web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 379
Most Online Ever: 379
(วันนี้ เวลา 16:32:59)
Users Online
Members: 0
Guests: 371
Total: 371

ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ ๑๑ : แก้วน้ำใบที่สี่  (อ่าน 1172 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทอถักอักษรา

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 73
บทที่ ๑๑ : แก้วน้ำใบที่สี่
« เมื่อ: 07 มกราคม 2014 เวลา 20:40:59 »



    รักลวง
            บทที่ ๑๑  : แก้วน้ำใบที่สี่

พระอาทิตย์ทอแสงอันแจ่มใสเมื่อรุ่งอรุณ น้ำค้างเกาะอยู่ตามใบไม้กอหญ้าต้องแสงอาทิตย์เป็นประกาย ก้อนเมฆลอยละลิ่วเหมือนปุยนุ่นเล็กๆที่ถูกลมพัดปลิวไปติดขอบฟ้า
 พยับแดดสาดส่องเข้ามาภายในหอนอน วีรากานต์ตื่นนอนขึ้นมาด้วยความสุข เขาลุกขึ้นนั่งและเห็นมองร่างบอบบางของป๋องแป้งซึ่งซุกกายหลับใหลอยู่บนเตียงนอนสีหวาน ดวงพักตร์งามล้ำของหญิงสาวทำให้วีรากานต์โน้มตัวลงพินิจดูอย่างใกล้ชิด ใช้นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมบางๆที่ปรกหน้าออกเผยให้เห็นแก้มใสเรื่อผุดผ่องต้องตาต้องใจยิ่งนัก จึงก้มลงใช้ริมฝีปากบางจุมพิตไปที่หน้าผากหอมกรุ่นของหล่อนอย่างเผลอไผล
   “ตื่นแล้วเหรอคะน้าเพลง” ป๋องแป้งลืมตาขึ้นมาถามกึ่งงัวเงีย
   “จ๊ะ น้าทำหนูตื่นหรือเปล่าคะนอนต่อได้นะ ประเดี๋ยวน้าจะกล้บไปหอนอนน้าแล้ว” วีรากานต์ตอบด้วยความขวยเขิน ก่อนที่จะลุกขึ้นพับที่นอน หมอน ผ้าห่มไว้ในตู้เสื้อผ้าตามเดิม
“เดี๋ยวแป้งไปอาบน้ำดีกว่าค่ะ เจอกันที่โต๊ะอาหารนะคะ” พูดจบป๋องแป้งก็ลงจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความประหม่าต่อสายตาหวานฉ่ำของวีรากานต์ยิ่งนัก
ก่อนที่จะสาวเท้าออกไปจากหอนอนของป๋องแป้ง สายตาของวีรากานต์ก็ไปสะดุดอยู่ที่กรอบรูปที่กองอยู่บนพื้นห้อง รูปถ่ายของผู้หญิงสองคนในชุดนักศึกษา คนหนึ่งเป็นคนรักของเขา แต่อีกคนหนึ่งมีใบหน้าเหมือนกับใบหน้าของป๋องแป้งราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน จะต่างกันก็เพียงแต่เส้นผมของผู้หญิงคนนั้นเหยียดตรงและยาวสลวยถึงกลางหลังแต่เส้นผมของป๋องแป้งหยิกฟูฟ่อง วินาทีนั้นเขาจำได้แล้วว่าหน้าตาของป๋องแป้งเหมือนใคร!
บรรยากาศยามเช้าช่างสดใส ทำให้อาหารเช้าวันนี้อวลไปด้วยความสุข แต่ในใจของวีรากานต์กลับครุ่นคิดอย่างหนักกับความรู้สึกที่มีต่อป๋องแป้ง สาวน้อยหน้าใสเพื่อนสนิทของหลานสาว ทั้งๆที่ความรู้สึกของเขายังมีคนรักอยู่เต็มหัวใจแต่หากไม่ได้รักไม่ได้ชอบป๋องแป้งไยจะต้องลอบจุมพิตกันหนอ เขาคิดด้วยความรู้สึกลังเลไม่แน่ใจ
“น้าเพลงเป็นอะไรเหรอคะ สีหน้าเครียดจังเลย” หลานสาวเอ่ยถามด้วยความห่วงใยในตัวญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เธอมีอยู่ ณ ตอนนี้
“เปล่าจ๊ะ น้าไม่ได้เป็นอะไร ทานข้าวต่อเถอะยายหนู ผัดเผ็ดปลาดุกกรอบๆ อร่อยนะจ๊ะลองทานดูนะ” เสพูดไปเรื่องอื่นพร้อมตักผัดเผ็ดปลาดุกสีสันน่ารับประทานให้หลานสาว
“ขอบคุณค่ะ ถึงแม้หนูจะยังเด็กแต่ถ้าน้าเพลงมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจก็ปรึกษาหนูได้นะคะ” พูดพร้อมรับประทานอาหารต่อแต่ยังมิวายแสดงความห่วงใยในตัวน้าสาว
“ไว้น้ามีเรื่องหนักอกหนักใจจริงๆประเดี๋ยวน้าจะบอกก็แล้วกันนะยายหนู แต่ตอนนี้ทานข้าวเสียก่อนประเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียรสหมดพอดี” พูดพร้อมใช้ฝ่ามือขยี้เส้นผมนุ่มนั้นอย่างเอ็นดู
“สัญญานะคะ ถ้าน้าเพลงมีเรื่องทุกข์ใจต้องบอกหนูนะคะ” มีนาพูดพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยไปให้น้าสาว
“จ๊ะน้าสัญญาว่าถ้าน้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจอะไรจะบอกหนูคนแรกเลยหลานรัก . ทานเยอะๆนะหนูป๋องแป้ง ไข่เยี่ยวม้ากระเพรากรอบ ของโปรดหนูใช่ไหมจ๊ะ” วีรากานต์พูดพร้อมตักไข่เยี่ยวม้ากะเพรากรอบใส่จานให้ป๋องแป้ง น้ำเสียงเจือไปด้วยความอ่อนหวานแต่สายตากลับทอดยาวออกไปไกลแสนไกล
“ขอบคุณค่ะน้าเพลง อร่อยมากๆค่ะ แกงเขียวหวานก็อร่อยนะคะ” ป๋องแป้งตักแกงเขียนหวานไก่ให้วีรากานต์บ้าง
หญิงสาวทั้งสาวผลัดกันตักอาหารให้กัน ช่วยทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารไม่เงียบเหงาดั่งที่เคย หลังรับประทานอาหารเรียบร้อย ป๋องแป้งก็ได้เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน เธอถือกระเป๋าเดินทางใบเขื่องออกมาจากหอนอนอย่างทุลักทุเล วีรากานต์เห็นดังนั้นก็รีบอาสาเข้าไปช่วย
“ให้น้าช่วยดีกว่านะจ๊ะ”
“ขอบคุณนะคะ” ป๋องแป้งเดินตามวีรากานต์ลงจากเรือนด้วยความโล่งอก ต่อไปนี้เธอไม่ต้องหวาดกลัววิญญาณในเรือนไทยหลังนี้อีกแล้ว...  แต่ใครจะไปรู้ นั่นอาจจะเป็นความคิดที่ผิดก็เป็นได้!!!
         ...............................................................................

หลังถวายภัตตาหารเพลเรียบร้อยหญิงสาวทั้งสามมานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้าภิกษุสูงวัยที่นั่งสงบอยู่บนอาสนะ เด็กวัดคลานเข่าถือน้ำเย็นมาให้ผู้มาเยือน
“ดื่มน้ำเสียก่อนเถอะโยม” หลวงพ่อว่า ก่อนฉันภัตตาหารเพลกับภิกษุลูกวัดอย่างเงียบๆ
แก้วน้ำที่เกินมาหนึ่งใบทำให้ป๋องแป้งมองด้วยความผิดสังเกต พวกเธอมาแค่สามคนแต่ทำไมเด็กวัดจึงนำน้ำมาให้สี่แก้วกันหนอ มันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นหรือว่าพวกเธอจะมีใครตามมาด้วย แต่ว่าใครกันล่ะ ?
“หนูจ๊ะ พวกน้ามากันสามคน ทำไมถึงนำน้ำมาสี่แก้วจ๊ะ” วีรากานต์เอ่ยถามเจ้าหนูเด็กวัดที่กำลังจะคลานออกไป
‘ก็พี่คนสวยใส่ชุดสีดำนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน แต่ทำไมคุณพี่สุดหล่อถึงได้บอกว่ามาแค่สามคนกันนะ’ เด็กวัดคนนั้นคิดในใจอย่างประหลาดใจ หนูน้อยนั่งนิ่งอย่างละล้าละลังเพราะไม่รู้ทำอย่างไร
“วางไว้ตรานั้นแหละโยม มีอะไรก็ไปทำเถอะเจ้าเปี๊ยก ถ้าจะใช้เดี๋ยวหลวงพ่อจะเรียกเอง” ภิกษุชราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาฝ้าฟางของพระสงฆ์สูงวัยมองไปยังจุดที่วางแก้วน้ำใบดังกล่าว หญิงสาวทั้งสามคนมองอย่างประหลาดใจเพราะบริเวณนั้นว่างเปล่าไม่มีใครนั่งอยู่สักคนเดียว
“ขอรับหลวงพ่อ” เจ้าเปี๊ยกรีบคลานออกไปทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น
“หลวงพ่อหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” ป๋องแป้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีดวงวิญญาณตามพวกโยมมา และดูเหมือนเขาจะหาทางไปไม่ได้ ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์” พระภิกษุชราเปรยขึ้นหลังจากที่ท่านและภิกษุรูปอื่นในวัดฉันภัตตาหารเพลและสวดให้ศีลให้พรเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เขาเป็นใครเหรอคะหลวงพ่อและตามพวกหนูมาทำไม ช่วงนี้หนูมักจะพบเจอดวงวิญญาณอยู่บ่อยๆจนไม่เป็นอันพักผ่อนหรือทำอะไรแล้ว เจอหนักๆเข้าบางครั้งก็ถึงกับหมดสติไป วิญญาณเหล่านี้มีอยู่จริง หนูไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเองใช่ไหมคะ” ป๋องแป้งถามด้วยน้ำเสียงสั่น สายตาของหญิงสาวเหลือบมองไปยังแก้วน้ำใบนั้น ซึ่งทำให้เธอรู้สึกขนลุกขึ้นมาเมื่อแก้วน้ำที่เคยเต็มปรี่บัดนี้ไม่มีน้ำเหลือแม้แต่หยดเดียว
“โยมไม่ได้ตาฝาดหรอก พวกเขามีอยู่จริง วิญญาณที่ผูกพัน”
“มีหนทางช่วยให้วิญญาณเหล่านี้ไปสู่สุขคติหรือเปล่าคะ” วีรากานต์ถามขึ้นมาบ้าง ในใจของเขาห่วงไยป๋องแป้งยิ่งนักที่ต้องมาพบเจอกับวิญญาณหลอนเหล่านั้น เพราะหากไม่หาหนทางแก้ไข ป๋องแป้งคงหัวใจวายตายในสักวัน
“ไม่มีหรอกโยม นอกเสียจาก...” หลวงพ่อถอนหายใจช้าๆ ยกน้ำชาขึ้นจิบ
“ถึงแม้ว่าพวกหนูจะหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา ก็ไม่มีทางอย่างนั้นเหรอคะ” ป๋องแป้งถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่น
“ใจเย็นๆนะป๋องแป้ง มันต้องมีทางแก้ไข มันมีทางแก้ไขใช่ไหมคะหลวงพ่อ” มีนาบีบมือป๋องแป้งเบาๆ ก่อนหันมาถามพระสงฆ์ชราด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“คนที่เป็นคนผูกจะต้องเป็นคนแก้ไข อย่างไรเสียเพื่อเป็นการป้องกันตัว อาตมาจะมอบเครื่องรางไว้ให้” ภิกษุชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หยิบพระเครื่ององค์เล็กๆพร้อมสายห้อยคอหลายสีวางไว้บนบานซึ่งอยู่บนผ้าสีกลักผืนเล็ก แต่สายตาของท่านจับจ้องอยู่ที่วีรากานต์เนิ่นนาน
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” หญิงสาวทั้งสาวคนพนมมือรับพร้อมกับนำสร้อยมาสวมคนละเส้น
“โยมป๋องแป้ง จำเอาไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นตามกรรม โยมอย่าได้เข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัว อย่าอยากรู้อยากเห็น ควรใช้ชีวิตของโยมอย่างปรกติ แล้วชีวิตโยมจะดีเอง”
“เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากราบลานะคะ”
เมื่อกราบลาหลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวทั้งสามคนได้ขับรถยนต์ไปตามถนนลูกรังที่มีฝุ่นแดงเต็มถนน ป๋องแป้งทอดสายตาไปตามท้องไร่ท้องนาสุดลูกหูลูกตา มารู้สึกตัวอีกครั้งรถยนต์ของวีรากานต์ก็มาจอกอยู่หน้าหอพักแล้ว
มีนาไหว้วานนักศึกษาหนุ่มที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้ช่วยยกรถจักรยานยนต์ของป๋องแป้งขึ้นไปบนท้ายรถกระบะสีบรอนซ์ทองซึ่งนานๆจะได้ออกโรงสักที ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาที่มาแข่งขันกีฬายังมหาวิทยาลัยของเธอ
เมื่อนำรถจักรยานยนต์ของป๋องแป้งใส่ท้ายรถยนต์ของป๋องแป้งได้แล้ว วีรากานต์ก็ขับรถยนต์มุ่งหน้าสู่บ้านของป๋องแป้งซึ่งอยู่ต่างจังหวัดโดยป๋องแป้งเปลี่ยนมานั่งข้างหน้าคู่กับวีรากานต์เพื่อบอกเส้นทาง
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านของป๋องแป้ง ป๋องแป้งก็แนะนำวีรากานต์และมีนาให้รู้จักครอบครัวของเธอ บิดามารดาของป๋องแป้งเชื้อเชิญให้สองน้าหลานรับประทานอาหารด้วยกันก่อนเดินทางกลับ
“อาหารบ้านๆ น้าเพลงทานได้นะคะ” ป๋องแป้งพูดพร้อมตักอาหารสีสันจัดจ้านใส่จานให้วีรากานต์
“ขอบใจจ๊ะหนูป๋องแป้ง เขาเรียกว่าอะไรคะ” วีรากานต์ถามพร้อมเคี้ยวอาหารตุ้ยๆอย่างติดใจในรสชาติ
“แกงกล้วยค่ะน้าเพลง ลองทานนี่หน่อยนะมีนา”๑  ป๋องแป้งตอบ พร้อมตักแกงชนิดหนึ่งซึ่งมีสีม่วงอ่อนให้มีนาได้ลองรับประทาน
“แกงอะไรเหรอป๋องแป้ง สีม่วงอ่อนน่าทานจังเลย” มีนาถามด้วยความสงสัย พลางตักข้าวคลุกกับแกงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“แกงเผือกจ๊ะ แกงเผือกกับเนื้อปลาช่อน”๒ ป๋องแป้งพูดพร้อมตักอาการเข้าปากบ้าง รู้สึกยินดีที่เพื่อนสนิทและวีรากานต์รับประทานอาหารทางบ้านของเธออย่างไม่อิดออด
   เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อย วีรากานต์กับมีนาก็ลากลับ ป๋องแป้งเดินมาส่งวีรากานต์และมีนาที่หน้าบ้านเมื่อรถยนต์ของวีรากานต์เคลื่อนตัวออกไป ป๋องแป้งมองตามอยู่ชั่วครู่ก่อนที่สายของหญิงสาวก็สะดุดกับภาพที่ทำให้เธอถึงกับตาค้างพูดไม่ออก ขนลุกซู่ หนังศีรษะเย็นวาบ
   เพราะภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของผู้หญิงผมยาวนั่งกอดเข่าอยู่ท้ายสุดของกระบะหลัง ผมยาวสยายสะบัดไปมาตามแรงลม กำลังยิ้มให้เธอ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่สร้างความสะพรึงให้เธอยิ่งนัก...
            ...............................................................................................
 
๑  แกงกล้วย หมายถึง เป็นแกงพื้นบ้านของชาวเขมร ในแถบจังหวัดสุรินทร์ และบางส่วนของจังหวัดศรีสะเกษ  เป็นแกงผักชนิดหนึ่ง นิยมใช้กล้วยน้ำว้าเป็นส่วนผสมหลัก แกงกับกะทิและเนื้อหมู
๒  แกงเผือก หรือสลอตราว เป็น อาหารที่มีรสจืด นิยมใส่ปลาเป็นส่วนประกอบ อาจใช้รับประทานเปล่า ๆ คล้ายก๋วยเตี๋ยวก็ได้ ชาวเขมรและชาวกูย ที่มีฐานะ นิยมปรุงให้จืดเพื่อรับประทานเปล่า ๆ เผือกเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรทสูง ใช้รับประทานแทนข้าวได้ ปลาเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง












 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.