web stats

ข่าว

 


STEP BY STEP กว่าจะรู้ว่ารัก ตอนที่ 15 ผู้หญิงของฉัน

โพสต์โดย: TrueDream วันที่: 05 พฤษภาคม 2015 เวลา 07:25:14 อ่าน: 449

ม่านฟ้าทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา วันนี้ไอรดามาส่งเธอแล้วรีบออกไปธุระ...ไม่ทันอยู่ทานข้าวด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวก็ยังไม่ลืมที่จะซื้อข้าวเย็นเอาไว้ให้เธอ แต่เมื่อไม่มีไอรดาอยู่ด้วยม่านฟ้าก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าห้องนี้มันช่างกว้างใหญ่และว่างเปล่า...

ไม่ใช่ว่าเจ้าของห้องตัวจริงไม่เคยทิ้งเธอเอาไว้แบบนี้ แต่เพราะฝ่ายนั้นไม่ได้ทำอย่างนี้นานแล้ว และเมื่อมันเกิดขึ้นอีกครั้งกลับส่งผลร้ายแรงต่อม่านฟ้าอย่างที่เจ้าตัวเองก็คาดไม่ถึง...นี่เธอกลายเป็นคนติดไอรดาไปแล้วหรืออย่างไร...

อันที่จริงวันนี้เธอรู้สึกว่าแผลของตนนั้นช้ำระบมขึ้นมาทำเอาปวดไปทั้งตัว และดูจะมีอาการไข้นิดๆ แต่เมื่อมันไม่ได้หนักหนาและไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วงจึงไม่ได้บอก แต่ตอนนี้เธอเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเธอพูดออกไปฝ่ายนั้นจะทำอย่างไร จะยอมอยู่เป็นเพื่อนเธอหรือไม่ มันเป็นความรู้สึกที่อยากมีความสำคัญขึ้นมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกอยากจะใช้มารยาหญิงให้เป็นบ้าง

นักศึกษาสาวตั้งใจจะหยิบงานของตัวเองขึ้นมาทำ แต่แล้วเธอก็ไม่อาจจับสมาธิได้ เฝ้าพะวงถึงแต่เจ้าของหัวใจ เธอรู้ว่าการที่ไอรดาบอกว่าจะกลับดึก...บางทีมันอาจจะหมายถึงเกือบเช้า...แต่เธอก็ยังกระวนกระวายใจ

นี่คุณไอซ์จะไปทำธุระอะไรกลางดึกกลางดื่นขนาดนั้น...ยิ่งคิดม่านฟ้าก็ยิ่งไม่สบายใจและความคิดของเธอแต่ละอย่างก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก มันกระตุ้นความรู้สึกด้านลบมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกหวงแหนและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แค่คิดว่าไอรดาอาจจะทำกับใครเหมือนที่ทำกับเธอหรือทำยิ่งกว่านั้นมันก็ทำให้เธอทั้งเจ็บปวดและขุ่นเคือง

เธอไม่อยากให้ใครได้รับสัมผัสอบอุ่นของไอรดา ไม่อยากให้ใครได้สูดดมกลิ่นกายหอมละมุน ไม่อยากให้ใครได้สัมผัสจับต้องร่างกายนั้นนอกจากเธอ อยากให้ทุกอย่างของไอรดาเป็นของเธอคนเดียวมอบให้เธอคนเดียว...เพราะทุกอย่างของเธอนั้นยินดียกให้ไอรดาจนหมดสิ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยขออะไรจากเธอสักอย่างเดียว แต่เธอก็มอบให้ทั้งหมดอย่างไม่อาจขอคืน...ก็โลกทั้งใบของเธอมีเพียงไอรดาแค่คนเดียว...

แต่แล้วม่านฟ้าก็สำนึกได้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกแบบนั้น...คิดไปคิดมาน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลรินอย่างห้ามไม่ได้ หญิงสาวพยายามปัดความคิดเหล่านี้แล้วเปลี่ยนไปทำงานบ้านต่างๆ เฝ้ารอให้เวลาหมุนไป...




เมธาวีนั่งหมุนโทรศัพท์ในมือเล่นอย่างใจลอย หลังจากคุยกับมนันยาซึ่งคล้ายจะกลายเป็นกิจวัตร แต่วันนี้ในสมองเธอมีเรื่องอื่นๆ มากมายจนจนต้องขอวางสายเร็วกว่าปกติ เธอกำลังทบทวนและพยายามปลุกปลอบใจเพื่อที่จะโทรหาอนิรุทธ์น้องชายของเธอ

ตำรวจสาวถอนใจก่อนจะไล่หาเบอร์โทรในรายชื่อไม่แน่ใจว่าน้องชายจะยังใช้เบอร์นี้หรือไม่ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจกดโทรออกไป ซึ่งกว่าปลายสายจะกดรับก็เนิ่นนานจนเธอเกือบจะถอดใจ
"สวัสดีครับ" เสียงห้าวทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้น

เมธาวีรู้สึกว่าเสียงของเขาดูทุ้มขึ้นกว่าที่เคยได้ยิน อาจจะเพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงนี้ ปีนี้อนิรุทธ์ก็ 21 ปีแล้วสินะ แล้วครั้งสุดท้ายเธอเจอกับน้องชายเมื่อไรกันนะ...น่าจะเป็นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และมันเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แทบจะเรียกว่าแค่เดินผ่าน

อันที่จริงเธอมีช่วงเวลาที่อยู่กับน้องชายไม่มากนัก ที่จะอยู่ด้วยกันตลอดน่าจะเป็นช่วงที่เธออายุได้ 8 ปี และอนิรุทธ์เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น จนเธออายุได้ 17 ปี จากนั้นก็อาจจะพบกันบ้างปีละครั้งหรือ 2 ครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ

ในช่วงเวลาหนึ่งอนิรุทธ์เคยเป็นเด็กน่ารักและติดพี่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เกิดความบาดหมางระหว่างกัน...ที่แน่ๆ มันเกิดขึ้นหลังจากเธอออกจากบ้าน...เมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งอนิรุทธ์ไม่เคยพูดดีๆ กับเธอหรือจะฟังคำพูดใดของเธออีกเลย...เธอไม่รู้ว่าระหว่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เธออาจจะต่อต้านพ่อของตัวเอง อาจจะไม่ชอบแม่ของอนิรุทธ์ แต่เธอไม่เคยรู้สึกไม่ดีกับเด็กคนนี้

คนน้องอาจจะลืมว่าเคยรักกันแต่เมธาวีไม่เคยลืม เด็กคนนี้ยังเป็น 'น้องของเธอ' อยู่เสมอ คนเป็นพี่อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้เจ้าเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง....

"นี่พี่เองนะ เอ" ตำรวจสาวเลือกที่จะแนะนำตัวออกไปก่อน ไม่แน่ใจว่าน้องชายได้บันทึกชื่อเธอเอาไว้หรือไม่

"ครับ รู้แล้ว พี่มีอะไร" เสียงนั้นบ่งบอกว่ากำลังรำคาญอยู่หน่อยๆ เมธาวีที่คิดจะถามว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่จึงเปลี่ยนใจ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ไม่ต้องรู้แล้วว่าว่างไม่ว่าง

"เอกำลังทำธุรกิจเปิดบาร์กับเพื่อนหรือเปล่า" ตำรวจสาวถามขึ้น เผื่อว่าน้องชายอาจจะไม่รู้เรื่องว่าตนมีรายชื่ออยู่ในนั้น

"ใช่ครับ...พี่รู้ได้ไง" อนิรุทธ์เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปอึดใจ เขาไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีคนในครอบครัวรู้อย่างแน่นอน

"เอ...ถอนตัวออกมาเถอะ อย่ายุ่งกับธุรกิจนี้อีกเลย" เมธาวีบอกอย่างอึดอัดใจ มันก็เสี่ยงที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่รู้ว่าอนิรุทธ์สนิทกับพวกนั้นแค่ไหน จะเอาเรื่องที่คุยกับเธอไปพูดต่อด้วยความไม่เห็นสำคัญหรือไม่

"แล้วมันเรื่องอะไรล่ะครับ ธุรกิจของผมกับเพื่อนๆ ก็กำลังไปได้ดีมีกำไรทุกเดือน" อนิรุทธ์ถาม แม้จะได้รับกำไรส่วนแบ่งไม่มาก แต่ก็ได้เรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะขาดทุนหรือมีปัญหาติดขัด
"รู้หรือเปล่าว่ากำลังทำธุรกิจอะไรน่ะ" เมธาวีถาม แม้ว่าเธอจะมั่นใจในตัวน้องชาย แต่ช่วงเวลาที่ห่างกันทำให้เธอเริ่มลังเล

"ผมก็ทำบาร์กับเพื่อนไง พี่น่าจะรู้นี่ ถ้าจะรู้ขนาดนั้นแล้ว" อนิรุทธ์ตอบ เขาเริ่มจะคิดว่าบางทีที่ร้านอาจจะมีปัญหาบางอย่างกับตำรวจ อาจจะมีคนตีกันหรือเด็กเข้าร้าน แล้วทำไมไม่มีใครบอกเขา แม้ว่าเขาจะอายุน้อยที่สุดในหมู่พวกที่ร่วมกันลงทุน แต่เขาควรจะมีสิทธิ์รับรู้

"หรือที่ร้านผมมีปัญหาอะไร"

เมธาวีได้แต่ถอนใจ น้องชายของเธอคงไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ แต่ครั้งนี้ถือว่าคุยได้นาน น่าดีใจที่อนิรุทธ์ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและสงบลง ไม่ได้ต่อต้านเธอไปทุกคำพูดอย่างเมื่อก่อน

"มีแน่ๆ ปัญหาใหญ่เลย" คนเป็นพี่พูดพลางถอนใจ กำลังลังเลว่าเธอควรจะพูดกับน้องอย่างไรดี

"เอาเถอะ เดี๋ยวผมถามเพื่อนก็ได้ แค่นี้นะครับ" ชายหนุ่มตัดบท แต่เมธาวีร้องห้ามเอาไว้ก่อน

"A-bar เป็นแหล่งซ่องสุมเรื่องผิดกฎหมายหลายอย่าง พี่คงบอกได้แค่นี้ และหากเอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ควรถอนตัวออกมาซะ" เมธาวีบอกอย่างราบเรียบรวดเร็วแต่ชัดเจน

"ตลกละ ไม่มีทาง" เสียงที่ปลายสายเอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อถือหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง

"พี่กำลังอิจฉาผมหรือไง ยังไงซะผมก็เป็นลูกรักเพียงคนเดียวอยู่แล้ว พี่อย่าพยายามอีกเลย" เสียงตอบกลับนั้นเย้ยหยัน เขารู้สึกเป็นรองพี่สาวเสมอในเรื่องที่เขายังหาเงินเองไม่ได้เท่านั้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เขาสามารถหาเงินเองได้และนำเงินก้อนไปอวดคนในครอบครัว แม้ว่าจะไม่เคยบอกว่าได้มาจากไหน และทุกคนก็ภูมิใจในตัวเขามาก

เมธาวีถึงกับคอแข็ง เธอไม่เคยคิดว่าแย่งชิงอะไรกับน้องชาย เธอแค่ปลีกตัวออกห่างและไม่เคยคิดกลับเข้าไป แม้ว่าส่วนหนึ่งลึกๆ ในใจจะอยากกลับไปก็ตาม

"อยากคิดอะไรก็คิดไปเถอะ ฉันอุตส่าห์นึกว่าแกโตแล้ว" เมธาวีตอบเรียบๆ เก็บทุกความรู้สึกเอาไว้ในใจ ดีใจที่เป็นการคุยทางโทรศัพท์ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากัน

"ฉันได้แค่เตือนว่า แกกำลังยุ่งกับเรื่องอันตราย เอาตัวออกมาซะและที่สำคัญเรื่องที่คุยกับฉันวันนี้ต้องเป็นความลับ" เมธาวีกล่าวเสียงเย็นก่อนจะเป็นฝ่ายกดวางสายไปเองโดยไม่พูดจาอะไรอีก
หญิงสาวโยนเครื่องมือสื่อสารลงบนเตียง เธอโมโหแต่ก็เป็นห่วง ความรู้สึกมากมายตีกันวุ่นวายไปหมด แล้วทีนี้เธอจะกันเจ้าเด็กนี่ออกมาได้อย่างไร

หากบอกพ่อ...อาจจะทำให้อนิรุทธ์ยิ่งเตลิดด้วยความที่หัวแข็งเป็นที่สุด หากกำลังรู้สึกว่าถูกบังคับต่อให้รู้ว่าผิดเด็กคนนี้ก็ยินดีจะทำ หากให้พ่อมาบังคับมากไปเธอเกรงว่าจากที่อนิรุทธ์ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อาจจะทำให้เจ้าเด็กนั่นหันไปร่วมวงด้วยจริงๆ

แล้วนี่เธอจะทำอย่างไร....

สุดท้ายแล้วเมธาวีก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์แล้วโทรไปหารวีวรรณขอร้องให้เพื่อนช่วยดูแลน้องชายของเธออยู่ห่างๆ ซึ่งเพื่อนรักก็รับปากเธอในเรื่องนี้ รวีวรรณรับปากแล้วเมธาวีก็รู้สึกสบายใจขึ้นในทันที อย่างน้อยอนิรุทธ์ก็จะปลอดภัย





ม่านฟ้ามองดูนาฬิกาที่บอกเวลากว่า 5 ทุ่มแล้ว ด้วยแผลที่ปวดระบมทำให้ร่างกายบอกว่าอยากพักผ่อน แต่เธอกลับไม่อาจข่มตาหลับได้เกิน 10 นาที ไม่ใช่ว่าเธอไม่พยายามนอน แต่เพราะมักจะสะดุ้งตื่นมาด้วยความกังวลใจ ขนาดยาแก้ปวดเธอก็ทานแล้ว แต่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักอย่าง ไม่ได้ปวดน้อยลงเท่าไร และไม่ได้ทำให้หลับง่ายขึ้นเลย

ในที่สุดเธอก็ทนเสียงเรียกร้องภายในใจไม่ไหว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะกดโทรหาคนที่เธอเฝ้าคิดถึง อย่างน้อยขอให้ได้ยินเสียงเสียหน่อยก็ยังดีมันอาจจะทำให้เธอนอนหลับลงไปได้ เบอร์ของไอรดานั้นหาไม่ยากเลย เพราะเบอร์ที่โทรเข้าโทรออกภายในเครื่องของเธอก็มีแค่เบอร์เดียว นอกนั้นเธอเพียงแค่บันทึกเอาไว้เฉยๆ หญิงสาวยังลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดโทรออกไป

"มีอะไรคะ" เพียงไม่นานเสียงหวานๆ ที่ปลายสายก็ดังขึ้น ฟังดูคล้ายว่าเธอกำลังกังวลใจ ทำเอาคนโทรรู้สึกผิด

"เปล่าค่ะ...คือจะถามว่า...พี่ไอซ์จะกลับเมื่อไรคะ" ม่านฟ้ากลั้นใจถามออกไป เมื่อเห็นว่าเรียกพี่แล้วฝ่ายนั้นไม่ได้ว่าอะไรอีกทั้งยังดูพอใจ เธอจึงเปลี่ยนมาเรียกไอรดาว่า 'พี่ไอซ์' เพราะมันก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความใกล้ชิดมากขึ้นเช่นกัน

"พี่ก็ไม่รู้ค่ะ งานพี่ยังไม่เสร็จเลย ฟ้านอนไปก่อนเลยค่ะ" ทางนั้นบอกท่าทางลำบากใจไม่น้อย ขณะที่ม่านฟ้ากำลังจะวางสายด้วยอาการซึมๆ เสียงหวานก็ทักขึ้นมาเสียก่อน

"อาการเป็นไงบ้างคะ เจ็บแผลเหรอ" ในน้ำเสียงนั้นเจือด้วยความห่วงใย

"ปวดค่ะ..." ม่านฟ้าตอบเพียงเท่านั้น แม้จะอยากให้อีกฝ่ายรีบกลับแต่ยังไม่กล้าที่จะงอแง

"ทานยาแล้วนอนนะคะ พี่จะพยายามรีบกลับ" ไอรดาบอก ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใย อยากจะกลับไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะออกมาไม่ได้จริงๆ อันที่จริงเธอก็ลังเลอยู่ตั้งแต่ช่วงเย็น แต่เพราะม่านฟ้าบอกว่าไม่เป็นอะไร เธอจึงตัดสินใจมา และงานนี้มันก็สำคัญกับเธอจริงๆ

"แค่นี้ก่อนนะคะ" แล้วก็เป็นไอรดาที่ตัดสายไป ก่อนที่ม่านฟ้าจะได้กล่าวอะไร หญิงสาวได้แต่ถอนใจ คงเป็นเธอที่ต้องหาทางจัดการกับตัวเอง...




ร่างงามอรชรของไอรดาพยายามเดินให้มั่นคง เธอไม่อยากตกอยู่ท่ามกลางสายตาใคร่รู้อยากลองเหล่านี้มากนัก วันนี้เธอดื่มไปค่อนข้างมากจริงๆ หากเป็นปกติเธอคงไม่ยอมให้ตัวเองมึนเมาขนาดนี้ แต่เพราะความคิดคำนึงเธออยู่กับสาวน้อยที่คอนโดฯ มากกว่าอย่างอื่น ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าการเจรจาของเธอในวันนี้ควรรีบจบให้เร็วที่สุด เพราะดูอย่างไรอีกฝ่ายก็มีเจตนาจะ 'เคลม' เธอมากกว่าอย่างอื่น

วันนี้เป็นการเจรจาที่น่าอึดอัดใจมากครั้งหนึ่ง เพราะสาระแทบจะไม่มี จุดประสงค์มันเหมือนจะบอกอยู่โต้งๆ ว่าฝ่ายนั้น 'ต้องการอะไร' ยิ่งนานยิ่งใกล้จะเลยเถิด แต่เธอเองไม่ได้มีทางเลือกมากนักเพราะทางนั้นก็ 'ใหญ่' พอสมควร เธอได้แต่นั่งนึกถึงม่านฟ้าอย่างไม่สบายใจ ไม่อยากให้เด็กน้อยผิดหวังในตัวเธอแม้ทางนั้นจะไม่ได้มารู้มาเห็นอะไรด้วยแต่เธอก็รู้สึกผิด สุดท้ายแล้วเธอจึงต้องทำการมอมเหล้าซึ่งก็ไม่ง่ายเลย เธอต้องงัดทุกกลยุทธมาใช้ กว่าจะสำเร็จไปได้ก็ทำเอาเธอมึนๆ เกินลิมิตไปเหมือนกัน

หญิงสาวโล่งใจที่กำลังจะได้กลับไปหาคนที่รอแม้ว่าจะสภาพไม่ดีนัก แต่ก็ภูมิใจที่ยังรอดกลับมาได้โดยไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัวไปมากกว่านี้ ถึงจะถูกฉวยโอกาสไปเยอะแต่ถือว่าเธอระวังอย่างดีที่สุดแล้ว ยังติดแค่ว่าดูเหมือนจะถูกสร้างร่องรอยที่ฐานคออยู่รอยหนึ่งซึ่งทำให้เธอกังวลไม่น้อย หากไม่เกรงว่ากระทบงานของบิดาเธอคงต้องขอสักหมัด ทั้งโมโหทั้งขยะแขยง

หวังว่าม่านฟ้าจะไม่เห็น...คืนนี้น่าจะรอดไปได้เพราะอีกฝ่ายคงหลับไปแล้ว ส่วนพรุ่งนี้เธอคงต้องหาทาง...เรื่องแบบนี้เครื่องสำอางก็พอจะช่วยได้ กลบๆ รอยสักหน่อยไม่น่ามีปัญหา แค่อย่าบังเอิญให้ม่านฟ้าเห็นเข้าก่อนก็พอ

ด้วยความที่กำลังมึนเมาบวกกับกำลังคิดอะไรอยู่ ทำให้เธอเดินเข้าไปชนกับร่างสูงแกร่งเข้าจนเกือบจะลงไปกองกับพื้นหากไม่ได้มือแข็งแรงนั้นโอบประคองเอาไว้ หญิงสาวสะบัดตัวเล็กน้อย แต่เจ้าของอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย ไอรดาจึงมองอย่างขุ่นเคืองก่อนจะใช้สองมือดันตัวเองออกมา ซึ่งคราวนี้อีกฝ่ายยอมให้เธอถอยห่างแต่ไม่ได้ปล่อยให้ไปไหน

เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวไม่ต่ำกว่า 180 อย่างแน่นอน แต่จากการสัมผัสเมื่อครู่ไอรดารู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มผอมบางอย่างที่เห็นภายนอก แต่เป็นชายหนุ่มที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีกล้ามเนื้อมัดแข็งๆ ดูแกร่งเกร็งไปทั้งตัว

ผู้ชายคนนี้นับเป็นหนุ่มที่มีแรงดึงดูดไม่น้อยด้วยใบหน้าที่เรียวยาวเส้นผมและคิ้วยาวตรงหักปีกกาดำเข้มตัดกับสีผิวที่ขาวจัด ดวงตายาวคมนัยน์ตาสีดำสนิทเปล่งประกายสดใสแต่มันไม่ได้ดูใสซื่อเอาเสียเลยตรงข้าม...มันกลับดูทั้งลึกลับและเจ้าเล่ห์ จมูกโด่งงามเป็นสันทอดยาวลงมาเข้ากับรูปหน้าอย่างเหมาะเจาะ ริมฝีปากบางหยักรั้นสีระเรื่อตามธรรมชาติงดงามราวกับเรียวปากของอิสตรี หากพูดให้ถูกที่สุดคือผู้ชายคนนี้ 'รูปงาม' ไม่ได้งามอย่างสตรีแต่ไม่อาจเรียกว่าหล่อเหลาคมเข้มอย่างบุรุษ มันคือความงามที่ลงตัวราวกับเป็นรูปสลักของเทพเจ้า

หากเป็นปกติไอรดาคงคิดว่าผู้ชายคนนี้น่าสนใจ แต่ในตอนนี้เธอคิดถึงแต่ม่านฟ้าเท่านั้น แม้จะอดไม่ได้ที่จะชะงักมองแต่ก็ไม่ได้คิดจะสานต่ออะไร หวังเพียงจะกลับไปเจอร่างบางโดยเร็วเท่านั้น
"ปล่อยค่ะ ฉันจะกลับ" ไอรดาเอ่ยออกมา เขามองดูเธอด้วยประกายตาที่แสดงความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด

"คุณดูเมามาก บางทีน่าจะให้ผมไปส่ง" ชายหนุ่มบอก เสียงของเขานุ่มทุ้มน่าฟังไม่น้อย ให้ความรู้สึกสุภาพและปลอดภัย ชวนให้คล้อยตามได้ไม่ยาก

แต่คนอย่างไอรดาก็รู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่ไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน ตรงข้าม...เขาดูอันตรายมาก และหญิงสาวไม่พร้อมที่จะเล่นเกมใดๆ กับเขา

"ไม่ค่ะ ดิฉันกลับเองได้" เธอตัดบทแล้วสะบัดตัวออก คราวนี้เขาปล่อยเธอไปอย่างง่ายๆ จนทำเอาหญิงสาวประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้มัวสนใจมากนัก รีบเดินลิ่วออกไปทันที

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะพยักหน้ากับชายฉกรรจ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก ฝ่ายนั้นก็รีบตรงมาอย่างรู้งาน

"สืบประวัติผู้หญิงคนนี้...ฉันคิดว่าฉันได้เจ้าสาวแล้วล่ะ" หนุ่มรูปงามสั่งคนสนิทเรียบๆ ประกายตาคมเต็มไปด้วยความพึงพอใจ แต่นั่นล่ะ...มันยังเต็มไปด้วยแง่มุมมากมายไม่อาจคาดเดาและไม่อาจวางใจได้





"กลับมาแล้วเหรอคะ" ม่านฟ้าร้องทักอย่างดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปประคองร่างงามที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเสียการทรงตัวเล็กน้อย

ม่านฟ้าชะงักเล็กน้อยกลิ่นแอลกอฮอล์โชยเข้ากระทบประสาทรับกลิ่นอย่างชัดเจน แม้บางครั้งไอรดาจะดื่มแต่ไม่เคยดื่มหนักขนาดนี้ อะไรไม่เท่ากับร่องรอยบางอย่างที่ลำคอระหงนั่น

เพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่ามันคือรอยอะไร...

ความเจ็บปวดแล่นเข้าเสียดแทงในใจคนรอ...

"พี่ไอซ์ พี่บอกว่าพี่ติดธุระ พี่ทิ้งฟ้าเอาไว้ แล้ว...ทำแบบนี้เหรอคะ นี่เหรอคะธุระของพี่" ม่านฟ้าเอ่ยขึ้นคล้ายกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่สีหน้าและแววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยแววของความเสียใจและตัดพ้อ

ทว่าด้วยความมึนเมาไอรดาคงไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในแววตานั้น เธอรู้เพียงว่าอีกฝ่ายกำลังว่าเธอ ทำเสียงแข็งใส่เธอและกล่าวหาในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำ ทั้งที่เธอพยายามหลีกเลี่ยง ทั้งที่เธอพยายามรีบกลับ ทั้งที่ในห้วงคำนึงของเธอมีเพียงคนที่กำลังกล่าวหาเธอ และสิ่งที่ไอรดาไม่ชอบที่สุดคือการมีคนมากล่าวหาว่าเธอทำในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำนี่ล่ะ

"แล้วจะทำไม ฉันจะทำอะไร จะไปกับใคร นอนกับใคร มันก็เรื่องของฉัน เธอไม่ได้มีสิทธิ์จะมายุ่งอะไรกับชีวิตฉันนะม่านฟ้า" ไอรดากล่าวด้วยเรียบเย็นอย่างที่ไม่เคยใช้กับม่านฟ้า เมื่อกล่าวจบเธอก็เดินเลี่ยงเข้าห้องแต่งตัวไปโดยไม่ได้สนใจอีกคนแม้แต่น้อย

ม่านฟ้าได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับประสาทสั่งการทุกส่วนได้พร้อมใจกันหยุดทำงานไปแล้ว อึดใจต่อมาน้ำตาก็พร้อมใจกันร่วงหล่นเป็นสาย คล้ายกับว่าอยู่ดีๆ โลกก็หยุดหมุน อากาศพลันหายไป สมองของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ ก่อนที่จะแทนด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส คล้ายกับหัวใจเธอกำลังถูกบีบอย่างรุนแรงโดยไม่ทันตั้งตัว

โดนเข้าแล้วสินะม่านฟ้า...ตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์อะไรก็ไม่ควรทำตัวเหมือนเป็นคนสำคัญ...นี่ล่ะ...ผลของการลืมตัว...

คราวนี้คงโดนพี่ไอซ์โกรธเข้าแล้วจริงๆ...

หญิงสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องกำลังหวาดกลัว เสียใจและปวดร้าว ไม่รู้ว่าความรู้สึกไหนมันมากกว่ากัน

เธอกลัวเหลือเกินว่าไอรดาจะเมินเธอ...กลัวจะต้องออกจากชีวิตของคนที่เธอรัก...

เธอเสียใจที่ได้รู้ว่าความจริงแล้วตัวเองนั้นไม่มีความสำคัญอะไรขนาดนั้น ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในชีวิตของไอรดาทั้งนั้น

ปวดร้าวที่รู้ว่าไอรดามีใครอีกคนที่สำคัญกว่าเธอ คนที่ได้รับสิทธิ์ที่เธอไม่มี ใครคนอื่นที่ได้รับสัมผัสอันลึกซึ้งกว่าที่เธอได้รับ

ม่านฟ้ากำลังเจ็บปวดกับจินตนาการของตัวเอง เธอหวงทั้งที่ไม่มีสิทธิ์หวง เธอกำลังเสียใจและเจ็บปวดเหลือประมาณ...แม้จะรู้ว่าอาจจะมีวันนี้ แต่พอมันมาถึงจริงๆ กลับทำให้เธอเจ็บปวดกว่าที่คิดมากมายนัก

แต่สิ่งที่เธอหวาดกลัวที่สุด...และรู้ว่ามันจะทำให้เธอปวดร้าวได้มากกว่าที่เป็นอยู่มากนักคือการถูกไอรดาทอดทิ้งมองเมินเธอไป...เธอไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดต่อจากนี้ แต่เธอกลัวเหลือเกิน...ราวกับโลกใบนี้มืดดับลงแล้วสำหรับเธอ





หลังจากได้อาบน้ำเย็นๆ ช่วยให้ไอรดาเริ่มมีสติขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดและโมโหเจ้าเด็กนั่นไม่หาย เธอเดินออกมาจากห้องแต่งตัวในชุดนอนตัวบางอย่างปกติ ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนที่ปิดไฟมืดสนิท คิดว่าอีกคนคงนอนไปแล้ว วันนี้เธอคิดว่าจะทำไม่สนใจเจ้าร่างบางนั่นสักวัน ที่สำคัญเธอมึนหัวและอยากนอนพักมาก จึงก้าวขึ้นมานอนบนเตียงแล้วตั้งท่าจะหลับในทันที แต่เพียงชั่วอึดใจเธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติ...เตียงนี้ดูว่างเปล่าเกินไป...ราวกับมีเธอนอนอยู่คนเดียว

ไอรดาพลิกกลับมาหันไปทางฝั่งที่ควรจะมีม่านฟ้านอนอยู่ แม้ห้องจะมืดแต่ปกติเธอก็พอมองเห็นอะไรได้รางๆ ทว่าวันนี้ตรงที่ควรมีคนอยู่กลับว่างเปล่า ด้วยความตกใจเธอจึงเอื้อมมือออกไปสำรวจหา...และมันก็ว่างเปล่าจริงๆ

"ม่านฟ้า" ไอรดาร้องเรียก แต่ปราศจากเสียงตอบรับ ในที่สุดหญิงสาวเจ้าของห้องก็ตัดสินใจเปิดโคมไฟ

คำตอบกระจ่างออกมาในทันที...ในห้องนี้มีเพียงเธอ...

ความตื่นตระหนกพลันบังเกิดขึ้นในจิตใจทำเอาแทบสร่างเมาในทันที ไอรดาผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เปิดประตูออกไปสำรวจดูห้องอื่นๆ ทั้งห้องทำงาน ห้องรับแขกและห้องครัว ไม่ลืมที่จะกลับเข้ามาดูที่ห้องแต่งตัวและห้องน้ำทั้ง 2 ห้อง คอนโดฯ ของเธอก็ไม่ได้ใหญ่จนหาคนไม่เจอ แต่ไม่ว่าจะดูที่ห้องใดๆ ก็ไม่พบเจ้าร่างบาง

หรือว่าจะหนีไปแล้ว?

ไอรดาตื่นตระหนกกับความคิดที่เพิ่งผุดออกมา แต่เมื่อเดินไปที่ประตูเธอก็ว่ารองเท้ายังคงวางอยู่ที่ชั้นวางอย่างครบถ้วน...คงไม่ไปเท้าเปล่าหรอกมั้ง...

หญิงสาวตัดสินใจเดินกลับมาอีกครั้ง...แล้วม่านฟ้าของเธอจะไปอยู่ที่ไหนได้ ในเมื่อเธอสำรวจดูทุกห้องแล้ว

หลังจากยืนคว้างอยู่กว่าอึดใจเธอก็นึกออก...เหลืออีกที่หนึ่งที่เธอยังไม่ได้ดู...ที่ระเบียง...

เมื่อมือของเธอกำลังจะสัมผัสกับประตูเพื่อออกสู่ระเบียง ไอรดาก็แว่วได้ยินเสียงร้องครางสั่นสะอื้นราวกับจะขาดใจ นั่นยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าม่านฟ้าต้องอยู่หลังประตูบานนี้

เมื่อบานประตูเปิดออกเธอสัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ บาดผิวที่พัดเข้าปะทะ คืนนี้ภายนอกอากาศเย็นไม่น้อย เมื่อหันมองเธอจึงเห็นว่าร่างบางนั่งกอดเข่าสั่นสะอื้นอยู่มุมระเบียงด้านที่ไกลไปออกจากประตู เห็นคนกำลังร้องไห้ผงกศีรษะมองมายังเธอ

แววตาคู่นั้นช่างบาดลึกเข้าไปในใจ มันเป็นแววตาของคนใจสลาย

ม่านฟ้าหันไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาตามสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยอะไร หรือจับภาพได้ชัดเจนนั้น ตัวเธอก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของอีกคนเป็นที่เรียบร้อย

"พี่ไอซ์..." เธอเผลอครางออกมา ไม่แน่ใจว่าอารมณ์ไหน ประหลาดใจหรือดีใจ รู้แต่เธอชอบเหลือเกินกับอ้อมกอดอุ่นๆ นี้ มันทั้งอบอุ่น อ่อนโยนและปลอบประโลม จนม่านฟ้าลืมทุกสิ่งเผลอซุกซบกับอกอุ่นๆ นั่น สูดกลิ่นหอมสะอาดที่ปนมากับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เจือจางในลมหายใจ

ไอรดากอดกระชับร่างในอ้อมแขนเอาไว้แนบตัว ช่างเป็นเด็กที่น่าโมโหจริงๆ แต่เธอก็โกรธไม่ลง ยิ่งเห็นม่านฟ้านั่งร้องไห้คนเดียวแบบนี้ยิ่งบีบหัวใจเธอเหลือเกิน หญิงสาวสัมผัสตัวเย็นๆ ของคนอายุน้อยกว่าก็รู้ว่าคงอยู่ตรงนี้นานพอสมควร...อย่างน้อยๆ เธอก็อาบน้ำและแต่งตัวไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

ตัวเองเจ็บอยู่แท้ๆ ยังมานั่งตากลมเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก คิดแล้วมันก็น่าตีจริงๆ แต่ตอนนี้ที่ต้องทำคือทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้เสียก่อน

"ทำไมไม่นอน" คนอายุมากว่าถามขึ้น

เธออยากจะปลอบแต่ปลอบใครไม่เป็น พอจะรู้ว่าที่ม่านฟ้าเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเธอนั่นล่ะ แต่ไม่อยากยอมรับข้อหาเท่าไร เพราะอันที่จริงฝ่ายนั้นก็ว่าเธอก่อน แต่เธอคงตอบโต้หนักเกินไป ไอรดาถอนใจเมื่อพบว่าร่างบางในอ้อมแขนยังคงสะอื้นเบาๆ

"หยุดร้องได้แล้ว" เสียงของไอรดาทอดอ่อนลง

เธอไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับคนในอ้อมแขนแล้ว รู้แค่เธอใจไม่ดีเอาเสียเลย คล้ายว่าความเจ็บปวดเสียใจเหล่านั้นจะส่งถึงเธอด้วย ยิ่งนึกถึงแววตาคู่นั้นที่มองสบมาขณะที่เปิดประตูระเบียงมันทำให้เธอเลือกที่จะละทิ้งทุกอย่าง ใครจะผิดจะถูกก็ช่างเถอะ เธอไม่ชอบแววตาแบบนั้นเลย

"พี่ขอโทษ...พี่ว่าน้องแรงเกินไป" ในที่สุดไอรดาก็เอ่ยออกมา

เมื่อนึกเทียบไปแล้ว...ที่เธอโมโหมากเพราะม่านฟ้าสำคัญกับเธอมาก เมื่อถูกคนสำคัญกล่าวหามันจึงยิ่งทำให้เธอโมโห คำพูดและการกระทำของคนที่สำคัญมันส่งผลมากกว่าปกติอยู่แล้ว คำพูดของเธอก็คงทำร้ายม่านฟ้ามากเช่นกัน

มันก็คล้ายกับเมื่อครั้งที่ธารารัตน์ทำให้เธอโมโห...เพราะธารารัตน์สำคัญกับเธอ หากคนอื่นทำเธออาจจะไม่ทำร้ายอีกฝ่ายขนาดนั้น แต่คราวนี้ผิดกันก็ตรงที่แม้เธอจะโมโหม่านฟ้าเพียงใดก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายหรือจากไปไหน...ก็แค่ขอเวลาให้เธอหายโกรธเท่านั้นเอง ซึ่งดูแล้วมันก็คงไม่นานเท่าไร

หรือจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะเธอรักม่านฟ้า และความรักเหล่านั้นมันก็ทำให้จิตใจของเธออ่อนโยนลงกว่าเมื่อก่อนมาก

"ไม่หรอกค่ะ...ไม่แรงไปหรอกค่ะ..." เสียงเบาๆ ที่ยังคงสั่นเครือดังขึ้น พร้อมกับที่คนในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ แววตาคู่นั้นยังคงเจ็บปวดจนชวนให้คนมองพลอยร้าวรานไปด้วย

"มันก็ถูกแล้ว...ขอบคุณนะคะที่ช่วยเตือนให้ฟ้า...รู้ตัว...ฟ้าผิดเองค่ะ...ในเมื่อฟ้าไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปวุ่นวายชีวิตพี่ทั้งนั้น..." เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงสั่นๆ นั้นก็กลืนหายไปกับเสียงสะอื้น หยาดน้ำในดวงตาพลันไหลพรากลงมาอีกครั้ง

"นี่ยังจะร้องอีกเหรอเนี่ย" ไอรดาบ่นเบาๆ แต่คล้ายเด็กในอ้อมแขนจะไม่ได้สนใจ

"แต่ฟ้าก็มีแต่พี่ไอซ์ โลกของฟ้าก็มีแค่พี่คนเดียว...อย่าทิ้งฟ้านะคะ...ไม่ว่าในฐานะอะไรก็ได้โปรด 'เลี้ยง' ฟ้าไว้เถอะนะ" เสียงสั่นปนสะอื้นเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี แววตาที่มองมานั้นเป็นการขอร้องด้วยทั้งหมดที่มี มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ไอรดาใช้มือข้างหนึ่งบรรจงเช็ดน้ำตาให้ม่านฟ้า แต่หยาดน้ำเหล่านั้นก็ยังคงไหลรินออกมาไม่หยุด ในที่สุดเธอจึงโน้มให้ศีรษะของฝ่ายนั้นเข้ามาซบกับไหล่ของเธอแทนเพื่อจะได้ใช้เป็นที่ซับน้ำตา ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย

แม้ม่านฟ้าจะอยากได้คำตอบ อยากให้อีกฝ่ายรับปากแต่เธอก็ไม่กล้าอีกแล้ว...ไม่กล้าที่จะเซ้าซี้ก้าวก่ายอะไรกับผู้ที่ครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของหัวใจคนนี้อีกแล้ว...

ไอรดาเองก็พอจะเข้าใจม่านฟ้าขึ้นมาแล้ว หากว่ากลับกันเป็นเธอที่รอม่านฟ้า ทั้งที่ยังไม่ค่อยสบายแต่หากอีกคนยืนยันว่ามีธุระดึกดื่นแบบนี้ แถมยังจะกลับมาสภาพนี้...

นับว่าม่านฟ้าใจเย็นกับเธอมากแล้ว ที่ฝ่ายนั้นว่าเธอเมื่อตอนที่เพิ่งกลับมันก็ไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเธอมันอาจจะยิ่งกว่านี้...และทั้งภาพที่เห็นรวมกับคำพูดของเธอแล้ว ก็ไม่แปลกที่ม่านฟ้าจะเสียใจขนาดนี้ ขนาดเธอแค่ลองนึกยังรู้สึกปวดแปลบในใจ

"ฉันโมโหเธอม่านฟ้า แต่ฉันไม่เคยคิดจะทิ้งเธอ" ไอรดาเอ่ยขึ้น ดันไหล่ม่านฟ้าออกมาให้มองหน้ากัน เธอถอนใจก่อนจะบอกต่อ

"ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ ฉัน...พี่โมโหที่เธอกล่าวหาพี่ ทั้งที่พี่ก็ทำดีที่สุดแล้วเพื่อจะไม่ให้เกิดเรื่องเลยเถิด" ไอรดาอธิบายช้าๆ จะอย่างไรเธอก็ขอแก้ข้อกล่าวหาก่อน

มือเรียวเอื้อมไปลูบศีรษะคนอายุน้อยกว่าเบาๆ ก่อนจะพูด

"พี่จะให้สิทธิ์เธอ ให้ฟ้าเป็น 'ผู้หญิงของพี่' ฟ้ามีสิทธิ์ที่จะหวง มีสิทธิ์ที่จะทวงถาม มีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวพี่ เช่นเดียวกับที่พี่มีสิทธิ์ในตัวฟ้า" เสียงหวานนุ่มเอ่ยออกมา ช้าชัดจริงจัง

ม่านฟ้าได้แต่มอง สมองยังประมวลผลไม่ทัน มันเหมือนการขอเป็นแฟนหรือเปล่านะ ทว่านี่ไม่ใช่การขอ...มันคือคำสั่งชัดๆ แต่ก็เป็นคำสั่งที่เธอยินดีทำตาม เพียงแต่เธอยังไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไร ใจหนึ่งนั้นดีใจแต่อีกใจก็ยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วและเหนือความคาดหมาย

หรือว่าพี่ไอซ์แค่เมา...

"นี่เข้าใจที่พูดไหมเนี่ย" ดวงตาคมเริ่มแสดงอาการไม่สบอารมณ์

"ขะ เข้าใจค่ะ" ม่านฟ้ารีบตอบทั้งที่ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย ท่าทางเวลาเมาพี่ไอซ์จะขี้โมโหและเอาแต่ใจกว่าปกติมากทีเดียว

ไอรดาถอนใจ ท่าทางเด็กน้อยของเธอไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

"เข้าใจว่าอะไร"

ม่านฟ้าถึงกับตอบไม่ถูกเมื่อเจอคำถามนี้ ทำเอาคนถามต้องถอนใจอีกครั้ง

ไอรดาใช้ทั้งสองมือประคองใบหน้างามเอาไว้บังคับให้คนอายุน้อยกว่าสบตาเธอ

"ความหมายคือ...พี่กำลังขอฟ้าเป็นคนรักของพี่ เป็นแฟนพี่ เป็นคู่ครองของพี่ เป็นผู้หญิงของพี่ และถ้าฟ้าตกลง...พี่ก็ให้สิทธิ์ทุกอย่างในตัวพี่แก่ฟ้า พี่ก็จะเป็นผู้หญิงของฟ้า เป็นคนรักของฟ้า เป็นแฟนของฟ้า เป็นคู่ครองของฟ้า" เสียงหวานนุ่มเอื้อนเอ่ยช้าชัด แต่ยังคงความนุ่มนวลเช่นเดียวกับดวงตาคมคู่งามที่ทอประกายอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักดังความหมายที่พูด

"ให้พี่ดูแลฟ้าตลอดไปนะคะ" ถึงตอนนี้ดวงตาคมกลับมีแววร้องขอแสนหวาน แค่ปกติม่านฟ้าก็ไม่มีภูมิต้านทานไอรดาอยู่แล้ว เจอแบบนี้มีหรือที่เธอจะต้านทานไหว

"ค่ะ..." ม่านฟ้าตอบรับอย่างเลื่อนลอยยังคงตกอยู่ในมนตร์สะกด

ไอรดายิ้มแล้วครางอย่างพอใจในคำตอบ ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้างามจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารด ม่านฟ้าดูตกใจแต่ไม่ถอยหนี ไอรดายิ้มก่อนจะเอียงใบหน้าเล็กน้อยแล้วบรรจงแตะริมฝีปากลงไปบนเรียวปากบางของอีกฝ่าย เธอค่อยๆ จูบเบาๆ แทะเล็มไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน จนเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจะเปิดรับเธอจึงสอดความอุ่นนุ่มเข้าไปหาความหวานที่ภายใน มันเป็นจูบที่ลึกซึ้งอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึก

ภาษากายบอกเล่าเรื่องราวได้ดีกว่าคำพูดมากนัก...

ผ่านไปเนิ่นนานไอรดาจึงยอมถอยออกมา แม้จะเสียดายแต่เธอรู้ว่าเธอยังมีเวลาอีกทั้งชีวิตกับผู้หญิงคนนี้

"เข้านอนกันได้แล้ว ข้างนอกหนาวจะตาย พี่ก็ง่วงมากแล้วด้วย" ไอรดาชวน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงให้อีกฝ่ายลุกตาม แต่ทว่าร่างบางนั้นกลับไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง เซถลาเข้าสู่อ้อมกอดของไอรดาอีกครั้ง

"เป็นอะไรคะ" ไอรดาถามอย่างกังวล ยิ่งม่านฟ้าไม่ค่อยสบายอยู่แล้วด้วย

"ตะคริวค่ะ" คนอายุน้อยกว่าบ่นอู้อี้ ทำให้คนอายุมากกว่าคลายใจลง ยอมที่จะยืนเป็นหลักให้นิ่งๆ จนเมื่อม่านฟ้าหายแล้วจึงพากันเข้าห้องนอนหลับพักผ่อนกับวันที่แสนยาวนานนี้

+++++++++++++++++++++++++++++++
มีความสุขในการอ่านนะคะ ^_^

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น