web stats

ข่าว

 


Step by Step กว่าจะรู้ว่ารัก ตอนที่ 11 คำสัญญา

โพสต์โดย: TrueDream วันที่: 28 เมษายน 2015 เวลา 11:19:52 อ่าน: 393

มนันยาพาเมธาวีเดินลัดเลาะออกจากงานที่วุ่นวายมาหยุดยืนที่บริเวณริมสระน้ำ ซึ่งมีโคมไฟตามทางเดินเป็นแสงสีส้มนวล ให้ความรู้สึกโรแมนติกไปอีกแบบ ทั่วทั้งบริเวณไร้ซึ่งผู้คนแต่ไม่ได้ห่างจากงานมากนัก จะเรียกว่าเปลี่ยวก็ไม่ถึงขนาดนั้น

"จะลากเมมากินในสระรึไงคะเนี่ย" เมธาวีเอ่ยขึ้นล้อๆ พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายจะคุยกับเรื่องอะไร และเธอเองก็มีคำตอบอยู่แล้ว

"ถ้าน้องเมยอมมันก็น่าสนใจนะ" อีกฝ่ายตอบกลับทีเล่นทีจริง ดวงตาคมดูแพรวพราวขึ้นมา

"ไม่เอาดีกว่า เมไม่อยากแช่น้ำนาน" คนอายุน้อยกว่าตอบกลับอย่างหยอกล้อ มนันยาหัวเราะเบาๆ เธอก็ไม่ได้มีความคิดจะลากอีกฝ่ายลงน้ำจริงๆ อยู่แล้ว

"น้องเม" มนันยาเรียกหลังจากพากันยืนเงียบไปหลายอึดใจ

"ขา" เมธาวีตอบรับ รู้สึกถึงความกังวลและอึดอัดใจของอีกฝ่าย แต่จะให้เธอทำอย่างไรได้

"รู้ตัวรึเปล่าว่าพี่จีบอยู่" คราวนี้มนันยาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"รู้สิคะ"

คำตอบง่ายๆ ของฝ่ายนั้นทำเอามนันยาชักไปไม่ถูกเหมือนกัน มันดูง่ายเกินไป...ถ้าฝ่ายนั้นรู้อยู่ตลอดแล้วตอบกลับเธอมาอย่างง่ายดายเพียงนี้ มันก็เป็นไปได้ว่าเมธาวีอาจจะปฏิเสธเธอนิ่มๆ ได้เช่นกัน แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว...จะให้ถอยคงไม่ใช่

"แล้ว...น้องเมว่าไงคะ ตกลงเป็นแฟนพี่ไหม" ในที่สุดมนันยาก็เสี่ยงถามออกไป

"เอาไว้ให้เมพร้อม เมจะขอพี่เองนะคะ" เมธาวีตอบกลับราวกับมันเป็นบทสนทนาธรรมดา รอยยิ้มจางๆ ยังคงประดับอยู่บนริมฝีปาก

มนันยาได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆ เธอเตรียมใจมาแค่ฟังคำตอบว่า 'คบ' หรือ 'ไม่คบ' เท่านั้น เมื่อเจอกับคำตอบที่คล้ายไม่ตอบรับแต่ไม่ได้ปฏิเสธแบบนี้เธอจึงทำอะไรไม่ถูก

"หมายความว่า...พี่ยังมีโอกาสใช่ไหมคะ" ในที่สุดมนันยาก็ถามออกมาหลังจากนิ่งอยู่หลายอึดใจ

เมธาวีพยักหน้าอยากจะบอกว่ามีโอกาสมากเชียวล่ะ เมื่อถึงเวลาขึ้นมาจริงๆ คนที่ต้องลุ้นน่าจะเป็นตัวเธอเสียมากกว่า

"ช่วงนี้พี่ก็ยังจีบน้องเมได้ใช่ไหมคะ" มนันยาหรี่ตาถาม คิดว่าบางทีเมธาวีอาจจะกำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจ ไม่แปลกเลยที่เธออาจจะมีคู่แข่ง แต่กี่คนนี่สิ แล้วใครเป็นตัวเก็ง

แต่ไม่ว่าเธอจะมีโอกาสสักกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ขอเพียงเมธาวียังให้โอกาส เธอก็พร้อมจะสู้

"ได้ตามปกติเลยค่ะ" เมธาวีบอกกลั้วหัวเราะ

"แล้ว...เมื่อไรจะประกาศผลคะ" มนันยาถาม อย่างน้อยเธอก็อยากรู้กำหนดเวลา คราวนี้กลายเป็นเมธาวีที่ดูลำบากใจ

"ไม่รู้ค่ะ...แต่คงไม่เกิน 3 เดือน"

"นานจัง" มนันยาบ่น

"รอไม่ได้เหรอคะ" เมธาวียิ้มถาม รู้ว่าอีกฝ่ายแค่บ่น

"ได้สิคะ...พี่รอมา 2 ปียังรอได้ จะรออีกสัก 3 เดือนทำไมจะรอไม่ได้ ถ้ามันจะเป็นการรออย่างมีความหวังน่ะนะ" ดวงตาคมที่ทั้งหวานทั้งโศกของมนันยาทอดมองมายังคนที่เธอรัก ภายในนั้นมีแววตัดพ้อจนเมธาวีรู้สึกหม่นหมองไปด้วย

"มีสิคะ ความหวังน่ะ...มันมีแน่นอน..." เสียงนุ่มทุ้มของเมธาวีเอื้อนเอ่ย ยังคงมองนิ่งเข้าไปในดวงตาคู่งามที่ทอดมองมายังเธออย่างไม่ปิดบังความรู้สึกใดๆ เธอเห็นทั้งความรักและการตัดพ้ออยู่ในแววตาของมนันยา

ราวกับต้องมนตร์สะกด มือเรียวของคนตัวเล็กกว่าเอื้อมไปสัมผัสแก้มของคนอายุมากอย่างแผ่วเบา เธอเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากกว่าเดิม ใกล้จนสองร่างแทบจะแนบชิดกัน แสงสีส้มอ่อนจากโคมไฟยิ่งอาบไล้ให้ใบหน้างามยิ่งงามล้ำและดึงดูด สายตาของเธอมองอย่างสำรวจทั่วทั้งใบหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากสวยได้รูปน่าสัมผัสนั่น ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาประสานกับดวงตาคมอีกครั้ง

ในเวลานี้เธอพบแต่เพียงแววหวานแทบละลายใจในดวงตาคู่งามของมนันยาที่ดูเคลิ้มๆ ไม่แพ้กัน เธอค่อยๆใช้อีกมือโอบท้ายทอยคนตัวสูงกว่าแล้วโน้มลงมาโดยที่ยังไม่ละสายตาจากกัน จนเมื่อรู้สึกลมหายใจอุ่นที่เป่ากระทบผิว ปลายจมูกสัมผัสกันอย่างบางเบาแต่กระตุ้นความรู้สึกบางอย่างได้อย่างมากมาย

เมธาวีเลื่อนสายตากลับลงมาจ้องมองริมฝีปากอิ่มระเรื่อที่อยู่ใกล้เหลือเกิน เธอหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อยให้ปลายจมูกพ้นจากกันแล้วใช้ริมฝีปากของตนสัมผัสกับริมฝีปากอิ่ม กดลงไปเล็กน้อยก่อนจะจูบที่กลีบปากนั้นครั้งหนึ่งเบาๆ แล้วรีบถอยออกมา ทว่ายังไปไหนไม่ได้ไกลเพราะแขนยาวๆ ของอีกคนที่โอบเอวเธอเอาไว้ และมือของเธอเองก็ยังยังคล้องคอของมนันยาอยู่ ในจังหวะนั้นคนอายุมากกว่าคล้ายตามเข้ามาจะสานต่อ แต่เป็นเธอที่ดันไหล่อีกฝ่ายอาไว้ ซึ่งมนันยาก็ยอมหยุดให้แต่โดยดี

"มัดจำไว้ก่อนนะคะ" เมธาวีบอกด้วยรอยยิ้มหวาน

"ถ้าจะมัดจำขนาดนี้ตกลงเป็นแฟนกับพี่เลยดีกว่าไหม" มนันยาหัวเราะ หึหึ ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนกันแน่ เมธาวีก็หัวเราะด้วยเสียงไม่ต่างกัน

"เมถือว่าเรื่องใหญ่นะคะ และโดยเฉพาะถ้ามันเป็นการคบกันของเพศเดียวกัน สำหรับเมแล้วการตกลงคบกันเป็นแฟนของเราก็เกือบๆ จะเรียกว่าแต่งงานกันแล้วก็ว่าได้ คือคนที่เมคิดจะฝากชีวิตเอาไว้ คนที่เมคิดจะดูแลกันไปตลอดชีวิต เข้าใจเมหน่อยนะคะ" เมธาวีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบจริงจัง นัยน์ตาสีนิลสนิทราวกับรัตติกาลนั้นมองนิ่ง
มนันยาค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา แม้มันจะไม่ใช่การตอบตกลงในสถานะใดๆ แต่เธอกลับรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา เธอก็หวังว่าเมธาวีจะเป็นคนสุดท้ายของเธอ ดีใจที่อีกฝ่ายจริงจังกับเรื่องนี้ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าความรักครั้งนี้มันจะไม่ใช่การคบกันไปวันๆ แต่มันจะเป็นความรักที่หนักแน่นจริงจัง ต่อให้สุดท้ายไม่ได้คบกันนั่นก็เพราะเธอยังไม่ดีพอสำหรับเมธาวี เธอยังไม่สามารถทำให้ฝ่ายนั้นคิดจะฝากชีวิตกับเธอได้

"เข้าใจแล้วค่ะ" มนันยาตอบด้วยรอยยิ้มสวยที่แทบกระชากวิญญาณของเมธาวีอีกครั้ง

'ท่าทางคนที่อาการหนักจะเป็นเธอนี่ล่ะ...เมธาวี' ตำรวจสาวลอบคิดในใจ พยายามทำตัวปกติราวกับไม่รู้สึกอะไร คงต้องรีบออกจากสถานการณ์นี้โดยเร็วก่อนที่จะเป็นเธอที่แพ้ใจตัวเอง

"ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คือกำลังคบหาดูใจใช่ไหมคะ เรียกแบบนี้ได้ไหม" มนันยาถามด้วยรอยยิ้ม

"ก็ประมาณนั้นค่ะ" เมธาวียิ้มตอบ ก่อนจะบอกต่อ

"เรากลับเข้าไปกันเถอะค่ะ ออกมานานแล้ว เดี๋ยวน้ำจะคิดว่าพี่นุก 'อุ้ม' เมไปซะแล้ว" ตำรวจสาวบอกกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหันหลังออกเดิน ได้ยินเสียงใสๆ ของอีกฝ่ายร่วมหัวเราะอยู่เบาๆ

เดินไปได้เพียงก้าวเดียวอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือเอาไว้ เธอหยุดมองเล็กน้อยก็เห็นว่าฝ่ายนั้นมายืนข้างเธอเพื่อที่จะออกเดินไปพร้อมกัน เมธาวีหันมายิ้มให้ซึ่งมนันยาก็ยิ้มตอบเธอมาเช่นกัน แม้ยังไม่มีการตกลงอะไรกันเป็นที่แน่ชัด แต่คล้ายมีละอองแห่งความสุขที่ฟุ้งกระจายอยู่โดยรอบคนทั้งสอง




ภคมนพาธารารัตน์เข้ามาในห้องที่คอนโดฯ ของตน เธอตัดสินใจว่าวันนี้จะนอนที่นี่ เพราะท่าทางธารารัตน์ในตอนนี้ไม่รู้ว่าปริมาณความเมาหรือความอารมณ์เสียมากกว่ากัน เธอไม่ถนัดรับมือคนรักในอารมณ์นี้เอาเสียเลย

แต่เพียงปิดประตูลงธารารัตน์ก็ดันเธอเข้ากับผนังเบาๆ ซึ่งภคมนก็ไม่ได้ขัดขืนมากนัก เพียงแค่กำลังงงเท่านั้นเอง

"เสน่ห์แรงจังเลยนะคะ รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย" เสียงกังวานใสไม่มีวี่แววมึนเมาแม้แต่น้อยถามขึ้นราวกับกำลังสอบสวน

"เอ่อ...ก็นานแล้วค่ะ 2 - 3 ปี ได้แล้ว แต่เขาไม่ค่อยมาประเทศไทยหรอกค่ะ มาปีละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นเอง เขาเป็นตัวแทนบริษัททัวร์ของอเมริกาน่ะค่ะ เวลามีทัวร์มาลงก็จะติดต่อที่พักของเราเป็นส่วนมากเท่านั้นเอง" ภคมนรีบอธิบาย

"คงไม่บอกนะคะว่าไม่รู้ว่าเขาสนใจน่ะ" ดวงตากลมโตมองมาอย่างจับผิด แต่ดูอย่างไรก็คล้ายเด็กที่กำลังงอแงมากกว่า

"เอ่อ...ก็พอจะรู้ค่ะ" คนอายุมากกว่าอ้อมแอ้มตอบ

"แล้วยังจะคุยกับเขาอีกนะ" เสียงใสๆ เริ่มงอแงมากกว่าดุจริงจัง ภคมนได้แต่ร้อง 'อ้าว'

"ตกลงไม่ได้เมาแต่หึงใช่ไหมคะ" ภคมนถามกลับยิ้มๆ ดวงตาคมเป็นประกายวาววับ ริมฝีปากประดับยิ้มรู้ทัน

"ไม่รู้" ธารารัตน์ร้อง ใบหน้าขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ

หญิงสาวหันหน้าหนีแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ถูกคนอายุมากกว่าคว้าแขนไว้ได้ก่อนจะพลิกตัวดันร่างบางเข้าผนังแทนทำเอาเจ้าของร่างบางอุทานออกมาเบาๆ อย่างตกใจ

"งอแงนะเรา" ภคมนบอกยิ้มๆ

"น้องจะอาบน้ำแล้ว" เสียงกังวานใสเริ่มอ้อน แต่คราวนี้คนเป็นพี่ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เสียแล้ว

"เด็กงอแงต้องถูกลงโทษนะรู้ไหม" เสียงนุ่มทุ้มเอ่ย ดวงคมทอดมองมาอย่างรักใคร่นุ่มนวล สะกดให้เด็กงอแงเข้าสู่ภวังค์ได้ไม่ยาก

มือเรียวของภคมนเอื้อมไปโน้มท้ายทอยของคนตัวสูงกว่าลงมา ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ดวงตาคมยังคงไม่ละจากดวงตากลมโตคู่งามนั้น จนในที่สุดเป็นธารารัตน์ที่หลับตาลงแทบจะพร้อมกับที่ริมฝีปากอิ่มแตะลงเบาๆ ที่เรียวปากบางนั่น ก่อนจะค่อยๆ แทะเล็มอย่างไม่รีบร้อน จนเมื่อสบโอกาสจึงสอดความอุ่นนุ่มเข้าไปควานหาความหวานที่ไม่เคยจืดจางสำหรับเธอ

ภคมนรู้สึกได้ถึงรสแอลกอฮอล์อ่อนจางให้ความรู้สึกแปลกใหม่แก่เธอ ไม่เคยเลยที่ธารารัตน์ของเธอจะดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ เมื่อได้ชิมรสชาตินี้จากปากของคนรักมันทำให้เธอรู้สึกว่าช่างหอมหวานและน่าลิ้มลองเป็นที่สุด จำเป็นที่จะต้องเก็บเกี่ยวให้มากที่สุดเพราะมีโอกาสสูงที่ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เธอรู้ว่าธารารัตน์ไม่ชอบเครื่องดื่มแบบนี้และเธอไม่คิดที่จะฝืนเอาแต่ใจตัวด้วยการให้น้องของเธอดื่มเพื่อเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน

ธารารัตน์รู้สึกว่าร่างเล็กนั้นเริ่มเบียดชิดเข้ามาจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากจูบเบาๆ เริ่มจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาสมองของเธอเริ่มมึนเบลออย่างที่ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าจะอะไรเธอก็ชอบ ตอนนี้มือของทั้งสองเริ่มเข้าสู่โหมดอัตโนมัติแทรกซอนชอนไชเข้าสัมผัสกันอย่างไม่ยอมแพ้

ในตอนนั้นเองเสียงเครื่องมือสื่อสารของภคมนก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงหอบหายใจ แต่ท่าทางเจ้าของเครื่องมือสื่อสารจะไม่ได้สนใจมัน จนธารารัตน์ต้องกลั้นใจดันร่างเล็กออกมาก่อน ภคมนยอมถอยออกมาแม้ว่าจะดูขัดใจ

เมื่อควานหาสมาร์ทโฟนของตนออกมาได้ เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือมนันยา เธอต้องถอนใจเฮือกใหญ่ หวังว่าคงมีสาระนะ

"ว่าไง" เสียงของภคมนกรอกผ่านเครื่องมือสื่อสารไร้สาย

"เสียงดูเหนื่อยๆ นะ คงไม่ได้ขัดจังหวะอะไรใช่ไหม ไวนะเนี่ยฉันไม่อยู่แป๊บเดียวลากน้องไป 'กิน' ซะแล้ว" เสียงใสๆ หยอกเย้ากลั้วหัวเราะมา ภคมนอยากจะตอบโต้อะไรสักอย่างแต่เธอคิดไม่ออก
"นี่ๆ มีอะไรก็ว่ามา ฉันจะอาบน้ำแล้ว" คนโดนจับได้ทำเสียงขรึมใส่ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างกาย เมื่อปรายตาคมๆ ไปมองก็เห็นว่าธารารัตน์กำลังพยายามปิดปากกลั้นหัวเราะเสียเต็มที่

แหม...กำลังจะอาบน้ำ...ทีเธอจะไปอาบน้ำจริงๆ กลับโดนรั้งไว้เสียอย่างนั้น

"ก็ไม่มีอะไร แค่เห็นแกกับน้องน้ำหายไปจากโต๊ะฉันกับน้องเมเลยเป็นห่วงน่ะ" มนันยาบอก

"อ่อ...โทษทีนะที่มาไม่ได้บอก ตอนนี้อยู่ที่ห้องฉันนี่ล่ะ แต่กำลังจะนอนแล้ว ไม่ต้องห่วง ฝากจัดการข้างล่างด้วยแล้วกันนะ" ภคมนบอก รู้สึกผิดนิดหน่อยที่เหมือนกินแรงเพื่อน แต่คิดว่าเดี๋ยวทำอย่างอื่นชดใช้ให้ก็แล้วกัน อย่างน้อยงานสร้างคอร์ทแบดมินตันเธอก็เป็นคนดูแลแทบตลอดอยู่แล้ว

"จ้า เชิญ 'นอน' ตามสบาย อย่าลืมพาน้องเขาไปส่งที่ทำงานด้วยนะ อย่าพากัน 'ออกกำลังกาย' ยันเช้าล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน" มนันยาหัวเราะเสียงใสผ่านเครื่องมือสื่อสารมาอย่างรู้ทัน ภคมนร้อง เฮอะ แล้ววางสายในทันที

เมื่อหันมาอีกทีก็พบว่าธารารัตน์กำลังจัดเตรียมผ้าเช็ดตัว  ผ้าห่ม ชุดนอน และอุปกรณ์อาบน้ำให้เธอและตัวเอง ภคมนยิ้มกับภาพนั้นแล้วเดินเข้าไปรวบร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด กดริมฝีปากและจมูกลงบนแก้มนุ่มหอมฟอดใหญ่อย่างรักใคร่

"พี่จะอาบน้ำก่อนไหมคะ หรือจะให้น้องอาบก่อน" ธารารัตน์ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายราวกับน้ำค้างต้องแสงตะวันนั้นทอดมองมายังเธอด้วยความรักเหมือนเช่นทุกครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาคล้ายดังความรักที่มีต่อกันอาจจะไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นมา เพราะมันเต็มเปี่ยมตั้งแต่แรก แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือความเข้าใจ นั่นทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองดำเนินไปด้วยดี

"อาบพร้อมกันก็ได้นะคะ" ภคมนชวนด้วยรอยยิ้มทะเล้น พวกเธอไม่เคยอาบน้ำด้วยกันมาก่อน จะลองดูบ้างก็น่าสนใจไม่น้อย

แค่คำชวนก็ทำเอาธารารัตน์ถึงกับหน้าแดงจรดใบหูเสียแล้ว ยิ่งเห็นแบบนี้คนพี่ยิ่งได้ใจ แตะหอมทั้งใบหน้าและลำคออย่างหยอกล้อ

"ไม่ตอบถือว่าตกลงนะคะ" คนอายุมากกว่าบอกด้วยรอยยิ้ม นั่งลงบนขอบเตียงแล้วดึงให้ร่างบางมานั่งบนตักของตน

"ไม่เอา...พรุ่งนี้น้องทำงานนะคะ...เดี๋ยวป่วยอีก..." ธารารัตน์แย้งเสียงแผ่ว แม้ว่าในวันอาทิตย์จะค่อนข้างว่างอาจจะไปสายหน่อยได้ คราวนี้ภคมนยอมตามใจเพราะโอกาสเป็นไปได้อย่างที่ว่าก็มีสูง

ภคมนหอมแผ่นหลังและไหล่บางอย่างรักใคร่ก่อนจะคลายวงแขนออก แล้วบอก

"ไปอาบน้ำเถอะค่ะ ก่อนที่พี่จะทนไม่ไหว"

ธารารัตน์หันไปหาคนพูดเห็นดวงตาคมที่ฉายแววกรุ้มกริ่มมองมาแล้วรู้สึกระบบไหลเวียนเลือดเกิดขยันทำงานกว่าปกติขึ้นมาทันที หญิงสาวหันไปตีไหล่คนอายุมากกว่าทีหนึ่งแล้วรีบลุกคว้าอุปกรณ์อาบน้ำวิ่งแนบเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ภคมนนั่งหัวเราะกับความน่ารักของคนรัก ยังไงก็ต้องออกมาให้เธอ 'ลงโทษ' อยู่ดี เดี๋ยวนี้น้องของเธอชักจะแสบขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน





"คู่นั้นเขา 'เข้าห้อง' ไปแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง" มนันยาหันมาบอกเมธาวี ด้วยรอยยิ้มขบขัน รู้ว่าเธอไม่ได้ใส่ร้ายเพื่อนจนเกินไปอย่างแน่นอน

เมธาวีมองมายังมนันยาอย่างประหลาดใจก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหัวเราะเบาๆ ถึงจะรู้ว่าคู่นั้นเขาหวานกันขนาดไหนแต่ไม่คิดว่าเพื่อนเธอจะ 'ไว' ขนาดนั้น เอ...เห็นธารารัตน์เงียบๆ เรียบร้อยแบบนี้ก็ใช่เล่นนะเนี่ย เรารึอุตส่าห์เป็นห่วงว่าหายไปไหนกัน

"ว่าแต่จะกลับแล้วจริงๆ เหรอคะ" มนันยาถามขึ้น เพราะคนอายุน้อยกว่าบอกตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึงโต๊ะแล้วว่าจะขอตัวกลับ

"ค่ะ วันนี้รู้สึกเพลียๆ น่ะค่ะ แล้วก็...จะได้ไม่กลับดึกไงคะ" เมธาวียิ้มบอกอย่างน่ารัก ทำเอามนันยาแทบอยากเข้าไปกอดแล้วหอมหลายๆ ที

"ไม่ค่อยสบายเหรอคะ" คนอายุมากกว่าถามอย่างเป็นห่วงพลางขยับเข้าใกล้ใช้มือแตะตามใบหน้า ซึ่งพบว่ามันออกจะเย็นกว่าปกติด้วยซ้ำ อาจจะเพราะอากาศช่วงนี้เริ่มเย็นแล้ว

"ค่ะ อาการไม่ค่อยดี ไม่ได้เป็นไข้" เมธาวีบอกด้วยรอยยิ้ม มนันยามองฝ่ายนั้นอย่างสงสัย ก่อนจะถาม

"แล้วเป็นอะไรล่ะคะ"

เมธาวีกลับหัวเราะแล้วไม่ตอบ คนอายุมากกว่าจึงไม่ซักไซ้ต่อแม้จะอยากรู้แค่ไหนแต่ก็ยังเว้นความเป็นส่วนตัวเอาไว้ให้ ในเมื่ออีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะป่วยมาก ดังนั้นเรื่องนี้เธอพอจะปล่อยผ่านได้
แต่ก็หวังว่าสักวัน...เธอจะสามารถเข้าไปในโลกของเมธาวีได้มากกว่านี้...ไม่ต้องรับรู้ทั้งหมด แค่ให้มันมากกว่านี้ ให้ฝ่ายนั้นได้รู้ว่าเธอบุกรุกเข้ามาในโลกส่วนตัวนั้นไม่ใช่เพราะประสงค์อื่นใดแต่เพราะเป็นเพราะความรักและห่วงใย

"ถึงแล้วบอกพี่ด้วยนะคะ" มนันยาบอก เมธาวีพยักหน้ารับ

"ถ้าเสร็จงานแล้ว...จะนอนแล้วก็บอกเมหน่อยนะคะ" คนอายุน้อยกว่าบอกด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนลง มนันยาพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย

แม้จะเป็นเพียงคำพูดธรรมดาแต่ก็ทำให้ใจดวงน้อยของมนันยาเต้นแรงขึ้นมาด้วยความตื้นตันใจ แบบนี้แสดงว่าฝ่ายนั้นก็มีใจเป็นห่วงเธอสินะ จะคิดแบบนี้ได้หรือเปล่า...จะทำให้พี่หลงไปถึงไหนกันนะ...

"เมไปแล้วนะคะ" เมธาวีบอกพลางก้าวขึ้นรถสปอร์ตสีแดงเพลิงของตน แต่เสียงใสๆ ของมนันยาดังขึ้นมาก่อนที่เธอจะปิดประตูลง ทำให้หญิงสาวขยับหน้าออกมามองเป็นการบอกให้รู้ว่าเธอรอฟังอยู่ ในจังหวะนั้นคนร่างสูงก็เดินเข้ามาใกล้

"ถ้า...พี่จะชวนน้องเมมาทานข้าวหรือไปไหนกันบ้างจะได้ไหมคะ" มนันยาถามอย่างไม่มั่นใจนัก แต่ก็หวังจะกระชับความสัมพันธ์ แม้ปกติเธอจะเคยชวนบ้าง แต่เมธาวีมักจะไม่ว่าง ทำให้เธอไม่ค่อยกล้าชวน เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วฝ่ายนั้นไม่ว่างจริงๆ หรือไม่อยากมากับเธอกันแน่ ช่วงหลังเธอจึงไม่ได้ชวนอีกเลย

"ชวนได้ค่ะ ถ้าเมว่าง เมก็มากับพี่ตลอดนี่คะ" หญิงสาวในรถยิ้มบอก ก่อนจะกล่าวต่อ

"เมอยากไปกับพี่นะคะ แต่เพราะเมไม่ค่อยว่างจริงๆ"

เพียงเท่านี้มนันยาก็ยิ้มกว้าง เธอรู้สึกโล่งใจและสบายใจอย่างประหลาดราวกับข้อข้องใจต่างๆ ได้ถูกปัดเป่า แสดงว่าฝ่ายนั้นก็มีใจให้เธอไม่น้อยแบบนี้ก็คงเดินหน้าได้เต็มที่สินะ ความหวังพลันผุดพรายในใจของมนันยาในทันที

"ไปนะคะ" เมธาวีบอกด้วยรอยยิ้ม มนันยารับคำแล้วถอยออกมา คนจะไปจึงออกรถ

สาวสวยหุ่นนางแบบยังคงมองจนลับสายตา แล้วส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆ...ขับรถเร็วจริงๆ นะเด็กคนนี้...เห็นทีคงต้องบ่นบ้างแล้วล่ะ





รวีวรรณนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่บนโต๊ะทำงาน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับร้าน A - bar และผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งคนของเธอนำมาให้ และยังมีรายงานแนบมาว่าเป็นร้านที่มีการซื้อ - ขายของผิดกฎหมายตั้งแต่อาวุธ ของเล่นตุกติกเล็กน้อยไปจนถึงจำพวกยาเสพติด แต่ไม่ใช่รายใหญ่เป็นเพียงทางผ่านและแหล่งกระจายสินค้า ในบางครั้งอาจใช้เป็นสถานที่ตกลงเรื่องบางอย่าง เท่าที่ดูยังไม่มีคนของทางครอบครัวเธอเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่มีข้อมูลของตัวใหญ่ๆ ในวงการคนใดที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นี้ ราวกับเป็นเพียงแค่ถิ่นของเด็กน้อยในโลกฝั่งนั้น

ซึ่งถ้าเพียงแค่นั้นก็คงดี เพราะมันจะง่ายต่อการจัดการ

ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่ามันจะไม่ง่ายอย่างนั้น บางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเล็กๆ ที่เกี่ยวข้อง แม้สินค้าจะมีไม่มากแต่หลากหลาย ด้วยเวลาที่จำกัดในการสืบคงต้องบอกว่านี่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น ยิ่งเมื่อไม่มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอหรือคนที่เธอรู้จักทำให้สืบเบื้องลึกได้ยาก นี่อาจจะเป็นเพียง 10% ของภูเขาน้ำแข็งก็เป็นได้

อะไรกันที่รบกวนจิตใจของเธอ...

เดี๋ยวสิ ตำแหน่งภูมิศาสตร์ของที่นี่อย่างนั้นหรือ...

แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยแน่ใจในเส้นแบ่งอาณาเขตของสังคมอีกฝั่งมากนัก แต่ก็พอจะรู้อย่างคร่าวๆ โดยไม่รอช้ารวีวรรณกดโทรศัพท์เรียกผู้ช่วยของเธอ ซึ่งก็คือคนที่พี่ชายสั่งให้มาคอยดูแลและจัดการธุระต่างๆ ให้ โดยปัจจุบันทั้งสองมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยและคอยดูแลเรื่องจิปาถะในคลินิกตลอดจนสิ่งที่รวีวรรณสั่ง

เพียงไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ และร่างสูงเพรียวของหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเงียบๆ เธอก้มศีรษะทำความเคารพเจ้าของห้อง

"พี่จีพอจะทราบไหมคะว่าที่ตั้งของ A - bar นี่...อยู่ในเขตของใคร ตำแหน่งที่ตรงนี้มีอะไรสำคัญหรือไม่" รวีวรรณถามเสียงเรียบ เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่สงบนิ่งยากจะหยั่งถึง

"เป็นพื้นที่กันชน ของคุณไกสรกับนายท่านค่ะคุณหนู" จีรนันท์กล่าวตอบโดยไม่ลังเลและไม่สื่ออารมณ์อะไร

"มหา'ลัย ด้วยใช่ไหม" รวีวรรณถาม หรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด เธอพอจะคิดออกคร่าวๆ แล้วว่าแนวกันชนจะวางตัวตามถนนเส้นไหนและมีอาณาเขตคร่าวๆ อย่างไร

การดำเนินการอะไรบนแนวกันชนถือเป็นเรื่องต้องห้าม มันเป็นพื้นที่ปลอดอิทธิพล คนฝั่งนั้นจะระวังมากในเรื่องเขตแดนและแนวกันชน แต่หากเป็นการกระทำของเด็กๆ ที่อาจจะถือว่าไม่รู้เรื่องมันก็เกิดขึ้นได้ แต่เด็กพวกนั้นก็ต้องดูแลตัวเอง

แนวกันชนนั้นจะถือว่าเป็นพื้นที่สงบก็ไม่เชิงจะรุนแรงก็ไม่ใช่ เมื่อไม่มีเจ้าถิ่นที่แท้จริงก็จะมีแต่พวกเด็กๆ ที่อาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวและพวกหางแถวที่ถูกส่งมาคุมเชิงอีกฝ่าย แต่นั่นคือตัวหมากที่พร้อมจะสละทิ้งเช่นกันหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นพื้นที่เหล่านี้ไม่อยู่ในความดูแลของใครการจัดระบบจึงไม่มี แต่หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ตำรวจก็จัดการได้ง่าย และโดยมากก็มักจะไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เพราะหากทำอะไรในพื้นที่กันชน นอกจากมีตำรวจแล้วยังมีอีกฝั่งที่พร้อมจะลงมือเพราะถือเป็นการละเมิดกฎกัน

ทว่าในครั้งนี้รวีวรรณกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่การดำเนินการของเด็กที่ไม่รู้เรื่อง ดูจากสินค้าแล้ว...ถึงไม่ใช่ 'ตัวใหญ่' ก็ต้องรู้เรื่องพอสมควรนั่นล่ะ ท่าทางงานนี้จะมีเบื้องหลังเสียแล้ว

"ขอบคุณมากค่ะพี่จี คงต้องรบกวนพี่ช่วยดูอีกสักระยะนะคะ" รวีวรรณบอก จีรนันท์รับคำแล้วขยับทำท่าจะออกไปทว่าคล้ายจะลังเลใจ

"มีอะไรคะ" คุณหมอถามขึ้น

"เรื่องนี้ดูไม่ชอบมาพากลจริงๆ นะคะ จะแจ้งนายท่านไหมคะ"

รวีวรรณนิ่งไปเล็กน้อย เธอเองก็คิดเรื่องนี้อยู่ แต่ไม่อยากให้กลายเป็นการสร้างความสับสนให้ทางตำรวจหนักกว่าเดิมว่าพวกไหนเป็นพวกไหน ใครทำอะไร นอกจากอาจจะเสียรูปคดีแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วอาจจะเกิดข้อพิพาทกันทั้ง 3 ฝ่าย

"เดี๋ยวไม้จัดการเองค่ะ" รวีวรรณบอก เพียงเท่านั้นจีรนันท์ก็ก้มศีรษะแล้วก้าวออกจากห้องไป

หญิงสาวถอนใจแล้วเลือกที่จะกลับมาดูเอกสารต่อ ซึ่งเหลือแต่ข้อมูลสถานประกอบการและประวัติคร่าวๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งมีไม่มากนัก

ร้าน A - bar มีผู้เป็นเจ้าของร่วมกัน 3 คน คือ นายอัศวิน นายขจร และ...นายอนิรุทธ์...

อนิรุทธ์...อย่างนั้นหรือ...

รวีวรรณมองชื่อและนามสกุลนั้นอยู่ครู่รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะไป จะบอกว่าเกือบช็อกก็ไม่ผิดนัก เกือบนาทีกว่าคุณหมอกลับเข้าสู่สภาวะปกติ...แบบนี้เรื่องชักจะยุ่งยากเสียแล้ว

เธอเรียกจีรนันท์เข้ามาอีกครั้งและให้ติดตามเรื่องนายอนิรุทธ์เป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ก่อน




เสียงเครื่องมือสื่อสารไร้สายดังขึ้นภายในห้องเงียบขณะที่เมธาวีกำลังจะเอาอุปกรณ์สำหรับการทำงานออกมา เมื่อเห็นว่าผู้โทรเข้ามาคือรวีวรรณเธอก็กดรับสายในทันที

"เม ว่างหรือเปล่า" เสียงของเพื่อนดูราบเรียบเป็นการเป็นงานและออกจะดูกังวลผิดปกติของคุณหมอที่ปกติจะมีอารมณ์สงบนิ่งคงที่

"ว่าง แค่กำลังจะทำการบ้านน่ะ มีอะไรเหรอ...ท่าทางไม่ค่อยดีเลยนะ" เมธาวีบอกก่อนจะถามอย่างเป็นห่วง หากมีเรื่องอื่นเธอก็สามารถวางเรื่องนี้ลงก่อนได้

"ฟังนะ..." รวีวรรณเริ่มอธิบายถึงเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแห่งนี้และร้าน A-bar ซึ่งอยู่ในเขตแนวกันชน และการประกอบกิจการฝั่งมืดของสถานที่แห่งนี้

เมธาวีนั่งตั้งใจฟังเรื่องแล้วคิดตามเงียบๆ รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย แต่ความกังวลในน้ำเสียงรวีวรรณทำให้เธอรู้สึกว่ายังมีเรื่องใหญ่กว่านั้น

"ร้านนี้มีผู้ก่อตั้ง 3 คน...หนึ่ง คือ นายอัศวิน...ซึ่งเท่าที่เมบอกมา นายคนนี้ออกจะน่าสงสัยมาก ที่สำคัญเขาอายุ 30 แล้ว การปรากฏตัวในมหาวิทยาลัยมันน่าสงสัยอยู่ ทางโลกฝั่งนี้นายคนนี้ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าอยู่สังกัดไหนเกี่ยวข้องกับใคร แต่มีการทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ในทางฝั่งนี้แน่นอน" รวีวรรณบอก

เมธาวีกำลังเรียบเรียงความคิด ตอนนี้นายอัศวินอยู่ปี 4 ส่วนคดีที่เธอทำอยู่นั้นเมื่อสืบย้อนหลังเริ่มมีความผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนักศึกษาหายตัวจำนวนมาก และอีกหลายๆ เรื่องที่ออกกลิ่นไม่ดีในช่วง 3-4 ปีมานี้เช่นกัน ถ้าเทียบแล้วมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่นายอัศวินเข้ามานี่เอง เรื่องชักเข้าเค้า...มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง

"คนที่สอง นายขจร...ถ้าการงานปกติก็เป็นเจ้าหน้าที่ทะเบียนของมหาวิทยาลัย ถ้าในทางฝั่งนี้...ก็คล้ายๆ นายอัศวิน แต่ประวัติการทำงานมากกว่า เคยทำงานให้กับคนใหญ่คนโตทางเหนือแล้วก่อเรื่องทรยศนายตัวเอง จนแยกตัวออกมาตอนนี้ไม่มีสังกัด" รวีวรรณบอกเสียงเรียบเย็นจนดูน่ากลัว

"นายคนนี้ฉลาดและเป็นจอมทรยศ ระวังไว้ให้ดีนะ" คุณหมอเตือนเพื่อน แม้จะไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่จากประวัติแล้วเธอคิดว่าเป็นตัวอันตรายที่ประมาทไม่ได้ทีเดียว

เมธาวีรับคำ เธอพอจะนึกหน้าเจ้าหน้าที่คนนี้ออก เขาเป็นชายวัย 30 ปลายหรือ 40 ต้น ใส่แว่นสายตาใหญ่หนา ท่าทางเงียบๆ และเคร่งขรึมจริงจัง พูดน้อยแต่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย ท่าทางออกไปทางซื่อๆ เซื่องๆ ด้วยซ้ำ

รวีวรรณสูดหายใจเข้าลึกๆ ถึงเรื่องสำคัญที่ต้องบอกแล้ว บางทีอารมณ์ส่วนตัวอาจจะทำให้เมธาวีเสียงาน และอาจจะทำเรื่องเสี่ยงอันตรายขึ้นมา แต่ก็ควรให้เจ้าตัวเป็นคนเลือกเอง ตัวเธอนั้นเป็นเพียงแค่คนบอกข่าว และตอนนี้...ก็มาถึงการตัดสินใจของเมธาวีบ้างแล้ว...

"คนที่สาม...อนิรุทธ์..." รวีวรรณเอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วเงียบไป

เพียงประโยคสั้นๆ แต่เหมือนอยู่ดีๆ มีฟ้าผ่าลงมา เมธาวีรู้สึกชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

กว่าอึดใจเส้นประสาทในส่วนต่างๆ จึงเริ่มทำงาน สมองเริ่มกลับมาประมวลผลแม้จะยังคงแปรปรวน วินาทีนั้นเธอคิดว่านี่ต้องเป็นเรื่องตลก มันไม่จริงมันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น เธออยากจะหัวเราะออกมา แต่ในวินาทีถัดมาเธอกลับรู้สึกอยากร้องไห้ ผ่านไปหลายอึดใจเธอจึงเริ่มตั้งสติได้

"ไม่หรอก...เรื่องนี้...ถึงเจ้านั่นจะนิสัยไม่ดี แต่มันก็แค่เด็กดื้อ มันแค่ดื้อ แต่ไม่ใช่คนเลว แถมยังขี้กลัวจะตาย เจ้านั่นไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้หรอก...ไม่ใช่หรอก..." เสียงสั่นๆ ของเมธาวีพูดออกมา ดีใจที่เพื่อนยังคงรอเธออย่างอดทน

"ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่า 'เอ' จะเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย อาจจะเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์...แต่ประเด็นคือตอนนี้ชื่อของเอก็อยู่ในกลุ่มนี้..." รวีวรรณถอนใจอย่างหนักหน่วง เธอก็ไม่ได้ปักใจเชื่อว่าอนิรุทธ์จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ไม่น่าใช่ความตั้งใจ

แม้จะไม่เคยพบกับผู้ชายคนนี้มาก่อนแต่เธอก็รู้ว่าคนคนนี้เป็น 'น้องชายคนละแม่' ของเมธาวี ถึงเพื่อนเธอจะแสดงออกว่าไม่ชอบหน้าน้องชายสักเท่าไร แต่เธอก็รู้ว่าลึกๆ แล้วเมธาวีก็รักและเอ็นดูอนิรุทธ์ไม่น้อยทีเดียว จะอย่างไรเลือดก็ข้นกว่าน้ำ

"จะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเอให้ได้ แล้วกันตัวออกมา" เมธาวีเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปอึดใจ

"อืม...ตอนนี้กำลังสืบดูอยู่ว่าเอเกี่ยวข้องแค่ไหน" รวีวรรณบอก รู้สึกโล่งใจที่เพื่อนของเธอยังตั้งสติได้ดีทีเดียว แบบนี้คงไม่มีผลกับงานอย่างที่กลัว แค่หวังว่าอนิรุทธ์จะเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ไม่ทำให้พวกเธอผิดหวัง

หลังจากพูดคุยรายละเอียดกันอีกเล็กน้อยรวีวรรณก็วางสายไป มีเพียงเมธาวีที่ถอนใจเฮือกใหญ่ๆ อยู่คนเดียว จากที่กำลังจะเอาอุปกรณ์ออกมาทำงานส่งอาจารย์ เธอก็เปลี่ยนใจขอนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวจะดีกว่า

แต่เพียงแค่ครู่เดียวเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ของไอรดา เธอชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะกดรับ

"เรียนอยู่หรือเปล่า" ไอรดาถามขึ้น

"เปล่า" เมธาวีตอบกลับไป ตอนนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับใคร

"ฉันมีข้อมูลของ A - bar มาน่ะ..." ไอรดาเริ่มเข้าเรื่องเพราะรู้สึกว่าอีกคนท่าทางอารมณ์ไม่ดีนัก

เมื่อได้ยินเรื่องนี้เมธาวีแทบจะบอกว่าไม่อยากฟัง แต่ก็ยังยอมที่จะรับฟังข้อมูลเหล่านั้น ไหนๆ เจ้าตัวก็อุตส่าห์หามาให้ และเผื่อว่าจะมีเรื่องอะไรเพิ่มเติมขึ้นมา

"ที่ต้องระวังก็นายขจรคนนี้นี่ล่ะน่าจะเป็นสมองของกลุ่ม ส่วนนายอัศวินนะจะเป็นพวกแขนขาที่ลงมือด้านต่างๆ สำหรับนายอนิรุทธ์...เห็นว่าเป็นลูกคนใหญ่คนโต แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลว่าลงมือทำอะไร น่าจะเป็นแบ็กให้เฉยๆ..." ไอรดาสรุป เมธาวีค่อนข้างโล่งใจที่อย่างน้อยจนตอนนี้น้องชายของเธอยังบริสุทธิ์อยู่

เมื่อพูดเรื่องธุระจบไอรดาก็ขอตัววางสายไป

เมธาวีถอนใจครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ท่าทางอนิรุทธ์จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องใหญ่เสียแล้ว เพราะสิ่งที่รู้เพิ่มจากไอรดาคือนายอัศวินและนายขจรมีการติดต่อกับคนของผู้มีอิทธิพลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นคนเดียวกับคดีนายคมกริช

และนายขจรคนนี้เคยร่วมมือกับบิดาของไอรดาทรยศนายเก่าของตนเองซึ่งเคยเป็นผู้มีอิทธิพลทางภาคเหนือ แต่เมื่อเสร็จงานแล้วทางฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมที่จะเลี้ยงคนอย่างนายขจรเอาไว้เช่นกัน ถึงไม่ได้ 'เก็บ' แต่ก็ไม่คิดข้องเกี่ยวกันอีก

เธอพอจะมองเห็นวี่แววการปิดคดีในเร็วๆ นี้ แต่ก็มองเห็นความยุ่งยากอีกมากมายเช่นกัน มันคงเป็นการจับกุมครั้งใหญ่และอาจมีการปะทะกัน นั่นไม่ทำให้เธอกังวลใจเท่าเรื่องที่จะกันน้องชายของเธอออกมาได้อย่างไร ระหว่างนี้จะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเจ้านั่นไหม

ส่วนในเรื่องของความบริสุทธิ์นั้นเธอเชื่อใจ

แม้ว่าอนิรุทธ์จะไม่นับว่าเป็นคนนิสัยดี แต่ก็ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะทำเรื่องเลวร้ายได้ ถึงจะดื้อ หัวแข็ง ปากเสีย และไม่ค่อยลงรอยกับพี่สาวอย่างเธอนัก แต่เด็กคนนี้ไม่ใช่คนเลวอย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังขี้กลัวจะตายไป

สิ่งแรกที่ต้องทำคือการบอกให้น้องชายรู้ว่ากำลังเกี่ยวข้องกับอะไร และให้รีบเอาตัวออกมา ขอความคุ้มครองจากพ่อ

ที่จริงเรื่องเหมือนจะง่าย แต่ติดตรงที่ว่าอนิรุทธ์ไม่เคยที่จะฟังพี่สาวอย่างเธอแม้แต่คำเดียว เขาไม่เคยคิดว่าเธอเป็นคนในครอบครัวดวยซ้ำอีกทั้งตัวเธอก็ไม่สามารถคุยกับผู้เป็นบิดาได้โดยไม่ทะเลาะกันเสียก่อน และไม่เคยเลยสักครั้งที่เธอจะเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใจ...

อนิรุทธิ์ไม่เคยคิดว่าเธอคือพี่ ไม่เคยเห็นว่าเป็นคนในครอบครัว แต่เธอคิดเสมอว่าอนิรุทธิ์เป็นน้องและเป็นคนในครอบครัว

กับบิดาของเธอก็เช่นกัน...เธอพยายามไม่คิดอะไรและไม่สนใจ แต่เหมือนความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งเกลียดจะตีกันขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึง

เมธาวีค่อยๆ ทรุดลงนั่งกับพื้นกระเบื้องแล้วปล่อยให้ตัวเองจนลงไปในห้วงความคิด

+++++++++++++++++++++++++++++++++
มีความสุขในการอ่านนะคะ
รู้สึกตอนนี้อารมณ์มันตัดกัน =.=

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น