web stats

ข่าว

 


'Love Seeds' 2 [One night stand, Runaway Bride & Gourmet]- Ch.17 : Your Book

โพสต์โดย: anhann วันที่: 25 พฤษภาคม 2015 เวลา 18:53:33 อ่าน: 430





นิยายเรื่องนี้เปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  http://www.yuriread.com/index.php?topic=1364.msg2044#msg2044



Ch.17 : Your Book     




เอเวอร์ลี่ไม่ให้เธอทำอะไรนอกจากปอกมันฝรั่งทั้งที่ตัวเค้าเองมีอะไรทำตั้งมากมายอยู่บนเตา  เราอยู่ในครัวกันอย่างเงียบเชียบ  มีเพียงเสียงเครื่องครัวที่ถูกหยิบจับ  เสียงฝีเท้าเดินไปมาและเสียงลมหายใจ  แต่มันแปลกที่เธอไม่รู้สึกเบื่อเลยที่ต้องนั่งเฉยๆ อย่างนี้ 

ผู้หญิงสวยขึ้นเมื่อเวลาหล่อนจริงจังกับอะไรสักอย่าง...

ประโยคนี้เป็นความจริง..

ตาสีฟ้ากะพริบเมื่อได้ยินเสียงขยับเก้าอี้  พี่สาวคนสวยกำลังยกเก้าอี้ไปต่อตัวเพื่อปีนหาของที่อยู่บนชั้นที่สูงกว่าที่ความสูงของตัวเค้าจะเอามันลงมาได้  ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นทันที  แม้เธอจะไม่ได้สูงเหมือนเจ้าแคลร์แต่ตอนนี้เธอสูงกว่าคนตรงนี้  อย่างน้อยก็เกือบห้าเซน.

"อยากได้อะไร.."  เอ่ยปากถามเค้าขณะเอามือมาวางลงบนพนักพิงเก้าอี้  ตาสีม่วงเหลือบมามองเธอนิ่งๆ มันเจ็บจี๊ดไปในหัวใจ  สายตาเหมือนหม่ามี๊เธอตอนโกรธมัมเลยล่ะ

"เอฟ..  ได้โปรด.."  อิซซาเบลขอร้องเสียงอ่อน  ดวงตาที่แข็งกร้าวค่อยๆ ลดดีกรีความร้อนแรงลง  หากคำพูดยังสั้นและห้วน

"ฟอยล์"  พูดจบก็ถอยหลังจากห่างจากตำแหน่งที่เธอจะเข้าไปหยิบของให้  สาวน้อยถอนใจในความรู้ทันกันของคนอายุมากกว่า  เอเวอร์ลี่ไม่ยอมใกล้ชิดเธอ  เค้ารู้ว่าเธอจะต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์กับปฏิบัติการง้อขอคืนดี

นี่ล่ะข้อเสียข้อหนึ่งของการมีแฟนอายุมากกว่า  รู้ทันไปหมด.!

"ขอบใจ"

อิซซาเบลพยักหน้าเมื่อทำภารกิจส่งของให้กับมือคนที่ต้องการมันได้สำเร็จ  หากพอจะเดินคอตกกลับไปนั่งที่เดิม หูกลับได้ยินเสียงพูดเบาๆ ดังแว่ว

"ทำไมถึงชอบโกหก"

เด็กสาวเม้มปากหาคำพูดอะไรมาไม่ได้  ปกติเคยแต่เป็นฝ่ายถูกง้อ พอต้องมาเป็นฝ่ายง้อบ้างก็ถึงกับไปไม่เป็น

"ถึงจะอ้างว่า  โกหกเพื่อให้คนสบายใจ  ยังไงก็มันก็คือการโกหก"

คนฟังอ้าปากค้าง  ดวงตาสีม่วงมองจ้องเธอนิ่งๆ ถ้ามันจะยิงลำแสงเข้าไปในกะโหลกเธอได้  เธอคงตายหรือไม่ก็โดนสำรวจไปทุกซอกมุมของสมอง  หากเจ้าของมันคงยังปราณีเธออยู่บ้าง  ดวงตาคู่นั้นจึงเบนไปทางอื่น  ร่างบางเดินเลี่ยงไปที่โต๊ะกลางห้อง  ถือกล่องฟอยล์ที่เธอหยิบให้มาวาง  หันไปล้างมือ  กลับมาหยิบชามมันบดที่คลุกเคล้าด้วยส่วนผสมต่างๆ แล้วมาจัดการปั้นให้เป็นรูปร่างเหมือนผลมันฝรั่ง  จากนั้นก็เอาเบคอนมาพันทับมัดด้วยเชือกเอ็น  วางพักไว้ในจาน  ท่าทางง่ายดายจนเธออยากจะช่วยทำ

"เอฟ.. ขอลอง.."  เอเวอร์ลี่เงยหน้าขึ้นจากชามมันบด  มองเธอเหมือนไม่เชื่อว่าได้ยินเธอพูด  "ฉันไม่ได้จะช่วยเพราะอยากไถ่โทษอะไร  ฉันอยากทำ"

อิซซาเบลถอนใจโล่งอกเมื่อให้อีกคนพยักหน้าและขยับที่ให้เธอเข้าไปยืนด้วย  ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองปอดแหกมากที่ไม่กล้าจะยื่นมือเข้าไปในชามใหญ่โตเหมือนกะละมังนั่นเพื่อหยิบมันบดมาปั้นให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างที่อีกคนกำลังทำ  กลัวจะหยิบผิดหยิบถูกไปจับถูกมือขาวซีดที่กำลังกอบเนื้อมันฝรั่งบดละเอียดอยู่

"ถ้าตอนจะทำ  กลัวเหมือนอย่างนี้ก็คงดี"  ตาสีม่วงวาววับจ้องเธอเสียใจสั่นไปหมด  แต่หากตอนนี้เธอกลัวจนหัวหดหนีไปก่อนคงหาโอกาสที่สองได้ยาก  "แบมือสิ  ล้างมือหรือยัง.?"

สาวน้อยยืนเอ๋อไปหนึ่งวิแล้วรีบแจ้นไปที่ซิงค์เปิดน้ำล้างมือฟอกสบู่อย่างไว  กลับมาแบมือให้อีกคนตามคำสั่ง  แม้จะถูกมองด้วยสายตาว่างเปล่า  แต่การที่พี่เค้าให้เธอมีส่วนร่วมทำงานด้วยอย่างนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

"บีบให้มันแรงหน่อยก็ได้  ไม่ต้องกลัวมันเจ็บ" 

อิซซาเบลยิ้มแหย  แต่ต่อมาก็แอบดีใจที่เชฟใหญ่ของมื้อนี้ยอมลงมือสอนเธอด้วยตัวเอง  มือขาวซีดมาวางทาบบนมือเธอ  ช่วยเธอบีบเนื้อมันบด  ปั้นมันอย่างตั้งใจ  หากเธอกลับไม่ได้สนใจเจ้าก้อนมันบดในมือมากเท่ากับใบหน้าจริงจังตรงหน้านี้  และแทบไม่รู้ว่าตัวเองขยับใบหน้าเข้าไปใกล้มันแล้ว

ปากแดงๆ ที่เม้มลงเมื่อเจ้าตัวกำลังตั้งใจนั่น  ช่างน่าหลงใหลซะจริง..

"ถ้าไม่อยากกินเจ้าพวกนี้ก่อนที่มันจะเสร็จ  อย่าเข้ามา"

โอ.. รู้ทันอีกแล้ว.!

"โอเค.. พอแล้ว  แล้วก็เอาเบคอนมาพัน  ทำให้ได้อย่างนั้น"

สาวน้อยหัวเราะในใจระหว่างทำตามคำสั่งอย่างดี  ไม่ผิดจากที่เธอเคยเห็นหม่ามี๊ทำกับมัมเลยสักนิด  เคยสะกิดถามมัมอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงยอมถูกสั่งอย่างกับเป็นทาส  ตัวก็โตกว่าตั้งเยอะ  แรงก็เยอะกว่าแน่นอน  และคำตอบที่มัมราเชลบอกมาครั้งนั้น  เธอก็เพิ่งเข้าใจมันลึกซึ้งก็ตอนนี้

ยอมเพราะรัก...

สำหรับคนที่เรารัก  ต่อให้ต้องคลานเข่าเข้าไปหาก็ทำได้  แค่บัญชา..

มันบดปรุงรสพันเบคอนถูกจับไปห่อกระดาษฟอยล์และนำเข้าตู้อบไปตามลำดับ  เสร็จขั้นตอนของการทำเบคอนพันมันฝรั่งอบเรียบร้อย  พอเตาอบทำหน้าที่ของมันเสร็จก็พร้อมเสิรฟได้ทันที  คำนวณจากเวลาแล้วคงไล่เลี่ยกับที่พวกนักสำรวจจะกลับมากัน  ระหว่างนี้เธอคงได้อยู่กับเชฟใหญ่ตามลำพังบ้างหรอกมั้ง  ถ้าเค้าไม่หนีไปไหนเสียก่อน 

พี่สาวคนสวยกำลังยืนล้างมืออยู่ที่ซิงค์  ทิ้งเธอยืนนิ่งมองดูการเคลื่อนไหวของเค้าอยู่ตรงนี้  มือเธอยังเต็มไปด้วยเศษมันฝรั่งบดและกลิ่นคาวของเบคอน  แต่เธอไม่กล้าเข้าไปใกล้  โดนดุจนหงอไปหมดแล้ว

"กับคนอื่นทำไมถึงกล้าเข้าไปหา  ทำไมไม่กลัวเค้าบ้างล่ะ"

อิซซาเบลทำหน้าไม่ถูก  จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองมาตลอดกลับกลายเป็นขี้ขลาดตาขาว  ได้แต่ยืนมองคนถามเหมือนคนปากไม่มี

"อิซซี่..  ตอบคำถาม  ถ้าไม่ตอบ  ต่อไปก็ไม่ต้องพูดกันอีก"

เหมือนโดนไม้เด็ดตีเข้าที่แสกหน้า  ตาสีฟ้ามองจ้องแผ่นหลังบอบบางตรงหน้าอย่างหวั่นใจ  เพราะหากจะถามว่าใครที่ใจแข็งที่สุดในบรรดาคนที่เธอรู้จักมาทั้งหมด  ก็ต้องยกให้ 'เอเวอร์ลี่  คารอน' คนนี้แหละ  ขนาดเจ้าเด็กแคลร์ที่กวนประสาทขนาดนั้นยังเกรง  ยืนยันเองว่าถ้าลองพี่สาวดุแบบจริงจังเมื่อไหร่  ต่อให้อมีเลียก็สู้ไม่ได้

"โอเค.. งั้นก็---"

"เดี๋ยวก่อน.!"  อิซซาเบลร้องห้าม  เข้าไปยืนขวางตรงหน้าคนที่กำลังจะพิพากษาคดีเธอ  ดวงตาสองสีจ้องกันราวจะเปิดศึกประลองกันให้รู้ดำรู้ดี  กับคนอื่นเธออาจจะมีสิทธิชนะ  แต่กับเอเวอร์ลี่  เธอต้องทบทวนใหม่

"เพราะ..  เพราะ..  เพราะฉันรักเอฟ"  เอเวอร์ลี่มองเธอเหมือนไม่ได้คิดว่าอะไรที่เธอพูดมันน่าฟังนัก  หรือเพราะใครๆ ก็พูดอย่างนี้ได้

"ใช่.. เพราะฉันรักเอฟ..  รักจนกลัวไปหมดว่าจะทำอะไรให้เอฟเสียใจบ้างไหม..  เอฟจะไม่ชอบมัน  หรือรังเกียจ  หรือจะรู้สึกยังไง  ฉันแคร์ทุกอย่าง  ฉันรักเอฟมากจนฉันแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง  แต่กับลิทซ์..  ถึงเราจะจบไม่สวยนัก  ฉันก็แคร์เค้า  เพราะยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่  แต่มันไม่ใช่ความรักแบบนั้นอีกแล้ว  ไม่สิ.. ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันรักเค้าหรือเปล่าตอนที่เราคบกัน  ฉันก็แค่อยากจะลองเหมือนที่คนอื่นเค้าลองกันเท่านั้นเอง"  อิซซาเบลพยายามอธิบาย  หากความเงียบของอีกคนก็ทำให้เธอกังวล

"เอฟ..  เอฟเข้าใจใช่ไหม..  เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม.."  เอื้อมมือจะไปแตะตัวอีกฝ่าย  ใจหายวาบที่เค้าเบี่ยงตัวหนี  เกือบร้องไห้แล้วถ้ามือบางๆ นั่นไม่ลากแขนเธอไปใส่ซิงค์ล้างมือและยื่นขวดสบู่เหลวให้

เด็กสาวแทบจะหัวเราะ  เพิ่งนึกได้ว่าสองมือตัวเองยังเต็มไปด้วยเศษมันฝรั่งบดปรุงรสและกลิ่นคาวเบคอน  สมควรแล้วที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้

"นี่จะไม่ช่วยกันบ้างเหรอ.?"  ทำใจกล้าหยอกคนที่ยืนกอดอกราวผู้คุมอยู่ข้างๆ หากพอเห็นสายตาดุๆ ของดวงตาสีม่วง  ความกล้าของเธอก็กระโดดหนีหายไปเสียเฉยๆ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ และก้มหน้าก้มตาล้างมือต่อไป

"ในซอกเล็บน่ะเช็คดูด้วย"  นิ้วสวยๆ ชี้ออกคำสั่ง  อิซซาเบลพยักหน้าหงึกหงักเป็นเด็กดี  "อ้อ..แล้วทีหลังถ้าจะช่วยทำครัวต้องตัดเล็บให้สั้นด้วยนะ  หรือไม่ก็ใส่ถุงมือ  ทำให้มันติดเป็นนิสัยเวลาไปทำที่ไหนใครจะได้ไม่ว่า  และ--"

"เอฟ.!"  เอเวอร์ลี่เงียบเสียง  คิ้วเรียวเลิกสูงแทนคำถาม  เธอส่งยิ้มกลับไปให้  "หายใจบ้าง..  เดี๋ยวเป็นลม"

หน้าผากโดนเขกดังโป๊กด้วยข้อนิ้วจากมือเดียวกันกับที่ชี้สั่งงานเธอเมื่อกี้  อิซซาเบลย่นคอหลบ  เธอเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกฝ่าย  บางทีเอเวอร์ลี่อาจจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วก็ได้

"เอฟ..  ขอโทษนะ"  กลั้นใจพูดออกไปพร้อมยิ้มซึม  ซับมือที่เปียกน้ำด้วยกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์  แปลกใจที่อีกคนเดินไปหยิบผ้าเช็ดมือมาและดึงมือเธอไปเช็ดให้  ที่ไม่เข้าใจเพราะใบหน้านี้ยังเรียบเฉย

เธอโง่เสมอเมื่อเวลาต้องเดาใจใคร..

"บางครั้งเธอทำให้พี่รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองตอนเด็ก" 

ตาสีฟ้ากะพริบ  มองหน้าอีกฝ่ายอย่างฉงนใจ  เอเวอร์ลี่ยิ้มบางเบา  หากเจือไปด้วยความรู้สึกละมุนละไมและอบอุ่น

"โกหกเพื่อปกป้องคนที่รัก  ดูเหมือนเป็นอะไรที่กล้าหาญ  แต่ที่จริงมันไม่ใช่  ไม่มีใครมีความสุขที่ต้องมีชีวิตอยู่ในความหลอกลวง  แม้กระทั่งตัวเรา"

อิซซาเบลพยายามทำความเข้าใจ  แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าพี่เค้าพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่  หนังสือปรัชญา  ชีวิตเค้า  หรือสิ่งที่เธอทำ  หรือทั้งหมด...

"พี่เคยคิดอยากให้ปะป๊ากับมะม๊ากลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม  อยากให้พวกเค้ากลับมารักกัน  เธอต้องไม่เชื่อแน่ว่าพี่เคยทำอะไรไว้บ้าง" 

นัยน์ตาสีฟ้ามองคนเล่าที่ยังเช็ดมือให้เธออย่างถนอมด้วยความรู้สึกประหลาดใจ  รอยยิ้มขมขื่นกับแววตารู้สึกผิดสะกิดให้เธอนึกถึงเรื่องไม่ดีต่างๆ ที่อาจเคยเกิดขึ้นมาก่อน  ก่อนที่เธอจะจำความได้

"พี่เคยจัดฉากให้ม๊ากับซิลค์ทะเลาะกัน  ทั้งที่ซิลค์กำลังท้อง"

สาวน้อยแทบจะคิดว่าตัวเองหูฝาดไปเมื่อได้ยินคำสารภาพ  เอเวอร์ลี่มองเธอทั้งดวงตาเค้าเริ่มมีรอยแดงระเรื่อให้เห็น  เธออยากจะพูดเหลือเกินว่า  ถ้าลำบากใจที่จะเล่าก็อย่าเล่า  อย่าพูดอะไร  แต่บางทีการที่พี่เค้าได้พูด  อาจเป็นทางแก้ไขที่ถูกต้องแล้ว

"ซิลค์เป็นคนสวย  มีคนเข้าหามากมาย  และซิลค์ไม่ได้เป็นเกย์  ไม่สิ  บางทีซิลค์อาจจะเป็นไบ  แต่ซิลค์ไม่เคยรังเกียจผู้ชาย  ถึงจะรู้ว่าเขาจงใจมาจีบ  ซิลค์ก็เฉยๆ ไม่ได้ไล่ไป  ซ้ำยังไปไหนมาไหนกับพวกเขา  อ้างว่าไปทำงานกัน  มันก็อาจจะจริง  ซิลค์คงทำงานจริงๆ นั่นแหละ  แต่พี่ในตอนนั้นยังเด็กมาก  และไม่ชอบเลยที่ซิลค์ทำตัวแบบนั้นทั้งที่แต่งงานกับม๊าแล้ว  พี่เห็นม๊าต้องนั่งรอซิลค์กลับบ้านดึกๆ ทุกวัน  พวกเขาทะเลาะกันบ้างแต่ทุกครั้งไม่ทันข้ามคืนก็กลับมาดีกันเหมือนเดิม  และอยู่มาวันหนึ่งมะม๊าก็มาบอกว่าพี่จะมีน้องแล้วนะ  ด้วยความเป็นเด็ก  พี่เลยคิดว่ามะม๊าเป็นคนท้องน้องเหมือนตอนที่มะม๊าท้องพี่  ไม่รู้ว่า ซิลค์เป็นคนอาสาท้องแทนให้  เป็นคนไปโรงพยาบาลมากับม๊า  พอมารู้ทีหลังว่าซิลค์ต่างหากที่ท้อง  ไม่ใช่ม๊า  พี่เลยคิดว่าซิลค์นอกใจมะม๊า  ทั้งที่รักซิลค์มากๆ แต่พี่ก็ยังทำร้ายเค้า  โกหกม๊าว่าเห็นซิลค์ไปกับคนอื่น  พยายามทำให้ม๊าเชื่อว่าซิลค์นอกใจจริงๆ  พี่อยากให้พวกเขาเลิกกัน  เผื่อว่ามะม๊าจะกลับไปอยู่กับป๊า  แต่เห็นไหม  มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย  คำโกหกของพี่ไม่มีความหมายอะไร  พวกเขารู้ความจริงในที่สุดโดยไม่ต้องรอให้แคลร์ออกมาประจานความเลวร้ายของพี่   เพราะใครรู้ไหม.. เพราะปะป๊าพี่เอง  ปะป๊ามาช่วยยืนยันว่าคนอย่างซิลค์ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่   ซิลค์เป็นคนซื่อสัตย์  โดยเฉพาะกับคนที่รัก  ตอนที่ซิลค์เลือกคบมะม๊าแทนป๊า  ซิลค์ก็บอกป๊าก่อน  เพราะแบบนั้น  ป๊าถึงยังรักซิลค์มากๆ ซิลค์เป็นคนดี จริงใจ  หาได้ยากที่จะเจอได้ในสมัยนี้  เป็นคนที่ปะป๊าไม่อยากสูญเสียไป  แต่พี่เกือบสูญเสียซิลค์ไป  เพราะความโง่ของตัวเอง"

เอเวอร์ลี่หัวเราะขื่นๆ บีบมือเธอแน่นอย่างลืมตัว  หากเธอก็ปล่อยให้เค้าทำ  ยืนเงียบฟังคำสารภาพจากจำเลยผู้ไร้เดียงสาต่อไป

"น่าตลกนะ  มะม๊าโกรธพี่มาก  แทบไม่อยากพูดด้วย  ม๊าพาลว่าไปถึงป๊าว่าเลี้ยงพี่มาไม่ดี  เสียใจที่ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงพี่มาแต่แรก  พาลไปต่างๆ นานา   ซิลค์เสียอีก  แทนที่จะโกรธหรือเกลียดพี่ไปเลย  กลับห้ามไม่ให้ม๊าส่งพี่กลับญี่ปุ่นคืนให้ป๊าจัดการ   เค้ายืนยันจะดูแลพี่เอง  เค้าไม่ยอมแพ้ที่จะปั้นพี่ใหม่อีกครั้ง  และนี่... ตรงนี้คือพี่คนใหม่" 

อิซซาเบลอ้าปากค้างอย่างลืมตัว  อีกคนยังหัวเราะขมขื่นออกมาให้เธอฟัง  รอยยิ้มแห่งความเจ็บปวดยังปรากฏให้เห็นเด่นชัด  จากหนังสือที่เธอเคยอ่านมาบางเล่ม  บอกว่าเด็กมักจะไม่จดจำเรื่องใดๆ มากนัก  เรื่องราวในอดีตมักจะหล่นหายไปตามเวลา  นอกจากว่าประสบการณ์นั้นๆ จะดีจนน่าระลึกถึง  หรือเลวร้ายมากจนเกินกว่าจะลืมได้ลง  แต่สำหรับเอเวอร์ลี่แล้ว  เธอคิดว่ามันคงจะเป็นสีเทา  ทั้งดีและร้ายปะปนกัน

"เป็นไง.. รู้จักพี่มากขึ้นแล้ว  ถ้าคิดจะเปลี่ยนใจละก็  ตอนนี้ยังทันนะ  พี่ไม่ได้เป็นคนดีแสนซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนที่เธอจินตนาการไว้หรอกนะ  บางทีพี่อาจจะแย่กว่าลิทซ์ก็ได้  เพราะอย่างน้อยลิทซ์ก็ไม่กล้าทำร้ายเธอ  คนที่เค้ารัก  ไม่เหมือนพี่ที่ทำร้ายซิลค์ทั้งที่บอกว่ารัก"

"นั่นเพราะเอฟยังเด็ก  เอฟแค่ต้องการครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนที่ใครๆ เค้ามีกัน  เอฟรู้เท่าไม่ถึงการณ์"

คนอายุมากกว่ายิ้มขม  ก้มหน้าลง  ปล่อยมืออีกคนออกเปลี่ยนมากอดอกตัวเองแทน  และเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง  พึมพำออกมาเสียงเบา  "เธอพูดเหมือนซิลค์ตอนนั้นเลยล่ะ  น่าตลกจังนะ"

อิซซาเบลเม้มปาก  เธอคิดไม่ออกว่าควรทำยังไงดีกับสถานการณ์แบบนี้  แต่รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปกอดอีกคนจากด้านหลัง  ซบหน้าลงกับบ่าบางราวจะใช้ภาษากายช่วยสื่อสารความในใจไปให้เค้า  ดูเหมือนมันจะได้ผล  ร่างที่เกร็งอยู่เริ่มผ่อนคลายลงและเอนเข้าหาอ้อมแขนเธอ

"พี่เป็นเด็กมีปัญหาที่จะหาปัญหามาให้เธอได้ปวดหัวเรื่อยๆ  เธอจะต้องทำความเข้าใจพี่ไปจนตาย  ถ้าเธอยังไม่ยอมปล่อยมือ"

"ฉันจะเตรียมแอสไพรินเอาไว้ติดกระเป๋าตลอดแล้วกัน" เจ้าของร่างในอ้อมกอดส่งเสียงหัวเราะอย่างที่เธอรู้สึกได้ว่ามันดีขึ้นกว่าเดิม  เดาเอาว่าความดื้อด้านของเธอน่าจะมีประโยชน์ก็คราวนี้  "ฉันจะเป็นซิลค์เบอร์สองให้เอฟ  ดีหรือเปล่า.?"

เอเวอร์ลี่ส่ายหน้า  เล่นเอาเธอใจหายวาบ  หากมือที่เข้ามาประคองใบหน้าเธอ  ดึงเข้าไปจูบเบาๆ กลับช่วยคืนชีวิตชีวาให้  "แค่เธอเป็นเธอทุกวันนี้  ก็พอแล้วอิซซี่..  แค่เธอเป็นเธอ"

คนฟังอมยิ้มพอใจ  อีกฝ่ายหันกลับมาประจันหน้า  ดันเธอไปนั่งลงกับเก้าอี้และปีนขึ้นมานั่งคร่อม  ล็อคริมฝีปากเธอไว้กับเค้าด้วยจูบอ่อนหวาน  เบียดร่างเข้าหาเธอราวต้องการการสัมผัสที่มากขึ้น  จนเธอรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระทึกอยู่ในอกข้างซ้ายของเค้า  มือบางส่งปลายนิ้วมากดแผ่นหลังเธอ  เมื่อจูบเธอลามไปถึงฐานคอขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจากเลือดลมที่สูบฉีดรุนแรงขึ้น  สองมือเธอกระตุกสะโพกเค้าเข้าหาตัวให้ตัวเราแนบชิดกันมากขึ้น  เสียงฮัมอย่างพอใจดังตามมา  คาดว่าพี่เค้าคงชอบมันไม่ต่างจากเธอ

ผิวกายของคนที่เธอรักกำลังร้อนระอุ  อิซซาเบลกดจูบไปตามเนื้อเนินอกนุ่มเหนือบราเซียสีดำ  ร่างบางไม่ได้ถอยหนีกลับแอ่นรับสัมผัสนี้อย่างเต็มใจ  มือหนึ่งกดหัวเธอไว้  อีกมือจิกแผ่นหลัง  สะโพกเบียดเข้าหาจนขึ้นมาขี่เธออย่างเต็มตัว  น่ากลัวว่าเราสองคนจะต้องผิดสัญญาที่ให้กันไว้เสียแล้ว  แต่ยังไม่ทันจะได้ปลดตะขอบราที่ล่อหน้าล่อตาอยู่ด้านหน้านี้ออก  เสียงเตาอบก็แผดเสียงร้องให้เราทั้งคู่สะดุ้งตกใจ  แต่อะไรไม่เท่ากับมือที่กดหัวเธออยู่เมื่อกี้  ได้ผลักเธอออกจนห่างทั้งที่เจ้าของมันหน้าแดงก่ำ

"เอฟ.?"

"หมดเวลาแล้วเด็กดื้อ"  เอเวอร์ลี่กระซิบแผ่ว  แล้วจูบใบหูเธอจนขนลุกวาบไปทั้งตัว  พยายามรั้งตัวบางๆ เอาไว้ด้วยสองมือแต่พอถูกขึงตาใส่ก็ต้องยกมือยอมแพ้  ปล่อยให้เค้าลุกจากตักไปจัดการเอาอาหารในเตาอบตัวมารนั่นออกมา  ตาสีฟ้ามองร่างตรงหน้าพลางกัดปากล่างอย่างข่มใจ  เธอไม่แน่ใจว่าจะอดทนได้นานแค่ไหนที่จะห้ามมือตัวเองไม่ให้ลากร่างนั้นกลับมาต่อเรื่องที่ค้างไว้เมื่อกี้ให้จบ  มันทรมานนะ  รู้บ้างไหมเนี่ย.!

"ออกไปอิซซี่.."

อิซซาเบลมองหน้าอีกฝ่ายอย่างช็อค  หากเสียงหัวเราะของพี่เค้าก็ทำให้เธองงจนปวดหัวจี๊ด  "ไปซะ  ก่อนที่พี่จะทำอะไรโง่ๆ"

โอ..  เธอเข้าใจแล้ว..  พี่เค้าก็ต้องการเธอเหมือนกัน...

ร่างโปรงลุกจากเก้าอี้ตรงปรี่ไปโน้มตัวลงหาคนที่ก้มหน้าจัดจานอาหารอยู่  มองกันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์  "ไม่ไป..  เอฟอยากทำอะไรก็ทำสิ  ไม่กล้าเหรอ..  เมื่อกี้ยังกล้าอยู่เลย"

เธอเห็นพี่เค้าคิ้วกระตุกก่อนที่มือบางๆ จะวางของลงกับโต๊ะดังปึงให้เธอแอบสะดุ้งเบาๆ  ดวงตาสีม่วงวาบวับจ้องเธอจนขนหัวลุก  ไม่ถึงวินาทีพี่เค้าก็กระตุกคอเสื้อเธอ  ดึงให้ลงไปหา  บดเบียดริมฝีปากอ่อนนุ่มเข้ามาก่อนจะกัดปากล่างเธอด้วยฟันคมๆ และใช้ฟันนั่นดึงบังคับให้เธออ้าปากรับเรียวลิ้นที่สอดเข้าไปในโพรงปาก  สองขาเธอสั่นเหมือนถูกกระชากวิญญาณให้หลุดลอยตามจูบนั้นไป  แต่สุดท้ายมือเดียวกันก็ผลักอกเธอออกพร้อมถอนริมฝีปากออกไปเร็วจนร้องท้วงไม่ทัน  แล้วเค้าก็หันไปทำงานต่อเฉยเลย

"เอ่อ..  เอฟ..."  อิซซาเบลสะดุ้งอีกที  แต่คราวนี้เธอเหงื่อตกเพราะมีดในมืออีกคนที่ยกขึ้นมาต่อหน้า  ถึงรู้ว่าเค้าแค่ขู่แต่ใครจะอยู่ให้โดนจริงๆ ล่ะ "โอเคๆ ไปแล้ว  ดุจริง" 

สาวน้อยเดินคอตกออกมาจากห้องครัว  หากกลับมากระโดดตัวลอยอยู่หน้าประตูให้คนที่นั่งอยู่ที่ระเบียงมองเธอเหมือนเป็นคนบ้า  แต่เธอไม่สนใจมันหรอก  วิ่งลงบันได  และวิ่งไปถึงทะเลสาบ  ตะโกนบอกมันถึงความดีใจเหมือนสอบได้เอทุกวิชา  ช่างบ้าบอเสียจริง.!

................................................

อลิซาเบธเดินเกาะราวบันไดสวนมากับคนที่เพิ่งวิ่งลงบันไดไป  ไม่แน่ใจว่า  เจ้าเด็กบ้าอิซซาเบลนั่นรู้ตัวหรือไม่ว่ามันหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่ๆ เธอตกใจแต่ด่าตามไม่ทัน  เพราะมันวิ่งหายไปแล้ว

"โย่ง..  ยัยนั่นเป็นบ้าอะไร.?"  เดินลากเท้าที่ยังไม่หายดีมาจนเจอคนที่เหมือนจะสิงอยู่ที่ระเบียงนี้ตลอดเวลายกเว้นเวลานอนแล้วเอ่ยปากถามไถ่  เด็กยักษ์เหลือบตามามองเธอเล็กน้อยและไหวไหล่เบาๆ ก่อนกลับไปอ่านหนังสืออย่างไม่รู้ไม่ชี้  "ชิ..  ไม่เห็นจะอยากรู้เลย.."  ว่าแล้วก็จะเดินไปเข้าบ้าน  หากไม่ถูกคนมือไวมาดึงแขนไว้เสียก่อน  ลิทซ์ขมวดคิ้ว  มองซ้ายมองขวาอย่างระแวง

"ปล่อยเลยนะ  เดี๋ยวแฟนเธอมาเห็นก็เป็นเรื่องอีกหรอก  ตอนนี้ฉันเสียเปรียบอยู่ด้วย"

"เฮ้.. ก็แค่นั่งด้วยกันเองน่า..  อีกอย่างอมีเลียไม่สนใจฉันเท่ากับที่เค้าได้ไปเล่นสนุกกับแอนเดรียหรอก"  แคลร์ว่า  อีกฝ่ายกลอกตาให้  "ใช่ไหมล่ะ  แอนเดรียโดนลากไปแล้วสิ  ถึงได้กลับมาคนเดียว  เห็นไหม.. เราพวกเดียวกัน"

ร่างเพรียวยอมนั่งลงกับเก้าอี้ในที่สุด  คนชวนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ  หากพอเห็นตาสีเทามองมาก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันที

"ไอ้เด็กร้ายกาจ  อย่าคิดว่าฉันไม่เห็นนะ"  ลิทซ์พึมพำ  เอื้อมหยิบหนังสือมาจากตักอีกคนที่มัวแต่ตกใจ  ไม่คิดว่าเธอจะรู้ทัน  เจ้าของตาสีเทาขมวดคิ้วน้อยๆ ระหว่างอ่านหน้าปก  "เธออ่านหนังสือแนวนี้ด้วยเหรอ..  มันเข้าใจยากนะ"

"ไม่ยากเท่าเธอหรอกน่า.."  แคลร์ว่าพลางขยิบตาขี้เล่นให้อีกฝ่ายที่ส่ายหน้ายิ้มให้  ไม่อยากจะบอกเลยว่า  เธอคิดถึงรอยยิ้มของหล่อนจริงๆ

ตาเจ้าชู้นี้ด้วย.!

"ฉันควรฟ้องแฟนเธอดีไหม..  เค้าจะเชื่อฉันไหมว่าเธอทำตาเจ้าชู้ใส่ฉันอีกแล้ว" 

เด็กยักษ์หัวเราะ  รู้อยู่หรอกว่าหล่อนแค่แกล้งหยอกเล่นเท่านั้น  พอได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น โดยปราศจากเรื่องเซ็กซ์มาเกี่ยวข้องหรือผลประโยชน์ในทางอื่น  จึงได้รู้ว่า  หล่อนเป็นคนน่ารักคนหนึ่งทีเดียว  ยกเว้นตอนเอาแต่ใจ

"รู้ไหม.. ฉันไม่ใช่แฟนหนังสือของมูราคามิเลย"  ลิทซ์พูดขึ้นมาหลังจากที่อ่านหนังสือในมือไปได้เล็กน้อย  แคลร์เลิกคิ้วมองเป็นสัญญาณว่าต้องการคำอธิบาย  อีกฝ่ายถอนใจเบาๆ ดวงตาสีเทาเบนไปมองท้องฟ้าแทน

"มันเหงา..  งานของเขาทำให้ฉันรู้สึกถึงความอ้างว้างอย่างแท้จริง  แล้วเขาก็ชอบเขียนถึงมันราวกับว่ามันเป็นอะไรที่น่าชื่นชมมากนักล่ะ"

"แต่งานของเขามีเสน่ห์นะ  เอฟชอบอ่าน  อาเบลล์ก็ชอบ  เล่มนี้ฉันยืมอาเบลล์มา"  แคลร์บอก  ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองอีกคนอย่างระแวดระวัง  กลัวว่าอาจจะเห็นน้ำตาร่วงลงมาจากดวงตาที่กำลังถ่ายทอดความเดียวดาย

โดยไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ  มือเธอเอื้อมไปจับมือหล่อนที่วางอยู่ตรงที่พักแขนของเก้าอี้ราวต้องการจะบอกให้หล่อนรู้ว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ด้วยคน  เธอจะช่วยไล่แขกประจำนั่นให้

"ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ห้อมล้อม  ฉันยังรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีตัวตน  เป็นแค่ร่างโปร่งแสงให้คนเดินทะลุผ่านไปผ่านมา"

"ไม่จริง..  ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก"

"เธอรู้ได้ยังไง.?   ที่โรงเรียนฉันอาจจะเป็นควีน..  แต่นั่นมันก็แค่ร่างที่ฉันปั้นแต่งมันขึ้นมา  ตัวตนจริงๆ ของฉัน  พวกเขาไม่มีทางได้เจอ"

"แต่ฉันเห็น..  อิซซี่เห็น..  และฉันคิดว่าแอนเดรียก็เห็นแล้ว"  ดวงตาสองสีมองจ้องกัน  แคลร์พยายามส่งความจริงใจไปในแววตาตัวเอง  สักพักก็ได้เห็นรอยยิ้มที่เฝ้ารอ

"เธอเป็นเด็กแก่แดดคนที่สองที่ฉันชอบ"  ลิทซ์อมยิ้ม  ขณะที่อีกคนยิ้มกว้างขึ้น  "แต่แน่ใจนะว่า  ฉันจะปลอดภัยถ้าฉันยังนั่งกับเธอต่อไป  ไม่ใช่ว่าถูกลากไปฆ่าฝังในป่านะ"

"บ้าน่า..  อมีเลียไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอก"

"เชื่อได้แน่เหรอ.?"

เด็กยักษ์พยักหน้าจริงจังจนอีกคนยอมใจอ่อนนั่งอยู่เป็นเพื่อน  และก็เหมือนที่คิดไว้  ลิทซ์คุยสนุก  หล่อนมีเรื่องเล่ามากมายจากประสบการณ์ของสาวซ่า  เธอพูดโต้ตอบกลับไปบ้างแต่ส่วนใหญ่จะนั่งฟัง  ฟังอย่างไม่มีเบื่อ  และเชื่อว่าถึงจะเป็นหน้าต่อไปของหนังสือเล่มนี้  มันก็ยังน่าสนใจแน่นอน     



.........................................................


   

ส่งรูปน้องแคลร์รูปหล่อไปให้ดู ฮ่าๆๆๆ (แอล แฟนนิ่งค่ะ ฮา)
         


แม้ว่า ตอนนี้พี่เอฟกับอิซซี่จะเด่นมาก  แต่อย่าลืมน้องแคลร์นะคะ  น้องแคลร์เนี่ยขวัญใจคนเขียนเลย (กลัวลำเอียงใช่ม๊า ฮ่าๆๆ)  :02:

เชื่อเลยว่า อ่านจบตอนนี้แล้ว  พวกท่านอาจจะขัดใจที่อิซซี่ยังไม่โตสักที  อิอิ  เอาน่า.. เดี๋ยวก็โต  หรือรอพี่เอฟเห็นว่าเค้าโตก่อนแล้วกันนะ อิอิ  :54:


อ้อ.. เผื่อใครยังไม่เคยเห็นแผนผังอันนี้  เอาไว้ดูเผื่องงว่าใครลูกใครมาจากไหนนะคะ



สำหรับวันนี้ไปก่อนแล้ว  ไม่สัญญาดีกว่าว่าจะมาอีกเมื่อไหร่  แต่ตามเราได้ที่ ทวิตเตอร์นะคะ ถ้าใครที่เล่น @Anh29 ได้เลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกัน  :45:

Rating: ***** โดย 1 สมาชิก
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น