web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 366
Most Online Ever: 366
(วันนี้ เวลา 13:22:24)
Users Online
Members: 0
Guests: 356
Total: 356

ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ ๑๖ : ความลับที่ไม่เคยมีใครรู้  (อ่าน 1046 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทอถักอักษรา

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 73
บทที่ ๑๖ : ความลับที่ไม่เคยมีใครรู้
« เมื่อ: 08 มกราคม 2014 เวลา 21:43:03 »



รักลวง
บทที่ ๑๖ :  ความลับที่ไม่เคยมีใครรู้

เช้าวันรุ่งขึ้น ณ วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนไทยหลังงาม วีรากานต์กับมีนากำลังเดินขึ้นบันไดกุฏิ ในมือของสองน้าหลานหอบหิ้วถังสังฆทานและเครื่องไทยทานมาด้วย เมื่อทั้งคู่มาถึงตรงอาสนะซึ่งท่านสมภารนั่งรออยู่ก่อนแล้วนั้น วีรากานต์และมีนาค่อยๆบรรจงก้อมกราบท่านอย่างนุ่มนวลแทบจะพร้อมเพรียงกัน
สายตาอันสุขุมของพระผู้ใหญ่ที่เพ่งมองมาคล้ายกับว่าพอจะเดาสภาวะการในจิตใจของผู้มาเยือนทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“ท่านสมภารเจ้าคะ ดิฉันกับหลานสาวมาถวายสังฆทานเจ้าค่ะ” วีรากานต์กล่าวกับพระภิกษุชราด้วยความนอบน้อม สองมือของเขายังประนมอยู่ในระดับอก
“มากันสามคนเหรอโยม ?” หลวงพ่อเอ่ยทัก สองน้าหลานหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทั่วทั้งศาลามีแต่พวกเธอสองคนกับหลวงพ่อเท่านั้น
“ดิฉันมากับคุณน้าสองคนเท่านั้นค่ะหลวงพ่อ” มีนาตอบ
“อย่าจองเวรต่อกันเลยนะ ให้อภัยพวกเขาเถอะ อาตมารู้ว่าโยมตายอย่างทรมานแต่อย่าอาฆาตพยาบาทเขาเลย มันจะเป็นเวรกรรมต่อไปไม่จบไม่สิ้น” ท่านสมภารในขณะที่สายตาของท่านจับจ้องไปยังพื้นที่ว่างเปล่าข้างหลังวีรากานต์
“หลวงพ่อพูดกับใครเจ้าคะ” วีรากานต์ถามด้วยความสงสัย เมื่อเธอมองตามสายตาของหลวงพ่อไปแต่ก็ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นสักคน
“เมื่อคืนโยมพบเจอกับอะไร อาตมาก็พูดกับเขานั่นแหละ” ท่านรู้...วีรากานต์ยังไม่อยากเชื่อหูตนเองนัก
“ท่านรู้...” วีรากานต์ถามด้วยน้ำเสียงแผ่ว
“อาตมารู้ แต่ไม่อาจจะช่วยอะไรโยมได้ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม ขอให้โยมหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศล เผื่อจะทำให้เขาผ่อนคลายความอาฆาตลง” พระภิกษุชราพูด้วยท่าทีสงบนิ่ง
พิธีกรรมการถวายสังฆทานถูกดำเนินไปจนกระทั่งจบขั้นตอนการทำบุญ หลวงพ่อได้เมตตาให้ศีลให้พรกับพวกเธอ พระภิกษุชราดูสงบและมีเมตตา แววตาของท่านมองมาที่หญิงสาวทั้งสองด้วยความสงสาร และเผื่อไปถึงวิญญาณดวงนั้นด้วย วิญญาณที่วีรากานต์รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นใคร แต่สำหรับวิญญาณอีกดวงนั้นเธอไม่ทราบถึงที่มาที่ไปของวิญญาณดวงนั้นเลยสักนิด
“หลวงพ่อเจ้าคะ แต่วิญญาณเมื่อคืนมีสองดวงนะเจ้าคะ ดวงที่ทำร้ายดิฉัน ดิฉันพอทราบถึงความอาฆาตของเธอ แต่วิญญาณที่มาช่วย ดิฉันนึกไม่ออกจริงๆว่าเป็นใคร...”
“แสดงว่าโยมยังมีบุญเก่าอยู่วิญญาณดวงนั้นจึงสามารถช่วยเหลือโยมได้ หมั่นทำบุญมากๆ ผลบุญจะช่วยคุ้มครองโยมจากภยันตรายทั้งปวงได้”
นั่นคือประโยชน์สุดท้ายของท่านสมภารที่เสมือนเป็นบทสรุปทั้งหมด วีรากานต์กับมีนากราบลาหลวงพ่อแล้วเดินลงจากกุฏิของท่าน
“น้าเพลงคะ” มีนาเรียกผู้เป็นน้าในขณะที่เขากำลังรินน้ำจากการกรวดน้ำลงบนโคนต้นไม้ใหญ่ข้างๆกุฏิ
“มีอะไรหรือยายหนู”
“พรุ่งนี้หนูขอกลับไปมหาวิทยาลัยนะคะ”
“จะกลับไปอยู่หอพักเดิมเหรอยายหนู จะอยู่ได้ยังไงไม่กลัวเหรอจ๊ะ” ผู้เป็นน้าเอ่ยปากถามพร้อมกับทักท้วงอยู่ในที
“หนูอยู่ได้ค่ะ จริงๆนะคะ” ผู้เป็นหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะเดินตามผู้เป็นน้ามายังรถยนต์ที่จอดเอาไว้บริเวณลานกว้างหน้ากุฏิ
“ตัวยายหนูอยู่ได้แน่ๆน้ารู้เพราะหนูไม่เคยเจออะไรที่มันน่ากลัวใช่ไหมจ๊ะ แต่หนูป๋องแป้งจะอยู่กับหนูหรือเปล่าเจอมาหนักขนาดนั้น และที่สำคัญน้าคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวแน่”
“แคร์ความรู้สึกยายป๋องแป้งขนาดนี้ หนูว่าน้าเพลงต้องขอบยายป๋องแป้งชัวร์ๆ” หลานสาวพูดขั้นมาพร้อมจ้องมองน้าสาวซึ่งกำลังขับรถอยู่
“แล้วกันยายหนู ทำไมวกมาเรื่องนี้ได้อย่างไรเนี่ย”
“แล้วมันจริงหรือเปล่าคะ”
“น้าก็เอ็นดูหนูป๋องแป้งเหมือนหลานสาวคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้คิดเกินเลย ถ้าอย่างไรวันนี้น้าจะพาหนูไปหาหอพักใหม่ก็แล้วกัน ถ้าหาไม่ได้ยังไงค่อยกลับไปอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“ค่ะ” มีนาตอบรับผู้เป็นน้าด้วยน้ำเสียงสดใส ไม่ว่าเธอจะต้องพักอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยหรือหอพักเอกชนที่อยู่รายรอบมหาวิทยาลัยก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเธออยู่แล้ว
วีรากานต์หันมามองหลานสาวอยู่ชั่วครู่ก่อนหันกลับไปตั้งใจขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน บ้านที่ไม่ได้ปลอดภัยสำหรับเธอเสียแล้วในตอนนี้...
      ...
   
“ป๋องแป้งถึงบ้านเราแล้วลูก” เสียงของนางจันทร์ประภากล่าวขึ้นกับบุตรสาว เมื่อนายกุลพิธาน์ผู้เป็นสามีของนางขับรถกระบะสี่ประตูสีขาวของครอบครัวมาจอดยังบริเวณบ้านแล้ว
“ค่ะ” ป๋องแป้งยิ้มให้มารดาก่อนที่จะตามนางลงมาจากรถแต่หญิงสาวกลับรู้สึกหน้ามืดจนต้องนั่งลงตามเดิม
“ไหวหรือเปล่ายายป๋องแป้ง ตาปุ๊มาช่วยแม่พยุงพี่สาวเราเข้าบ้านหน่อยลูก”
“ครับแม่ มาครับพี่ป๋องแป้งเดี๋ยวปุ๊ช่วย” จิรัฎฐ์ลงมาเบาะนั่งข้างคนขับก่อนที่มาช่วยพยุงพี่สาวเข้าไปในตัวบ้าน
“ขอบใจนะจ๊ะปุ๊” ป๋องแป้งกล่าวกับน้องชายหลังจากที่เด็กหนุ่มช่วยพยุงเธอมานั่งลงที่โซฟาตัวยาสีดำภายในห้องนั่งเล่นซึ่งใช้เป็นห้องรับแขกไปในตัวไปด้วยแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่แป้งหิวหรือเปล่าครับประเดี๋ยวปุ๊จะหาอะไรมาให้พี่แป้งทานนะครับ”
“จ๊ะ ขอบใจมากนะ” ป๋องแป้งยิ้มบางๆให้น้องชาย เด็กหนุ่มจึงเข้าไปในห้องครัวเพื่อนำอาหารมาให้พี่สาวได้รับประทาน
“ข้าวต้มไก่ร้อนๆฝีมือคุณแม่มาแล้วครับพี่แป้ง” จิรัฎฐ์กลับเข้ามาภายในห้องดังกล่าวอีกครั้งพร้อมกับถาดบรรจุข้าวต้มไก่ควันกรุ่นส่งกลิ่นหอมฉุยมาแต่ไกล นอกจากนี้ภายในถาดยังมี หมูหย็อง หมูแผ่น กุนเชียงทอดหวานกรอบอยู่ด้วย
“น่าทานจังเลยปุ๊ ขอบใจมากๆนะจ๊ะ”
“ด้วยความเต็มใจครับ”
“คุณแม่ทำข้าวต้มอร่อยจังค่ะ” ป๋องแป้งกล่าวขณะรับประทานอาหาร
“อร่อยก็ทานเยอะๆนะลูก ร่างกายจะได้แข็งแรง” นางจันทร์ประภากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะลูบศีรษะเล็กนั้นอย่างแสนรัก
“ทานด้วยกันสิคะ ทุกคนยังไม่ทานข้าวกันเลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ดีเหมือนกันครับ คุณพ่อคุณแม่รออยู่ที่นี่นะครับ ประเดี๋ยวปุ๊จะนำมาให้เอง”
เมื่อจิรัฎฐ์นำข้าวต้มไก่สำหรับทุกคนในครอบครัวมาวางไว้บนโต๊ะรับแขกที่ป๋องแป้งนั่งรับประทานอาหารอยู่ ทุกคนก็นั่งรับประทานกันอย่างมีความสุข
หลังรับประทานอาหาร บิดามารดาของป๋องแป้งก็ขับรถเดินทางไปที่สวนซึ่งปลูกผักนานาชนิดเอาไว้ พ่อกับแม่ขับรถยนต์ออกไปแล้ว ป๋องแป้งถือหนังสือที่อ่านค้างไว้เดินไปยังหลังบ้านซึ่งปลูกดอกกุหลาบหลากหลายสีกำลังชูช่อบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ หญิงสาวก้มดูดอกกุหลาบเหล่านั้นอยู่เป็นนานก่อนจะเดินไปนั่งยังเก้าอี้โยกบุนวมสีสันสดใสซึ่งตั้งอยู่ภายในซุ้มกุหลาบนั้นแล้วลงมืออ่านหนังสือที่ค้างอยู่อย่างตั้งใจ
“พี่ป๋องแป้งครับอยู่บ้านคนเดียวสักพักได้ไหมครับ พอดีปุ๊จะออกไปเอาของที่บ้านเพื่อนประเดี๋ยวเดียวนะครับ” เสียงของน้องชายดังขึ้น ทำให้ป๋องแป้งต้องละสายตาจากหนังสือหันมาตอบอย่างเอ็นดู
“ไปเถอะจ๊ะ พี่อยู่คนเดียวได้”
“ถ้าอย่างนั้นปุ๊ไปแล้วนะครับ และจะรีบมาอย่างเร็วที่สุดนะครับพี่ป๋องแป้ง”
เมื่อน้องชายออกจากบ้านไปแล้ว ป๋องแป้งจึงกลับมาตั้งใจอ่านหนังสือต่อท่ามกลางสวนกุหลาบซึ่งรายรอบกาย หญิงสาวนั่งอ่านหนังสือไปสักพัก จู่ๆสายตาของเธอก็ไปกระทบกับเงาบางอย่างที่วูบวาบไปมาอยู่ภายในตัวบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะปุ๊ ทำไมกลับมาเร็วนักล่ะจ๊ะ” ป๋องแป้งเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีแต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ เงียบ...จนผิดปรกติ หัวใจของป๋องแป้งเต้นระรัวราวกลองเพล ก่อนที่จะลุกขึ้นไปดูด้วยความหวาดหวั่น
‘หรือว่าจะเป็นขโมย’ ป๋องแป้งคิดในใจ เธอมองหาไม้หรืออะไรสักอย่างที่สามารถนำมาอาวุธแต่สิ่งที่เธอหาเจอในเวลานี้มีเพียงไม้แร็กเกตสำหรับเล่นกีฬาแบดมินตันเท่านั้น หญิงสาวจึงต้องหยิบอุปกรณ์กีฬาดังกล่าวขึ้นมาอย่างเสียมิได้  ป๋องแป้งกระชับไม้แร็กเกตในมือก่อนที่จะค่อนๆก้าวเดินอย่างลุ้นระทึก มือของหญิงสาวสั่นระริกขณะที่เอื้อมไปจับลูกบิดประตูให้เปิดอ้ากว้างกว่าเดิม
ว่างเปล่า...ภายในบ้านไม่มีใครสักคน แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังคงเดินสำรวจภายในตัวบ้านอย่างหวาดหวั่นต่อไป หญิงสาวเดินสำรวจทั่วบ้านจนแน่ใจว่าไม่มีใครแน่ๆจึงคิดว่าตัวเธอตาฝาดไปเอง หญิงสาวจึงเดินกลับมาที่ประตูหลังบ้านเพื่อกลับไปอ่านหนังสือตามเดิม
แต่ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะก้าวพ้นประตูบ้าน จู่ๆก็มีมือเย็นๆของใครคนหนึ่งมาจับที่ไหล่ของเธอ หญิงสาวค่อยๆหันกลับไปมองก่อนจะพบกับภาพที่ทำให้เธอเข่าอ่อนแทบจะล้มฟุบลงไปตรงนั้น ภาพของหญิงสาวใบหน้าประพิมพ์ประพายเดียวกันกับเธอกำลังส่งยิ้มอันน่าสยดสยองมาให้ ริมฝีปากที่อ้ากว้าง กว้างขึ้นเรื่อยๆจนดูคล้ายถูกกรีดด้วยของมีคม เลือดสดๆไหลออกมาอย่างล้นทะลัก ดวงตากลวงโบ๋น้ำตาสีชาดไหลเยิ้มออกมาจากกระบอกตานั้น
“มึงคิดว่าไม้แร็กเกตแค่นั้นจะสามารถทำอะไรกูได้เหรอ อีป๋องแป้ง!” ผีสาวกล่าวก่อนระเบิดเสียงหัวเราะอันโหยหวนออกมา
“พลอยนิลอย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันกลัวแล้ว” ป๋องแป้งพูดออกมาด้วยปากคอที่สั่นไปหมด พร้อมใช้ไม้แร็กเกตกำบังตัว
”เหอๆ กูบอกแล้วยังไงล่ะว่าไม้แร็กเกตแค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้ แต่ที่กูมาวันนี้ไม่ได้ต้องการทำร้ายมึง”
“แล้วเธอต้องการอะไร”
ผีสาวไม่ตอบแต่ยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งมาให้เธอ ป๋องแป้งรับมาอย่างไม่แน่ใจ รูปใบดังกล่าวเป็นรูปถ่ายของชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดนักศึกษาซึ่งผูกเน็คไทด์ซึ่งมีสัญลักษณ์เดียวกันกับมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่
“เธอหมายความว่ายังไง”
“มึงต้องตามหาผู้ชายคนนี้ให้เจอและต้องทำให้มันสำนึกผิดกับสิ่งที่มันทำกับกูให้ได้ภายในสามวัน ถ้ามึงทำไม่ได้กูจะจัดการกับมันเอง...” ผีสาวพูดจบก็ค่อยๆกลายเป็นมวลสารคล้ายฝุ่นผงปลิวหายไปในอากาศ
“เดี๋ยวก่อนพลอยนิล แล้วฉันจะตามหาเขาเจอได้ยังไง  พลอยนิล...”
หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ก็พบว่าในขณะนี้เธอยังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวเดิมบนหน้าตักมีหนังสือที่เธออ่านค้างอยู่ ซึ่งในเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปเนิ่นนานจนท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เสียงหรีดหริ่งเรไรและสัตว์กลางคืนร้องระงมไปทั่วบริเวณ เธอจึงลุกขึ้นเพื่อเดินเข้าไปในตัวบ้าน แต่แล้วสิ่งที่ร่วงตกลงมาจากหนังสือทำให้หญิงสาวหยุดชะงักในทันที เพราะสิ่งๆนั้นเป็นรูปถ่ายของชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดนักศึกษาซึ่งผูกเน็คไทด์ซึ่งมีสัญลักษณ์เดียวกันกับมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่เหมือนอย่างในฝันไม่มีผิด หลังรูปถ่ายใบนั้นระบุชื่อ นายธนัทชัย ศิริพงษ์ปรีดา รหัสนักศึกษา ๓๙๑๗๑๐๑๐๑๑๗!!!!
...




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.