web stats

ข่าว

 


เพียงใจดวงนี้ที่รักเธอ บทที่ 4

โพสต์โดย: mirin วันที่: 08 พฤษภาคม 2015 เวลา 15:46:47 อ่าน: 316

หลังจากจัดการข้าวผัดแสนอร่อยจนหมดจันทร์เจ้าขาจึงขันอาสาเป็นคนเก็บเอาจานไปล้างเอง
แต่ตะวันฉายกลับไม่ยอม ร่างสูงเดินตามคนตัวเล็กที่รีบแย่งเอาจานเปล่าออกนำหน้าเข้ามาในครัวก่อน
ทำยังกับกำลังแข่งขันประชันความเร็ว วิ่งแข่งกันก็ไม่ปาน

   "มานี่ เดี๋ยวฉันล้างเอง เธอไปอาบน้ำอาบท่าดีกว่า ยิ่งดึกอากาศจะยิ่งเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"
เข้ามาแย่งจานในมือบางมาถือไว้เอง หลังจากวิ่งตามเข้ามาในครัวจนทัน
   "ไม่เอา ตะวันทำให้กินแล้ว ทีนี้ก็ตาจันทร์เก็บล้างบ้าง ตะวันไปนั่งพักเถอะ"

   จันทร์เจ้าขารีบแย่งจานคืนกลับมา ในใจก็อดคิดไม่ได้ นี่ถ้าเกิดจานหลุดมือแตก
แล้วดันบาดมือเธอเข้าตะวันฉายจะทำตัวเป็นฮีโร่ดูดเลือดให้เธอไหม แต่ก็ไม่ดีหรอก
เพราะเธอต้องใช้มือทำผ่าตัด หากเป็นแผลขึ้นมารังแต่จะลำบากเปล่าๆ

   และดูเหมือนอะไรๆ จะเป็นไปอย่างใจจันทร์เจ้าขาคิด แม้จะไม่ทั้งหมดทุกอย่างก็เถอะ
เพราะจู่ๆ จานก็ลื่นหลุดจากมือบางตกกระแทกเท้าคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ
   "โอ๊ย!" ตะวันฉายส่งเสียงร้องดังลั่นครัว พร้อมกับกระโดดเหยงเขย่งขาไปมาด้วยความเจ็บปวด
ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเล็กที่ตั้งอยู่กลางห้อง

   "ขอโทษ...ขอโทษนะตะวัน ขอจันทร์ดูหน่อยนะ" ร่างบางทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าตะวันฉาย
มือบางจับเท้าคนเจ็บขึ้นดู ก็เห็นว่ามันบวมเป่ง จากความซุ่มซ่ามไม่ทันระวังของเธอ
   "ไม่เป็นไรมากหรอก นวดยาสักวันสองวันก็คงหาย ดีนะที่จานมันกระเด็นไปตกกระแทกพื้นแล้วถึงแตกน่ะ
ถ้าแตกบนเท้าฉันนี่..." ตะวันฉายทำท่าขนลุกขนพองด้วยความขยาด
ไม่อยากจะคิดต่อเลยว่าเลือดจะแดงฉานนองไปทั่วพื้นแค่ไหน

   "ไม่เห็นเป็นไรเลย อย่าลืมสิว่าจันทร์เป็นหมอนะ ตะวันเป็นอะไรจันทร์ก็ต้องหาทางเยียวยารักษาให้หายจนได้อยู่แล้วล่ะ"
มือบางสาละวนนวดยาให้ตรงที่ถูกจานตกใส่จนบวมอย่างแผ่วเบา

   "จริงนะ..." น้ำเสียงจริงจังของตะวันฉายทำให้จันทร์เจ้ขาหยุดนวดยา แล้วเงยหน้าขึ้นมองสบตากับใบหน้าคมแทน
   "จริงสิ ตะวันลืมไปแล้วหรือไงว่าจันทร์เป็นหมอนะ"
   "เปล่า ไม่ได้ลืม แต่ถือเป็นคำสัญญาได้ไหม?"

   "สัญญาอะไร ไม่เห็นต้องสัญญาเลย ยังไงจันทร์ก็ไม่มีวันปล่อยให้ตะวันเป็นอะไรอยู่แล้ว
ต่อให้เป็นโรคร้ายแรงเกินเยียวยาหนักหนาแค่ไหน จันทร์ก็ไม่มีวันทิ้งตะวัน"
    พูดจบก็ทำท่าจะนวดยาให้ต่อ แต่กลับถูกอ้อมแขนอบอุ่นของตะวันฉายฉุดดึง
ให้เธอขึ้นมานั่งทับบนตักอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับจูบที่อ่อนหวานนุ่มละมุน
 แต่รวดเร็วอย่างกับสายฟ้าแลบ

   ตะวันฉายถอนจุมพิตหวานฉ่ำออกจากกลีบปากบาง พลางกระซิบเสียงพร่า
 "จำคำเธอไว้นะ...ว่าจะไม่ทิ้งฉันน่ะ ตะกี้นี้ถือว่าเราสองคนจูบสัญญากันแล้ว"
   รอยยิ้มทะเล้นทำเอาใบหน้าหวานเจือสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันควัน

"สัญญา จันทร์ไปอาบน้ำนอนดีกว่า"ร่างบางรีบดันตะวันฉายออกห่างตัวด้วยความเขินอาย
แล้วจึงขยับลุกเดินหายไปจากตรงนั้น แม้จะเดินห่างออกมาจากผู้เป็นเจ้าของจุมพิตหวานละมุนนั้นแล้ว
แต่รสสัมผัสยังติดตรึงอยู่บนกลีบปากให้รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทั่วทั้งใบหน้า ยากที่จะลบเลือนให้จางหายไป
   
   จันทร์เจ้าขาหยิบชุดเสื้อผ้าผู้ชายของพี่ตั้มซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องออกมาให้ตะวันฉายใส่
เพราะจากที่คาดคะเนดูด้วยสายตาแล้ว รูปร่างความสูงของพี่ตั้มกับตะวันฉายน่าจะใกล้เคียงพอๆ กัน
   "ใส่ชุดนี้นอนแล้วกันนะ" มือบางยื่นชุดนอนแบบผู้ชายให้ตะวันฉายรับไป

   ตะวันฉายหรี่ตามองดูชุดนอนที่อยู่ในมือด้วยแววสงสัย ตั้งแต่เธอก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้
ก็ไม่เห็นมีใครอื่นอยู่ร่วมชายคา นอกจากเธอกับจันทร์เจ้าขาเท่านั้น แล้วชุดนอนนี่มันมาได้ยังไง
และที่สำคัญมันเป็นของใครกัน หรือว่าจันทร์เจ้าขามีแฟนอยู่แล้ว!

คิดขึ้นมาดังนั้นแล้วหัวใจก็เจ็บแปลบแปล๊บปล๊าบ...เธอต้องหาคำตอบให้ได้
ว่าแม่พระจันทร์คนงามหัวใจยังว่างรอเธอ เหมือนเมื่อ 10 ปี
ก่อนอย่างที่หลงคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า แล้วถ้าคำตอบที่ค้นเจอคือไม่ล่ะ จะทำยังไงต่อไปดี

   แม้อยากอ้าปากถามออกไปตรงๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าไอ้ชุดนี่มันเป็นของใคร แต่ก็ไม่กล้า
เพราะไอ้ความที่ต้องแกล้งเล่นละครเป็นคนไข้ความจำเสื่อมอยู่ จึงต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ใส่ใจเสียอย่างนั้น
ทั้งที่ความจริงก็อยากจับคุณหมอคนสวยที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งในหัวใจและหัวสมองตอนนี้
มานั่งซักไซ้ไล่เลียงไต่ถามเรื่องราวให้คลายสงสัย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะขืนทำแบบนั้นมีหวังคงถูกจับ
ได้แน่นอนว่าแท้จริงแล้ว เธอไม่ได้กลายเป็นคนความจำเสื่อมอย่างที่จันทร์เจ้าขาเข้าใจ

   หลังจากอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟากลางห้องโถง
คิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน ทำให้ตะวันฉายดีดกายลุกขึ้นมานั่ง
เพ่งสายตาฝ่าความมืด มองออกไปนอกหน้าต่างบริเวณประตูรั้ว

   ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ใครกันที่มาบีบแตรหน้าบ้านคนอื่นไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจเสียบ้างเลย...
   "จันทร์! จันทร์! จันทร์อยู่ไหม!" เสียงห้วนห้าวของบุรุษเพศดังตะโกนข้ามมาจากหน้าประตูรั้ว
ยิ่งสร้างความฉงนสงสัยในใจตะวันฉาย จนทำให้คิ้วเรียวบนใบหน้าคมขมวดเป็นปมมุ่น

   จันทร์เจ้าขาเผลอหลับไปเพียงไม่นาน ก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่น
เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูของลูกพี่ลูกน้องอย่างพี่ตั้มตะโกนเรียกโหวกเหวกอยู่

   ร่างบางรีบวิ่งออกจากห้องนอน มาหยุดยืนอยู่ตรงประตูบ้านเพื่อเปิดให้แก่แขกผู้มาเยือนในทันที
แต่ก็ยังช้ากว่าตะวันฉายอยู่ดี

   มือหนาผลักประตูบ้านเปิดออกด้วยความหงุดหงิดใจ นี่ใช่ไหมคำตอบที่เธอกำลังค้นหาอยู่
ไอ้ผู้ชายหน้าจืดตรงหน้านี่แน่ๆ ที่เป็นหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจเธอ

   "นายเป็นใคร มาหาจันทร์มีธุระอะไร แล้วรู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามกันห๊ะ?"
เสียงห้วนห้าวตะโกนถามปนต่อว่าเป็นชุด

   ตั้มมองร่างสูงที่ยืนหน้าบึ้ง กอดอกมองมาทางเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ก่อนจะขยับปากตั้งท่าตอบคำถามที่อีกฝ่ายรัวใส่
   "ฉันเป็น..."

   แต่ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำอะไรมาก เสียงหวานใสของจันทร์เจ้าขา
ก็เอ่ยแทรกขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

   "พี่ตั้ม!" ร่างบางแทบจะวิ่งถลาเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกประตูรั้ว
ด้วยความดีใจ จนลืมไปเสียสนิทว่าตรงนั้นยังมีร่างสูงโปร่งของใครอีกคนยืนขวางอยู่ก่อน
   "ยัยน้อง"

   จันทร์เจ้าขารีบเปิดประตูรั้วให้ชายหนุ่มเข้ามา ก่อนจะพุ่งตรงเข้าสวมกอดทักทายพี่ชายด้วยความคิดถึง
ตั้มเองก็อ้าแขนกางออกทั้งสองข้าง รับเอาร่างบางที่วิ่งถลาเข้าใส่ไว้ด้วยความยินดีที่ไม่ได้เจอะเจอกันมานาน
   ตะวันฉายยืนมองสองหนุ่มสาวซึ่งกอดกันกลมอยู่หน้าประตูบ้านด้วยความโมโหและหึง

ไม่มีใครหันมาสนใจมองเห็นหัวเธอสักคน จากแค่หงุดหงิด ไม่พอใจ ก็กลายเป็นโกรธระคนน้อยใจ
ทั้งที่ไม่เคยมีอาการเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิตเธอ
   "ไอ้บ้านั่นเป็นใครกันวะ ทำไมต้องโผล่มาตอนนี้ด้วย

หรือว่าจะเป็นแฟนของจันทร์ ถ้ามีแฟนแล้วทำไมถึงยอมให้เราจูบเอาๆ ตั้งหลายครั้ง"
ตะวันฉายเดินหน้าตึงกลับเข้ามาในบ้าน คิดพลางโมโหไปพลาง
จนกระทั่งจันทร์เจ้าขาเดินจูงแขน พาชายหนุ่มหน้าตาดีที่หล่อนเรียกว่าพี่ตั้ม
เข้ามาแนะนำตัวให้เธอรู้จักนั่นแหละ คนขี้โมโหยิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหึง
หวงหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มมากแค่ไหน

   "ตะวัน นี่พี่ตั้ม"
   "พี่ตั้มคะ นี่ตะวันเป็น..."
   "แฟนของจันทร์!" ร่างสูงลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มอย่างไม่กลัวเกรง ไหล่กว้างยักขึ้นกวนๆ
 "จันทร์เค้าบอกว่ายังงั้น" เสริมประโยคท้ายให้ด้วย กลัวว่าชายหนุ่มจะหาว่าเธอพูดไม่จริง
   จันทร์เจ้าขาทำตาโต ส่งเสียงปรามตะวันฉายที่แสดงกริยาไม่ควรออกมา
ใส่ชายหนุ่มผู้มาเยือนเช่นนั้น "ตะวัน!"

   ตอนนี้ตะวันฉายโมโหและหึงคนตัวเล็กจนหน้ามืดตามัวหัวหูหนวกจนฟังอะไรไม่ได้ยิน
ไม่สิ เธอไม่อยากได้ยินอะไรในเวลานี้ทั้งนั้น มือหนาจับข้อมือเล็กของจันทร์เจ้าขาดึงออกมา
ให้ยืนห่างจากชายหนุ่มมาดสำอาง พร้อมกับแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าอย่างไม่คิดปิดบัง
   "เธอบอกเองนะว่าเราเป็นแฟนกัน แค่ไปยืนกอดกับไอ้หมอนี่อยู่หน้าบ้านมันก็มากเกินไปแล้ว
ดีแค่ไหนที่ฉันไม่กระโดดต่อยหน้ามัน" ทำตาขวางมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า

   "พอแล้วน่าตะวัน" หญิงสาวเขย่าท่อนแขนเรียวเบาๆ เป็นเชิงห้าม
แม้ว่ามันจะน่าดีใจอยู่ไม่น้อยที่ตะวันฉายแสดงอาการหึงหวงออกมาให้เห็นโจ่งแจ้งก็ตาม
แต่สำหรับตั้มคงไม่เป็นที่พอใจเท่าไรนัก

   "ทำไมต้องปกป้องมันด้วย มีอะไรหรือเปล่าจันทร์" อย่าบอกนะ 10 ปีมานี้ที่เราไม่ได้เจอกันเธอกับไอ้นี่"
ตะวันฉายโมโหหึงจนลมออกหู พาลรีพาลขวางใส่จันทร์เจ้าขาไปด้วยอีกคน

   "เปล่า ไม่ใช่สักหน่อย คิดอะไรแบบนั้นกันเล่าตะวัน" จันทร์เจ้าขาเห็นท่าว่าตะวันฉายคงไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ
จึงเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจไปที่พี่ตั้ม ซึ่งพอจะมองออกอยู่เลาๆ ว่าอะไรเป็นอะไรแทน

   "โทษทีนะ ฉันขอคุยอะไรกับจันทร์เจ้าขาตามลำพังหน่อย" ตั้มยังคงเน้นเสียงคำว่าตามลำพัง
ให้ตะวันฉายรู้ว่าเธอกลายเป็นส่วนเกินของวงสนทนาไปแล้ว "แบบว่าตามลำพังสองต่อสองน่ะ"
ร่างสูงตรงดิ่งเข้าไปลากแขนบางของหญิงสาวออกห่างจากคนที่เอ่ยอ้างตัวว่าเป็นแฟน

 แล้วพากันเดินหายเข้าไปในห้องนอนสองคนปล่อยทิ้งให้ส่วนเกินแสดงอาการ
กระฟัดกระเฟียดอยู่รอนอกห้องด้วยใจร้อนรนกระวนกระวาย
   
"นี่มันอะไรเรื่องอะไรกันยัยน้อง"
   ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ตั้มก็ผลักร่างบางของหญิงสาวให้นั่งลงบนเตียงก่อนจะเริ่มกระบวนการ
ซักไซ้ไต่ถามถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนแปลกหน้าที่เขาเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก
แถมยังประกาศออกนอกหน้าอย่างไม่กลัวเกรงถึงความเป็นอริศัตรูกันอย่างชัดเจน

   "ก็คนนี้แหละ ที่เมื่อก่อนจันทร์เคยเล่าให้พี่ตั้มฟังอยู่บ่อยๆ น่ะ"
จันทร์เจ้าขายอมสารภาพออกมาก่อนที่ตั้มจะรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าตะวันฉายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้
   "อ้อ...คนนี้เองหรอกหรอ แต่ยัยน้องเคยบอกพี่ไม่ใช่หรอว่ามันไม่รับรักเราน่ะ"

    ศิราณีมืออาชีพกอดอกเบ้ปาก พิจารณาถึงเหตุการณ์ที่ล่วงผ่านมานานกว่าสิบปี
"แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ ไอ้ตะวันนั่นถึงได้โผล่ศีรษะมาแสดงท่าทางเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ยังกับหมาหวงก้างในตอนนี้"

   จันทร์เจ้าขารีบเอามืออุดปากลูกชายของป้าเอาไว้ ด้วยกลัวว่าตะวันฉายจะมาแอบได้ยินเข้า
 "เบาๆ หน่อยสิพี่ตั้ม เดี๋ยวตะวันก็มาได้ยินเข้าหรอก"

   ตั้มแกะมือบางออกจากปากแล้วตีหน้ายักษ์ใส่ "ทำไม ได้ยินสิดี
คอยดูนะพี่จะแกล้งปั่นหัวให้หมุนติ้วๆ เป็นลูกข่างเลย"

   "โธ่พี่ตั้ม...จันทร์ขอร้องละน้า" จันทร์เจ้าขายกมือขึ้นไหว้ขอร้องชายหนุ่มตรงหน้า
เธอไม่อยากให้เรื่องราวที่ส่อเค้าลางความยุ่งยากให้เห็นมาแต่ไกลอยู่แล้ว วุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก
"ตอนนี้ตะวันกลายเป็นคนความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

จันทร์ก็เลย...เอ่อ...โกหกหลอกตะวันไปว่าเราเคยเป็นคนรักกันมาก่อนน่ะ
ตะวันก็เลยเข้าใจผิดไปใหญ่ ทึกทักเอาเองว่าตอนนี้เราสองคนก็ยังคบหาเป็นแฟนกันอยู่"

   หญิงสาวจำต้องสารภาพความจริงออกมา เพราะรู้นิสัยพี่ชายของเธอดีว่าเป็นเช่นไร
ลองถ้าไม่ถูกชะตาถึงขั้นเหม็นขี้หน้ากันขึ้นมาแล้วล่ะก็
คนที่จะพลอยเดือดร้อนไปกับงานนี้ด้วยเห็นจะไม่พ้นตะวันฉาย
   
   ตะวันฉายเดินกอดอกวนไปเวียนมาอยู่นอกห้องนอนที่ไอ้พี่ตั้ม
 (จำต้องเรียกตามหญิงสาว เพราะว่าถูกบังคับข่มขู่ทางสายตาอยู่กรายๆ )
ลากแขนคนตัวเล็กผลุบหายเข้าไปเป็นนานสองนานด้วยความร้อนใจ

ผู้ชายกับผู้หญิงเข้าไปอยู่กันตามลำพังในห้องสองต่อสองเป็นเวลานานแบบนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ความคิดสับสนวุ่นวายตีรวนกันยุ่งไปหมด สร้างความปั่นป่วนในหัวสมองจนตะวันฉาย
จนทนรออยู่เฉยๆ ตรงนี้อีกต่อไปไม่ไหว

   มือหนากำหมัดพอเป็นกำปั้นหลวมๆ ก่อนจะทุบลงบนบานประตู
   "จันทร์...จันทร์ ฉันปวดหัวมากๆ เลย โอ๊ย...จันทร์ ปวด...ปวดหัว..."
   ร่างสูงส่งเสียงร้องโอดโอยครวญครางอยู่หน้าประตูห้องพร้อมกับบทบาทการแสดงปวดหัวเหลือคณา
เทคเดียวผ่าน ลองแม่พระจันทร์คนดีเปิดประตูมาเห็นเธอนอนดิ้นพราดๆ
เป็นไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกอยู่ตรงหน้า มีหรือยังจะสนใจไอ้บ้านั่นมากกว่าเธอได้อีก
ตะวันฉายได้แต่อมยิ้มสะใจให้กับชัยชนะที่ลอยเห็นเด่นอยู่ตรงหน้า

   "ตะวัน! สงสัยตะวันจะไม่สบาย จันทร์ขอตัวไปดูตะวันก่อนนะพี่ตั้ม
คืนนี้พี่ก็นอนที่โซฟาในห้องรับแขกแล้วกัน พรุ่งนี้เช้ามีอะไรค่อยคุยกันต่อ"
   จันทร์เจ้าพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนผละออกไปจากห้อง พอเปิดประตูออก
ก็เห็นร่างสูงลงไปนอนกุมขมับดิ้นพล่านๆ ทุรนทุรายอยู่ที่พื้น
ปากเอาแต่ร้องครวญครางบ่นแต่ว่าปวดหัวๆ

พลอยทำให้คุณหมอคนสวยคิดว่าเป็นผลมาจากการที่ตะวันฉาย
ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ศีรษะ จนถึงขั้นทำให้ความจำเสื่อม
   หญิงสาวไม่รอช้า เธอดึงร่างสูงที่นอนร้องด้วยความทรมานอยู่

นี้ขึ้นมานอนหนุนตักด้วยความสงสารเวทนาจับใจ มือบางลูบผมเส้นหนาไปมา
หวังให้คลายจากอาการเจ็บปวด
   "ไม่เป็นไรนะตะวัน...ใจเย็นๆ จันทร์อยู่นี่แล้ว..."

   ตะวันฉายรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมาทางสัมผัสแสนอ่อนโยนนั้น จึงค่อยๆ
อยู่ในอาการสงบนิ่งลง ดวงตาคู่คมมองใบหน้าหวานด้วยความตื้นตัน ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง
   "ขอโทษที่ฉันขัดจังหวะเธอกับไอ้หมอนั่น อยู่ๆ ก็ปวดหัวจนทำอะไรไม่ถูกเลย"

   ความจริงตะวันฉายอยากบอกเหลือเกินว่าเธอปวดตรงหัวใจมากกว่า
แต่ก็เอาเถอะ ยังไงก็ทำสำเร็จแล้วนี่ สามารถจับแยกจันทร์เจ้าขาออกมาจากไอ้พี่ตั้มนั่นได้
   "แล้วเธอเข้าไปทำอะไรกับมัน เอ้ยไอ้พี่ตั้มในห้องนั้นอยู่ได้ตั้งนานสองนาน"

   จันทร์เจ้าขาไม่ตอบ ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความไม่มีเหตุผลของตะวันฉาย
พูดอะไรไปตอนนี้คนที่กำลังถูกลมเพชรหึงเข้าครอบงำจนขึ้นหน้าคงไม่มีกะจิตกะใจ
จะรับฟังอะไรทั้งนั้น รอให้ตะวันฉายใจเย็น สงบลงกว่านี้ก่อนค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
   หญิงสาวคิดกับตัวเองแล้วลุกเดินไปหยิบยาแก้ปวดส่งให้ตะวันฉาย

   "กินยาซะก่อนนะ จะได้หายปวด"
   ตะวันฉายมองยาในมือบาง พลางคิด ไอ้อาการเจ็บปวดทางกายกินยานี่สักเม็ดสองเม็ด
ก็คงทุเลาบรรเทาพอให้หายได้ แต่ไอ้โรคปวดใจเพราะหึงคนตัวเล็ก

จนแทบจะกระโจนเข้าไปบีบคอไอ้บ้านั่นให้ตายคามือ โทษฐานที่มายุ่งกับคนที่เธอรัก
จะต้องกินยาอะไรมันถึงจะหายกัน คิดแล้วใบหน้าคมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาวพรืด
   "ไม่กิน"

   "อ้าว! ทำไมล่ะ ไม่กินแล้วมันจะหายปวดได้ยังไงกัน อย่าดื้อทำตัวเป็นเด็กกินยายากหน่อยเลย"
คราวนี้คุณหมอคนสวยถึงกับโวยวายเสียงดัง เมื่อเจอคนไข้ดื้อไม่ยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ
"ไม่กินไม่ได้ ยังไงตะวันก็ต้องกินยา ไม่งั้นจันทร์โกรธ ไม่พูดด้วยจริงๆ นะ"

   หญิงสาวทำหน้าบึ้งใส่พร้อมคำขู่ จนคนป่วยไม่มีทางปฏิเสธ แต่ถ้าจะกินแบบปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆ
ไปก็ไม่ใช่กัปตันตะวันฉายแล้วล่ะ

   "ก็ได้ กินก็ได้ แต่เธอต้องป้อนนะฉันถึงจะยอมกิน" ยักคิ้วหลิ่วตาใส่ด้วยใบหน้าทะเล้น
   จันทร์เจ้าขาจัดแจงแกะยาแก้ปวดออกจากซอง 2 เม็ด

จ่อรอตรงริมฝีปากคู่หนาที่ยังคงเม้มเข้าหากันสนิท ไม่ยอมอ้าปากกินยาที่เธอตั้งใจป้อน
   "ไหนบอกว่าถ้าจันทร์ป้อนแล้วตะวันจะกินยาไง นี่จันทร์ก็ป้อนแล้วทำไมยังไม่ยอมกินอีกล่ะ?"
ชักอ่อนอกอ่อนใจกับคนไข้จอมกะล่อนคนนี้เสียแล้ว
   "ไม่ใช่แบบนี้ ฉันไม่ได้ให้เธอใช้มือป้อนสักหน่อย" คนเจ้าเล่ห์แย้ง

   "ไม่ให้ใช้มือป้อนแล้วจะให้ใช้อะไรป้อนกันล่ะ" อดหวั่นไม่ได้ว่าคนตรงหน้าจะมีความคิดแผลงๆ อะไรขึ้นมาอีก
   "ใช้ปากป้อนไงจ๊ะ" ปลายนิ้วแตะลงมาบนริมฝีปากคู่สวยเบาๆ

   จันทร์เจ้าขาตาโตเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน ตะวันฉายจอมเจ้าเล่ห์ไล่ต้อนลูกแกะอย่างเธอเสียจนจนมุมอีกแล้ว
   "ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอไม่ใช้ปากป้อนฉันก็ไม่กินหรอกไอ้ยานั่น!"

   ร่างสูงยกมือขึ้นกุมขมับ ทำราวกับว่าอาการปวดหัวเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกระลอก
จนไม่มีเวลาให้จันทร์เจ้าขาได้คิดนาน
   "ก็ได้ๆ"

   มือบางหยิบเอายาใส่ปากคาบทีละเม็ด ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าคม เพื่อป้อนยาให้โดยใช้ปากต่อปาก
 เพียงแค่ริมฝีปากของทั้งสองได้แตะต้องถูกกัน พวงแก้มใสก็ร้อนผ่าวไปหมด
จันทร์เจ้าขารีบส่งน้ำตามให้คนเจ้าเล่ห์รับไปดื่มก่อนที่เม็ดยาจะติดคอตายเสียก่อน
   "หวาน...ชื่นใจจัง"

   ตะวันฉายเอ่ยปากบอกหลังจากกลืนยาทั้ง 2 เม็ดลงคอไปเรียบร้อยแล้ว
ใบหน้าคมยังคงจับจ้องอยู่ที่จันทร์เจ้าขาไม่ไปไหน
จนเจ้าของร่างบางต้องเป็นฝ่ายขยับหนีสายตาคมกริบคู่นั้นเสียเอง

   "เพื้ยนใหญ่แล้วตะวัน ยาที่ไหนหวานกัน" เสียงใสเอ่ยท้วง แม้จะรู้ดีว่าคนพูดหมายความถึงอะไร
   มือหนาคว้าท่อนแขนเรียวไว้ก่อนที่หญิงสาวจะวิ่งหนีไป พลางตอบ
"ก็ยาที่คุณหมอจันทร์คนสวยป้อนกับปากไง..."

   "บ้า! ทะลึ่งไม่มีใครเกินเลยตะวันนี่" ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอาย
เสียงใสร้องอุทานอย่างลืมตัว พอๆ กับที่ลงมือทุบอกกว้างของคนตัวสูงเบาๆ แก้อาการเขิน
   รอยยิ้มหวานของหญิงสาวทำให้ตะวันฉายลืมเรื่องที่สงสัยเป็นกังวลอยู่เมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
แม้จะอยากรู้จนอกแทบแตกตายว่าไอ้พี่ตั้มนั่นเป็นใคร และมีความสัมพันธ์สถานะไหนกับหล่อนกัน

แต่ก็เป็นเพราะไอ้บ้านี่แหละ ที่ทำให้เธอได้มีโอกาสนอนห้องเดียวกันกับจันทร์เจ้าขา
เรื่องอื่นจึงตกเป็นรองไป ค่อยว่ากันทีหลัง คืนนี้ขอนอนกอดคนตัวเล็กให้สมรักหายคิดถึงก่อนแล้วกัน

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น