web stats

ข่าว

 


เพียงใจดวงนี้ที่รักเธอ บทที่ 3

โพสต์โดย: mirin วันที่: 07 พฤษภาคม 2015 เวลา 22:40:45 อ่าน: 414

ตะวันฉายขับรถมาตามถนนสายหลักที่วิ่งตรงเข้าสู่ตัวเมืองได้สักพัก
สายฝนที่โปรยละอองเม็ดบางก็เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว

   "ฝนตกหนักขนาดนี้คงเข้าไปในเมืองไม่ได้แล้ว สงสัยว่าเราคงต้องกลับ
ไปหาอะไรกินที่บ้านแทนแล้วล่ะ" คุณหมอคนสวยที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทางเอ่ยขึ้นในที่สุด
ถนนหนทางที่นี่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร แถมทางยังเลี้ยวลดคดเคี้ยว ลาดชัน

จนทำให้เกิดอุบัติเหตุรถตกเขาอยู่บ่อยๆ ขนาดสภาพอากาศดีๆ เธอยังไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง
ใช่ว่าไม่ไว้ใจคนที่อาสาขับรถให้นั่งสบายๆ หรอกนะ เพียงแต่ตะวันฉายยังบาดเจ็บอยู่แถมมาความจำเสื่อมอีก
คงจะจดจำเส้นทางที่ขับผ่านมาได้ยากกว่าในเวลาปกติ

   ตะวันฉายกระตุกมุมปาก คลี่ยิ้มอย่างพอใจ ก็เธอต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น
อยู่แล้วนี่ ถึงจันทร์เจ้าขาจะไม่เอ่ยปากออกมา เธอก็ต้องหาทางไปบ้านของหล่อนให้ได้อยู่ดี
คนเจ้าเล่ห์แอบวางแผนอยู่ในใจตั้งแต่นาทีแรกที่ได้พบหน้าหญิงสาวแล้วว่า

จะไม่มีวันปล่อยให้โอกาสที่มีหลุดมือไปเป็นหนที่สอง ครั้งนี้เธอกลับมาหาจันทร์เจ้าขา
เพื่อทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้องต้องการมาแสนนาน
   "ก็ดีเหมือนกัน บ้านจันทร์ไปทางไหนล่ะ"

   "เลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กๆ ข้างหน้าตรงนั้นแหละจ้ะ" จันทร์เจ้าขาทำหน้าที่เป็นแผนที่บอกทางอย่างดี
เพียงไม่นานรถเต่าลายการ์ตูนน่ารักก็ขับมาจอดเทียบอยู่หน้ารั้วไม้ระแนงสีขาว
ที่กั้นอาณาบริเวณบ้านไว้อย่างมิดชิด

   ตะวันฉายมองสำรวจตัวบ้าน ด้วยความอยากรู้ว่าบ้านน้อยหลังงาม
ขนาดกะทัดรัดนี้นั้นมีสมาชิกอาศัยอยู่ร่วมชายคากี่คนกันเชียว
   "ถึงแล้ว บ้านจันทร์เอง" จันทร์เจ้าขายิ้มบอกแขกผู้มาเยือนด้วยความภูมิใจ
บ้านหลังนี้สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเองล้วนๆ พอเรียนจบได้มาทำงาน
ที่นี่เธอก็เก็บเงินสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา เพื่อให้แม่ซึ่งป่วยไม่สบายมาหลายปี

ได้มาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติท่ามกลางป่าเขาในชนบท
แต่แม่ก็ย้ายมาอยู่กับเธอได้ไม่ถึงสองปี ท่านก็จากไปอย่างสงบด้วยโรคประจำตัวที่รุมเร้ามานาน
   
สายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เริ่มซาเม็ดลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีเสียงฟ้าคำรามดังก้องอยู่เป็นระยะๆ
ตะวันฉายจำได้ไม่เคยลืมเลยว่าจันทร์เจ้าขากลัวเสียงฟ้าร้องแค่ไหน หากคืนนี้ฝนตกฟ้าร้องทั้งคืนก็คงจะดี
เพราะแม่พระจันทร์คนงามจะได้ไม่กล้านอนคนเดียว...แต่ว่าจะไม่ฉวยโอกาสไปหน่อยหรือวะตะวัน จู่ๆ

เสียงไอ้ตองก็ดังแทรกขึ้นมาทำลายความฝันอันหวานชื่นให้หายวับไป
   พร้อมกับร่างบางที่แทบจะกระโดดเข้ามานั่งกอดคอทับอยู่บนตัวเธอเต็มๆ
ใบหน้าหวานซุกลงกับไหล่กว้างอย่างตื่นตระหนก เมื่อจู่ๆ
เสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

   มือหนายกขึ้นลูบเรือนผมสีดำเบาๆ เพื่อให้คลายความกลัว พร้อมปลอบโยน
 "ชู่ว์...ไม่เป็นไรนะคนดีไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องกลัว...มีฉันอยู่ด้วยทั้งคน"
   จันทร์เจ้าขาซบอิงไหล่กว้างจนคลายความตระหนกตกใจลง

เมื่อเสียงสุดท้ายของสายอสุนีบาตที่เพิ่งฟาดเปรี้ยงลงมาเงียบหายไป
มีเพียงเสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคารถดังเปาะแปะๆ คล้ายเสียงผู้ชมปรบมือ
ถูกอกถูกใจกับฉากโรแมนติกของคู่เอกที่เพิ่งแสดงจบลงไป พวงแก้มใสแดงก่ำ
อายเหลือกำลังที่กระโดดกอดคอตะวันฉายไว้แน่นแบบนี้

   เรียวแขนบางค่อยๆ ผ่อนออกพร้อมกับร่างบางที่ขยับตัวออกห่าง
เพื่อจะได้มีที่ให้หายใจหายคอกันได้สะดวก "ขะ...ขอโทษนะ...คือ...จันทร์"
   ใบหน้าคมกลับมีรอยยิ้มกว้าง แสดงถึงความใจดีตอบกลับมา "ไม่เป็นไรหรอก ใครๆ
ก็กลัวเสียงฟ้าร้องกันได้ ฉันยินดีเป็นหมอนข้างให้เธอนอนกอดเป็นเพื่อนตลอดทั้งคืนเลยก็ได้
ถ้าคืนนี้ฝนจะตกไม่หยุด"

   คำพูดเสนอตัวของอีกฝ่ายฟังเรียบรื่นหูสบายๆ เหมือนกับไม่มีอะไรลึกซึ้งมากเกินไปกว่านั้น
แต่มันกลับสร้างความปั่นป่วนว้าวุ่นใจให้แก่จันทร์เจ้าขา จนหัวใจเต้นผิดจังหวะไปหมด
   "บ้าหรอ...ทะลึ่งใหญ่แล้ว" นิ้วเรียวอดที่จะบิดท่อนแขนของคนทะลึ่งไม่ได้ ส่วนหน้าก็แดงแจ๋
ดีที่มืดแล้ว ไฟสีส้มๆ จากในรถเพียงหลอดเดียวจึงไม่ทำให้ใบหน้าที่ซับสีเลือดฝาดของเธอเป็นที่สังเกตเห็น

   ตะวันฉายหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ นี่คุณหมอคนสวยคงคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้วสิ
จึงได้เอียงอายไม่กล้ามองหน้ากันตรงๆ แบบนั้น

   แล้วบรรยากาศโรแมนติกท่ามกลางสายฝน ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงท้องร้องโครกครากของคนที่หิวจนไส้กิ่ว
ตะวันฉายจึงวิ่งลงจากรถฝ่าสายฝนไปเปิดประตูรั้วที่กั้นอยู่ตรงหน้า

ก่อนจะพาเนื้อตัวเปียกชุ่มกลับมานั่งประจำตำแหน่งตามเดิม
ขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดยังโรงจอดรถภายในตัวบ้าน
   "ถึงแล้วค้าบบบ คุณหมอพระจันทร์คนสวย..."

หันมายิ้มตาหยีล้อเลียนหญิงสาวที่สั่งกำชับมาตลอดทางว่าไม่ให้เธอขับรถเร็ว
มือหนาคว้าท่อนแขนเรียวบางยกขึ้นทำท่าสำรวจ ทำเอาจันทร์เจ้างงต่อการกระทำของตะวันฉาย
จนรีบดึงแขนตัวเองกลับ พร้อมทำตาเขียวดุใส่คนทะเล้น

"ทำอะไรน่ะตะวัน"
   ตะวันฉายยิ้มก่อนตอบ "ฉันก็สำรวจดูความเสียหายไง
ไม่มีตรงไหนบุบสลาย แสดงว่าฉันขับรถดีใช้ได้ใช่ไหม""
   "บ้าหรอ...ตะวันนี่ไม่ใครเกินเลยจริงๆ" แต่ตะวันฉายก็ขับรถดีจริงๆ
นั่นแหละ เธออดยอมรับไม่ได้ "แล้วยังไง ขับรถดีแล้วยังไง""
 ย้อนถามกลับด้วยความสงสัย

   "ถ้าฉันขับรถดี นับต่อจากนี้ไปฉันก็จะขับรถไปรับไปส่งเธอไง ดีไหม"
มือหนาเอื้อมมาปัดปอยผมที่คลอเคลียระปิดแก้มเนียนออกให้
"จันทร์จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถเองไง..."

   น้ำเสียงอ่อนโยนกับท่าทีที่แสดงออกมาอย่างนุ่มนวลสร้างความซาบซึ้งตื้นตันใจ
แก่จันทร์เจ้าขาจนน้ำตารื้น นี่ขนาดแค่คำพูดนะเธอยังอ่อนไหวไปกับตะวันฉายได้ขนาดนี้
แล้วถ้ามากกว่านี้ล่ะ เธอจะยอมตัดใจปล่อยตะวันฉายกลับคืนไปสู่โลกความเป็นจริงที่จากมาได้ไหม...

   ตะวันฉายมองเห็นหยดน้ำใสคลอกลบในดวงตาคู่สวย นิ้วเรียวเชยคางมนให้หันมามองสบตา
ก่อนจะบรรจงเกลี่ยหยดน้ำออกจากแก้มนวล มือหนาดึงศีรษะเล็กโน้มเข้าซุกอิงกับอกกว้าง พลางปลอบ
"โอ๋ๆ...เงียบซะนะ อย่าร้อง...ดีใจถึงขนาดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเลยหรือไง..."
น้ำเสียงทะเล้นแกล้งยั่วให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น

   ตะวันฉายไม่อาจรู้ได้ว่าหญิงสาวคิดสิ่งใดอยู่ในใจ และนั่นก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนเสียน้ำตาออกมา
บางทีอาจเป็นเรื่องเดียวกับที่คอยตอกย้ำอยู่ในความฝัน ให้เธอรู้สึกเสียใจมาตลอด 10 ปี
ที่ผ่านมาก็เป็นได้...หากใช่เรื่องเดียวกันเธอก็จะขอเป็นคนลบล้างความเจ็บปวดเสียใจเหล่านั้นออกไปทั้งหมดเอง
   จันท์เจ้าขาผละออกจากอ้อมแขนคนเจ้าเล่ห์

แล้วตัดพ้อเบาๆ "คนขี้โกง..." กำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนต้นแขนพร้อมกับแจกค้อนวงใหญ่
   "โอ๊ย! เจ็บนะ" ตะวันฉายแกล้งร้องเสียงดัง งอตัวกุมต้นแขนตรงที่ถูกทุบด้วยความเจ็บปวด
จนจันทร์เจ้าขาหลงกลติดกับดักอีกรอบ

   "เป็นอะไรน่ะ เจ็บมากเลยหรือ ไหนขอจันทร์ดูหน่อยนะ..."
มือบางพยายามง้างมือตะวันฉายออกจากต้นแขนที่กุมอยู่ จนเธอไม่ทันระวังตั้งตัว
เปิดโอกาสให้คนขี้โกงที่เพิ่งว่าไปหยกๆ ฉกหอมแก้มขาวๆ ได้อย่างง่ายดาย
   "ชื่นใจจัง..." น้ำเสียงนุ่มทุ้มกระซิบเบาๆ ข้างหู นั่นแหละจันทร์เจ้าขา

ถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกหลอกแต๊ะอั๋งเข้าเต็มเปา ร่างบางรีบขยับห่างออก
มาก้มหน้าหนีสายตาหวานฉ่ำที่มองจ้องอยู่เป็นพัลวัน
   "คนเจ้าเล่ห์...คนขี้โกง" เสียงหวานๆ บ่นพึมพำเบาๆ

   ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งชอบใจ เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้างามจนปากแทบชิดติดแก้มเนียน
"ไหนเจ้าเล่ห์ตรงไหน...ขี้โกงตรงไหน ลองบอกหน่อยสิ ทีหลังจะได้ไม่ทำอีก"

   จันทร์เจ้าขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมที่อยู่ใกล้ถึงขนาดรับรู้ได้ถึงไออุ่นของลมหายใจกันและกัน
พร้อมแจกค้อนให้วงใหญ่ "เจ้าเล่ห์ที่...กอด ขี้โกงที่...หอม"

   "หึๆ เจ้าเล่ห์ที่กอด ขี้โกงที่หอม" คนเจ้าเล่ห์พูดทวนซ้ำให้ได้ยินชัดๆ อีกครั้งทำเอาคนฟังหน้าแดงก่ำไปหมด
"ก็ไหนบอกเองไม่ใช่หรอว่าเราเป็นคนรักกัน...คนที่เขารักกันเขาก็กอดก็หอมแก้มกันได้ไม่ใช่หรอ
แล้วฉันเจ้าเล่ห์กับขี้โกงตรงไหน" ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้กว่าเก่า
จนเรียวปากหนาแตะเข้ากับปลายจมูกเชิดรั้นของคุณหมอคนสวยอย่างตั้งใจ

"เคยเป็นต่างหาก" เสียงอ่อนหวานแย้งขึ้นเพียงแผ่วไม่เต็มเสียง
หัวใจในอกเต้นรัวโครมครามเมื่อได้ใกล้ชิดกับคนที่เธอปักใจรักมาเป็นเวลายาวนาน
ตะวันฉายหาได้ใส่ใจต่อคำพูดของหล่อนไม่ ไหล่กว้างไหวน้อยๆ

จะเคยเป็นหรือไม่เคยเป็น ยังไงนับจากนี้ เธอก็จะทำให้จันทร์เจ้าขากลายมาเป็นคนรักจริงๆ
ของเธอให้ได้อยู่ดี "เคยเป็นก็เป็นใหม่ได้อีก ไม่รู้ล่ะฉันจะถือว่าตอนนี้เราสองคนก็ยังรักกันอยู่
เหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อย่างที่จันทร์บอกก็แล้วกัน" ริมฝีปากอุ่นขยับเลื่อนเข้ามาใกล้กว่าเก่า
ไม่ต้องจินตนาการต่อก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมานับจากวินาทีนี้

แต่ยังไม่ทันที่ตะวันฉายจะได้ชิมรสหวานจากกลีบปากคู่สวยสมใจ ร่างบางก็อาศัยจังหวะนั้นเอียงตัวหลบ
เปิดประตูรถวิ่งฝ่าสายฝนหนีหายลับเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
ปล่อยให้ตะวันฉายนั่งอมยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่เพียงลำพัง

   ตะวันฉายเดินตามร่างบางที่หนีหายเข้ามาบ้านก่อนหน้าเพียงไม่กี่นาที
เธอหยิบหนังสือเล่มใหญ่กับกระเป๋าสะพายใบโตที่เจ้าตัวลืมทิ้งไว้ในรถถือลงมาให้ด้วย
   "จะให้เอาไว้ตรงไหนหรอ" ร่างสูงยืนชูของสองอย่างขึ้นหรา
เหลียวซ้ายแลขวามองหาที่ว่างที่พอจะวางของได้บ้าง

   จันทร์เจ้าขารีบปราดเข้ามาแย่งกระเป๋ากับหนังสือไปถือไว้เอง โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาคม
เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ยังไม่เลือนหายไปจากหัวสมอง   "ไม่เป็นไรเดี๋ยวจันทร์จัดการเอง"
   เห็นท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของหญิงสาว ตะวันฉายก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าหล่อนคงกลัว
ว่าเธอจะสานต่อเรื่องที่ค้างคาในรถเมื่อกี้นี้ต่อจนจบ

   ร่างสูงยืนกอดอกมองคนตัวเล็กที่กอดหนังสือกับกระเป๋าไว้แนบอกแน่น
ด้วยรอยยิ้มขัน "ทำไม" กลัวฉันจะทำอะไรเธอหรือไง"   

   ดวงหน้าหวานรีบเงยขึ้นตอบทันที "เปล่าสักหน่อย ทำไมจันทร์ต้องกลัวตะวันด้วย"
เธอแย้ง ถ้าจะกลัวน่าจะเป็นหัวใจตัวเองมากกว่าที่ควรกลัว
ว่าจะตกหลุมรักตะวันฉายมากไปกว่านี้จนยากจะถอนตัวขึ้น

   ตะวันฉายย่างสามขุม ขยับเข้ามายืนอยู่ไม่ห่าง "นั่นสิเนอะ...ทำไมเธอต้องกลัวฉันด้วย
ในเมื่อเราเป็นคนรักกัน...คนรักกันก็ย่อมแสดงความรักต่อกันเป็นเรื่องธรรมดาจริงไหม"
ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้ ท่อนแขนยาวยันเข้ากับกำแพง
เปรียบเสมือนคอกกั้นทำให้คนตัวเล็กหมดหนทางหนี

   จันทร์เจ้าขาหลับตาแน่น กลั้นหายใจ ยามที่ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้จนเธอรู้สึกได้
ถึงเรียวปากคู่หนาที่แตะผ่านข้างแก้มไปอ้อยอิ่งอยู่แถวๆ ติ่งหู

   "ฉันไม่ขืนใจเธอหรอกน่า คิดอะไรเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว"
มือหนาขยี้ผมที่นุ่มลื่นมือดุจเกลียวไหมแผ่วเบา
ก่อนจะขยับตัวถอยห่างพอให้หล่อนได้มีที่พอถอนหายใจ

   ดวงตากลมใสกะพริบเปลือกตาปริบๆ มองร่างสูงตรงหน้า
แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปไกลถึงไหนต่อไหน
หญิงสาวระบายลมหายใจออกช้าๆ โล่งอกที่ตะวันฉายไม่ทำอะไรอย่างที่เธอคิดไว้
ใช่ว่าไม่อยากสัมผัสเรียวปากหนาคู่นั้นหรอกนะ

เพียงแต่มันยังเร็วเกินไป...แต่อีกความคิดด้านนึงก็แย้งขึ้นมาว่าตลอดเวลา 10 ปี
ที่รอคอย แค่เพียงคนนี้คนเดียวมันยังเร็วเกินไปอีกหรือสำหรับจูบแรกน่ะ!

   ตะวันฉายจับไหล่บางดุนให้ออกเดินมาที่โซฟาเขียวสีมะนาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง
เธอกดไหล่คนตัวเล็กให้ค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลง พร้อมกับหยิบรีโมทฯ ทีวียัดใส่มือนิ่ม
ทำราวกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้านยังไงยังงั้น

   "นั่งดูทีวีรอก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันไปทำอะไรมาให้กิน"
   จันทร์เจ้าขาได้แต่มองใบหน้าคมส่งยิ้มหวานละไมมาให้อย่างงงๆ
แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ว่าแต่ว่าตะวันฉายที่เธอเคยรู้จักไม่ชอบเข้าครัวไม่ใช่หรอ
 
แถมไม่เคยดูแลเทกแคร์ เอาอกเอาใจใครอย่างนี้มาก่อน หรือเป็นเพราะสูญเสียความทรงจำไป
จนทำให้เผลอเข้าใจว่าเธอเป็นคนรักจริงๆ ขึ้นมา งั้นที่ตะวันฉายทำลงไปทั้งหมดก็แค่ความเข้าใจผิดสินะ
แบบนี้ถ้าความทรงจำที่สูญเสียไปฟื้นกลับคืนมา ตะวันฉายยังจะทำดีกับเธอแบบนี้อีกไหม
จันทร์เจ้าขารู้สึกหวั่นใจ อดกลัวขึ้นมาไม่ได้

   ตะวันฉายเห็นจันทร์เจ้าขาเอาแต่จ้องหน้าเธออยู่นานสองนาน จึงเอ่ยถามก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัว
 "มีอะไรหรือเปล่า จ้องเอาจ้องเอาแบบนั้นเดี๋ยวก็อิ่มฉันก่อนจะได้กินข้าวกันพอดี"
   ร่างสูงพูดหยอกเอินเสียจนดวงตากลมสวยของคนที่เอาแต่จ้องมองเปลี่ยนมาทำตาโตใส่
"บ้าหรอ! ทะลึ่งอีกแล้วนะ"

   "ใครว่าฉันทะลึ่ง ฉันพูดความจริงต่างหากล่ะ"ตะวันฉายแย้ง
   จันทร์เจ้าขาเห็นจะเถียงสู้ไม่ได้จึงเปลี่ยนเรื่อง "ไม่เอาไม่คุยด้วยแล้ว
ไหนว่าจะไปทำอะไรมาให้กินไม่ใช่หรือไง จันทร์หิวจะแย่อยู่แล้ว" เสียงใสร้องอ้อน นานๆ
ถึงจะมีโอกาสได้ทำอะไรอย่างที่ใจอยากสักที ขอหน่อยแล้วกัน

ไหนๆ ตะวันฉายก็เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองกลายเป็นคู่รักกับเธอไปแล้วนี่
คนรักกันจะอ้อนกันแบบนี้ก็คงไม่ผิดใช่ไหม

   ตะวันฉายยิ้มกว้าง มือหนาจับผมจันทร์เจ้าขาขยี้เบาๆ ด้วยความเอ็นดู
"ครับผม...รอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันไปทำของอร่อยๆ มาให้กิน"

   "รับทราบค่ะ" จันทร์เจ้าขาตอบกลับเสียงหวานพอๆ กับรอยยิ้มบนใบหน้า
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตะวันฉายเพิ่งมาบ้านเธอเป็นครั้งแรก แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน
"แล้วตะวันรู้หรอว่าห้องครัวอยู่ตรงไหนน่ะ"
   ร่างสูงยักไหล่เบาๆ "ไม่รู้หรอก"

   "อ้าว! ไม่รู้แล้วจะมาอาสาเป็นกุ๊กทำกับข้าวให้จันทร์กินได้ยังไง"
   "ก็ไม่เห็นยาก บ้านจันทร์หลังเล็กแค่นี้ มองปราดเดี๋ยวก็เห็นทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ถ้าให้เดาห้องครัวน่าจะอยู่ตรงนั้น ถูกไหม"

ตะวันฉายชี้ไปยังห้องที่อยู่ด้านหลังโถงรับแขก ติดกับห้องน้ำ
   จันทร์เจ้าขาตบมือเปาะแปะ ชื่นชมในความสามารถที่คาดเดาได้
อย่างถูกต้องแม่นยำของตะวันฉาย "ถูกต้อง เก่งมาก"

   พอได้เห็นรอยยิ้มหวานจับใจแบบนั้น ตะวันฉายจึงอดไม่ได้ที่จะขอมัดจำ
เป็นรางวัลก่อนที่จะเข้าครัวไปแสดงฝีมือทำอาหารออกมาให้หญิงสาวได้ชิม
ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ก้มลงประทับริมฝีปากหนาเข้ากับกลีบปากคู่สวย
   จันทร์เจ้าขาตกตะลึงตาค้างต่อจูบเพียงแผ่วเบาที่ซาบซ่านตราตรึงเข้าไปในหัวใจ
จนเธอไม่อยากให้ตะวันฉายถอนริมฝีปากผละจากไป
   
   ร่างสูงเดินหายเข้าไปในครัวนานแล้วทิ้งไว้เพียงร่องรอยสัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับจากริมฝีปากคู่หนา
แม้จะเป็นช่วงเวลาอันสั้น แต่จันทร์เจ้าขากลับจดจำทุกรายละเอียดที่ตะวันฉายมอบให้เป็นอย่างดี
นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามกลีบปากบาง ราวกับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่

   ทำไมต้องตื่นเต้นดีใจขนาดนี้ด้วยนะ...แค่ถูกจูบครั้งเดียวแค่นี้ หญิงสาวนึกตำหนิตัวเอง
ความคิดสับสนวุ่นวายตีกันยุ่งในหัว เธอจะทำอย่างไรหากสักวันหนึ่งตะวันฉาย
ได้ความทรงจำที่สูญเสียไปกลับคืนมา ถึงตอนนั้นเธอจะกล้าสู้หน้าเพื่อน

คนที่เธอรักฝังใจอยู่ข้างเดียวมาเป็นเวลานานได้อย่างไร...ตะวันฉาย
คงไม่มีวันให้อภัยเธออย่างแน่นอน และที่สำคัญความจริงในอดีตก็
จะหวนคืนกลับมาทำร้ายหัวใจดวงน้อยที่เคยชอกช้ำดวงนี้ให้เจ็บปวดปางตายอีกครั้ง

   แต่คิดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา ในเมื่อตะวันฉายความจำเสื่อมอยู่
ซ้ำยังหลงเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นคนรักของตัวเองจริงๆ ถึงได้ทำดีด้วยตั้งมากมาย
เธอก็จะขอซึมซับเอาไออุ่น กับความรักหลอกๆ ที่อีกฝ่ายทึกทักเข้าใจไปเองแบบนี้ก่อนแล้วกัน

ที่จริงอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร มิหนำซ้ำกลับยิ่งมีความสุขสดชื่นชุ่มฉ่ำหัวใจดีออก
จันทร์เจ้าขาชักไม่อยากให้คนตัวสูงจำอะไรๆ ขึ้นมาได้แล้วสิ
   
แต่แล้ว...
"ไม่ได้ คิดแบบนี้มันเห็นแก่ตัวเกินไป เห็นแก่ตัวชัดๆ" เผลอหลุดตำหนิตัวเองออกมา
หญิงสาวสั่นศีรษะอย่างแรง เพื่อสลัดภาพความคิดอันชั่วร้าย (ในความเข้าใจของเธอ)
ออกไปจากหัวสมอง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนดูทีวีบนโซฟา ระหว่างรอให้พ่อครัวคนพิเศษ
แสดงฝีมือทำอาหารจานแรกให้กิน หวังว่าไม่ต้องเตรียมยาแก้ท้องเสียไว้เผื่อด้วยหรอกนะ

   เพียงไม่นานกลิ่นหอมฉุยชวนน้ำลายสอของอาหารเมนูอะไรสักอย่างก็ลอยมาแตะจมูก
ร่างบางรีบขยับตัวลุกขึ้นนั่ง หันมองไปตามทางที่กลิ่นหอมนั้นโชยออกมา
จึงได้เห็นตะวันฉายถือจานข้าวผัดใบใหญ่สองใบเดินออกมา
   
"แต่น...แต่น...แต๊น ข้าวผัดสารพัดอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว"
ตะวันฉายวางจานข้าวใบโตลงตรงหน้าคุณหมอคนสวย แล้วก็มิวายกลั้นยิ้มไว้ในใจ
เมื่อเห็นหญิงสาวจ้องมองข้าวผัดจานโตด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว
ในขณะที่ลอบกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก

   จันทร์เจ้าขามองหน้าตะวันฉายอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง "นี่ตะวันทำเองหรอ""
มองหน้าคนทำสลับกับข้าวผัดในจาน เพราะเมื่อก่อนตอนที่ตะวันฉายมาอ่านหนังสือสอบที่บ้านเธอ
เคยเห็นเข้าไปป้วนเปี้ยนใกล้ครัวเสียที่ไหน มีแต่ตอนเก็บถ้วยจานล้างนี่แหละ ที่ขันอาสาเป็นอย่างดี
หรือเป็นเพราะว่าความจำเสื่อมถึงทำให้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้

ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องกลับมาจำอะไรได้เลยก็คงดี จะได้มีแต่ความทรงจำใหม่ๆ
แค่เธอกับตะวันฉายในช่วงเวลาดีๆ นับจากนี้เป็นต้นไป
   ...มีแค่กันและกันเพียงลำพังสองคนบนโลกใบใหม่นี้เท่านั้น จะขอมากไปหรือเปล่านะ

   "ก็ใช่น่ะสิ ดึกๆ แบบนี้ถ้าฉันไม่ทำเองจะให้ไปหาซื้อมาจากตลาดหรือไง"
น้ำเสียงฉุนขึ้นจมูกของพ่อครัวจำเป็นดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิดทำให้
จันทร์เจ้าขาพาสติตัวเองกลับมาให้ความสนใจกับข้าวผัดจานด่วนตรงหน้า

   "แหม...จันทร์ก็แค่ไม่เชื่อตาตัวเองเท่านั้นเอง ใครจะไปรู้ล่ะว่าตะวันสามารถน่ะ"
   ตะวันฉายนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม จัดแจงหยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักข้าวผัดใส่จาน
เธอเองก็หิวเต็มแก่แล้วเหมือนกัน "กินเถอะอย่ามัวแต่มองอยู่เลย
เดี๋ยวมันจะเย็นชืดเสียหมด กินไม่อร่อย"

   จันทร์เจ้าตักข้าวเม็ดสวยขึ้นไม่ถึงครึ่งช้อน จ่อดมที่จมูกเหมือนไม่แน่ใจว่ารสชาติจะกินได้
แม้ว่าหน้าตากับกลิ่นจะผ่านก็เถอะ

   "ทำไม กลัวฉันวางยาเธอหรือไง" ทำเหมือนไม่กล้ากิน มานี่ฉันกินให้ดูก่อนก็ได้"
พูดจบก็ชะโงกหน้าเข้ามางับข้าวไปจากช้อนที่จันทร์เจ้าขาถือค้างอยู่ แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
อย่างเอร็ดอร่อย เห็นหล่อนนั่งจ้องหน้าเขม็งตาไม่กะพริบแบบนั้นเลยนึกสนุกอยากแกล้งเสียหน่อย

มือหนายกขึ้นมาบีบกุมคอตัวเองแน่น พลางทำหน้าเขียวหน้าเหลือง
ตาเหลือกหายใจไม่ออกก่อนจะเอนตัวหล่นจากเก้าอี้
 ล้มลงไปนอนตัวชักกระตุกตัวเกร็งอยู่ที่พื้นไม่ถึงสองทีก็แน่นิ่งไป

   คนตัวเล็กรีบขยับลุกจากเก้าอี้ วิ่งเข้ามาดูร่างสูงที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นด้วยความตกใจ
ทีแรกนึกว่าคนเจ้าเล่ห์แกล้งอำเล่นสนุกๆ จึงไม่ได้รีบร้อนมาดูอาการแต่พอเห็นตะวันฉายลง
ไปนอนดิ้นชักกระตุกตาค้างอยู่ที่พื้นไม่กี่ทีแล้วนิ่งเงียบไป ก็ทำเอาจันทร์เจ้าใจขาคอไม่ดีขึ้นมา

   "ตะวัน! ตะวัน! ตะวัน!!! ได้ยินไหม เป็นอะไร ตอบจันทร์หน่อยสิ" มือบางเขย่าร่างสูงที่นอนนิ่ง
ไม่ไหวติงอยู่ที่พื้นอย่างแรง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอาการใดๆ ตอบสนองกลับมา

   คราวนี้จันทร์เจ้าขาใจคอไม่ดีหนักกว่าเดิม มือบางสาละวนจับชีพจรตรงข้อมือใหญ่
 และเมื่อเห็นว่ามันยังเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอปกติดีอยู่ จึงเอานิ้วอังบริเวณจมูก
คนตัวสูงนึกอยากลองใจคุณหมอหน้าหวาน จึงแกล้งกลั้นหายใจเสียดื้อๆ อย่างนั้น

อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะทำอย่างไรต่อ เมื่อพบว่าเธอหยุดหายใจไปแล้ว
และถ้าให้เดาหล่อนก็คงต้องเป่าปากผายปอดช่วยชีวิต เหมือนที่เธอพอรู้มาบ้างสินะ
แบบนี้ถ้าจะหาว่าขี้โกงก็ขอน้อมรับเอาไว้ด้วยใจจริงละกัน

   ร่างบางวิ่งหายออกไปจากโต๊ะกินข้าวสักครู่ก็กลับมาพร้อมกับสุนัขสีขาวขนปุยตัวเล็ก
แม้นาทีแรกที่เห็นตะวันฉายลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้นจะทำเธอตกอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
แต่พอตรวจร่างกายจนละเอียดแล้วถึงทำให้รู้ว่า เธอถูกคนช่างแกล้งอำเอาอีกแล้ว
คราวนี้ถึงตาเธอเอาคืนบ้างแล้วล่ะ

   ตะวันฉายยังคงแกล้งหลับตาต่อ ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่ากำลังจะได้จูบ...ที่รอคอย
   "แบบนี้ต้องช่วยผายปอด"

   เสียงหวานใสพูดอยู่ตรงหน้า ทำเอาคนแกล้งตายนอนยิ้มฝันหวานรอจูบ แต่จูบรสละมุนที่เฝ้ารอ
กลับกลายเป็นลิ้นสากๆ ชื้นๆ แฉะๆ แลบเลียไปทั่วหน้าคมแทน ทำให้ตะวันฉายรีบลืมตาตื่นโดยอัตโนมัติ
   "เฮ้ย!" ร่างสูงกระเด้งตัวขึ้นมานั่ง พร้อมกับเช็ดหน้าเช็ดตา เช็ดคราบน้ำลายเจ้าสุนัขขนปุกปุยสีขาว
พันธุ์ปอมฯ ให้จ้าละหวั่น

   "อ้าวตะวันฟื้นแล้วหรอ" เสียงหวานใสเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ในที่สุดก็เอาคืนคนชอบแกล้งได้สำเร็จ
   "นี่แกล้งกันหรอ"" ตะวันฉายร้องถาม ชี้นิ้วไปที่ก้อนกลมๆ ขนฟูปุยสีขาวที่อยู่ในอ้อมแขนจันทร์เจ้าขา
   "ก็ตะวันอยากแกล้งจันทร์ก่อนทำไมล่ะ" หญิงสาวยิ้มสดใส มีความสุขที่ได้แกล้งจอมกะล่อน
   "ใครว่าแกล้ง ฉันเป็นจริงๆ ต่างหากล่ะ" คนเจ้าเล่ห์ยังยืนกรานเสียงแข็ง ไม่ยอมรับสารภาพ

   "เป็นอะไร" จันทร์ก็เห็นตะวันสบายดีอยู่ ไม่เห็นเป็นอะไรสักหน่อย"
มือบางลูบขนฟูฟ่องดุจปุยนุ่นของเจ้ากะทิ สุนัขตัวน้อยที่เป็นเพื่อนแก้เหงาอย่างรักใคร่เอ็นดู
   "ใครว่าล่ะ ฉันไม่สบายจริงๆ เพียงแต่ไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง"

น้ำเสียงจริงจังพอๆ กับสีหน้าแววตาที่มองใบหน้างามตรงหน้า
   "เป็นอะไร ก็บอกมาก่อนสิ เผื่อจันทร์จะรักษาให้ได้" จันทร์เจ้าเผลอพูดออกไปโดยไม่ทันคิด
   แน่นอนโรคที่ตะวันฉายเป็นมีเพียงคุณหมอพระจันทร์คนสวยคนเดียวเท่านั้นที่จะรักษาให้หายได้
และที่เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าคุณหมอจันทร์เจ้าขาเป็นหมอเทวดาหรอกนะ

เพียงแต่ว่าโรคที่ตะวันฉายป่วยเรื้อรังมานานนี้นั้นมันมีต้นเหตุมาจากคุณหมอคนสวยตรงหน้านี่แหละ
   "เป็นโรคต่อมความคิดถึงทำงานหนักจนลงแดงน่ะสิ...คุณหมอจันทร์ช่วยรักษาให้ทีนะ
ก่อนที่คนไข้คนนี้จะขาดใจตายไปเสียก่อน" พูดแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้

หวานเป็นกับเค้าตั้งแต่เมื่อไรกันนะนั่น นี่ถ้าไอ้บาสกับไอ้ตองมาได้ยินคงวิ่งแย่งกันเข้าห้องน้ำไปอ้วกแทบไม่ทัน   
   "ตะวัน! ขี้โกงอีกแล้วนะ" จันทร์เจ้าขาผลักร่างสูงที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบเสียจูบให้อีกรอบ
ส่วนเจ้ากะทิกระโดดผลุงออกไปจากอ้อมแขนวิ่งหนีหายกลับบ้านของมันไปด้วยความแสนรู้ 

เมื่อเห็นว่าตะวันฉายไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่เธอตื่นตกใจในคราแรก
ร่างบางจึงเดินกลับมานั่งประจำที่บนโต๊ะรับประทานอาหารตามเดิม
 "กินข้าวดีกว่า เห็นไหมเย็นหมดแล้วมัวแต่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ อยู่นั่นแหละ"

ตักข้าวเข้าปากตัวเองเคี้ยวตุ้ยๆ ลงคออย่างอร่อย ไม่น่าเชื่อว่าแค่ข้าวผัดธรรมดาๆ
ที่ตะวันฉายทำจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้ มื้อนั้นจันทร์เจ้าขาจึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ
ถึงขนาดกินข้าวจนหมดเกลี้ยงจาน

   ตะวันฉายนั่งมองใบหน้าหวานตักข้าวใส่ปากกลืนลงคอคำแล้วคำเล่าอย่างสุขใจ
ไม่รู้ว่าที่หล่อนกินจนหมดไม่เหลือข้าวติดจานสักเม็ดเป็นเพราะวันนี้ทำงานหนักเหนื่อยมาทั้งวัน
หรือเป็นเพราะว่ามันอร่อยอย่างที่ปากคู่สวยเพิ่งเอ่ยชมไปหยกๆ

แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ แค่ได้เห็นหญิงสาวกินจนเกลี้ยงจานไม่เหลืออย่างนั้น คนทำก็สุขใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น