web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 134
Total: 134

ผู้เขียน หัวข้อ: เกินห้ามใจ ตอนที่ 11  (อ่าน 1530 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
เกินห้ามใจ ตอนที่ 11
« เมื่อ: 22 มกราคม 2014 เวลา 07:34:17 »
ตอนที่ 11

อันนาสอดส่ายสายตาหาร้านมิริมาร์ทที่เป็นเป้าหมาย เมื่อหักเลี้ยวซ้าย แสงสว่างสีขาวนวลก็ส่องผ่านเข้ามาแยงตา หญิงสาวยิ้มบางเมื่อเห็นว่าต้นแสงมาจากที่ไหน

เจอแล้ว...

ฝนที่ตก ลดดีกรีลงจนเหลือแค่ปรอยๆ เธอจึงสามารถเลื่อนกระจกฝั่งข้างคนขับเพื่อเรียกหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงบันไดหน้าร้านมินิมาร์ท

“คุณวรินทร์ ใช่คุณหรือเปล่าคะ”

เสียงเย็นๆ ของใครบางคนทำให้วรินทร์ต้องเงยหน้า เธอพยายามหรี่ตามองหน้าคนพูด แต่เห็นเพียงแค่เงาสลัว วรินทร์จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปใกล้รถคันสวย ที่จอดเทียบทางเท้าอย่างระมัดระวัง

“คุณวรินทร์หรือเปล่าคะ” อีกฝ่ายถามย้ำ

“ใช่ค่ะ”

วรินทร์สำรวจคนในรถ เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดา มีริมฝีปากที่กว้างบางเฉียบ คิ้วบางชี้โก่งรับกับนัยน์ตาเรียวยาว แต่สิ่งที่สะดุดตาคือผิวขาวที่ซีดจัดจนเหมือนกับกำลังเรืองแสงตลอดเวลา ผมดำยาวตรงถูกมัดอย่างเรียบง่ายเป็นทรงหางม้า ทำให้ใบหน้าของคนตรงหน้าดูสะอาดสะอ้านหมดจด

“ยืนตากฝนอยู่ได้ ขึ้นรถสิคุณ” ไม่รู้เพราะเหตุใดน้ำเสียงของคนพูดจึงฟังดูเหวี่ยงวีนชอบกล

“คุณเป็นใครคะ”

“แม่ฉันเป็นเลขาของคุณ” อันนาตอบพลางเอียงหน้ามองเจ้านายของแม่ แต่ก็มองได้ไม่ถนัดเพราะติดหมวกแก๊ปที่บังอยู่ แต่ฟังจากเสียงแล้ว ยังดูเด็กกว่าที่เธอคิด

คนตรงหน้าครางในลำคอแล้วเปิดประตูเข้ามานั่งในรถอย่างเงียบเชียบ อันนามองหยดน้ำที่ไหลติ๋งๆ ลงบนเบาะที่นั่ง ก็ได้แต่โอดครวญในใจ ครั้นจะเอ่ยปากถามว่าไปทำอะไรมา ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ หากโดนอีกฝ่ายต่อว่า เธอคงทำตัวไม่ถูก

อันนากะจะมองใบหน้าค่าตาเจ้านายของแม่อีกที แต่วรินทร์ดันหันไปมองข้างทางซะก่อน คนเป็นหมอจึงละความพยายามแล้วออกรถไปอย่างช้าๆ

“จะให้ไปส่งที่ไหนคะ”

“คอนโดที่…” วรินทร์บอกสถานที่เสียงเบา

อันนาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน “อยู่คนละมุมเมืองเลยค่ะ กว่าฉันจะขับรถไปส่งคุณถึงที่ ก็คงดึกดื่น แล้วไหนจะขากลับอีก พรุ่งนี้ฉันต้องทำงานแต่เช้านะคะ”

“คุณไม่หยุดวันอาทิตย์รึไง”

“ฉันทำงานทุกวัน”

“ที่ทำงานคุณโหดจัง”

อันนาไม่ตอบเจ้าของเสียงทุ้มแหบที่เริ่มไอค่อกแค่ก พลางยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองไปมา หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงหรี่แอร์ปรับอากาศให้เป็นระดับต่ำสุด

“ปิดไม่ได้เหรอคะ”

“ถ้าปิดฝ้าจะขึ้นกระจก ฉันจะมองไม่เห็นทางค่ะ”

 คนข้างตัวพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วไออีกสองสามที คนเป็นหมอเห็นดังนั้นจึงอดเป็นห่วงเป็นใยสุขภาพของอีกคนไม่ได้

“ดูท่าทางแล้วคุณจะไม่ไหว ไปค้างที่บ้านฉันกับแม่ดีกว่า อยู่ใกล้กว่าคอนโดของคุณเยอะเลย”

“ฉันไหวค่ะ” วรินทร์หลับตาที่เริ่มร้อนผ่าลง “ฉันรู้ดีว่าตัวเองเป็นยังไง”

“แต่คุณคงรู้ดีไม่เท่าหมอ จริงมั้ยคะ”

“แถวนี้ไม่เห็นมีหมอซักคน”

อันนาถึงกับเผลอหัวเราะออกมา…ไม่รู้อะไรซะแล้วเด็กน้อย

“ฉันนี่แหละค่ะหมอ ดังนั้นฉันขอสั่งให้คุณเชื่อฉัน มีคุณหมอคอยดูแลอาการจะได้ไม่ทรุดหนัก ถ้าไม่รีบเช็ดตัวให้แห้ง เดี๋ยวจะเป็นปอดบวมเอา ที่สำคัญแม่ของฉันก็อยู่ด้วย ท่านคงรู้ว่าคุณต้อง
การอะไร”

วรินทร์ไม่มีเหตุผลจะเถียง จึงได้แต่ตอบรับสั้นๆ ในลำคอ แล้วหลับตาลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน



เปรมจิตเปิดประตูบ้านออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามาในโรงจอดรถ เธออดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ เมื่อลูกสาวเปิดประตูฝั่งคนขับออกมาส่งยิ้มให้ พลางพยักเพยิดไปทางตำแหน่งข้างคนขับ เปรมจิตมองตามไปเห็นหญิงสาวลักษณะคุ้นตานอนหลับคอพับไปทางหนึ่ง

“คุณวรินทร์ค่ะแม่ ท่าทางจะเป็นหวัด”

“งั้นอันปลุกคุณเค้าเลยลูก เดี๋ยวแม่ไปเตรียมยากับผ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ก่อน”

อันนารับคำแล้วเดินไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง เอ่ยปากเรียกคนป่วยที่ก้มหน้านอนหลับจนปลายคางชิดอยู่ที่หัวไหล่ คนเป็นหมอเห็นเพียงริมฝีปากอิ่มที่แดงจัดด้วยฤทธิ์ไข้ขยับ ก่อนที่เจ้าตัวจะยืดตัวขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย

“ถึงบ้านคุณหมอแล้วเหรอคะ”

“ค่ะ” อันนาตอบ พลางยื่นมือไปหมายจะช่วยพยุง แต่วรินทร์กลับส่ายหน้า แล้วยืนยันจะเดินเข้าไปในตัวบ้านด้วยตัวเอง

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะติดไข้จากฉันเสียเปล่าๆ”

อันนาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ สายตามองตามคนป่วยที่เดินเข้าบ้านไปอย่างช้าๆ จากนั้นเรียวปากก็เริ่มหยักขึ้นจนเป็นรอยยิ้มในที่สุด

วรินทร์นั่งบนโซฟาตัวยาว นัยน์ตาแดงกล่ำมองเปรมจิตที่วางกะลังมังใบเล็กลงบนโต๊ะ ก่อนจะบิดผ้าในมือให้เปียกหมาดๆ คนป่วยจึงถอดหมวกที่ใส่อยู่ออกเพื่ออำนวยความสะดวก

อันนาที่เดินตามเข้ามา เพิ่งจะเคยเห็นใบหน้าของเจ้านายของแม่อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก…

แม้ฝนจะชะล้างเครื่องสำอางบางส่วนให้หายไป

แม้เส้นผมจะเปียกชื้นจนลู่ไปกับใบหน้า

และแม้จะป่วยจนดวงตาและริมฝีปากเห่อแดง

แต่อันนาก็อดยอมรับไม่ได้ ว่าคำพูดที่แม่ของเธอเคยเล่าเกี่ยวกับเจ้านายนั้นเป็นจริง

…สวยซะจนไม่อาจละสายตา

“อันยืนทำอะไรอยู่ ไปเตรียมเสื้อผ้ากับน้ำอุ่นให้คุณอาบหน่อย เปียกฝนมาทั้งตัวขนาดนี้ ไม่ป่วยก็แปลกแล้ว…คุณรินทร์นะคุณรินทร์ ถ้าดิฉันเป็นพ่อเป็นแม่ จะจับตีให้ก้นลาย”

วรินทร์ยิ้มไปกับคำพูดนั้น นัยน์ตาดำจัดหันไปสบเข้ากับดวงตาเรียวยาวของคนที่มองอยู่ก่อน  รอยยิ้มราวกับแสดงความขอบคุณของวรินทร์ทำเอาอันนาไม่กล้าสบตาต่อ หญิงสาวเบี่ยงหน้าไปมองทางอื่นพร้อมกระแอมไอในลำคอ

“ป่วยด้วยเหรอเรา” เปรมจิตถาม

“เปล่าค่ะเปล่า” อันนาโบกมือโบกไม้ปฏิเสธ “เดี๋ยวอันไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อมดีกว่า แม่อย่าลืมให้คุณรินทร์ทานยาด้วยนะคะ ว่าแต่คุณรินทร์ได้ทานอะไรมาก่อนหรือยัง”

วรินทร์ส่ายหน้า เปรมจิตจึงละมือจากการเช็ดเนื้อเช็ดตัวผู้เป็นนาย แล้วบอกว่าจะไปเตรียมอาหารให้ก่อนทานยา อันนาเห็นดังนั้นจึงชักชวนวรินทร์ให้ขึ้นไปข้างบนด้วยกัน เพื่อที่จะได้อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย



อันนาปิดประตูที่แง้มเปิดออกเล็กน้อย โดยพยายามให้เกิดเสียงเบาที่สุด

“หลับปุ๋ยไปแล้วค่ะ”

เปรมจิตพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเดินกลับไปห้องนอนของตัวเองโดยมีลูกสาวเดินตามหลังมา

“ได้นอนกับแม่เหมือนตอนเด็กๆ เลย” อันนายิ้มอย่างดีใจขณะทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง

“โตจนเป็นหมอรักษาคนแล้ว ดูทำท่าเข้า”

อันนาหัวเราะ มองตามมารดาที่เดินไปเปิดโคมไฟหัวเตียง ก่อนจะปิดไฟที่เปิดอยู่ก่อน จนให้ห้องเหลือเพียงแสงสลัว อันนาเลื่อนตัวลงไปนอน พร้อมกับเปรมจิตที่ทรุดตัวลงไปนอนข้างกัน

“เจ้านายแม่เขาไปทำอะไรแถวนั้นคะ แล้วไหนจะยังตากฝนจนป่วยอีก” อันนาถามขึ้นอย่างสงสัย

“แม่ไม่กล้าถาม” เปรมจิตถอนหายใจ “แต่ดูจากอาการแล้วคงหนีไม่พ้นเรื่องความรัก” 

“ความรักเหรอคะ”

อันนาทวนคำ พลางคิดย้อนถึงอาการของวรินทร์ตลอดคืนนี้ ไม่ว่าจะเหม่อลอย หรือนั่งเงียบเหมือนคนมีอะไรในใจ และจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองจนไม่ได้พูดหรือตอบคำถามที่เธอกับมารดาถามไป ยิ่งนัยน์ตาสวยที่เศร้าสลดถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะยิ้มอยู่ก็ตาม

ถ้าเป็นเรื่องความรัก ก็คงจะเข้าเค้า ชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่าใครเป็นคนหักอกคนที่เพรียบพร้อมอย่างวรินทร์

ถ้าเป็นเธอล่ะก็ คงไม่...

“นอนเถอะอัน พรุ่งนี้ทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”

อันนารับคำ แต่กว่าจะข่มตาหลับได้สนิทก็เกือบชั่วโมง เพราะในหัวเอาแต่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของหญิงสาวที่นอนอยู่ในห้องนอนของเธอ โดยเฉพาะเรื่องที่คาใจมาตั้งแต่ได้ยินชื่อของวรินทร์ครั้งแรก

…เรื่องที่อยากพิสูจน์



กว่าวรินทร์จะลืมตาตื่นมาก็เป็นเวลาสายแก่ๆ รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อยเมื่อได้นอนพักยาวๆ แสงแดดที่สาดทะลุผ่านม่านเข้ามาทำให้ดวงตาสวยต้องหรี่ลงอย่างช่วยไม่ได้
คนหน้าสวยเดินไปแหวกผ้าม่านดูบรรยากาศที่สดใสในวันนี้

สภาพอากาศช่างแตกต่างจากเมื่อวานเหลือเกิน…วรินทร์ถอนหายใจ

หญิงสาวล้างหน้าล้างตา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมกับเมื่อวาน หลังจากเจ้าของบ้านจัดการซักและรีดให้จนเรียบร้อย วรินทร์จึงเดินลงไปชั้นล่าง

 “ว่าจะขึ้นไปดูคุณอยู่พอดี มาค่ะคุณรินทร์ ดิฉันทำข้าวต้มไว้ให้ทานแล้ว” เปรมจิตเอ่ยอย่างใจดี เมื่อเห็นผู้เป็นนายเดินลงบันไดมาพร้อมสีหน้าสีตาที่ดูดีกว่าเดิมมาก

วรินทร์ยิ้มให้ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แล้วลงมือรับประทานข้าวต้มกุ้งกลิ่นหอมฉุยที่เจ้าของบ้านจัดไว้ให้

“คุณหมอไปทำงานแล้วใช่มั้ยคะ ฉันพอรู้ว่าคุณหมอต้องไปเข้าเวรตอนเช้า”

“ใช่ค่ะ ไนน์เค้าทำงานแต่เช้าทุกวัน บางครั้งก็ต้องอยู่เวรข้ามวันจนไม่ได้นอนก็มี”

“คงเหนื่อยน่าดู” วรินทร์นึกภาพตาม

ระหว่างมื้ออาหาร วรินทร์ตัดสินใจบอกความต้องการของตัวเอง ที่อยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านหลังเสร็จสิ้นอาหารมื้อสาย โดยไม่ลืมที่จะขอบคุณเปรมจิตรวมไปถึงฝากคำขอบคุณไปให้อันนาด้วย

รับประทานอาหารและทานยาตามเรียบร้อย วรินทร์จึงกลับเข้าไปในห้องนอนของคุณหมอสาว เนื่องจากลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ตรงที่ใดที่หนึ่งในห้อง นัยน์ตาดำจัดสำรวจไปทั่ว ก่อนสายตาจะหันไปเจอะดับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ชั้นวางหนังสือ

วรินทร์จะไม่แปลกใจเลย ถ้าหนังสือที่อัดกันแน่นในชั้นพวกนี้จะเป็นหนังสือทางการแพทย์หรือสายสุขภาพ แต่ชื่อที่สันปกบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหนังสือส่วนใหญ่ในชั้นนั้นเป็นหนังสือนิยาย

มือเรียวอดไม่ได้ที่จะหยิบออกมาดูเล่มหนึ่ง ด้วยความสงสัยว่าคุณหมอสาวจะอ่านหนังสือนิยายแนวไหน วรินทร์อ่านคำโปรยด้านหลัง ก่อนจะหรี่ตาอ่านใหม่อีกสักที เผื่อว่าเธออ่านผิด

เมื่อเห็นว่าตัวเองอ่านไม่ผิด วรินทร์จึงเปิดเนื้อหาข้างในเพื่ออ่านลวกๆ อย่างต้องการความแน่ใจ

อืม…หนังสือหญิงรักหญิง

วรินทร์เก็บหนัสือเล่มเดิมแล้วค่อยๆ หยิบเล่มใหม่ออกมาอย่างระมัดระวัง เปิดผ่านๆ เห็นว่าเป็นหนังสือแนวเดียวกัน ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม

เจอพวกเดียวกันแล้วสิ…

วรินทร์เริ่มสนใจรสนิยมของเจ้าของห้อง จึงเปิดตู้ด้านบนศีรษะเผื่อจะเจออะไรดีๆ

แล้วก็ได้เจอสมใจจริงๆ ซะด้วย

แผ่นหนังมากมายที่เก็บอยู่บนตู้ เหมือนกับคนเก็บต้องการซ่อนแผ่นหนังพวกนี้จากสายตาของบุคคลอื่น วรินทร์กวาดสายตาดูก็รู้ว่าเป็นหนังแนวไหน มีบางเรื่องที่เธอเคยดู หลายเรื่องเพียงรู้จักชื่อแต่ยังไม่เคยผ่านตา แต่บางเรื่องก็ไม่รู้จักมาก่อน เช่นหนังทางฝั่งเอเซีย ส่วนใหญ่เธอจะรู้จักหนังทางฝั่งอเมริกากับยุโรปซะมากกว่า

คุณหมอดูเยอะเหมือนกันนะเนี่ย…

สำรวจเสร็จก็เก็บทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ขณะเอื้อมมือจะปิดตู้ หางตาก็เหลือบไปเห็นสายรัดข้อมือหนังประดับมุกสีน้ำตาล ที่ตอนนี้มุกนั้นกำลังล้ออยู่กับแสงจากดวงอาทิตย์ ดูสวยงามน่ามองอย่างประหลาด

ถึงจะสวยงามเพียงใด แต่วรินทร์ก็ไม่อยากมอง

มือเรียวปลดสายรัดข้อมืออย่างแรงจนเหมือนกระชาก เมื่อถอดออกมาได้ ตรงข้อมือก็ปรากฏรอยแดงออกมาให้เห็นเพราะแรงเสียดสีจากการดึงเมื่อครู่ วรินทร์เดินไปตรงมุมห้องที่มีถังขยะใบเล็กตั้งอยู่ ก่อนจะโยนของในมือทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

วรินทร์ยิ้มหยัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา ลำคอรู้สึกจุกแน่นจนต้องกลืนน้ำลายเพื่อบรรเทา หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลั้นสะอื้นอีกหลายที

รินนี่เป็นพวกซื่อตรงกับความรู้สึกมากเกินไป…

พีชญาเคยบอกเอาไว้อย่างนั้น แต่ตอนที่ได้ฟัง วรินทร์ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเชื่อว่านั่นเป็นข้อดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำอะไรตามใจและความรู้สึก

แต่ตอนนี้…นิสัยนั้นกำลังย้อนเข้ามาเล่นงานตัวเธอเอง

วรินทร์เอ่ยขอบคุณเปรมจิตที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงที่บ้าน ขณะที่ปลายเท้ายังไม่ทันจะข้ามธรณีประตู ร่างทั้งร่างก็ถูกโถมเข้าใส่จนแทบจะล้มทั้งยืน

“รินนี่! ไปอยู่ไหนมา ไปหาที่คอนโดก็ไม่เจอ” พีชญาถอนหน้าออกจากไหล่คนตรงหน้า “ทำไมตัวร้อนจัง ป่วยหรือเปล่าเนี่ย”

วรินทร์ยิ้มบาง แล้วตอบเพื่อนสาวทีละคำถาม

“ไปอยู่บ้านคุณเปรมจิต โดนคุณหมอเขาสั่งน่ะ” คนหน้าสวยว่าพลางอมยิ้มเมื่อนึกถึงบทสนทนาเมื่อคืน “แล้วตอนนี้ก็ป่วยอยู่ด้วย เอาตัวออกห่างเลยจ้ะพอร์ช เดี๋ยวติดแล้วจะไปเที่ยวไม่ได้นะ”

พีชญาขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับประโยคแรก แต่คำพูดต่อมากลับทำให้ตกใจ จนต้องกระโดดออกห่าง เลยเผลอลืมใจความของประโยคหน้าไปเสียสนิท

“ป่วยก็ไปนอนไป” พีชญาสะบัดมือเร็วๆ ไปทางบันไดที่อยู่กลางห้องโถง

“ไล่กันเลยทีเดียว”

วรินทร์หัวเราะ ก่อนจะจับไหล่เพื่อน แล้วเดินขึ้นห้องไปตามคำพูดอีกคน ในใจรู้สึกขอบคุณพีชญาที่ยังเข้าใจกัน ไม่เอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ปวดใจเล่น

หลังเพื่อนสาวขึ้นห้องไปแล้ว พีชญาก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกไปหาใครบางคน ที่ช่วงนี้เธอนึกชังน้ำหน้าเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องติดต่อไปเพราะเมื่อวานอีกฝ่ายส่งข่าวเพื่อนเธอมาบอก และให้โทรกลับไปหาหากเจอตัวแล้ว

“ฮัลโหล ฉันเองพีชญา” เมื่อปลายสายกดรับ คนตาหยีก็เอ่ยอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้รินนี่กลับมาที่บ้านแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนของฉัน แล้วก็ช่วยอยู่ห่างๆ รินนี่ด้วย ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน”

 นรีกมลยืนนิ่งอึ้งฟังคนที่โทรมา ไม่ทันจะได้สนทนาโต้ตอบ อีกฝ่ายก็วางสายไปคล้ายทนไม่ได้ที่จะคุยกับเธอนานๆ คนร่างเล็กนึกเปรียบเทียบกับที่ผ่านมา ที่พีชญามักจะหยิบยื่นความเป็นมิตรให้เธอ ด้วยการเข้ามาชวนสนทนาก่อน

นึกย้อนถึงเมื่อวานที่เธอโทรไปหาพีชญา หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงปั้นปึ่งอย่างน่าแปลกใจ พอปลายสายต่อว่าเธอเรื่องวรินทร์ นรีกมลจึงรู้ว่าพีชญารู้เรื่องราวทุกอย่างเป็นอย่างดี เธอนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้มาจากวรินทร์รึเปล่า

…บอกกันทุกเรื่องจนเธอนึกอิจฉา

ที่นรีกมลติดต่อไปหาพีชญานั้น ก็ด้วยความเป็นห่วงคนหน้าสวยที่ออกจากห้องไปทั้งๆ ที่ฝนยังตกพรำๆ ขามาวรินทร์ตัวเปียก ขากลับก็ยังออกไปทั้งอย่างนั้น เธอจึงโทรไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากพีชญาหลังจากที่ออกไปค้นหาวรินทร์จนทั่วบริเวณแล้วไม่เจอ

ไม่กี่สิบนาทีต่อมา พีชญาก็โทรมาแจ้งข่าวอย่างเสียไม่ได้ว่าวรินทร์โทรมา บอกจะไปพักที่คอนโด เธอจึงคลายความกังวลไปได้บ้าง

ช่วงเช้าของวันนี้นรีกมลจึงโทรไปถามพีชญาอีกรอบ ปลายสายบอก เพิ่งไปถามพนักงานที่คอนโดมาตอนเช้าตรู่ ได้ความว่าเมื่อคืนวรินทร์ไม่ได้กลับไปที่คอนโด พอโทรไปหาก็ไม่ติด ทั้งเธอและพีชญาจึงร้อนใจด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

ยังดีที่เมื่อกี้พีชญายังเมตตาโทรมาบอกความเป็นไปของวรินทร์ ไม่อย่างนั้นเธอคงอกแตกตายไปเสียก่อน แม้ว่าช่วงหลังบทสนทนาจะออกแนวข่มขู่ให้เลิกตามเพื่อนเจ้าตัวก็เถอะ

นรีกมลไม่ได้กลัวพีชญาหรอก…ที่เธอกลัว คือใจของวรินทร์ต่างหาก

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะโกรธ เกลียด หรือเอ่ยปากไล่เธอยังไง นรีกมลก็จะใจกล้าหน้าด้าน ขอแลกทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

ทุกความรู้สึก การกระทำ คำพูดที่เธอทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก

จะขอแลกกลับมา…

…ด้วยหัวใจทั้งหมดของเธอเอง



วันนี้อันนาขอแลกเวรช่วงดึกลากยาวไปถึงเช้าของอีกวันกับเพื่อนหมอด้วยกัน เพื่อที่จะได้กลับมาหาคนป่วยภายใต้สังกัดที่บ้าน คนเป็นหมอเดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดีมากกว่าทุกวัน

“แม่คะ อันกลับมาแล้ว”

“มาแล้วเหรอลูก กลับบ้านเร็วอย่างนี้แปลว่าไม่ได้เข้าเวร” เปรมจิตเดินออกจากห้องครัวมามองคนเป็นลูกที่ยิ้มแป้นอย่างแปลกใจ

“อันอยู่เวรดึกพรุ่งนี้ค่ะ” อันนาปด ด้วยไม่อยากบอกความจริงว่าอยากรีบกลับบ้านมาหาใครบางคน “ว่าแต่…มีจานข้าวสองใบ เจ้านายแม่จะไม่ลงมาทานอาหารกับเราเหรอคะ”

“เปล่าหรอก คุณเค้ากลับไปตั้งแต่สายๆ แล้ว” เปรมจิตตักข้าวใส่จาน โดยไม่ได้สังเกตกิริยาของลูกสาว ที่ริมฝีปากหุบลงจนเป็นเส้นตรง “คุณเค้าอยากกลับไปพักผ่อนที่บ้าน แม่เห็นอาการดีขึ้นเยอะแล้ว เลยไม่ได้โทรไปถามความเห็นอัน”

“ก็ดีแล้วค่ะ” อันนาเอ่ย ก่อนแอบลอบถอนลมหายใจ “อยู่บ้านตัวเองคงสบายกว่าอยู่ที่นี่”

เปรมจิตพยักหน้าอย่างเห็นด้วยขณะนั่งลงที่เก้าอี้รับประทานอาหาร สายตามองตามลูกสาวที่เดินกลับมานั่งด้วยกันหลังล้างมือจนสะอาดแล้ว

ตลอดมื้ออาหารอันนานั่งคิดอะไรเงียบๆ อยู่คนเดียว จนคนเป็นแม่สังเกตเห็น เปรมจิตมองลูกสาวที่นั่งถอนหายใจเฮือกๆ เป็นรอบที่ร้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะอึดอัดตายเอาเสียก่อน

“มีอะไรจะปรึกษาแม่รึเปล่า”

คนเป็นหมอสะดุ้งเฮือกเหมือนโดนจี้จุด อันนายิ้มแหยก่อนจะพยักหน้า

“แล้วจะมัวแต่นั่งยิ้มทำไม พูดมาสิอัน”

“แม่ทำงานเป็นเลขาผู้บริหารที่เครือดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ปใช่มั้ยคะ” อันนาเกริ่น

“ใช่สิ ทั้งที่รู้อยู่แล้ว อันจะถามแม่ทำไม” เปรมจิตขมวดคิ้ว

“แล้วแม่พอจะฝากงานให้ใครบางคนได้มั้ย”

“ได้สิ” เปรมจิตหรี่ตามองลูกสาว “แต่ทำได้แค่ฝากเข้ามาทำงานนะ จะก้าวหน้าหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวคนๆ นั้น แม่พอจะรู้จักกับพนักงานฝ่ายบุคคลอยู่บ้าง”

“อันไม่กังวลเรื่องความก้าวหน้าหรอกค่ะ”

“ว่าแต่ลูกจะฝากให้ใคร ตำแหน่งอะไร”

“ได้ข่าวมาว่าบริษัทของแม่กำลังหาแพทย์ประจำห้องพยาบาล…”

เปรมจิตพยักหน้า ก่อนจะมองหน้าลูกสาวอย่างแปลกใจ เมื่อคาดเดาได้ถึงคำพูดต่อไปของอันนา

“อันเลยอยากจะให้แม่…ช่วยฝากงานให้อันหน่อย”





 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.