องศาร้อน...ซ่อนรัก ตอนที่ 4
โพสต์โดย:
Mono_zero
วันที่: 28 เมษายน 2015 เวลา 23:31:53
อ่าน: 658
|
"บ้านคุณอยู่ไหนเดี๋ยวฉันไปส่ง" เพลินพิรุณถามทันทีที่สาวร่างเล็กปิดประตูรถ
"เอ่อ......." ท่าทางอ้ำอึ้งทำให้โชเฟอร์เริ่มกดหัวคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
"ล้มทีเดียวความจำเสื่อมเลยรึไงเนี่ย" เสียงเข้มที่เอ่ยถาม สร้างความรู้สึกไม่พอใจให้กับอีกคนอยู่ลึกๆเมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวข้างกายชักจะพูดจาร้ายกาจมากขึ้นทุกที
"ฉันไม่ได้ความจำเสื่อมแต่กำลังจะประสาทเสื่อมเพราะคุณนี่ล่ะ" เมื่อสุดจะทนคนหน้าหวานจึงได้หลุดสิ่งที่คิดออกมาดังๆให้สาวตาคมถึงกับหันมามองด้วยแววตาแข็งกร้าวทันที
"กล้าดียังไงมาว่าฉัน"
"แล้วทำไมฉันจะต้องไม่กล้าในเมื่อคุณเองยังกล้าว่าฉัน ถ้าคุณอยากจะให้คนอื่นพูดดีๆด้วยคุณก็หัดพูดดีๆกับคนอื่นเค้าก่อนสิ" ดวงตากลมโตมองจ้องกลับตรงๆอย่างไม่เกรงกลัวว่าคนตรงหน้าอาจจะระเบิดอารมณ์ใส่แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้างเมื่อไม่เคยต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยเจอใครที่พูดจาร้ายกาจใส่เธอทั้งๆที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกเหมือนอย่างนี้เช่นกัน ดวงตาคมกริบที่มองจ้องอย่างเอาเรื่องแม้จะไม่พูดอะไรออกมาแต่แค่สายตาที่ส่งตอบกลับมาก็พอจะรู้ได้ว่าสาวเจ้าคงอยากจะฉีกร่างบางๆออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สองสายตามองจ้องกันนิ่งๆไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แต่สำหรับสาวร่างบางรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาช่างผ่านไปยาวนานซะเหลือเกินจนกระทั่งสาวตาคมถอนหายใจออกมาหนักๆและริมฝีปากอิ่มเริ่มขยับ
"ก็ได้ ฉันผิดเองที่พูดจาไม่ดีใส่คุณก่อน ฉันขอโทษด้วยละกัน" แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะยังฟังห้วนและไม่สบอารมณ์แต่ก็อ่อนลงจนทำให้คนร่างบางหายเกร็งขึ้นมาได้บ้างและยังรู้สึกแปลกใจขึ้นมานิดๆเมื่อคนที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยยอมใครกลับยอมรับผิดขึ้นมาเสียดื้อๆแล้วยังดูเหมือนว่าไม่ได้แกล้งทำอีกด้วยคนๆนี้คงรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ วารินเริ่มรู้สึกว่าผู้หญิงเจ้าอารมณ์ข้างๆเธอช่างเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนเสียจริง
"แล้วนี่จะบอกได้รึยังว่าบ้านคุณอยู่ไหน ฉันจะได้ไปส่งถูก" เพลินพิรุณถามอีกครั้งก่อนจะสตาร์ทรถและหยิบแว่นตากันแดดมาใส่ตั้งท่าพร้อมจะออกเดินทาง
"ฉันอยู่คอนโดชื่อ YYYY อยู่ตรง XYXYXY " วารินบอกชื่อที่พักของเธอพร้อมทั้งสถานที่ตั้งให้กับโชเฟอร์จำเป็นรับรู้ เมื่อเพลินพิรุณรู้ที่พักของหญิงสาวก็หันกลับมามองหน้าอีกคนทันที
"คุณอยู่ที่นั่นงั้นเหรอ" เพลินพิรุณถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
"ค่ะ คุณมีคนรู้จักพักที่นั่นเหรอคะ" วารินถามขณะที่รถยุโรปคันหรูเริ่มเคลื่อนที่ออกสู่ถนนสายหลักเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมาย
"เปล่า ไม่มี แต่ที่นั่นก็เป็นที่พักของฉันเหมือนกัน" เสียงเรียบๆของเพลินพิรุณตอบกลับมาให้สาวตาโตหันกลับมามองด้วยแววตาแปลกใจ
"จริงเหรอคะ คุณก็อยู่ที่นั่นด้วยงั้นเหรอ"
"ฉันอยู่ที่นั่นมันแปลกยังไง" เมื่อเห็นสายตาแปลกใจของร่างบางทำให้คนขับอดที่จะถามออกมาไม่ได้ เมื่อคิดว่าไม่เห็นมันจะแปลกตรงไหน
"ก็ฉันไม่เคยเจอคุณเลย"
"แล้วคุณคิดว่าคุณจะได้เจอคนที่พักในคอนโดเดียวกันกับคุณหมดทุกคนเลยรึไง" เสียงเรียบตอบกลับขณะที่ยังขับรถไปเรื่อยๆ ใบหน้าด้านข้างที่โดนแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางกระจกข้างทำให้เกิดแสงเงาสะท้อนกับส่วนเส้นโค้งตามแนวโครงของรูปหน้า ลำคอระหงตั้งตรงอย่างคนที่มีความมั่นใจสูง ท่อนแขนยาวเรียวที่กำลังหักหมุนพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่วพลิ้วไหว ท่อนขาเพรียวที่คอยเหยียบคันเร่งสลับกับเบรคเป็นระยะๆให้ความรู้สึกเพลิดเพลินชวนมอง องค์ประกอบที่เป็นผู้หญิงคนนี้ช่างสวยงามและดูดีมากเสียจนคนแอบมองอย่างสาวร่างบางหน้าหวานอดรู้สึกทึ่งในความลงตัวนั้นไม่ได้ แต่เมื่อหวนนึกถึงภาพการพบกันครั้งแรกก็ทำให้ความคิดที่กำลังชื่นชมนั้นหยุดชะงัก
"แล้วหมอบอกรึเปล่าว่าอีกกี่วันถึงจะเดินได้ปกติ" เพลินพิรุณหันมาถามคนนั่งคู่
"ประมาณ 3-4 วันคงดีขึ้นค่ะ แต่ถ้าจะให้เดินได้สะดวกคงอีกราวๆอาทิตย์นึง"
"อ้าวเหรอ แล้วแบบนี้จะไปทำงานยังไง ขับรถก็ไม่ได้ให้ขึ้นรถเมล์ก็คงจะได้พิการก่อนจะหายดีแน่นอน"
"เอ่อ.....ไม่ลำบากขนาดนั้นมั้งคะ เดี๋ยวฉันโทรเรียกแท็กซี่ให้มารับที่หน้าคอนโดเอาก็ได้ ฉันยังพอเดินไหว" สาวร่างบางตอบอย่างไม่เห็นเป็นปัญหาใหญ่ เพราะถึงจะเดินไม่ถนัดนักและเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าทุกครั้งเวลาที่เท้าแตะพื้น แต่เธอก็พอที่จะเดินได้บ้างยังดีที่ไม่กระทบกระเทือนถึงกระดูกจนต้องใส่เฝือกไม่อย่างนั้นเธอคงแย่ยิ่งกว่านี้แน่ๆ
"งั้นเหรอ" คำตอบสั้นๆแบบไม่ได้จะสนใจอะไรมากมายทำให้วารินรู้สึกแปลกใจว่าตกลงคนที่กำลังขับรถอย่างสบายๆข้างๆนี่จะสนใจหรือจะไม่สนใจอาการบาดเจ็บของเธอกันแน่ หลังจากนั้นสองสาวก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก
"โอ๊ย!!!!! รำคาญจริงๆ รถมันจะติดอะไรนักหนาเนี่ย" เสียงเพลินพิรุณทำลายความเงียบขึ้นพร้อมท่าทางหงุดหงิดที่เกือบชั่วโมงแล้วรถเธอก็ยังเคลื่อนไปได้ไม่ถึงสองกิโลเมตรด้วยซ้ำ
"สงสัยจะช่วงโรงเรียนเลิกพอดีน่ะค่ะรถเลยติด" วารินพูดอย่างอารมณ์เย็นเพราะถึงแม้ตัวเธอจะอยากกลับไปพักผ่อนที่คอนโดให้เร็วขนาดไหนแต่ก็ต้องทำใจยอมรับว่าการจราจรในเมืองหลวงนั้นวิกฤตขนาดหนักยิ่งเวลาเลิกงาน เลิกเรียนเช่นนี้ คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ
"ก็นั่นน่ะสิ เด็กมันจะเยอะอะไรกันนักกันหนา พ่อแม่ก็มีกันเข้าไปลูกน่ะไม่รู้จะมีกันทำไมนักนะมนุษย์จะล้นโลกอยู่แล้ว"
"มันก็เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตนี่คะ ที่พอถึงช่วงหนึ่งของชีวิตก็ต้องมีทายาท" สาวร่างบางยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่ต้องติดอยู่บนถนนสายอัมพาตเช่นนี้
"เออนี่ คุณเป็นมัณฑนากรหรือนักชีววิทยากันแน่เนี่ย" เมื่อรู้สึกว่าสาวข้างๆทัศนคติชักเริ่มขัดอารมณ์ตอนนี้ของเธอเหลือเกินเพลินพิรุณจึงหันมาพาลใส่คนข้างๆซะเลย
"เอ๊ะ คุณรู้ได้ยังไงกันว่าฉันเป็นมัณฑนากร" วารินหันมาทำหน้าสงสัยทันที ก็ในเมื่อเธอยังไม่เคยบอกสักนิดเลยว่าเธอทำอาชีพอะไรแล้วทำไมคนๆนี้ถึงได้รู้
"นามบัตรในสมุดจดงานคุณนั่นไง ฉันพาคุณมาด้วยกันขนาดนี้ฉันก็ต้องรู้หน่อยสิว่าคุณเป็นใครมาจากไหน อยู่ๆจะให้ใครก็ไม่รู้มานั่งด้วย เกิดคุณเป็นโจรฉันก็แย่สิ" คำตอบที่ได้ฟังทำเอาวารินถึงกับอึ้งกิมกี่พูดอะไรไม่ออกได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ คิดได้เพียงแค่ว่าคนๆนี้นี่ช่างคิดได้นะว่าเธอจะกลายเป็นโจรมาทำอันตรายเจ้าหล่อน โถ...แม่คู๊ณ ตั้งแต่เจอกันนี่ไม่ใช่ตัวเธอหรอกเหรอที่แทบจะโดนสาวตาคมคนนี้ฆ่าหมกข้างทางอย่างไม่ได้ตั้งใจไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แถมการกระทำเจ้าหล่อนแต่ละอย่างก็ทำให้ตามตัวเธอพกช้ำดำเขียวอีกตั้งหลายจุดเรียกได้ว่าตั้งแต่เจอกันมานี่เธอเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวซะด้วยซ้ำไหนจะเจ็บตัวแล้วยังต้องมานั่งเหนื่อยใจกับการที่ต้องมาพูดจากับคนปากร้ายอย่างนี้อีก นี่ถ้าไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากและค่อนข้างเป็นคนใจเย็นมากคนนึงเธอกับสาวตาคมคนนี้คงได้ปะทะอารมณ์กันดุเดือดแน่ๆ
"นั่งจ้องกันแบบนี้มีปัญหาอะไรรึไง" นอกจากจะคิดได้อย่างติดลบสุดๆแล้วคนร่างสูงยังจะพูดจาหาเรื่องได้อย่างกวนอารมณ์สุดๆ
"ฉันน่ะไม่มีหรอกค่ะปัญหาน่ะ แต่ท่าทางความคิดคุณนั่นแหละที่คงจะมีปัญหา" เสียงตอบแบบเรียบๆทำให้ใบหน้าสวยถึงกับอึ้งไปเลยที่โดนว่าแบบตรงๆ
"นี่หาว่าฉันปัญญาอ่อนรึไงห๊า เดี๋ยวก็ให้เดินกระเผลกไปโหนรถเมล์ให้ขาพิการซะเลยนี่"
"ก็ดีนะคะ ฉันว่าให้ฉันไปโหนรถเมล์ให้ขาฉันพิการก็อาจจะยังดีกว่ามานั่งอยู่ในนี้ให้คนจิตใจพิการพูดจาหาเรื่องกันอยู่อย่างนี้" คราวนี้เสียงเรียบเริ่มแข็งขึ้นมาบ้างเล็กน้อยเพราะถึงแม้จะเป็นคนอารมณ์เย็นแค่ไหนแต่ถ้าเจอคอมโบต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนมาตลอดทั้งบ่ายก็ทำให้เกิดไอระอุกรุ่นๆอยู่บ้างเหมือนกัน ขนาดเจอสายตาคมที่มองจ้องมาอย่างเชือดเฉือนใบหน้าหวานก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมสยบให้ง่ายๆ ถึงคราวน้ำนิ่งมีการสั่นสะเทือนก็ยากที่จะทำให้สงบเช่นกัน
"เอ๊ะ!! เธอนี่จะเอายังไง เดี๋ยวก็หาว่าฉันสมองมีปัญหาเดี๋ยวก็หาว่าฉันจิตใจพิการมันจะกล้าดีเกินไปแล้วนะ ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้!!" เพลินพิรุณรู้สึกเหมือนกลางอกมีภูเขาไฟกำลังจะระเบิดอยู่มะรอมมะร่อเพราะคำพูดและท่าทางของสาวหน้าหวานที่กำลังมองจ้องไม่หลบสายตาด้วยดวงตากลมโตที่ตอนนี้มันดูจริงจังและเด็ดเดี่ยวไม่เหลือภาพของดวงตากลมโตที่มีความหวานซึ้งเหมือนก่อนหน้านี้อยู่เลยสักนิดเดียว
"แล้วมันจริงมั้ยล่ะ ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุมานี่คุณมีแต่พูดจาไม่ดีใส่ฉันแถมการกระทำของคุณก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสุภาพเลยที่ฉันพูดไปมันก็ถูกต้องแล้ว"
"เธอมัน......"
ปี๊นนนนนนนนนน
เสียงบีบแตรรถดั่งสนั่นจากข้างหลังทำให้ทั้งวารินและเพลินพิรุณละสายตาที่กำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือดหันไปมองด้านหลังพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายก่อนจะเริ่มมองด้านข้างและด้านหน้า ทำให้รู้ว่าตอนนี้การจราจรของถนนเส้นนี้ไม่ได้เป็นอัมพาตอีกต่อไป ร่างสูงกลับไปทำหน้าที่คนขับอีกครั้งแต่สายตาก็คอยเหล่มองคนข้างๆอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนคนข้างๆก็กำลังสูดหายใจเข้าลึกๆพยายามจะระงับอารมณ์ที่กำลังพุ่งขึ้นเรื่อยๆให้ค่อยๆสงบลง
ตลอดเส้นทางที่รถคันหรูขับผ่านจนมาจอดที่ลานจอดรถของคอนโดมิเนียมทั้งเพลินพิรุณและวารินต่างนั่งเงียบกันมาตลอดทางซึ่งสร้างความอึดอัดใจให้กับสาวร่างบางอย่างวารินเป็นอย่างมากเพราะเพลินพิรุณไม่เพียงแต่จะตั้งหน้าตั้งตาขับรถให้คนนั่งด้วยเกร็งหน้าท้องจนกล้ามจะขึ้นแล้วก็ยังคอยแผ่รังสีอำมหิตอยู่ตลอดเวลา ทำให้วารินทำได้เพียงแต่นั่งภาวนาขอให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ซะทีจนกระทั่งรถจอดสนิทวารินถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่มันคงจะยังเร็วไปสำหรับวารินที่จะโล่งอกตอนนี้เพราะเมื่อดับเครื่องสนิทแล้วสาวร่างสูงเจ้าของรถก็รีบลงจากรถแล้วเดินจ้ำอ้าวไปทางประตูทางเข้าคอนโดทันที ทิ้งให้อีกหนึ่งสาวได้แต่ลุกลี้ลุกลนพยายามลงจากรถให้เร็วที่สุดแต่เนื่องจากข้อเท้าที่บาดเจ็บจึงทำให้การขยับตัวของเธอไม่คล่องตัวเท่าใจนึก
"คุณ!!! นี่คุณ!!!หยุดก่อนสิ จะรีบเดินไปไหนน่ะ แล้วของๆฉันล่ะ นี่!!มาเปิดท้ายรถให้ฉันก่อน" วารินตะโกนเรียกร่างสูงที่ยังไม่ยอมหยุดเดินจนคนเรียกต้องรีบใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงเดินพยายามมุ่งหน้าไปทางเดียวกับคนข้างหน้าด้วยความทุลักทุเลเพราะยังไม่ชิน ฝ่ายเพลินพิรุณแม้จะได้ยินเสียงร้องเรียกและเสียงไม้เท้ากระทบพื้นตามมาด้านหลังก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินแถมยังเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ
"ถ้าเธอตามฉันทันฉันจะยอมเดินกลับไปเปิดท้ายรถให้เธอ" เสียงพูดชัดเจนดังมาจากปากสวยที่กำลังยิ้มน้อยๆอย่างผู้ชนะ เพราะถึงยังไงคนข้างหลังไม่มีทางที่จะวิ่งตามเธอทันแน่นอนงานนี้เธอชนะเห็นๆเมื่อนึกได้ดังนั้นรอยยิ้มที่มุมปากก็เหยียดกว้างมากกว่าเดิม ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนอย่างเพลินพิรุณไม่ใช่จะยอมให้ใครด่าฟรีๆ หึหึหึ
โครม!!!!!!!!!!!
ยังไม่ทันที่เพลินพิรุณจะได้ชื่นฉ่ำกับความคิดชั่วร้ายของตัวเองได้นานก็ต้องสะดุ้งหลุดจากความคิดทันทีที่ได้ยินเสียงวัตถุตกกระทบพื้นดังก้องไปทั่วลานจอดรถ ใบหน้าเรียวหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงซึ่งอยู่ด้านหลังของเธอโดยอัตโนมัติแล้วก็ได้เห็นคนที่พยายามวิ่งตามเธอเมื่อครู่ลงไปนั่งพับเพียบกองอยู่กับพื้นพร้อมกับไม้ค้ำที่ล้มอยู่ข้างๆ สีหน้าเจ็บปวดที่แสดงออกมาจากเจ้าของใบหน้าหวานทำให้เพลินพิรุณรีบวิ่งกลับไปหาคนเจ็บด้วยความตกใจ
"คุณเป็นอะไรรึเปล่า" ร่างสูงย่อตัวลงและพยายามจะช่วยพยุงให้คนที่นั่งอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืน
"ก็เจ็บน่ะสิถามได้" วารินกัดริมฝีปากเผื่อระงับความปวดที่ข้อเท้า ใจนึกก็นึกอยากจะต่อว่าคนตรงหน้าให้แรงๆสมกับที่เป็นสาเหตุทำให้เธอต้องมาเจ็บตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการกระทำที่ไม่สมควรเลย แต่เมื่อเห็นสายตาตกใจที่เจือไปด้วยความห่วงใยอย่างเปิดเผยก็ทำให้คำที่คิดไว้ว่าจะต่อว่าทั้งหลายมลายหายไปหมดสิ้น วารินเริ่มไม่แน่ใจว่าคนที่กำลังทำหน้าตื่นอยู่นี่เป็นคนยังไงกันแน่ ช่างเปลี่ยนแปลงท่าทางและอารมณ์ได้รวดเร็วจนเธอตามไม่ทันจริงๆ
"เดินไหวรึเปล่า" เพลินพิรุณถามด้วยความเป็นห่วง เพราะถึงตอนแรกเธอจะตั้งใจเอาคืนคนหน้าหวานที่บังอาจมาว่าเธอให้เธอได้เสียอารมณ์แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ยิ่งเห็นใบหน้าหวานที่ตอนนี้กำลังนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดและยังดวงตากลมโตที่กำลังมีน้ำตาปริ่มๆขอบตา ยิ่งทำให้คนมองรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
"เดี๋ยวฉันช่วยพยุงเดินกลับห้องแล้วกัน ท่าทางคุณคงเดินไปคนเดียวไม่ไหวแน่"
"คุณช่วยไปเอาของๆฉันหน่อยได้มั้ยคะ" ถึงจะเจ็บจนอยากจะร้องไห้ แต่วารินก็กัดฟันทนและยังไม่ลืมที่จะเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการ
"ได้ๆ งั้นยืนรอแปปนึงแล้วกัน" เพลินพิรุณรีบเอ่ยปากบอกและพยายามพยุงให้อีกคนยืนทรงตัวให้ได้ก่อนจะรีบเดินเร็วๆไปที่รถ เป็นครั้งแรกที่เพลินพิรุณรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป
"โน้ตบุคคุณ เดี๋ยวฉันจัดการให้ก็แล้วกันนะฉันมีเพื่อนทำงานด้านคอมพิวเตอร์อยู่พอดีคงช่วยอะไรได้บ้าง" สาวตาคมบอกทันทีที่เดินกลับมาถึงพร้อมกับหอบหิ้วสัมภาระของอีกคนติดมือมาด้วย
"รบกวนคุณเปล่าๆ ฉันจัดการเองก็ได้ค่ะ" วารินเริ่มไม่ค่อยมั่นใจที่จะฝากให้เพลินพิรุณรับผิดชอบของสำคัญของตัวเองสักเท่าไหร่ เกิดวันดีคืนดีเพลินพิรุณเกิดผีเข้านึกหมั่นไส้เธอขึ้นมาแล้วทำลายโน๊ตบุคของเธอทิ้งมีหวังงานทั้งหมดของเธอที่อยู่ในโน๊ตบุคได้เสียหายหมดแน่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่วารินไม่อยากเสี่ยงเป็นที่สุด
"เอาตามนี้ล่ะน่า เรื่องมากจริง ไปได้แล้ว" คำปฏิเสธของวารินทำให้เพลินพิรุณรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจึงตัดรำคาญด้วยการช่วยพยุงคนเจ็บให้เดินไปทางประตูทางเข้าคอนโดแทน
สองสาวเดินมาถึงหน้าลิฟท์อย่างทุลักทุเลเพราะทุกครั้งที่ลงน้ำหนักจะทำให้วารินปวดข้อเท้าขึ้นมาอย่างมากจนต้องกัดริมฝีปากเพื่อระบายความเจ็บปวดยิ่งไปกว่านั้นวารินเริ่มรู้สึกว่าร้อนๆหนาวๆแล้วก็เวียนหัวอย่างมาก
"คุณอยู่ชั้นไหน" เพลินพิรุณหันมาถาม
"12 ค่ะ" เสียงเบาๆตอบกลับมาจากริมฝีปากเล็ก เมื่อกดชั้นที่ต้องการแล้วทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งถึงชั้นที่ต้องการเพลินพิรุณจึงพาวารินมาส่งถึงหน้าห้องและรอให้เจ้าของห้องเปิดประตูเสร็จจึงทำให้เพลินพิรุณเห็นว่าภายในห้องมีกล่องขนย้ายวางอยู่มากมาย
"ฉันเพิ่งย้ายมาน่ะค่ะ เลยยังไม่ได้จัดห้อง" วารินเห็นเพลินพิรุณมองไปรอบๆห้องด้วยความสงสัย
"อ่อ อืม....งั้นฉันวางของๆคุณเอาไว้ที่นี่ก็แล้วกันนะ" เพลินพิรุณวางของๆเจ้าของห้องไว้บนโต๊ะรับแขกที่มีกองหนังสือแบบบ้านวางกินเนื้อที่เกินครึ่ง แล้วจึงทำท่าจะเดินออกจากห้องไปเมื่อไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้ว
"เดี๋ยวค่ะ!" เสียงเรียกด้านหลังทำให้ขาเรียวหยุดชะงักแล้วหันกลับมาหาต้นเสียง
"คือ.....ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย แล้วคุณพักอยู่ชั้นไหนคะ" ถึงวารินจะไม่ได้รู้สึกปลื้มกับการพูดคุยกับเพลินพิรุณเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้คนๆนี้ก็เป็นเพียงคนเดียวที่เธอรู้จักที่นี่วารินจึงอยากทำความรู้จักเพื่อนร่วมคอนโดเอาไว้บ้างแม้เพื่อนร่วมคอนโดคนนี้ไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะรู้จักกับเธอสักเท่าไหร่ก็ตาม
"ฉันชื่อเพลิน" วารินได้ยินชื่อเล่นของเพลินพิรุณแล้วก็รู้สึกว่าชื่อช่างขัดกับบุคลิกเจ้าตัวจริงๆ ชื่อเพลินแต่นิสัยไม่ได้ชวนเพลินสักนิด
"แล้วคุณอยู่ชั้นไหนล่ะ"
"30"
"เอ่อ.....คอนโดนี้มีชั้น 30 ด้วยเหรอเนี่ย" วารินทำท่าคิด เนื่องจากตอนที่เธอมาติดต่อเพื่อจะย้ายมาอยู่เธอมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่บอกกับเธอว่ามี 29 ชั้น
"มีสิ แต่ไม่ได้เอาไว้ให้ใครซื้อเท่านั้นเอง" เสียงเรียบพูดเหมือนไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ
"อ้าว แล้วคุณอยู่ชั้นนั้นได้ยังไงล่ะคะ"
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ชั้นนั้นมันสร้างมาเพื่อให้ฉันอยู่โดยเฉพาะนี่" ใบหน้าเรียวมองมาที่คนหน้าหวานและยิ้มน้อยๆแต่เป็นยิ้มที่ดูขมขื่นซะเหลือเกินในความคิดของคนที่ได้เห็น
"เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้วฉันไปละนะ แล้วเรื่องโน้ตบุคของคุณเดี๋ยวฉันกู้ข้อมูลจากเครื่องเก่าเสร็จแล้วจะซื้อเครื่องใหม่ให้ก็แล้วกัน ถือว่าฉันเป็นคนทำของคุณพังฉันจะรับผิดชอบเอง" พูดเองเออเองเสร็จสรรพขาเรียวก็เดินออกจากห้องไปทันทีปล่อยให้อีกคนมองตามอย่างงงๆ แต่ตอนนี้อาการปวดหัวจู่โจมรุนแรงซะจนคิดอะไรไม่ออกวารินจึงพาตัวเองไปยังห้องนอนอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นเตียงนอนเท่านั้นร่างบางก็ล้มตัวลงนอนนิ่งอย่างหมดแรงเหมือนว่าวันนี้เธอใช้พลังกายไปมากมายซะจนไม่เหลือเลย คิดทบทวนถึงเรื่องราวตั้งแต่เธอได้เจอกับเหตุการณ์เฉียดตายด้วยฝีมือของผู้หญิงที่นิสัยแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอก็ทำให้ต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะค่อยๆเข้าสู่นิทราอย่างเหนื่อยอ่อน ทางด้านอีกหนึ่งสาวตัวต้นเหตุก็ขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 30 ซึ่งชั้นนี้ทั้งชั้นมีห้องของเธออยู่ห้องเดียวและแน่นอนว่าไม่ใช่ว่าจะมีใครขึ้นมาก็ได้ คนที่จะกดลิฟท์ชั้น 30 ได้จะต้องใช้คีย์การ์ดเสียบไปที่ช่องเสียบคีย์การ์ดในลิฟท์แล้วจึงจะสามารถกดเลขชั้น 30 ได้ ระบบที่เพลินพิรุณรู้สึกว่ายุ่งยากทุกครั้งที่ต้องใช้ลิฟท์เพื่อที่จะขึ้นมาบนห้องของตัวเองแต่เธอก็ต้องยอมทำตามเพราะคนที่สั่งให้นำระบบนี้มาใช้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นพิลากาญจน์นั่นเองที่กลัวว่าศัตรูรอบด้านของน้องสาวเธออาจจะเข้ามาทำอันตรายได้จึงได้สั่งให้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพลินพิรุณเข้าห้องมาก็รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำไม่นานก็รีบออกไปหาวิภาวีทันทีเพื่อจะปรึกษาถึงเรื่องซากโน๊ตบุคที่นอนตายอยู่หลังรถเธอ
ภายในห้องของวิภาวีสาวหมวยกำลังนั่งฟังเพลินพิรุณเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายอย่างคร่าวๆพร้อมทั้งพิจารณาซากโน๊ตบุคที่เพื่อนสาวของเธอแบกมาให้ช่วยกู้ข้อมูลด้วยความหนักใจ
"สภาพมันดูย่ำแย่มากเลยว่ะเพลิน ฉันไม่แน่ใจนะว่าจะกู้ข้อมูลออกมาได้มากแค่ไหนแต่ก็จะลองพยายามดูก็แล้วกัน"
"ก็แล้วแต่แกเลยวิ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นแหละ" เพลินพิรุณตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักแล้วก็นั่งเปิดนิตยสารเกมอ่านอย่างสนใจ ใครที่ไม่รู้จักเพลินพิรุณดีพอคงจะเดาไม่ออกว่าสาวสวยนำแฟชั่นอย่างเพลินพิรุณแท้จริงแล้วเป็นคนที่ติดเกมขนาดหนักเรียกได้ว่าไม่มีเกมไหนที่สาวตาคมคนนี้จะไม่รู้จักทั้งเกมใต้ดิน เกมบนดิน ฯลฯ
"แล้วแกไม่ลองเอาไปให้ที่ศูนย์ดูล่ะเพลิน ที่นั่นอาจจะทำอะไรได้มากกว่าก็ได้นะ"
"ยัยวิ ถ้าระดับแกยังทำได้แค่นี้ที่อื่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว"
"หือ......แกมั่นใจในตัวฉันขนาดนั้นเชียวเหรอ" สาวหมวยทำหน้าแปลกใจนิดๆ
"ก็เออสิ สำหรับฉันแกเลิศสุดละวิ นี่ถ้าองค์กรไหนหรือบริษัทไหนได้ตัวแกไปทำงานนะฉันว่าบริษัทคู่แข่งคงหน้าซีดกันเป็นแถวๆ" เสียงพูดเชิงชื่นชมเปิดเผยจากปากสวยทำให้สาวหมวยขำนิดๆ
"ที่ซีดนี่เพราะสงสารบริษัทที่รับฉันเข้าทำงานป่ะเพื่อน ฮ่าๆๆๆๆ"
"บ้าเหรอวิ ฉันหมายถึงบริษัทไหนได้ตัวโปรแกรมเมอร์อัจฉริยะอย่างแกไปทำงานนี่โคตรโชคดีเลยต่างหาก" เพลินพิรุณพูดจบก็หันกลับมามองคนที่นั่งขำด้วยท่าทางสบายๆจนดูไม่ออกเลยว่าคนๆนี้คือสุดยอดโปรแกรมเมอร์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้ วิภาวีมีความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์อย่างเหนือชั้นจนมหาวิทยาลัยดังทั่วโลกอยากจะเชิญไปเรียนและไปเป็นอาจารย์สอนที่นั่นแต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธทั้งหมดและไม่ยอมเข้าทำงานกับองค์กรหรือบริษัทไหนเลยซึ่งวิภาวีให้เหตุผลเพียงแค่เธอชอบอยู่อย่างสงบและไม่ชอบการแข่งขันเพียงแค่นั้นจึงทำให้วิภาวีหารายได้โดยการรับงานอิสระเป็นบางเวลา ส่วนงานหลักนั้นก็คือการดูซีรี่ย์เกาหลีทุกเรื่องนั่นเอง
"แล้วอีกกี่วันถึงจะเสร็จน่ะ" ร่างสูงถามพลางลุกขึ้นไปเปิดเครื่องเกม PS3 และใส่แผ่นเกมลงไป
"สามวันน่าจะได้เรื่อง" วิภาวีเดินมานั่งลงข้างๆเพลินพิรุณแล้วหยิบปกแผ่นเกมมาดู
"แล้วคนที่โดนแกเกือบขับรถชนตายวันนี้นี่เค้าเป็นไงมั่งล่ะ"
"อ๋อ ก็ไม่เห็นเป็นไรมากนะ แค่เอ็นข้อเท้าอักเสบไม่กี่วันเดี๋ยวก็เดินได้ปกติแล้ว"
"แบบนี้คงทำอะไรลำบากนะเนี่ย เค้าอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ"
"ก็คนเดียวมั้ง ไม่เห็นมีใครอยู่ด้วยนี่"
"ยังไงแกก็แวะๆไปดูเค้าบ้างก็ดีนะเพลินเกิดเค้าเป็นอะไรขึ้นมาแล้วไม่มีใครช่วยล่ะแย่เลย เพิ่งย้ายมาด้วยไม่ใช่เหรอคงยังไม่รู้จักใครไหนๆก็อยู่คอนโดเดียวกัน"
"ฉันเนี่ยนะ!!" ใบหน้าเรียวหันควับมามองคนข้างๆอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
"ก็เออสิ ก็ต้องแกนั่นแหละเพราะแกเป็นคนทำให้เค้าบาดเจ็บนี่"
"ฉันก็ช่วยรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแล้วไง โน้ตบุคก็ซื้อให้ใหม่ ข้อมูลที่เสียก็หาทางซ่อมให้นี่ไง ทำไมต้องไปคอยดูแลอีก" น้ำเสียงหงุดหงิดบ่นอุบ
"อ้าว รับผิดชอบของแล้วก็ต้องรับผิดชอบคนด้วยสิ ก็ไม่ใช่เพราะแกเหรอไงเค้าถึงต้องมาบาดเจ็บจนเสียงานเสียการแบบนี้แล้วถ้าเค้าอยู่คนเดียวจริงๆมันก็ลำบากอยู่นะ"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ ฉันไม่ใช่พยาบาลนะให้คอยไปดูแลคนเจ็บฉันทำไม่เป็นหรอก"
"ก็ไม่ได้ให้ไปดูแลขนาดว่าเป็นพยาบาลแบบนั้น หมายถึงให้แกคอยไปดูเค้าหน่อยว่าเป็นยังไงบ้างมีอะไรให้ช่วยมั้ยอะไรแบบนี้ น้ำใจน่ะเพื่อนน้ำใจเข้าใจป่ะ" วิภาวีพูดไปก็อ่อนใจกับคนตรงหน้าเหลือเกิน
"ไม่มี ไม่สน ไม่เข้าใจ ไม่อยากทำ จบป่ะ" เสียงโวยวายยาวเหยียดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปกระโดดฟุบหน้าลงกับเตียงแล้วเอาหมอนมาปิดหูเหมือนเด็กๆที่โดนบังคับให้ทำอะไรที่ไม่ชอบใจทำให้วิภาวีถึงกับส่ายหน้าช้าๆอย่างเอือมระอาในความดื้อรั้นของคนบนเตียงที่ดูท่าทางคงจะไม่ยอมฟังและไม่ยอมเข้าใจง่ายๆ พูดดีๆไม่ฟังงั้นงานนี้คงต้องใช้ไม้แข็งกันบ้างล่ะเพื่อนเอ๋ยสาวหมวยยิ้มน้อยๆกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว
|
Rating: This article has not been rated yet.
|
|
ความคิดเห็น
|