web stats

ข่าว

 


องศาร้อน...ซ่อนรัก ตอนที่ 5

โพสต์โดย: Mono_zero วันที่: 28 เมษายน 2015 เวลา 23:44:04 อ่าน: 471

   เสียงเคาะประตูห้องรัวๆเรียกคนที่นอนขดตัวกลมอยู่ใต้ผ้านวมนุ่มให้โผล่ศรีษะยุ่งกระเซิงออกมาจากป้อมปราการแสนอุ่น  คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนจะคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาดูอย่างหงุดหงิด

"7 โมง!!  ให้ตายเหอะ"  ว่าจบคนหน้ายุ่งก็ทิ้งตัวลงกับเตียงอีกครั้งและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดศรีษะ  แต่เพียงไม่นานเสียงเรียกเข้าที่โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นให้คนหน้ายุ่งต้องโผล่หน้าออกมาอีกครั้งแต่ด้วยหน้าที่ยุ่งกว่าเดิม

"อะไรกันนักกันหนาเนี่ย!!!"  ด้วยความหงุดหงิดที่ถูกปลุกจากเตียงนอนแสนอบอุ่นบวกกับอาการงัวเงียทำให้ไม่ได้ลืมตาดูที่หน้าจอโทรศัพท์ว่าเป็นใครที่โทรเข้า

"ว่าไง!!"  น้ำเสียงหงุดหงิดไม่ปิดบังเอ่ยเป็นคำแรกเมื่อกดรับโทรศัพท์

"เพลิน   ลุกขึ้นมาเปิดประตู...เดี๋ยวนี้" เสียงตอบจากปลายสายไม่ได้มีความหงุดหงิดหรือเจือด้วยอารมณ์โกรธแต่อย่างใด  แต่กลับกลายเป็นน้ำเสียงเย็นเยียบและกดดันจนคนฟังถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาการงัวเงียที่อันตธานหายไปโดยสิ้นเชิง

"พี่พรีม"  เสียงพูดที่เหมือนจะเป็นเสียงกระซิบกับตนเองซะมากกว่าเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว  จิตใต้สำนึกเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็วแล้วก็ได้คำตอบทันทีว่าการที่พิลากาญจน์มาหาเธอเวลานี้ด้วยน้ำเสียงแบบนี้นั่นแสดงว่าเช้านี้เธองานเข้าแน่นอน 

"เพลิน  พี่ให้เวลา 1 นาที  ลุกมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้" 

"อ...เอ่อ...ค่ะ  รอ...รอแปปนะพี่พรีม"  เพลินพิรุณพยายามรวบรวมสติจากการเพิ่งตื่นนอนให้วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตู 

"พี่พรีมมีอะไรคะถึงมาแต่เช้าแบบนี้เนี่ย"  เพลินพิรุณแกล้งทำเนียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แกล้งทำว่าแปลกใจอย่างสุดๆ

"เพลินไม่ต้องมาทำเนียน  พี่รู้เรื่องสาเหตุที่เพลินขาดประชุมเมื่อวานหมดแล้ว"  พิลากาญจน์เดินเข้ามานั่งที่โซฟากลางห้องและหันไปมองเพลินพิรุณที่ทำท่าเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบทำความผิด  แต่มีหรือที่เพลินพิรุณจะยอมตกเป็นจำเลย

"ก็แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยเองค่ะ  แล้วเพลินก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วยเห็นมั้ยคะยังแข็งแรงครบ 32"  ไม่พูดเปล่าสาวตาคมยังทำท่าออกลีลากายบริหารพร้อมกับหมุนตัวไปมาให้ดู

"ใช่  เพลินไม่เป็นไร  แต่คู่กรณีของเพลินเป็นไม่ใช่เหรอ"  น้ำเสียงนิ่งและสายตาที่มองเหมือนจะทะลุเข้าไปในความคิดและจิตใจของคู่สนทนาทำให้เพลินพิรุณรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้พิลากาญจน์ดูน่าเกรงขามอย่างที่สุดเมื่ออยู่ในมาดผู้บริหาร  แม้แต่เพลินพิรุณเองยังต้องรู้สึกตัวลีบทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าพี่สาวของตัวเอง

"ก...ก็แค่ข้อเท้าเจ็บนิดเดียวเองไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่นา  แล้วเพลินก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าซ่อมของให้ทั้งหมดแล้วพี่พรีมไม่ต้องห่วงหรอก"  ถึงจะรู้สึกหวั่นๆกับสายตาและท่าทางของพี่สาวแต่เพลินพิรุณก็ยังคงคิดว่าเธอได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว  ขาเรียวก้าวเนือยๆไปยังส่วนครัวและเปิดตู้เย็นหยิบนมสดออกมาเทใส่แก้วและเดินมานั่งลงข้างๆพิลากาญจน์ที่นั่งมองอากัปกิริยาของน้องสาวไม่วางตา  และถึงจะทำนิ่งแค่ไหนแต่เพลินพิรุณก็อดจะใจเต้นตุ้มๆต่อมๆไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าความอับโชคกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

"เพลินไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่ทำให้ใครต้องบาดเจ็บ"  เสียงเรียบเอ่ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาคนที่กำลังจิบนมสดอย่างเอร็ดอร่อยถึงกับชะงัก 

"ทำไมพี่พรีมพูดเหมือนเพลินไม่มีความรับผิดชอบ!!  เพลินทำผิดก็ยอมรับว่าผิดแล้วก็ช่วยรับผิดชอบทุกอย่างทั้งค่ารักษาพยาบาล  ข้าวของต่างๆเพลินก็ซื้อให้ใหม่  ข้อมูลการงานของเค้าเพลินก็ให้วิช่วยกู้ข้อมูลให้แล้วทำไมพี่พรีมยังมาหาว่าเพลินไม่รู้สึกอะไรอีก"  ความที่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ดีแล้วแต่กลับมีแต่คนคิดว่าเธอเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบทำให้อารมณ์น้อยใจที่เก็บไว้ลึกๆกลายเป็นความไม่พอใจขึ้นมาทันที  พิลากาญจน์เองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองคงกดดันเพลินพิรุณมากเกินไปจากความเคยชินในหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากมายจนลืมไปว่าน้องสาวตนเองนั้นไม่ใช่คนที่จะอยู่ในสภาวะกดดันได้นาน  และก่อนที่เพลินพิรุณจะลุกหนีไปพิลากาญจน์ก็ทันได้เอื้อมมือไปจับมือของเพลินพิรุณไว้ทำให้เพลินพิรุณหยุดยืนนิ่งแต่ก็เบือนหน้าหนีไม่ยอมหันมาเพราะตอนนี้ดวงตาคมเริ่มมีน้ำตาปริ่มจนต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่ม่านน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นจากความน้อยใจ

"เพลิน  พี่ขอโทษ"  พิลากาญจน์พูดเสียงอ่อนลงและยืนขึ้นถอนหายใจเบาๆ

"ช่วงนี้งานที่บริษัทยุ่งมากพี่คงเหนื่อยๆเลยพาลอารมณ์เสียง่ายไปหน่อย  พี่ขอโทษนะเพลินพี่ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องเพลิน"  เสียงอ่อนลงจนทำให้คนที่หลบหน้าเพราะกำลังกลั้นน้ำตาจากความน้อยใจหันกลับมาสู้หน้าคนพูดอีกครั้ง  พิลากาญจน์เห็นน้องสาวเริ่มใจเย็นลงจึงยิ้มบางๆออกมาเพื่อเอาใจคนตัวสูงที่กำลังทำหน้าหงอย

"พี่พรีมบุกมาหาเพลินแต่เช้าเพราะจะมาว่าเพลินแค่นี้เหรอ" 

"พี่จะมาชวนเพลินให้ไปเยี่ยมคุณวารินด้วยกันกับพี่หน่อย  เห็นว่าอยู่คอนโดนี้เหมือนกันแล้วก็เพิ่งย้ายเข้ามาไม่กี่วันเองด้วยคงยังไม่รู้จักใครที่นี่เท่าไหร่เพลินไปทำเค้าขาเจ็บแบบนั้นไปไหนมาไหนคงลำบากแย่"

"พี่พรีมรู้ละเอียดจังนะคะ  นี่ขนาดเพลินยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยนะเนี่ย"  เพลินพิรุณอดค่อนขอดพี่สาวตนเองไม่ได้แค่ผ่านไปยังไม่ถึง 24 ชม.  พี่สาวของเธอก็สามารถรู้ทุกอย่างทั้งเหตุการณ์ที่เกิดและสภาพความเป็นไปของคู่กรณี

"พี่โทรถามวิเมื่อคืน" คำตอบของพิลากาญจน์ทำเอาเพลินพิรุณกลอกตาพร้อมกับถอนหายใจอย่างแรง

"ก็พี่โทรหาเพลินแล้วแต่เพลินปิดเครื่องแล้วใครกันที่บอกพี่ว่าจะโทรมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง  ปล่อยให้พี่ร้อนใจจนไม่เป็นอันทำงานพี่เลยลองโทรหาวิแทนนี่ดีนะที่วิรู้เรื่องราวทุกอย่างไม่งั้นพี่บุกมาหาเพลินตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว"   พูดไปแล้วพิลากาญจน์ก็รู้สึกโกรธขึ้นมานิดๆเมื่อนึกถึงเมื่อวานที่เธอรู้แต่เพียงว่าเพลินพิรุณเกิดอุบัติเหตุ ความเป็นห่วงน้องทำให้ตลอดทั้งวันเธอแทบจะไม่มีสมาธิฟังการประชุมเลยแม้จะพยายามจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ประชุมแค่ไหนก็ตาม

"เมื่อคืนมือถือเพลินแบตหมดตอนกำลังขับรถกลับคอนโดน่ะค่ะ"  คนพูดเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเธอบอกกับพี่สาวว่าเสร็จเรื่องแล้วจะโทรมาเล่าให้ฟังแต่ก็ดันลืมซะสนิท

"เพลินขอโทษนะพี่พรีมที่ทำให้เป็นห่วง"  เมื่อรู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุทำให้พี่สาวสุดที่รักต้องเป็นห่วงและคุณเธอคงแอบเคืองเล็กๆถึงได้บุกมาแต่เช้าแบบมาคุสุดๆ  สาวตาคมจึงรีบทำหน้าอ้อนสำนึกผิดให้คนมองถึงกับหลุดขำกับใบหน้าที่พยายามเก๊กให้ดูบ้องแบ้วเหมือนลูกแมวขี้อ้อนแต่มันดูเหมือนกับลูกเสือที่กำลังพยายามเลียนแบบลูกแมวซะมากกว่า

"พี่เป็นห่วงเพลินมากนะ  อย่าทำให้พี่ตกใจบ่อยนักสิเกิดพี่ช็อคตายขึ้นมาจะทำยังไง"  พูดจบพิลากาญจน์ก็สวมกอดน้องสาวอย่างแสนรัก  เพลินพิรุณเองก็ระบายยิ้มออกมาเมื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นและห่วงใยที่มากล้นจากพี่สาวคนที่เปรียบดั่งโอเอซิสกลางทะเลทรายในชีวิตของเธอ

"เพลินจะพยายามไม่ทำให้พี่พรีมช็อคตายค่ะเพลินสัญญา  แต่พี่พรีมอาจจะอยากเป็นลมวันละหลายรอบแทน"  คำตอบพร้อมเสียงหัวเราะจากเพลินพิรุณทำเอาพิลากาญจน์ต้องส่งสายตาพิฆาตพร้อมกับฝ่ามืออรหันต์ฝาดเข้าที่ต้นแขนให้คนปากเก่งวิ่งร้องโวยวายไปรอบห้อง   


   ร่างบอบบางที่นอนขดอยู่กลางเตียงขนาดควีนไซส์ค่อยๆขยับตัวช้าๆเมื่อรู้สึกแสบตาจากแสงสว่างจ้าที่สาดส่องผ่านประตูกระจกเลื่อนออกไประเบียง  อาการปวดหัวดีขึ้นแล้วหลงเหลือไว้แต่เพียงความรู้สึกมึนหัวนิดหน่อย  ลำคอแห้งผากรู้สึกว่าร่างกายกำลังขาดน้ำอย่างหนัก  ร่างบางเผลอขยับตัวลุกขึ้นด้วยความเคยชินและก็ต้องร้องออกมาด้วยความปวดแปล๊บที่ข้อเท้า  เธอลืมไปซะสนิทว่าข้อเท้าเจ็บอยู่เมื่อนึกขึ้นได้จึงค่อยๆระมัดระวังการเคลื่อนไหวมากขึ้น  แต่ก็รู้สึกว่าทุลักทุเลเหลือเกินจนเริ่มทำให้หงุดหงิดเมื่อการเคลื่อนไหวไม่เป็นดั่งใจนึกสักเท่าไหร่ยิ่งกับคนที่ค่อนข้างจะแอ็กทีปเช่นเธอด้วยแล้วการเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจถือเป็นเรื่องชวนให้เสียอารมณ์เป็นที่สุด  หลังจากดื่มน้ำและพยายามอาบน้ำด้วยความยากลำบากวารินจึงเริ่มเตรียมอาหารเช้าอย่างง่ายที่สุดเพราะเธอใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวนานกว่าที่เคยเป็นทำให้ตอนนี้เธอกำลังจะไปทำงานสาย  หญิงสาวหยิบขนมปังแผ่นใส่เครื่องปิ้งและหันมารินกาแฟที่อุ่นอยู่ในเครื่องต้มกาแฟใส่แก้วส่วนมืออีกข้างก็กำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่เปียกหมาดๆไปพลาง


ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก


เสียงเคาะประตูทำให้วารินหันไปมองที่ประตูอย่างสงสัย  เพราะเธอเพิ่งย้ายมาอยู่คอนโดนี้ได้ 2   วันจึงไม่น่าจะมีใครรู้จักเธอขนาดจะมาเคาะห้องอรุณสวัสดิ์แน่ๆ

"เสียงเคาะประตูห้องเรารึเปล่าหว่า"  สาวตาโตเลิกคิ้วอย่างสงสัยเอ่ยถามกับตัวเองเบาๆด้วยไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็นเสียงเคาะประตูของห้องตรงข้าม  หรืออาจจะเป็นห้องข้างๆ  ขณะที่กำลังยืนคิดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง


ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก  คุณวารินคะ


คราวนี้ตามมาด้วยเสียงหวานเรียกชื่อเจ้าของห้องชัดเจน  คนในห้องจึงรีบเคลื่อนย้ายตนเองไปที่ประตูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถเร็วได้  และมองผ่านตาแมวออกไปดูว่าใครกันที่เป็นเจ้าของเสียงหวานอันไม่คุ้นชินแล้วก็ได้เจอกับหญิงสาวที่เธอมั่นใจว่าไม่เคยพบมาก่อนแน่ๆก่อนจะมองเห็นสาวอีกคนที่ยืนกอดอกขมวดคิ้วน้อยๆเหมือนกำลังไม่สบอารมณ์อะไรบางอย่างซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวอยู่ข้างๆสาวแปลกหน้า  เมื่อเห็นว่าเป็นใครมือบางจึงหมุนลูกบิดประตูเปิดออกเผชิญหน้ากับแขกทั้งสอง

"สวัสดีค่ะคุณวาริน"  เสียงหวานเสียงเดียวกับที่เอ่ยเรียกชื่อเธอก่อนหน้านี้พูดขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออกพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรจากใบหน้าหวานทำให้วารินถึงกับหัวใจกระตุกเลยทีเดียว  ยิ่งเห็นเต็มๆตาแบบไม่ผ่านช่องตาแมวทำให้รู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงที่ดูสวยเอามากๆแต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าแล้วคนสวยตรงหน้านี่มาทำอะไรที่ห้องเธอกัน

"สวัสดีค่ะ  เอ่อ  คุณ....."   วารินกล่าวทักทายกลับ

"ฉันชื่อ  พิลากาญจน์  เรียกสั้นๆว่า  พรีม  ก็ได้ค่ะ"

"ค่ะ  คุณพรีม   แล้วเอ่อ  คุณพรีมมีธุระอะไรกับว่านรึเปล่าคะ"  วารินรู้สึกถึงความเป็นมิตรที่ส่งมาจากสาวสวยตรงหน้าจึงลดอาการเกร็งลงไปได้บ้างทำให้น้ำเสียงดูเป็นกันเองมากขึ้น

"พรีมเป็นพี่สาวของเพลินค่ะ  พอดีเพิ่งได้ข่าวว่าเพลินไปทำให้คุณวารินบาดเจ็บเลยเป็นห่วงว่าคุณจะเป็นอะไรมากรึเปล่า"  พิลากาญจน์บอกจุดประสงค์ที่มาเคาะประตูห้องของสาวตาโตแต่เช้า

"อ๋อ  เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะคุณพรีม  ว่านไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากแค่เอ็นข้อเท้าอักเสบเฉยๆอีกไม่กี่วันก็หายแล้วล่ะค่ะ"  วารินเมื่อรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายจึงพูดให้อีกคนคลายความกังวลเพราะเห็นจากสายตาหวานที่ลอบมองมาที่ข้อเท้าที่มีซัพพอร์ตผดุงข้อเท้าไว้ของตนเองเป็นระยะๆ

"เห็นมั้ยพี่พรีม  เพลินบอกแล้วว่าเขาไม่เป็นไรๆ  พี่พรีมก็ยังจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม"  เสียงบุคคลที่สามที่รอจังหวะแทรกอยู่นานเพราะอารมณ์กรุ่นๆที่โดนพี่สาวลากมาจากเตียงแต่เช้าจึงอยากจะหาเรื่องใครสักคนได้ทีจึงส่งเสียงทะลุกลางปล้องขึ้นมาทำให้สองสาวที่กำลังเชื่อมสัมพันธ์อันดีต่อกันหุบยิ้มและหันมามองคนพูดพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

"การที่เพลินทำให้ใครต้องได้รับบาดเจ็บเพราะการกระทำไม่รอบคอบของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะเพลิน  นี่คุณวารินเค้าไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรก็ดีเท่าไหร่แล้ว  เพลินน่าจะคิดได้บ้างนะว่าควรจะลดความใจร้อนและใช้แต่อารมณ์ของตัวเองลงบ้างแล้วก็ควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้"  น้ำเสียงเฉียบขาดและสายตาคมๆที่มองมาทำให้เพลินพิรุณไม่กล้าเถียงอะไรออกไปเพราะรู้ดีว่าพี่สาวเข้าโหมดโหดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงจะไม่ถึงกับกลัวแต่ก็เกรงอยู่มากจึงได้แต่ทำหน้างอหันไปทางอื่นแทน

"เอ่อ  คุณพรีมคะ  ที่จริงมันก็จริงอย่างที่คุณเพลินบอกนั่นแหละค่ะ  ว่านไม่ได้เป็นอะไรมากอีกอย่างคุณเพลินก็เป็นคนรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแล้วก็คอมพิวเตอร์ของว่านไปแล้ว  แค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะ"

"ไม่ได้หรอกค่ะคุณวาริน  ขาคุณเดินไม่สะดวกแบบนี้คงลำบากแย่แล้วคุณเองก็เพิ่งย้ายมาคงจะยังไม่รู้จักใครแถวนี้เท่าไหร่ยังไงเพลินก็พักอยู่ที่นี่เหมือนกันก็ถือว่าช่วยเหลือกันก็แล้วกันนะคะ  นี่คุณเองก็คงยังขับรถไม่ได้สินะคะ"

"ค่ะ  ก็คงต้องพึ่งแท็กซี่ไปสักระยะ"  สาวตาโตตอบปลงๆ 

"ยังไงช่วงนี้เพลินก็ไม่ได้มีคิวงานเท่าไหร่  พรีมจะให้เพลินคอยไปรับไปส่งคุณวารินก็แล้วกันนะคะส่วนรถของคุณเดี๋ยวพรีมให้คนขับรถของบริษัทขับมาจอดไว้ให้ที่นี่"  การตัดสินใจของพิลากาญจน์ทำให้เพลินพิรุณหันควับกลับมาด้วยความรวดเร็ว

"ว่าไงนะพี่พรีม!  เพลินไม่ใช่คนขับรถนะจะได้มีหน้าที่ต้องคอยรับคอยส่งใครอีกอย่างก็จริงที่คิวถ่ายแบบเพลินตอนนี้ว่าง  แต่พี่พรีมลืมแล้วรึไงว่าพี่พรีมเองไม่ใช่เหรอที่ให้เพลินไปทำงานที่บริษัทน่ะ" เสียงเพลินพิรุณโวยวายพี่สาวทันที

"พี่ไม่ได้ลืมหรอก  แต่เพลินก็อย่างลืมสิว่าคุณวารินก็ต้องไปเสนองานที่บริษัทเราเหมือนกัน  เพราะงั้นก็เท่ากับว่าต้องไปทางเดียวกันและไม่แน่ก็อาจจะได้ร่วมงานกันก็ได้"  พิลากาญจน์พูดจบก็ยิ้มที่มุมปากน้อยๆให้เพลินพิรุณที่เห็นแล้วอยากจะกรี๊ดใส่หูพี่สาวให้รู้แล้วรู้รอด

"งั้นตกลงตามนี้นะคะ  ตอนนี้พรีมคงต้องขอตัวไปทำงานก่อนพอดีมีประชุมน่ะค่ะคุณวารินก็ตามสบายนะคะพรีมจะให้เพลินรอคุณอยู่ข้างล่าง  ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณวาริน" รอยยิ้มหวานส่งมาให้วารินที่ยืนใบ้กินอยู่หน้าประตูในใจกำลังคิดจะตอบปฏิเสธน้ำใจอันดีงามของอีกคนแต่ก็ได้แต่อึกอักในลำคอเมื่อตอนนี้คนหน้าหวานได้เดินลิ่วๆไปทางลิฟต์เรียบร้อยแล้วโดยที่มีอีกหนึ่งสาวส่งเสียงโวยวายตามไปติดๆ  เห็นดังนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความหนักใจเพราะถ้าคนที่เธอจะต้องนั่งรถร่วมทางไปด้วยเป็นพิลากาญจน์สาวหน้าหวานผู้เป็นมิตรแต่แอบเผด็จการถึงจะทำให้รู้สึกอึดอัดบ้างนิดหน่อยแต่ก็คงไม่น่าหนักใจเท่ากับการที่ต้องนั่งรถร่วมทางไปกับอีกหนึ่งสาวซึ่งจากประสบการณ์แล้วคิดว่านอกจากจะอึดอัดแล้วอาจต้องพ่วงประสาทเสีย ฯลฯ  เข้าไปด้วยแน่นอน


   แล้วก็เป็นดังที่สาวตาโตคิดไว้ไม่มีผิดเมื่อตอนนี้โชเฟอร์จำเป็นข้างๆกำลังหน้าบึ้งตึงสุดๆแถมการขับรถที่กระชากไปมาทำให้อาหารเช้าที่รองท้องมาได้แค่ครึ่งเดียวของผู้โดยสารแทบจะทยอยกันออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งเสียให้ได้จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงได้หันไปพูดกับคนข้างๆ

"นี่คุณ  ขับดีๆหน่อยไม่ได้เหรอไง"  พูดไปก็ทำท่าพะอืดพะอมไปแต่คำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงคิ้วขมวดที่กดลงมากกว่าเดิมไม่ต้องเดาคนมองก็รู้ว่าดวงตาภายใต้แว่นกันแดดอันโตนั้นคงกำลังส่อแววอยากขย้ำคอคนพูดเต็มที่

"ถ้าไม่ใช่เพราะพี่พรีม  อย่าหวังเลยว่าเธอจะได้แตะเบาะรถฉันอีกเป็นครั้งที่สอง"  เสียงแข็งของคนหน้าบึ้งตอบกลับ

"ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้อยากจะมาส่ง  ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะรบกวนคุณอีกแต่ในเมื่อคุณเลี่ยงคำสั่งพี่สาวคุณไม่ได้คุณก็คิดซะว่ามันเป็นหน้าที่แค่ระยะเวลาสั้นๆก็แล้วกัน  หลังจากนี้ฉันจะไปทำงานและกลับคอนโดเอง  คุณไม่ต้องมารับมาส่งฉันเหมือนที่พี่สาวคุณบังคับก็ได้" 

"ไม่ได้!"  เสียงห้วนของเพลินพิรุณทำให้วารินถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ  เพลินพิรุณหันมามองร่างบางเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจและพูดต่อ

"ฉันรับปากพี่พรีมไปแล้วว่าจะไปรับไปส่งเธอจนกว่าเธอจะเดินได้และขับรถได้ปกติ  อะไรที่ฉันรับปากใครไปแล้วฉันจะไม่ผิดคำพูดเด็ดขาดถึงฉันจะไม่เต็มใจทำก็ตาม"  พูดจบคนฟังก็พยักหน้าน้อยๆและไม่พูดอะไรอีกเพราะเป็นไฟเขียวพอดี  จึงปล่อยให้คนขับทำหน้าที่ของตนไป

"ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนจริงจังกับคำพูดนะเนี่ย"  วารินหันมาพูดกับตนเองเบาๆกับกระจกข้างเพื่อที่เพลินพิรุณจะได้ไม่เห็นและไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรแล้วก็เพื่อจะได้แอบมองอีกคนผ่านเงาสะท้อนของกระจกโดยที่เจ้าตัวไม่รู้นั่นเอง  มองไปมองมาก็อดที่จะพิจารณาในความสวยของคนข้างๆไม่ได้ถึงแม้จะไม่มีรอยยิ้มแต่งแต้มบนเรียวปากอิ่มที่เคลือบไว้ด้วยลิปกลอสนั้นเลยก็ตามแล้วเธอก็นึกขึ้นได้ถึงประโยคหนึ่งที่สองพี่น้องพูดคุยกันที่หน้าห้องของเธอจึงหันกลับไปถามคนข้างๆอีกครั้ง

"คุณเป็นนางแบบเหรอ"

"ใช่"   

"เออ  แล้วถ่ายให้นิตยสารไหนเหรอ"  คนถามรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีเพราะเธอไม่เคยจะได้รู้จักกับคนในวงการดาราหรือนางแบบสักคนจึงรู้สึกตื่นเต้นนิดๆประมาณพวกเห่อดารานั่นแหละ 

"ทำไม  จะไปซื้ออ่านเหรอไง"  น้ำเสียงแปลกใจนิดๆ

"ก็คงจะอย่างนั้นมั้งคะ"  วารินตอบยิ้มๆ  แต่ในใจมั่นหมายไว้แล้วว่าเธอจะต้องซื้อให้ได้แน่นอนเพราะรู้สึกอยากรู้เหลือเกินว่าคนข้างๆกันที่คอยแต่จะทำคิ้วขมวดและหน้าบึ้งให้เธออยู่ตลอดนั้นเวลาอยู่ในมาดนางแบบแล้วจะมีสีหน้ายังไงบ้าง 

"แน่ใจเหรอว่าจะซื้ออ่าน"  เพลินพิรุณหันเสี้ยวหน้ามายกคิ้วเล็กน้อยและยิ้มที่มุมปากนิดๆ

"ทำไมล่ะ  มันแพงมากเลยเหรอ  เอาเป็นว่าถ้าไม่เกินเล่มละ  1000  ฉันยอมจ่าย"  พูดไปงั้นแต่ก็แอบคิดว่าถ้าเกิดนิตยสารที่คนตัวสูงนี่ไปถ่ายแบบให้เล่มนึงถึง 1000  จริงเธอคงเหงื่อตก  แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้เพลินพิรุณหลุดขำนิดๆยิ่งทำให้วารินแปลกใจเข้าไปใหญ่ว่าเธอพูดอะไรตลกหรือไงนะ 

"เปล่า  มันไม่ได้แพงอะไรขนาดนั้นหรอก  แต่ว่า......"  ตอบได้เพียงเท่านั้นรถก็จอดสนิทอยู่ที่หน้าบริษัทรับออกแบบซึ่งเป็นที่ทำงานของคนที่กำลังนั่งทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามอย่างไม่ปิดบัง

"ถึงที่บริษัทเธอแล้ว  รีบลงไปได้แล้ว"  หัวเรื่องสนทนาเปลี่ยนกะทันหันทำเอาคนที่กำลังตั้งใจรอฟังคำตอบได้แต่กระพริบตาปริบๆเพราะมัวแต่ตั้งใจรอฟังคำตอบของอีกคนซะจนไม่ได้มองทางเลยว่าได้มาถึงที่ทำงานของตัวเองซะแล้ว  ว่าแล้วคนตัวสูงก็รีบเปิดประตูลงจากรถด้านคนขับและเดินอ้อมมาเปิดประตูด้านหลังของวารินเพื่อหยิบเอาไม้ค้ำมาให้ผู้โดยสารจำเป็น 

"เอ้า  นี่ไม้ค้ำของเธอรีบๆลงไปได้แล้วฉันจะได้รีบกลับไปนอนต่อ"  เพลินพิรุณเปิดประตูฝั่งของวารินแล้วยื่นไม้ค้ำให้ทันที  แต่ท่าทางของอีกคนก็ทำให้ร่างสูงที่ยืนจับประตูรออยู่ได้แต่ถอนหายใจด้วยความขัดใจกับท่าทางเก้ๆกังๆทุลักทุเลจนอดไม่ได้ต้องก้มลงไปคว้าเอวบางประคองให้ลุกขึ้นเพราะอยากให้อีกคนลุกเร็วๆตัวเองจะได้รีบกลับ  แต่อีกหนึ่งสาวที่ไม่ได้คาดคิดว่าคนตัวสูงจะใช้วิธีเร่งเช่นนี้จึงเผลอยกแขนคล้องคอของอีกคนไว้ด้วยความตกใจกลายเป็นทั้งคู่อยู่ในท่ากอดกันแนบแน่นและด้วยความที่เพลินพิรุณใส่เสื้อคอกว้าง(มาก)จึงทำให้แขนและมือของวารินสัมผัสกับผิวเนียนละเอียดของเพลินพิรุณเต็มๆ  ความอุ่นจากส่วนของร่างกายที่สัมผัสทำให้ใบหน้าหวานของวารินเริ่มมีสีระเรื่อขึ้นโดยไม่รู้ว่าเกิดจากความอุ่นของร่างกายของคนที่สัมผัสแพร่ผ่านหรือเพราะหัวใจที่สูบฉีดเลือดมากเกินไปกันแน่  แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกถึงแรงกระแทกจากภายในชัดเจน  ฝ่ายคนตัวสูงก็รีบแต่จะหันไปหยิบไม้ค้ำที่วางพาดไว้ข้างประตูจนไม่ได้สนใจเลยว่ามุมที่หันนั้นมันทำให้แก้มเนียนเฉียดจมูกของคนตัวเล็กในวงแขนไปแบบระยะประชิด

"เอ้า  รีบเข้าไปได้แล้ว"  เพลินพิรุณผละตัวออกมาจากวงแขนที่เกาะเกี่ยวลำคอเธอเมื่อครู่แล้วยื่นไม้ค้ำให้อีกคนที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งไปแล้ว

"นี่  เป็นอะไรไปอีกเนี่ย  รีบไปสิ"  น้ำเสียงเริ่มขุ่นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังทำท่าเหมือนเพิ่งตื่น

"อะ...เอ้อ   ขอบคุณนะ"  วารินรีบหยิบไม้ค้ำที่มือเรียวยื่นให้แล้วพยายามพาตัวเองเข้าประตูไปให้เร็วที่สุดเพราะรู้สึกว่าหน้าเธอกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆกับหัวใจที่เต้นแรงจนรู้สึกหูอื้อไปหมด 

"เป็นอะไรของเค้าเนี่ย"  อาการแปลกๆของคนที่เพิ่งเดินเข้าไปด้านในทำให้เพลินพิรุณงงเล็กน้อย  ก็ตอนมาถึงยังพูดคุยแจ้วๆแต่พอลงจากรถกลับไม่พูดไม่จาก้มหน้างุดๆรีบเข้าไปทันที
   




Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น