้มปาก "ข้าต้องการดวงวิญญาณคืน ดวงวิญญาณแค่ดวงเดียวเท่านั้น"

เดสโพซีสปรากฎกายขึ้นมาต่อหน้าเทพหนุ่มร่างสีทอง "ดวงวิญญาณของผู้ที่วายชนม์ต่างก็มีที่อยู่ และพวกเขาอยู่ที่นี่ เจ้าไม่สามารถนำพวกเขาไปไหนได้ เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้ดี"

"ข้ารู้... แต่ข้าก็คิดว่าทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น"

"ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับความตาย สรรพสิ่งทุกอย่างต้องมีเวลาที่จบสิ้น ดับสูญ และอยู่ในที่ของมัน"

"ข้าต้องการวิญญาณของข้าคืน"

"วิญญาณทุกดวงที่นี่เป็นของข้า" เทพแห่งความตายเอ่ย "ไม่มีดวงวิญญาณผู้ใดที่เป็นของเจ้า"

"ข้าต้องการดวงวิญญาณของมีนา!" เทพแห่งสงครามโพล่งขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด "นางเป็นของข้า!"

"อัศวินมนุษย์ผู้นั้นพบกับความสงบแล้วในดินแดนสุขวดี นางไม่จำเป็นต้องกลับไปใช้ชีวิตที่เจ็บปวดบนโลกมนุษย์อีกต่อไป และเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะนำตัวนางไป"

เทพแห่งสงครามส่งเสียงไม่พอใจ เขามองลงไปที่หุบเหวด้านข้างอันเป็นเส้นทางเริ่มต้นของแม่น้ำวิปโยค กระแสน้ำที่ลึกเกินหยั่งและมีสีดำเมื่อมตลอดทั้งสาย มันเป็นแม่น้ำนี้เกิดจากน้ำตาของคนที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเมื่อโดนลงทัณฑ์อยู่ในนรก เสียงของความโศกเศร้า ความคร่ำครวญลอยเข้ามากระทบโสตประสาท ส่วนอีกด้านหนึ่งคือแม่น้ำไฟที่ล้อมรอบดินแดนยมโลก

"โปรดมอบดวงวิญญาณของมีนาให้กับข้า" ครีกกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง "นี่คือคำขอครั้งสุดท้าย"

เทพแห่งความตายขมวดคิ้ว เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักหลังจากนั้นก็ตอบเสียงเรียบว่า

"ไม่ได้ นางได้ในสิ่งที่นางปรารถนาแล้ว และสิ่งที่นางปรารถนาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า"

เมื่อสิ้งเสียงของเดสโพซีส เทพแห่งสงครามก็กระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมดาบยาวประจำตัวทันที เทพแห่งความตายตั้งรับด้วยตรีศูล อาวุธประจำกายของเขาทันที

"เจ้า...!" เดสโพซีสำคำรามออกมา

"ไม่คิดว่าขนาดขาดความศรัทธาจากมนุษย์เจ้ายังมีแรงได้ถึงขนาดนี้" ครีกพูด "แต่เจ้าสู้ข้าไม่ได้แน่"

"อย่าทำเป็นเก่งแต่ปากเหมือนกับพ่อของเจ้าก็แล้วกัน"

เทพแห่งสงครามผละตัวออกแล้วพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง เขาวาดดาบสลับไปมาในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ตั้งรับ ทั้งสองปะทะกันด้วยชั้นเชิงที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าหากเพลี่ยงพล้ำไปเพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถเปลี่ยนเป็นผู้แพ้ได้ทันที เดสโพซีสโขกศรีษะกระแทกเข้าที่ใบหน้าของผู้บุกรุกแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายเข้าโจมตีบ้าง ถึงแม้กำลังของเขาในตอนนี้จะอ่อนแรงและไม่อาจสู้พละกำลังของอีกฝ่ายได้ก็ตาม แต่ในฐานะหนึ่งในสี่ของเทพเจ้าที่กำเนิดก่อนผู้ใด เขาไม่อาจยอมแพ้ให้กับเทพรุ่นเด็กกว่าได้

ครีกหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เขาคาดไม่ถึงว่าการต่อสู้กับเทพแห่งความตายจะตึงมือถึงขนาดนี้ เทพแห่งสงครามเสกโล่ห์ขึ้นมาบนมือซ้ายแล้วพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้อีกครั้ง ระหว่างที่กำลังวิ่งตรงไปหาอีกฝ่ายเขาร่ายมนต์เพื่อให้เกิดฝุ่นควันมาปกคลุมทั่วบริเวณ

"อุบายเช่นนี้... หรือว่า..." เดสโพซีสพึมพำออกมา

เทพแห่งสงครามโผล่มาจากทางซ้ายของเทพแห่งความตาย เขาเหวี่ยงโล่ห์ใส่อีกฝ่ายแล้วหมุนตัวเข้าไปแทงเดสโพซีสขณะที่อีกฝ่ายกำลังปัดป้อง เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดดังออกมาเบาๆ แต่ตรีศูลยังคงฟาดฟันคู่ต่อสู้ ครีกใช้ไหล่กระแทกหมายที่จะให้อีกฝ่ายล้มลง แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็ทนทายาดถึงแม้จะบาดเจ็บแต่ก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ เขาใช้ขอบโล่ห์กระแทกใส่อีกหลายต่อหลายครั้งพร้อมกับดาบที่ยังคงฟาดฟันอยู่อย่างต่อเนื่อง

ร่างกายของเทพแห่งความตายเต็มไปด้วยเลือด เขาบาดเจ็บถึงจะไม่สาหัสแต่ก็ถือว่าค่อนข้างหนักพอสมควร

"เจ้าคนขี้ขลาด" เขาคำรามออกมาเบาๆ หลังจากหมุนตัวหลบแล้วพยุงร่างขึ้นมายืนอีกครั้ง

"มอบมีนาให้กับข้า"

"ไม่มีทาง"

"ถ้าเช่นนั้นข้าจะแย่งมาจากเจ้าเอง!"

"พ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด" เดสโพซีสพูดพลางตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตี "ริษยา... ขี้อิจฉา... ขี้ขลาด... ขี้โกง..."

"อย่าได้พูดเช่นนั้น! ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น!"

"พวกเจ้ามีหัวใจที่มืดบอดและสร้างหายนะได้พอๆ กัน" เทพแห่งความตายเม้มปาก "ถึงเจ้าจะได้ดวงวิญญาณนางไป แต่เจ้าจะไม่ได้จิตใจของนาง... เจ้าจะถูกสาปแช่งจากมนุษย์ และถูกสาปแช่งจากเทพด้วยกันเอง"

ครีกส่งเสียงคำรามในลำคอแล้วกระโจนเข้าใส่เดสโพซีสอีกครั้ง แต่แล้วกลับมียมทูตหลายสิบตนเข้ามาขวางทางระหว่างเขาและคู่ต่อสู้ เขาสู้กับพวกมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พบว่าเทพแห่งความตายหายตัวไปแล้ว

"ข้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าแน่" เทพแห่งสงครามกัดฟันด้วยความแค้น แล้วรีบวิ่งตรงไปที่ปราสาททันที

ด้านหลังของพระราชวังแห่งยมโลกที่งดงามเหนือคำบรรยายปรากฎทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งที่เบ่งบานอยู่ทุกชั่วยาม สถานที่แห่งนั้นกว้างสุดลูกหูลูกตา ปกคลุมด้วยหมอกเย็นยะเยือกมีสายลมอ่อนพัดอยู่ตลอดเวลานี่คือดินแดนสุขวดีของยมโลก ในมือของครีกมีถุงเก็บวิญญาณซึ่งเป็นถุงหนังที่ได้มาจากร่างของยมทูต เขาเดินตรงเข้าไปที่โดมที่ตั้งอยู่กลางทุ่งดอกไม้ และตรงเข้าไปหาหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผมสีทองสลวย บุคคลที่เขาตามหามานาน

เทพหนุ่มร่างสีทองทรุดตัวลงนั่งชันเข่าต่อหน้าหญิงสาวผู้นั้น เธอดูมีท่าทางตกใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากถามว่า

"ขออภัย... ท่านเป็นใคร?"

เทพหนุ่มเม้มปาก เขาลืมนึกไปว่าเมื่อสรรพสิ่งสิ้นชีพไปจากโลกแล้ววิญญาณของพวกเขาต้องดื่มน้ำจากแม่น้ำแห่งความลืมเลือน และวิญญาณเหล่านั้นจะลืมเรื่องของภพก่อนจนสิ้น อย่างไรก็ตามเขาก็ยิ้มแล้วยื่นมือให้กับอีกฝ่าย

"มีนา... โปรดมากับข้า"

"ท่านรู้จักข้าหรือ? แล้วจะไปที่แห่งใดกัน?"

"ข้าคือครีก เทพแห่งสงคราม" เขากล่าว "ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังโลก... ที่แห่งนั้นมีคนต้องการเจ้า"

มีนาทำหน้าครุ่นคิด "หากข้าไม่ไปกับท่าน... จะเกิดสิ่งใด?"

ครีกนิ่งแล้วตอบว่า "จะมีผู้คนมากมายต้องล้มตาย ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นแน่"

หญิงสาวหันไปหาบุคคลอีกสามคนที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างหารือ แล้วเธอก็ยื่นมือให้เขาเมื่อเห็นว่าทั้งสามพยักหน้าตอบเป็นเชิงอนุญาต ครีกจูงมืออีกฝ่ายเดินออกไปจากทุ่งกว้างพาขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางออกจากยมโลก

สายลมที่พัดแรงอีกทั้งแรงสั่นสะเทือนจากถนนม้า ทำให้มีนาจำต้องหาที่กำบังเพื่อความปลอดภัย เธอจึงซุกใบหน้าลงบนอกของอีกฝ่าย เทพแห่งสงครามยิ้มน้อยๆ ด้วยความพึงพอใจ เขารั้งเธอเข้ามากอดราวกับจะบอกให้รู้ว่าไม่มีสิ่งใดน่ากลัวหากอยู่ในการดูแลของเขา ตัวของแม่ทัพสาวสั่นเล็กน้อยเมื่อรถม้าควบไปบนสะพานข้ามทะเลเพลิงแต่ครีกก็พาเธอมาที่ซุ้มประตูของยมโลกได้อย่างปลอดภัย

"จงอยู่ในนี้ก่อน ไม่นานหรอก" เขากล่าวออกมาแล้วเปิดถุงเก็บวิญญาณ ร่างของมีนาเล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นดวงไฟหลังจากนั้นก็ลอยลงไปในถุง

...

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียงคำรามของเหล่าปิศาจ ณ ดินแดนสุดขอบโลกดังขึ้นมาระงมไปทั่วพื้นที่ เหล่าปิศาจน้อยใหญ่ต่างล้มตายด้วยน้ำมือของผู้บุกรุกที่ฝ่าเข้ามาในทะเลทรายหลังจากเขตแดนที่ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่เรียกกลับคืนไป โดยที่ผู้บุกรุกไม่เอะใจเลยเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดเขาจึงย่างก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ได้โดยไม่เห็นอันตรายใดๆ

เทพแห่งสงครามกำลังต่อสู้กับปิศาจงูขนาดมหึมาที่เป็นปราการกั้นขวางระหว่างเขากับป่าที่อยู่ในกลางพื้นที่ ปิศาจงูบาดเจ็บและมีท่าทางโงนเงนเต็มทีแต่มันก็ยังคงแผ่แม่เบี้ยและส่ายหัวไปมาเพื่อหาช่องทางโจมตี ในขณะที่อีกฝ่ายมีเพียงดาบยาวประจำตัวเพียงเท่านั้น

"ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถ่วงเวลาข้ามากไปกว่านี้หรอกนะ" ครีกคำรามออกมาเบาๆ แล้วโจมตีใส่ปิศาจอีกครั้ง และการโจมตีครั้งก็ก็ปลิดชีวิตมันอย่างรวดเร็ว

เทพหนุ่มร่างสีทองเดินตรงเข้าไปในป่า เหล่าปิศาจที่อยู่ในนั้นต่างพากับหลบลี้ บางตัวที่พยายามจะขวางทางเขาก็ถูกฆ่าตายเสียหมด เขาพังประตูบ้านเข้าไปแล้วเดินค้นทั่วบ้าน ไร้วี่แววของเจ้าของบ้าน สิ่งมีชีวิต หรือปิศาจ เห็นเพียงตุ๊กตากลตัวหนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เท่านั้น

ครีกจ้องมองตุ๊กตากลที่มีใบหน้าคล้ายกับเจ้าของบ้านแล้วเบือนหน้าหนี เขาเดินวนไปรอบๆ บ้านที่ยังคงดูเป็นระเบียบแล้วเดินตรงไปที่หลังบ้าน เขายิ้มเมื่อเห็นหมวกเหล็กและชุดเกราะที่คุ้นเคย เขาขนสิ่งของเหล่านั้นไปไว้บนโต๊ะแล้วร่ายมนต์เพื่อยกโลงศพที่บรรจุร่างของมีนาขึ้นมาจากผืนดินที่ฝังนางไว้

ร่างของแม่ทัพสาวยังคงดูเหมือนครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลงแก้วที่สวยงาม เทพแห่งสงครามยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาเดาใจของเจ้าของบ้านได้ถูกต้อง เทพีตาสีนิลย่อมไม่ยอมให้สิ่งใดทำลายร่างของผู้ที่เป็นที่รักของเธอได้ ดังนั้นเธอจึงร่ายมนต์ใส่โลงแก้วเพื่อรักษาร่างกายของมีนาเอาไว้อย่างดีเหมือนครั้งที่ยังมีชีวิต

เทพหนุ่มรับรู้ได้ถึงพลังอำนาจที่แข็งแกร่งรอบๆ โลงแก้ว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมพลังให้มั่นคงและให้มีมากกว่ามนตราของเทพีผู้สร้างปิศาจ จากนั้นก็ทำลายมนต์ที่คลุมโลงแก้วนั้น เขาหอบหายใจและเดินเซหลังจากทำลายอาคมที่ปกคลุมโลงแก้ว ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าและเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิม เขานั่งอยู่พักหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเปิดฝาโลงแล้วนำถุงเก็บวิญญาณไปวางลงบนหน้าอกของแม่ทัพสาว

ดวงไฟสีฟ้าค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากถุงแล้วลอยเข้าไปในหน้าอก เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ของผู้ที่นอนอยู่ดังขึ้น ดวงตาสีฟ้าเข้มเบิกกว้างแล้วหรี่ลงเพราะแสงแดด มีนาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งช้าๆ

"เจ้ากลับมาแล้ว" เทพแห่งสงครามพูดด้วยความดีใจ "เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว... มีนาของข้า"

หญิงสาวเจ้าของชื่อมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางที่ยังคงมึนงง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน เธอก้มลงมองที่มือและร่างกายของตนเองที่ยังอยู่ในโลงแก้ว หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยมีเทพหนุ่มช่วยประคองตัวเธออยู่ข้างๆ เพื่อเข้าไปนั่งพักในบ้าน

"ข้าอยู่ที่ไหน? ท่านเป็นใคร? และนั่นชุดเกราะกับหมวกเหล็กของใครกัน?" มีนาเอ่ยออกมาเป็นคำพูดแรกระหว่างที่เดินผ่านโต๊ะที่วางชุดเกราะของเธอ

"ไม่สำคัญว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ตราบใดที่เจ้าอยู่กับข้า ส่วนของเหล่านั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไปแล้ว" ครีกตอบหลังจากที่ประคองอีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ยาว

แม่ทัพสาวมองไปรอบๆ บ้าน เธอรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นที่ใด เธอมองตามอีกฝ่ายที่เดินตรงไปยังครัวเพื่อหาน้ำให้เธอดื่ม มีนาค่อยๆ ชันตัวยืนขึ้นแล้วเดินตรงไปยังตุ๊กตากล

"เจ้ากับข้ารู้จักกันไหม?" เธอพึมพำออกมาเบาๆ "เหมือนข้าเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อน"

หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่ออิดิธ่าเงยหน้าขึ้นมามอง มันล้วงมือเข้าไปในเสื้อหลังจากนั้นก็ยื่นลูกแก้วสีดำให้อีกฝ่าย

"ให้ข้าหรือ?" แม่ทัพสาวถามแล้วรับลูกแก้วนั้นมา มันหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับก้อนหินทันทีเมื่ออยู่บนฝ่ามือของเธอ มีนานำลูกแก้วนั้นเก็บไว้ที่ถุงหนังที่อยู่ข้างเอว

ตุ๊กตาไม่ตอบ มันยังคงนั่งนิ่งแล้วเทพหนุ่มก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมจอกชา เขารินชาให้มีนาและตนเอง

"เตรียมตัวไว้ก่อน เราต้องเดินทางกับอีกไกล" เทพแห่งสงครามกล่าวด้วยใบหน้าที่เหนื่อยอ่อน

"ท่านจะพาข้าไปที่ใดกัน?"

"เทวสภา... บนสวรรค์"

"ที่ๆ ท่านบอกว่ามีคนต้องการข้าใช่ไหม?"

เทพหนุ่มนิ่งแทนคำตอบ เขาหลีกเลี่ยงที่จะพูดโกหกต่อหน้าหญิงสาวจึงทำให้ใบหน้าของเขาดูอึดอัด

เมื่อไม่ได้รับคำตอบ หญิงสาวจึงเงียบไม่ถามอะไรอีกหลังจากที่เห็นใบหน้าที่ไม่สู้ดีนักของอีกฝ่าย และด้วยความที่เธอลืมเลือนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกหลังจากที่ลาจากไปแล้ว เธอจึงไม่ถามสิ่งใดอีกนอกจากพยักหน้ารับสิ่งที่เทพหนุ่มร่างสีทองบอกแต่โดยดี แต่แล้วก่อนที่จะก้าวขาออกจากบ้านที่ดูอบอุ่นและดูคุ้นเคย เธอก็เอ่ยปากออกมาว่า

"ข้าขอเอาตุ๊กตาตัวนั้นไปด้วยได้หรือไม่?" เธอชี้ไปที่อิดิธ่า

ครีกมองไปที่ตุ๊กตากลอย่างครุ่นคิดแล้วตอบออกมาว่า "ได้สิ"

แม่ทัพสาวเดินเข้าไปอุ้มตุ๊กตากลขึ้นมากอดแล้วเดินขึ้นรถม้าที่อีกฝ่ายเสกขึ้นมา หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังที่หมายที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ

...

มีนา is back! จะเกิดอะไรขึ้นเนี่ยยยย

ตอนใหม่มาพร้อมกับข่าวดีที่ศาลสูงของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้ทั่วประเทศ #LoveWins

จริงๆ แล้ว ประเทศไทยของเราก็เคยมีการผลักดันเรื่อง (ร่าง) พ.ร.บ. คู่ชีวิต เข้าสภาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ด้วยวิกฤตทางการเมือง ทั้งธงชาติและนกหวีด เลยทำให้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำ จนป่านนี้ยังไม่รู้ชะตากรรม #สาระ

หดหัวเข้าสู่ไหดองง

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น