web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 440
Most Online Ever: 440
(วันนี้ เวลา 03:05:22)
Users Online
Members: 0
Guests: 368
Total: 368

ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ 2. A Match Made by Mom  (อ่าน 1493 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ สี่เมษา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
ตอนที่ 2. A Match Made by Mom
« เมื่อ: 06 มกราคม 2014 เวลา 01:20:57 »
ตอนที่ 2.  A Match Made by Mom



หนึ่งสัปดาห์หลังจากค่ำคืนที่ชายหาดหัวหินนั้น...


บริษัท ส่งออกจิวเวลรี่ ขนาดกลาง ที่กินพื้นที่หัวมุมทั้งหมดด้านตะวันตกของชั้นที่ 30 บนตึกโดมทองสูงกว่าหกสิบชั้น...กรุงเทพฯ

ณ ห้องประชุมใหญ่ที่มีเฉพาะระดับผู้บริหารนั่งรายล้อมโต๊ะประชุมรูปตัวยูซึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังผู้หญิงคนเดียวในเสื้อสูทผ้าลูกฟูกสีเทาที่สวมทับเชิ้ตแบบพอดีตัวสีขาวสะอาดสะอ้าน กับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าคัทชูคู่เรียวยาวนั้น เธอกำลังพรีเซนต์โปรเจ็คสำคัญอยู่ด้านหน้าเครื่องฉายโปรเจคเตอร์อย่างตั้งใจ

"อย่างที่ทุกท่านทราบแล้วจากเอกสารแจ้งวาระการประชุมที่ได้แจกให้นะคะ...เนื่องจากฉันได้รับมอบหมายจากท่านประธานให้ศึกษาและนำเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งแผนกใหม่ขึ้นมาในบริษัทของเรา...นั่นคือ 'แผนกดีไซด์และพัฒนาผลิตภัณฑ์'..." คินสิตาเว้นจังหวะการอภิปรายพร้อมทั้งกวาดตามองผู้ฟังเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไป

"ซึ่ง...ก่อนหน้านี้เราจะจ่ายงานการออกแบบทั้งหมดให้กับดีไซเนอร์อิสระ...แล้วก็อย่างที่เราตระหนักกันดีว่านั่นค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมถึงการควบคุมการรั่วไหลออกไปของแม่แบบที่ควรจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราโดยชอบธรรมนั่นอีก และคงจะดีกว่ามากถ้าเราจะมีทุกอย่างให้พร้อมอยู่ในมือ...พูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ การจัดตั้งแผนกใหม่ดังกล่าวนี้จะช่วยให้เราสามารถควบคุมการออกแบบได้เองและตรงกับดีความต้องการที่แท้จริงได้มากที่สุด...เราจะสามารถสร้างต้นแบบหรือแม่พิมพ์ไว้เป็นของเราเองได้...แก้ไขได้เองตามต้องการ...และแน่นอนว่าการที่มีโรงงานรองรับอยู่แล้ว...จะช่วยให้เราไม่มีปัญหาในส่วนของการผลิตด้วย"

คินสิตาหยุดพูดอีกครั้งเป็นช่วงสั้นๆ หันไปกดสวิทซ์เปิดโปรเจคเตอร์ที่เชื่อมต่อไว้กับโน้ตบุ๊กของตัวเองเพื่อที่จะเปิดพรีเซนต์เทชั่นที่เธอจัดเตรียมเอาไว้สำหรับนำเสนอในที่ประชุมวันนี้ เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างตั้งใจจดจ่อรอฟังเธอ คินสิตาจึงนำเสนอต่อทันที

"และนี่...คือโครงสร้างคร่าว ๆ และเวิร์คโฟล์วของแผนกดีไซน์ที่ฉันร่างเอาไว้ในเบื้องต้น" เมื่อสไลด์หน้าแรกแว่บผ่านไป หญิงสาวก็เริ่มร่ายยาวอธิบายถึงแต่ละลำดับขั้นตอนในการทำงานของแผนกที่เธอต้องรับผิดชอบโดยสรุปตามที่ได้วางแผนไว้

"เราจะผสานงานและรับงานผ่านทางฝ่ายการตลาดอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะทราบถึงความต้องการของลูกค้าได้โดยตรงมากกว่าเรา และจะช่วยให้เรามีแนวทางในการออกแบบให้ตรงจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้น"

"ไม่มีปัญหาครับ คุณคินสิตา หลังการประชุมนี่ผมก็มีสองสามโปรเจคใหม่ที่จะให้คุณช่วยออกแบบให้ ผมเพิ่งได้รับอีเมล์จากลูกค้ามาเมื่อเช้านี้เอง" แมนรัช ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดตอบรับเธอในทันที เขาเป็นผู้ชายมาดเนี๊ยบหน้าตาดีและแต่งตัวเป็น อายุอานามคงใกล้เคียงกับวาคิมพี่ชายของเธอ

"นอกจากนี้ เราจะไม่รอให้ลูกค้าเสนอไอเดียมาให้เราทำเพียงอย่างเดียว เรายังจะศึกษาและออกแบบสไตล์ใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้มีทางเลือกที่มากกว่า และแตกต่างกว่า ในแบบที่ลูกค้าจะหาไม่ได้จากที่ไหนนอกจากเรา"

"จากนั้นเราต้องขอความร่วมมือจากฝ่ายผลิตด้วย...การขึ้นแบบแม่พิมพ์ต้องแน่ใจว่าตรงตามสเป็คที่ดีไซเนอร์สร้าง...เรา...แผนกดีไซน์จะตรวจสอบคุณภาพแม่พิมพ์ร่วมกับฝ่ายการตลาดอีกทีหนึ่ง"

"ยินดีครับ คุณคินสิตา เรามีช่างพิมพ์มืออาชีพอยู่กับเราหลายคนเลยทีเดียว" คราวนี้เป็นพิชาญ ผู้จัดการฝ่ายผลิตซึ่งเป็นชายสูงวัยพุงพลุ้ยท่าทางใจดีที่เป็นผู้ตอบรับคำขอของเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

"ขอบคุณมากค่ะ...ทุกท่าน...ทีนี้ก็เป็นข้อเสนอที่ฉันอยากให้ท่านประธานและทุกท่านในที่นี้รับไว้พิจารณา..." วาคิมเลิกคิ้วมองน้องสาวพลางคิดสงสัย เพราะเธอไม่ได้เกริ่นเรื่องนี้ให้พี่ชายได้รับรู้มาก่อน เพราะไม่ต้องการให้ใครๆ มองว่าเธอทำงานภายใต้เงาและบารมีของพี่ชาย เธอต้องการทำงานตามขั้นตอนอีกทั้งไม่อยากได้อภิสิทธิ์ใดๆ และเพราะรู้ด้วยว่าวาคิมนั้นคงจะคล้อยตามเธอทันทีถ้าเธอเสนอเขาเองโดยตรง คินสิตาจึงได้แต่เพียงยิ้มตอบกลับไปให้พี่ชายพร้อมกล่าวต่อว่า

"ฉันอยากให้ท่านประธานและทุกท่านพิจารณาอนุมัติงบประมาณให้จัดซื้อโปรแกรมและเครื่องขึ้นแม่พิมพ์ต้นแบบ...ซึ่งจะช่วยให้การออกแบบและทำให้เราขึ้นแม่พิมพ์ได้ตรงตามแบบและรวดเร็วได้ชนิดที่เรียกว่าไร้ที่ติ โดยแบบจะถูกดีไซน์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราจะสั่งให้ตัวเครื่องปริ้นท์แม่พิมพ์ต้นแบบออกมาตามแบบที่เราได้ออกแบบไว้คล้ายกับเราสั่งให้ปริ้นเตอร์พิมพ์เอกสารทั่วๆ ไป เพียงแต่เจ้าเครื่องนี้จะปริ้นท์ผลงานให้เราเป็นแม่พิมพ์ต้นแบบแทน..."

"สำหรับรายละเอียดกรุณาอ่านจากเอกสารที่จะแจกให้นี้นะคะ...พี่ศศิช่วยเอาเอกสารที่เตรียมไว้แจกให้ทุกคนด้วยค่ะ ขอบคุณมาก" เธอหันไปร้องขอกับศศินา ซึ่งวาคิมจัดมาให้เป็นผู้ช่วยของเธอ เมื่อเธอเห็นว่าทุกคนในที่ประชุมได้เอกสารแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า

"ฉันขอจบการนำเสนอไว้เท่านี้ก่อน หากมีข้อสงสัย...หรือว่ามีอะไรจะเสนอแนะ ฉันก็ยินดีมากค่ะ" คินสิตากล่าวปิดท้ายสั้นๆ

"สำหรับเรื่องการจัดตั้งแผนกใหม่พี่เห็นด้วยอย่างนะ...ส่วนเรื่องที่เสนอมาท้ายสุดนี้ก็ฟังดูน่าสนใจและเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์มากๆ กับบริษัทของเรา...แต่พี่ขอไปศึกษารายละเอียดก่อน แล้วอาทิตย์หน้าเราจะเปิดประชุมกันเรื่องนี้โดยเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง ช่วยเตรียมตัวเลขเรื่องงบประมาณในการดำเนินการให้ด้วยก็จะดีนะคิน" วาคิมพูดกับน้องสาว

"เอาล่ะคับใครมีคำถาม หรืออยากจะพูดอะไร เชิญได้ตอนนี้เลย" คราวนี้ชายหนุ่มพูดกับคนอื่นๆ ในที่ประชุม

"ผมคิดว่าการอภิปรายของคุณคินสิตาก็ชัดเจนเป็นที่เข้าใจได้ดีอยู่แล้วครับ ก็เลยยังไม่มีอะไรจะเสนอในตอนนี้ หรือท่านอื่นจะว่ายังไงครับ" เป็นคุณพิชาญที่พูดขึ้นมา ซึ่งก็เป็นผลให้คนอื่นๆ พากันพยักหน้าเห็นด้วย

"ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอปิดการประชุมในวันนี้ไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ ขอบคุณมากครับทุกๆ คน" วาคิมกล่าวปิดการประชุม

"ทำได้ดีนี่"  ชายหนุ่มพูดขึ้นหลังจากเหลือเพียงเขากับคินสิตา

"ไม่เท่าไหร่หรอกพี่คิม...ก็ทำอย่างที่ใครๆ เขาก็ทำกันนั่นล่ะ" หญิงสาวตอบอย่างที่ตนเองรู้สึก เพราะเธอก็รู้ว่าเธอยังไม่ได้ทำอะไรที่พิเศษไปกว่าใคร

"ถึงงั้นก็เถอะ...นี่...ยังไงพี่ก็ภูมิใจ" วาคิมตบท้ายยิ้มๆ "พี่ไปก่อนล่ะ...ต้องออกไปดูโรงงานสักหน่อย..." วาคิมตบบ่าน้องสาวเบาๆ ก่อนจะผละไป เสียงประตูปิดลงเมื่อเขาลับกายไปแล้ว

คินสิตายังคงอยู่รั้งท้ายเพื่อเก็บโน๊ตบุ๊กและเอกสารส่วนตัว ในใจคิดว่าก็ไม่เลวนักหรอกสำหรับการกลับมาเมืองไทยและอาทิตย์แรกของการทำงานก็ดูว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีเลยทีเดียว



--------------------------


...ยามเย็น ห้องทำงานส่วนตัว ณ มุมในสุด ซึ่งมองเห็นวิวแม่น้ำเป็นฉากหลัง

เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น ทำให้คินสิตาซึ่งกำลังตั้งใจจดจ่ออยู่กับงานออกแบบจิวเวลรี่เซ็ตใหม่ที่เพิ่งลงมือทำไปได้ไม่นานต้องละงานตรงหน้าแล้วหันมากดปุ่มรับสาย

"ว่าไงคะ พี่ศศิ" ตอบรับไปด้วยเสียงราบเรียบ

"คุณคินคะ...มีสายนอกบอกว่าจากเพื่อนสนิทค่ะ...ให้โอนไปเลยมั้ยคะ" ศศินาผู้ช่วยของเธอรายงานมาตามสาย

"เพื่อนสนิทเหรอ...บอกชื่อหรือเปล่าว่าใคร" หญิงสาวแปลกใจเพราะตั้งแต่เธอกลับมาก็ยังไม่ได้ติดต่อเพื่อนคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว

"พี่พยายามถามแล้วค่ะ...แต่เธอ...เอ่อ...เค้าไม่ยอมตอบ...บอกว่าอยากเซอร์ไพร์สน่ะค่ะ" เสียงศศินาบ่งบอกว่ามีความลำบากใจ

"ก็ได้...โอนเข้ามาเลยค่ะ" เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครนะช่างจมูกไวราวกับจมูกมด

"คินซี่ ทายซิใครเอ่ย..." คินสิตาหัวเราะพรืด เมื่อได้ยินเสียงดัดจริตที่พยายามทำให้อ่อนหวานยังไง แต่ก็ยังปิดความแหบห้าวในน้ำเสียงได้ไม่มิดนั้น เธอรู้แล้วล่ะว่าเป็นเสียงของผู้ใด

"จั๊ก..." เธอตอบไปด้วยความมั่นใจว่าไม่ผิดแน่

"เดี๋ยวตบปากซะนี่...บอกกี่หนละ...ว่าให้เรียก จั๊กกรี้..." จักรี หรือ จั๊กกรี้ สาวประเภทสองเพื่อนสนิทของเธอที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจนถึงจบมหาวิทยาลัยและยังคงคบหากันมาจนถึงตอนนี้

"ก็เหมือนกันนั่นล่ะ...แล้วนี่รู้ได้ไงว่าฉันกลับมาแล้ว" คินสิตาถามคำถามที่ยังคาใจอยู่

"แหมๆ ดูถามเข้าซิ นี่ฉันยังคิดอยู่เลยว่าแกกลับมาตั้งหลายวันแล้วทำไมฉันถึงเพิ่งจะรู้  เหอะน่ะ..ไม่สำคัญหรอกว่ารู้ได้ยังไง แต่ฉันงอนอยู่นะเนี๊ยะที่แกกลับมาแล้วไม่ยอมติดต่อกันมั่ง" เสียงจักกรี้ประชดประชันตัดพ้อแต่ก็ไม่วายเรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังได้

"เออ...ขอโทษ ก็กำลังยุ่งเรื่องงานน่ะ ฉันเพิ่งเริ่มทำงานให้พี่คิม" หญิงสาวเอ่ยขอโทษขอโพย

"ย่ะ...ก็นี่ล่ะ ถ้าฉันไม่บังเอิญไปเจอพี่ชายสุดหล่อของแกเข้าก็คงจะยังมาได้รู้ไปอีกเป็นชาติล่ะมั้ง" เป็นวาคิมนั่นเองที่บอกข่าวการกลับมาให้แก่เพื่อนของเธอ คินสิตารับทราบในที่สุด

"อื้มม...แล้วยังไงต่อล่ะ นี่คงไม่ได้โทรมาต่อว่ากันอย่างเดียวหรอกนะ" คินสิตาถามกลับไป

"ก็วันศุกร์ทั้งที...ไอ้เราก็ยังโสดแล้วจะรีบกลับบ้านไปทำไมกันเล่า...นะ...ออกมาเจอกันหน่อยซี...คิดถึงจะแย่" จั๊กกรี้ส่งเสียงออดอ้อนชวนมา

"เฮ้ย...ไม่ไปแล้วนะ บาร์เกย์น่ะ" ยังจำได้ว่าสมัยที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยเธอเคยยอมทำตามความคิดพิเรนของเพื่อนคนนี้ แต่งตัวเป็นผู้ชายใส่หนวดปลอม เพื่อเข้าไปเที่ยวในบาร์เกย์กัน แล้วเพื่อนของเธอก็ระริกระรี้ไปกับหนุ่มหล่อล่ำคนหนึ่ง ทิ้งให้เธอนั่งขนลุกอยู่ตามลำพัง และยังต้องคอยหลบสายตากระเหี้ยนกระหือลือของบรรดากระซู่กระทิงที่คอยเหล่มองมา นั่นก็ทำให้จั๊กกรีหัวเราะคิกคักบ้าง

"ยังจำได้อีก...ทำไมเหรอจะแก้แค้นแล้วชวนไปผับเลดี้แทนก็ได้นะ"

" ผับที่ว่านั่นเค้าคงยอมให้แกเข้าไปหรอกนะ ถึกยังกับนักมวย"  คินสิตารู้ว่าเดี๋ยวคงจะได้ยินอีกฝ่ายกรีดเสียงใส่อย่างแน่นอนหลังจากเจอคำพูดแสบๆ คันๆ ของเธอแล้ว และก็เป็นจริงตามคาด จั๊กกรี้ โวยวายใส่เธอยกใหญ่ ทั้งสบถกร่นด่าไปตามประสา

"ไอ้คินบ้า อย่ามาพูดอย่างนี้นะ ฉันออกจะสวยบอบบางน่าถนุถนอมยังกะเจ้าหญิง"  จั๊กกรี้ไม่ยอมเสียล่ะ เมื่อรู้สึกราวกับว่าโดนสบประมาทอย่างรุนแรง คินสิตารู้สึกสนุกที่ได้แหย่เพื่อนเล่น เธอจึงเอาแต่หัวเราะและไม่ได้ตอบโต้ใดๆ อีก

"ตกลงจะให้ไปเจอที่ไหนดี" หญิงสาวถามออกไป เมื่อจั๊กกรี้สงบลงบ้างแล้ว

"ไม่รู้...ยังคิดไม่ออก...แกมารับฉันก่อนแล้วค่อยว่ากัน...ฉันทำงานอยู่ที่..." น้ำเสียงของเพื่อนที่อยากสาวยังคงมีแววขุ่นเคืองขณะบอกเส้นทางไปที่ทำงานของตัวเองให้คินสิตาฟัง

"โอเคๆ เสร็จงานแล้วจะรีบไปรับ" เธอหัวเราะให้คำมั่นกับเพื่อนก่อนที่จะวางสายไป เฉพาะกับเพื่อนของเธอคนนี้เท่านั้นที่คินสิตาจะเล่นหัวจนหัวเราะร่วนได้ ยามปกติกับคนรู้จักคนอื่นๆ เธอมักจะมีทีท่าเงียบขรึม และพูดคุยด้วยอย่างเป็นการเป็นงาน

ย้อนนึกถึงเมื่อตอนยังเป็นนักเรียนแล้วหญิงสาวก็ต้องเผลอยิ้มออกมา ผู้คนที่พบเห็นไม่ว่าจะเป็นบรรดาอาจารย์หรือเพื่อนนักเรียนด้วยกันต่างพากันชี้ชวนให้ดูคู่ซี้อย่างเธอกับจั๊กกรี้แล้วพากันทำขมุบขมิบปากซุบซิบ แต่เธอก็ไม่คิดแปลกใจหรือใส่ใจจะเอาความเลยซักครั้ง ก็มันคงดูประหลาดอยู่ไม่น้อยจริงๆ นั่นล่ะ เด็กสาวมาดแมน กระโดกกระเดก กับเด็กชายท่าทางกระตุ้งกระติ้งที่เดินกอดคอกอดเอว หรือแม้แต่นอนหนุนตักกันตามระเบียงหน้าห้องเรียน ใครเห็นอย่างนั้นก็คงจะต้องรู้สึกประดักประเดิดเป็นธรรมดา



--------------------------



...ร้านอาหารติดริมแม่น้ำ ย่านพระราม 3

ตัวร้านเป็นบ้านไม้สไตล์ไทยแท้ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ให้บรรยากาศที่ร่มรื่น ล้อมรอบด้วยพรรณไม้หายาก ที่สามารถชมวิวได้ทั้งสามทิศ มองเห็นสะพานพระราม 9 ในยามค่ำคืนได้ แถมยังมีอากาศเย็นสบาย คินสิตาและจั๊กกรี้เลือกนั่งที่โต๊ะหัวมุมหนึ่งของชานกว้างกลางแจ้ง


หลังจากจัดการกับอาหารรสเลิศที่จั๊กกรี้กระหน่ำสั่งมาจนล้นโต๊ะนั้นแล้ว สองคนเพื่อนซี้ก็ยังนั่งพูดคุยกันต่ออย่างออกรส ส่วนมากแล้วก็จะเป็นจั๊กกรี้ที่เดี๋ยวก็หยิบยกเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อสนทนา หรือไม่หล่อนก็เฝ้าถามโน่นถามนี่กับคินสิตาไม่ได้หยุดหย่อน จนกระทั่งมาถึงหัวข้ออัพเดทถึงความเป็นไปของบุคคลที่ทั้งสองต่างก็รู้จัก นั่นเองที่ทำให้คนที่ทำหน้าทีผู้ฟังที่ดีตลอดมาเริ่มมีสีหน้านิ่งเฉย จิตใจเริ่มล่องลอยไปตกอยู่ในภวังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง และเธอก็ได้หยุดการโต้ตอบกับคนที่ยังคงคุยจ้ออยู่นั่นแล้ว โดยที่จั๊กกรี้ไม่ทันได้สังเกตุเห็นถึงอาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันของเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว

"จั๊ก..." เสียงของคินสิตาเปล่งออกมาได้เพียงแผ่วเบา แต่แววตาของเธอต่างหากที่ทำให้จั๊กกรี้หยุดพูดไปได้

"............." จั๊กกรี้เลือกที่จะเงียบและรอให้เพื่อนพูดต่อให้จบ

"จั๊ก...แกได้ข่าวแพทบ้างมั้ย" เธอถามคำถามเดียวในใจออกมาในที่สุด คำถามถึงคนที่คินสิตาตั้งใจและหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงมาโดยตลอด จนกระทั่งเวลานี้ที่ความต้องการอยากจะรู้ถึงความเป็นไปของใครคนนั้นมีอำนาจเหนือการควบคุมของเธอ

"จะถามถึงค้าทำไมอีกฮึ" คราวนี้จั๊กกรี้พูดพร้อมกับจ้องมาราวกับว่าจะใช้สายตามองให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจของเธอว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

"บอกมาเถอะ...ระหว่างฉันกับเขา...มันไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว" คนฟังได้แต่ทอดถอนใจ แล้วตัดสินใจบอกออกไป

"เท่าที่ฉันรู้มาก็นะ...ชีแต่งงานแล้ว...แต่แหม...อีกแค่หกเดือนหลังงานแต่งชีก็คลอดลูกชายออกมาซะงั้น..." คินสิตาได้แต่พยักหน้ารับรู้ด้วยอาการเนิบช้า ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวพรืด

"ยังไม่ลืมเค้าอีกเหรอ เค้ามีครอบครัวไปแล้ว อย่าไปคิดถึงเค้าอีกเลย" จั๊กกรี้พูดหลังจากนิ่งมองเพื่อนอยู่พักใหญ่

"ที่จริงฉันก็สบายดีแล้วนะ...เพียงแต่...บางครั้งก็คิดเป็นห่วงเค้าขึ้นมาแค่นั้น" จริงหรือคินสิตา เธอทำได้อย่างที่พูดออกไปจริงๆ น่ะหรือ? หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองในใจ

"ห่วงตัวเองก่อนเหอะ...อย่าให้พูดอีกเลย...หมั่นไส้" จั๊กกรี้ว่าแล้วยกชาหวานในแก้วใบสวยขึ้นมาดื่ม และไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเห็นเพื่อนรักนั่งนิ่งสายตาเหม่อมองออกไปนอกตัวร้านซึ่งมองเห็นแม่น้ำใหญ่ทอดยาวไปสุดตา

"ไปเดินเล่นตรงโน้นกันมั้ย..." คินสิตาเอ่ยชวนหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ เธอเห็นว่าทางร้านมีส่วนที่จัดไว้สำหรับให้ลูกค้าได้เดินชมบรรยากาศริมแม่น้ำ ซึ่งอยู่ห่างไปทางอีกฟากหนึ่งของโต๊ะที่เธอกำลังนั่งอยู่

"โอเค...งั้นจ่ายตังค์เลยดีกว่า...มื้อนี้หน้าที่ฉันเอง...ถือว่าเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านก็แล้วกัน" ว่าแล้วก็เรียกพนักงานของร้านมาคิดเงิน คินสิตาเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปก่อน

เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ ...และก็ต้องการศรัทธา ถึงแม้ไม่มากนัก แต่หากได้บ้างก็ยังดี หากในสองอย่างนี้ อากาศบริสุทธิ์คงหาได้ง่ายกว่า...

หญิงสาวเดินเรื่อยๆ เลาะไปตามสะพานไม้ที่สร้างไว้ติดกับริมตลิ่ง พยายามผ่อนคลายอารมณ์ที่จมลึกและกดดันของตัวเองเมื่อครู่นี้ หวังให้บรรยากาศสบายๆ ที่รายล้อมช่วยปลดปล่อยจิตใจให้ปลอดโปร่งแจ่มใส

"อากาศดีใช่ม้า..." เสียงจั๊กกรี้แว่วมาจากด้านหลัง

"อื้มม...ใช่" คินสิตา หยุดเดินและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาเหม่อมองไปตามคลุ้งน้ำสายยาวที่ตัดผ่านกลางเมืองหลวง

"แล้วนี่...แกไม่คิดจะเปิดใจรับใครใหม่ๆ เข้ามามั่งเหรอ..." จั๊กกรี้ถามทีเล่นทีจริง แต่คินสิตาไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มและส่ายหน้าตอบช้าๆ

คินสิตานึกถึงช่วงเวลาเกือบๆ สี่ปีที่ผ่านมานี้ แล้วก็ต้องยอมรับว่ามีหลายคนทีเดียวที่พร้อมจะเดินเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตกับเธอ และแม้บางเวลาเธอจะมีคู่ควงบ้างเป็นครั้งคราวแต่มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่านั้น ปีแรกที่เธอทำปริญญาโทอยู่ที่ฝรั่งเศส

เธอก็ได้รู้จักกับมินตรา สาวไทยที่ไปศึกษาต่ออยู่ที่เมืองเดียวกัน หล่อนอายุเท่ากันกับคินสิตา ทั้งคู่เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน ปรึกษาปัญหาการใช้ชีวิตในต่างแดนกัน หล่อนค่อนข้างเก่งและเข้ากันได้ดีกับคินสิตา ควงกันอยู่ซักระยะ พอมินตราคิดที่จะจริงจังในการคบหามากขึ้น คินสิตากลับบอกหล่อนว่าเธอยังไม่พร้อม มันเป็นภาวะที่น่ากระอักกระอ่วนจนทั้งสองต้องหลบหน้ากัน ในที่สุดก็ต่างคนต่างเดินไปคนละเส้นทาง...แม้ว่ามินตราจะสวยพร้อมและแสนดีเหมาะควรกับการเป็นคนรักของเธอมากเพียงใดหากแต่คินสิตาก็รู้ว่ายังไม่ใช่คนที่จะเปิดหัวใจของตนเองได้

ปีต่อมาเธอก็พบกับฟ้าใส ซึ่งอ่อนวัยกว่าคินสิตาปีสองปี หล่อนเป็นถึงหลานสาวของท่านทูตไทยที่ประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส ตอนพบกันใหม่ๆ ฟ้าใสเพิ่งไปอยู่ที่เมืองนั้น และขอร้องให้คินสิตาพาหล่อนชมเมืองจนความสัมพันธ์เริ่มแน่นแฟ้นขึ้น ฟ้าใสเหมือนเด็กๆ ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร ที่อยากให้คินสิตาคอยปกป้องดูแล แต่ก็อีกนั่นล่ะ พอฟ้าใสเริ่มจริงจังและเรียกร้องต้องการจากคินสิตามากกว่าการเป็นแค่คู่ควงธรรมดา ก็เป็นอันทำให้ทั้งคู่ต้องเลิกร้างต่อกันไป...

แล้วเธอก็ได้เดทกับสาวอีกคนสองคนแต่ก็ลงเอยเช่นเดิมคือคบกันได้เพียงชั่วระยะสั้นๆ ก่อนที่จะจบกันไป นับจากนั้นหญิงสาวก็รู้ตัวว่าเธอปิดกั้นหัวใจตัวเองไว้แน่นหนาเพียงใด เพื่อนของเธอที่โน่นพยายามจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชัก แต่ก็ไม่สำเร็จสักราย จะว่าไปแล้วนั่นเป็นเพราะคินสิตาไม่ได้รู้สึกจริงจังเองมากกว่า อย่างที่มินตราเคยบอกกับเธอไว้ว่า

'ฉันปรารถนาจะมอบสิ่งที่คุณกำลังมองหาแต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ประตูหัวใจของคุณปิดตายสำหรับผู้หญิงทุกคนรวมทั้งฉันด้วย มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า กายคุณอยู่กับฉัน แต่ใจคุณรอคอยใครบางคนอยู่'

ดังนั้นช่วงปีหลังๆ ที่อยู่ต่างแดนเธอจึงไม่ได้คิดจะคบหากับใครเป็นพิเศษอีกเลย ไม่อยากจะมีใครเพราะแค่เหงา หรือไม่อยากจะดึงใครเข้ามาทำให้ชีวิตต้องวุ่นวายโดยที่เธอเองก็ไม่ได้คิดว่าจะจริงจังกับใครได้อีก ถ้าเธอจะมีความรักอีกครั้ง...คราวนี้เธอต้องการผู้หญิงที่ทำให้เธอรักและนับถือได้...แล้วมันจะมีละหรือ...

หากแล้ว...ภาพใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏในความทรงจำ สาวน้อยที่งามสะดุดตา มีเส้นผมสีดำขลับ ดวงตาดำมีแววกระจ่างใสไร้ริ้วรอยตำหนิ...และยังมีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มีไหวพริบเฉลียวฉลาดเกินวัย แต่ก็ดูใสซื่อปราศจากจริตมารยา...ไอยดา...เด็กสาวที่ฝากคำกระซิบบอกความปรารถนาของตนเองไว้กับเธอ...เสียงกระซิบที่ยังคงก้องอยู่ในหูของคินสิตามาจนเดี๋ยวนี้

'ฉันอยากให้คุณกลายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว...มาช่วยปลดปล่อยฉันให้หลุดพ้นจากฝันร้ายที่ฉันมีค่ะ...'

จริงสิ...หลายวันมานี้คินสิตาคิดถึงไอยดาบ่อยๆ ความรู้สึกนั้นกระวนกระวาย เป็นความรู้สึกซึ่งแฝงได้ด้วยความต้องการอันซ่อนเร้นอยู่ในความทรงจำแปลกๆ ต้องการจะได้พบหล่อน ด้วยยังจดจำความเพลิดเพลินเวลาที่มีหล่อนเป็นเพื่อนคุยด้วยได้ดี แต่ก็มีความคิดบางอย่างที่คอยยับยั้งตนเองเอาไว้ ความคิดที่คอยห้ามปรามก็คือ...หล่อนยังเด็ก...เด็กมากเกินไปสำหรับเธอ...และก็อาจจะปฏิเสธความเป็นตัวตนเธอก็เป็นได้

ทว่า...ไอยดาก็กระตุ้นอารมณ์หลายอย่างในตัวคินสิตาขึ้นมา เป็นอารมณ์ที่ห่างหายไปจากความรู้สึกของเธอนานแสนนานมาแล้ว และเธอเองก็อยากจะปล่อยให้ความรู้สึกล้ำลึกที่เกิดขึ้นมาให้คงอยู่ต่อไปเช่นนี้ โดยไม่ต้องไปสืบหาว่ามีสาเหตุมาจากอะไร...หรือจะดำเนินต่อไปอย่างไร

คินสิตายกมือขึ้นกอดอก มองเหม่อไปยังทิศทางที่เป็นที่ตั้งของสะพานสูง ท่ามกลางบรรยากาศและท้องฟ้ายามค่ำที่มืดครึ้มลงไปทุกขณะ


--------------------------

มีต่อในเม้นที่ 1 นะคะ




ออฟไลน์ สี่เมษา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
Re: ตอนที่ 2. A Match Made by Mom
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06 มกราคม 2014 เวลา 01:23:53 »
ตอนที่ 2.  A Match Made by Mom (ต่อ)




...เรือนไม้หลังเล็กสีขาวนวล...ริมหาด หัวหิน

มืด...มืดมากจนมองแทบไม่เห็นอะไร ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั้งตัวจนสัมผัสได้ ไอยดากลัวจับใจ รู้สึกมีตัวเองเพียงคนเดียว...คุณพระคุณเจ้า มาช่วยหล่อนด้วยเถิด...แต่ที่รู้สึกได้ก็คือความหนาวเย็นยิ่งขึ้น...และมืดมนยิ่งกว่า...หญิงสาวเริ่มวิ่ง...หล่อนร้องออกมา แต่ก็เหมือนไม่มีเสียงใดหลุดรอดจากลำคอ พยายามจะวิ่งให้เร็วขึ้น...เร็วขึ้น...และแล้วหล่อนก็ล้มลง อากาศหลั่งไหลผ่านร่างไป เกิดเป็นแรงฉุดดำดิ่งลงไปเบื้องล่าง จนหายใจไม่ออก...หายใจไม่ได้อย่างฉับพลัน! มันก็ปรากฏตัว ร่างดำทะมึนใหญ่โตมโหฬาร มันเยื้องย่างเข้ามา...ใกล้เข้ามา...เหมือนกำลังจะขย้ำหล่อน และหล่อนก็ไม่มีทางหยุดมันได้ หายใจก็ไม่ออก จะวิ่งหนีก็ไปต่อไม่ได้...ทำได้เพียงตะลึงตัวแข็งอยู่กับที่...และก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร่วงหล่นลงไป...ลึกลงไป...ทุกอย่างดำมืด...และมีเพียงหล่อนเพียงคนเดียว...

เสียงกรีดร้องเริ่มดังขึ้นจากส่วนลึกภายในร่างกายจนพุ่งขึ้นมาถึงริมฝีปากแล้วแผดเสียงฝ่าผ่านความเงียบภายในห้อง...เป็นเสียงกรีดร้องของคนตกใจสุดขีดชนิดไม่มีทางหนีรอด...เสียงนั้นดังยาวนานเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด!

ไอยดาลืมตาโพลง เนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ต้องพยายามหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด หล่อนสูดหายใจลึกๆ เพื่อขจัดภาพน่าขนลุกขนพองออกไป...หลายอึดใจผ่านไป ความน่าสะพรึงกลัวก็ค่อยๆ บรรเทาเบาบางลง จนเหลือเพียงความหวาดหวั่นติดตรึงอยู่ในอก 

ไอยดาถอนหายใจหนักๆ ค่อยๆ ผ่อนตัวเองลงบนหมอนและหลับตาลง จากนั้นก็ปลอบตัวเองแบบเดิมอย่างที่เคยทำทุกครั้งที่ฝันร้าย นับตั้งแต่วันเกิดอายุครบสิบแปดปีของหล่อน ด้วยการนึกถึงภาพของผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น...คินสิตา...ผู้หญิงท่าทางแข็งจนออกห้าว...แต่ทว่าแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน แม้ทั้งคู่จะพบกันแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็เหมือนหล่อนรู้จักกับอีกคนมาตลอดชีวิต

หล่อนสัมผัสได้ว่าคินสิตาเป็นคนเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ มีความนุ่มนวลอยู่ภายในแต่ก็ไม่ได้แสดงออก เหมือนเจ้าตัวอยากซ่อนบุคลิกเหล่านี้ไว้ภายใต้หน้าฉากของการปกป้องตัวเอง นับจากวันนั้นมาก็หนึ่งอาทิตย์เข้าแล้ว แต่ความทรงจำที่มีต่อการพบกันเพียงครั้งเดียวไม่เคยลางเลือน...มีแต่จะแจ่มชัดและทรงพลังขึ้น

ไอยดาจำทุกรายละเอียดของรูปร่าง ใบหน้าและสิ่งที่คินสิตาพูดได้ รวมถึงสิ่งที่ไม่ได้ปริปากออกมาด้วย นั่นคือบางสิ่งในแววตาซึ่งหยิบยื่นไมตรีมาให้ ดวงตาสีอ่อนคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง...กับบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่านั้น...ระหว่างคนทั้งคู่เหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดต่อกัน...หล่อนเข้าใจดีว่าคินสิตาเป็นคนกรุงเทพฯ ท่าทางคงจะเคยชินแต่กับโลกที่หรูหราไร้แก่นสาร ตื่นเต้น เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ซึ่งใช้ชีวิตอย่างอิสระตามใจตัวเอง เป็นโลกที่หล่อนไม่เข้าใจและไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย

ฝันถึงคินสิตาค่อยๆ สลายไป เปิดทางให้ความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ เพราะทั้งหมดเป็นแค่ฝันเพ้อเจ้อไร้สาระ ฝ่ายนั้นอาจจะลืมและไม่เคยนึกถึงหล่อนเลยก็ได้ และหล่อนก็อาจไม่มีโอกาสได้พบเจอกับคินสิตาอีกเลย ไอยดาตลบผ้าห่มไปข้างตัว แล้วลุกจากเตียงเอื้อมหยิบเสื้อคลุมตัวเดิมขึ้นมาสวม เพราะไม่อาจจะอยู่ตามลำพังในห้องนี้ได้อีกต่อไปแล้ว...ชายหาดเป็นที่เดียวที่หล่อนนึกถึง

ทว่า...พอก้าวลงบันไดมา แสงไฟที่ลอดผ่านมาจากประตูห้องครัวทำให้สาวน้อยต้องแปลกใจ...ป่านนี้แล้วยายของหล่อนยังไม่เข้านอนอีกหรือ? เมื่อตอนเย็นก็ยังบอกกับหล่อนด้วยว่าคืนนี้ท่านไม่ต้องไปค้างเป็นเพื่อนคุณยายรสสุคนธ์บนตึกใหญ่ แล้วถ้าวันไหนยายเอมจิตของหล่อนนอนที่เรือนเล็กก็มักจะเข้านอนแต่หัวค่ำเสมอๆ หญิงสาวก้าวเท้าตรงไปยังห้องครัวน้อยๆ นั้นอย่างใจคอไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

"ยาย...!!!" ทันทีที่ผลักประตูเข้ามา ภาพที่หล่อนเห็นทำเอาเข่าแทบทรุด ร่างของหญิงชรานอนฟุบหน้าคว่ำอยู่กับพื้นห้องครัวเย็นเยียบ แน่นิ่ง ไม่ไหวติง

"ยายจ๋า...ยายเป็นอะไร...ได้ยินไอย์มั้ยคะ..." ไอยดาคุกเข่า เข้าประครองร่างที่นอนไม่รู้สึกตัวของผู้เป็นยายไว้กับอก หล่อนจับชีพจร ตรวจดูลมหายใจแล้วค่อยใจชื้นขึ้นมาได้ ยายของหล่อนคงแค่เป็นลมไปเท่านั้น

ไอยดาผละไปหวังว่าจะหยิบยาดมกับขวดยาหอมในห้องนอนของยาย...แต่ก็ต้องผิดหวัง มีเพียงขวดยาหอมว่างเปล่าวางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ หัวเตียงเท่านั้น นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย...ทำอย่างไรดี...คนที่ตึกขาวคงยังไม่นอนหรอกนะ...หญิงสาวคิดได้ดังนั้นจึงฉวยคว้าหมอนติดมือมาจากเตียงของยายหล่อนแล้ววิ่งกลับเข้าไปยังห้องครัวอีกรอบ ช้อนศรีษะหญิงชราแล้วค่อยๆ ใช้หมอนใบนั้นหนุนรองศีรษะไว้

"ยายอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะจ๊ะ...ไอย์จะไปขอยาและบอกให้คนที่ตึกใหญ่มาช่วยนะคะ..." หล่อนรำพึงบอกกับผู้เป็นยายก่อนที่จะผลุนผันออกไป


--------------------------


ไอยดากระสับกระส่ายด้วยความกังวล หล่อนเฝ้าแต่เช็ดเนื้อเช็ดตัวและบีบนวดให้ยายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออยู่อย่างนั้น ตั้งแต่วิ่งไปถึงตึกขาว ซึ่งโชคดีเหลือเกินที่คุณยายรสสุคนธ์เจ้าของบ้านผู้มีเมตตายังไม่เข้านอนเพราะติดดูละครทีวี หญิงสูงวัยกระวีกระวาดนำคนในบ้านรีบมาดูยายของหล่อนและไม่ลืมหยิบยาหอมติดมือมาด้วย อีกทั้งยังโทรตามหมอมาดูอาการให้อีกต่างหาก

"พอก่อนเถอะไอย์...ยายดีขึ้นแล้ว" เอมจิตบอกกับหลานสาวซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการปรนนิบัติพัดวีให้กับตนนับแต่ฟื้นคืนสติมา

"หลานมันเป็นห่วงมากน่ะ...พี่เอม" รสสุคนธ์กล่าวขึ้น ถึงแม้ไอยดาจะยืนยันว่าหล่อนอยู่เฝ้ายายคนเดียวได้ แต่ฝ่ายสูงวัยกว่าก็ยังยืนกรานว่าจะอยู่ต่อ

"เลยต้องรบกวนคุณรสกลางดึกกลางดื่นอย่างนี้...อิฉันเกรงใจจริงๆ ค่ะ" หญิงชราพูดแผ่วเบา

"ย้ายขึ้นไปอยู่บนตึกด้วยกันเสียเลยเถอะนะ จะได้ช่วยดูแลกันได้ดีกว่านี้...ย้ายไปกันทั้งสองคนยายหลานนั่นล่ะ" รสสุคนธ์ยังกล่าวต่อ น้ำเสียงคาดคั้นแกมบังคับ

 "ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณรส...นี่ยัยไอย์ก็จบมอหกแล้ว...อิฉันว่าจะให้ขึ้นไปช่วยดูงานบนตึกขาวด้วยอีกคนน่ะค่ะ" ประโยคหลังทำเอาคนฟังต้องขมวดคิ้วมุ่น เรื่องไม่ยอมย้ายไปอยู่ด้วยกันนั้นก็พอจะรู้ว่าเอมจิตเกรงใจ ทั้งๆ ที่รสสุคนธ์พยายามโน้มน้าวมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

"ถึงจะจบมอหกแล้วแต่ยังไงยัยไอย์ก็ต้องเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย...ฉันไม่ได้ต้องการคนทำงานเพิ่มหรอกนะ ก็มีอยู่ตั้งหลายคน...ที่อยากให้ไปอยู่ใกล้เพราะเป็นห่วงและก็อยากมีเพื่อนคุย เราคนแก่เหมือนกันก็พอจะคุยกันได้รู้เรื่อง...ส่วนเรื่องเกรงจงเกรงใจเนี่ยก็เลิกพูดเสียที...ฉันยินดีและฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย...พี่ก็ทำงานให้ฉันมานานจนเสมือนเป็นญาติสนิทกันเสียด้วยซ้ำนะพี่เอม...แล้วยัยไอย์นี่ก็เหมือนลูกหลานของฉันอีกคนหนึ่ง"

รสสุคนธ์เป็นคนจิตใจดี มีเมตตามาก โดยเฉพาะกับเอมจิตและไอยดาหลานสาว เดิมทีรสสุคนธ์ก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านใหญ่ริมทะเลนี้เป็นการถาวร แค่มาพักบ้างชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อต้องการมาพักผ่อน และเพิ่งเข้ามาอยู่ประจำก็ช่วงสิบปีให้หลังมานี้เท่านั้น ส่วนเอมจิตเป็นคนพื้นเพที่นี่ และรับหน้าที่คอยดูแลทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ให้กับรสสุคนธ์มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่สามีของรสสุคนธ์ได้รับบ้านริมทะเลหลังนี้เป็นมรดก และก็เพียงเท่านั้นที่ไอยดารู้ เพราะหล่อนเองก็มาอยู่กับยายหลังจากพ่อและแม่เสียชีวิตแล้ว ตอนนั้นไอยดาอายุได้เพียงหกขวบ

"แล้วคิดไว้หรือยังอยากว่าเรียนอะไรต่อ...แล้วเรื่องที่เรียนอีก อยากเรียนที่ไหนบอกยายได้เลยนะลูก" คนสูงวัยหันมาถามไอยดาซึ่งนั่งเงียบมาตลอดเข้าบ้าง หญิงสาวเหลือบแลไปทางเอมจิตผู้เป็นยายด้วยไม่ค่อยแน่ใจกับคำตอบที่จะตอบออกไปนัก

"ตอนนี้ผลคะแนนของไอย์ออกมาแล้ว...ก็พอที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย.....ในกรุงเทพฯ ได้ค่ะ...แต่ไอย์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เรียนต่อ..." ไอยดาตัดสินใจพูดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ก็ไม่อาจซ่อนแววเสียดายในน้ำเสียงได้

"ได้ยังไงกัน...ถ้าเป็นเพราะยังห่วงพี่เอมจิตล่ะก็...ยายก็ยังอยู่ที่นี่ทั้งคนนะ...กรุงเทพฯ ก็อยู่ใกล้เท่านี้เอง..." รสสุคนธ์กล่าวต่อไปน้ำเสียงจริงจัง  "หรือว่าถ้ากังวลเรื่องค่าเล่าเรียน...ก็ยิ่งไม่ต้องเสียเวลาคิด...ยายเคยบอกแล้วไงว่ายายจะรับผิดชอบเองทั้งหมดเอง...เรียนไปเลยลูก...อยากเรียนแค่ไหนก็ได้...ยายรู้ว่าไอย์เป็นเด็กรักเรียน แล้วก็เรียนดีมากมาตลอด...แล้วยายไม่เชื่อหรอกนะว่าเราไม่อยากจะเรียนต่อจริงๆ น่ะ" ผู้สูงวัยกว่าพูดราวกับว่าจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกของเด็กสาวได้กระนั้น

"หลานยังเด็กนะคะคุณรส...ก็ยังห่วงอยู่อีกอย่างว่าจะไปอยู่ตัวคนเดียวได้ยังไง..." หญิงชราผู้เป็นยายบอกถึงเหตุผลจริงๆ ข้อเดียวที่ท่านรู้สึกกังวล

"อืมม...ข้อนี้...ฉันคิดว่าพอจะจัดการได้ไม่ยาก..." รสสุคนธ์รับรองอย่างเป็นมั่นเหมาะ  "แล้วนี่จะเริ่มเรียนเมื่อไหร่"

ไอยดาบอกวันเวลาที่กำหนดไว้ตามที่ระบุในหนังสือที่ได้รับจากทางมหาวิทยาลัย แจ้งให้หล่อนไปรายงานตัวเข้าเป็นนักศึกษาน้องใหม่

"อืมม...ดีล่ะ...ยังไงเสียยัยไอย์ก็ต้องไปเรียน...จะมาหยุดอนาคตไว้เพราะปัญหาเล็กน้อยเท่านี้น่ะไม่ได้หรอกนะ" รสสุคนธ์สรุปให้เสร็จสรรพ ในสีหน้าฉายแววครุ่นคิด


--------------------------


...วันใหม่...


...ณ ระเบียงกว้าง...สูงเหนือพื้นดินขึ้นมายี่สิบห้าชั้น...

คินสิตาเท้าสองแขนของตัวเองไว้กับราวระเบียงใหญ่ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ในมือกุมถ้วยกาแฟอุ่นๆ ไว้ กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟยังโชยมาเข้าจมูกเป็นระยะ วันนี้เป็นวันหยุด หญิงสาวจึงตื่นค่อนข้างสายหลังจากจัดการกับกิจวัตรที่ต้องทำเมื่อตื่นนอนแล้ว เธอก็ออกมาหากาแฟดื่ม และลงเอยด้วยการจิบกาแฟชมวิวแม่น้ำอย่างที่เธอกำลังทำอยู่นี้...

เท่าที่สังเกตได้จากสายตาผ่านระดับความสูง ณ จุดที่เธออยู่...เบื้องล่างนั้นเธอเห็น เรือข้ามฟากกำลังเข้าเทียบท่าจอดรับผู้คนที่จำเป็นต้องโดยสารจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ...มีเรือด่วนและเรือหางยาววิ่งอยู่เป็นระยะใจกลางลำน้ำกว้างใหญ่นั้น...มองเลยไปทางขวาตามเส้นทางลดเสี้ยวของแม่น้ำเธอก็เห็นสะพานแขวนอันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เด่นสะดุดตา...พอหันมาดูในทิศตรงกันข้ามสีทองอร่ามของสะพานใหญ่อีกแห่งหนึ่งก็ดูสวยงามสะดุดตาไม่แพ้กันภายใต้แสงตกกระทบจากดวงอาทิตย์ในตอนสายของวันหยุดเช่นนี้...ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการได้มองโน่นมองนี่อยู่นั่นเองพลันเสียงโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้นทำลายช่วงเวลาสบายๆ ที่หญิงสาวกำลังซึมซับรับได้นั้นอย่างสิ้นเชิง...

"คินสิตาพูดค่ะ..." คินสิตาเดินกลับเข้ามาในห้องพัก วางถ้วยกาแฟในมือลงบนโต๊ะตัวย่อมหน้าโซฟาก่อนที่จะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาและกรอกเสียงตอบออกไป

"คิน...แม่เองลูก..." เสียงมารดาของเธอว่ามาตามสาย

"ค่ะแม่...แม่มีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ โทรมาแต่เช้า" คินสิตารู้สึกถึงสัญญาณบ่งบอกว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่เป็นสาเหตุของการโทรมาของมารดา

"แหม...ลูกคนนี้นี่ ถามอะไรอย่างนั้นนะ...ฟังเสียงดูก็ตื่นแล้วนี่นา...นี่แม่ก็คิดอยู่นะว่ากลัวจะกลายเป็นโทรมาปลุกเลยรอจนสายป่านนี้ถึงได้โทรนี่น่ะ" เสียงปลายสายฟังเหมือนแกล้งกระเง้ากระงอดไปอย่างนั้นเสียมากกว่าจะจริงจังคินสิตาหัวเราะตอบไปเบาๆ แล้วจึงตอบ "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะแม่...ก็เห็นว่าเมื่อวานเราก็เพิ่งจะคุยกัน...หนูแค่คิดเป็นห่วงนึกว่าแม่จะมีธุระอะไรด่วนหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง"

"เออ...อันที่จริงก็มีนะลูก..." นั่นไงผิดไปจากที่คิดเสียเมื่อไหร่

 "แม่มีเรื่องจะรบกวนหน่อยน่ะลูก...ไม่มีอะไรมากหรอก...แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ " มารดาเธอเกริ่นนำเข้าเรื่องในทันที

"คะ...แม่จะให้หนูทำอะไร" คินสิตาไม่ค่อยวางใจนักกับคำว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของมารดา

รสสุคนธ์รีบถือโอกาสนั้นบอกความต้องการของตัวเองให้บุตรสาวรับทราบอย่างไม่รีรอ แต่คนฟังนี่สิถึงกับได้อึ้งกันไปเลยทีเดียว มารดาขอร้องให้เธอรับดูแลและเป็นผู้ปกครองให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เท่านั้นไม่พอยังบอกว่าเด็กคนนั้นจะต้องมาพักอยู่กับเธอด้วยนี่สิ เล่นเอาคินสิตาพูดไม่ออกเอาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น นี่มารดาของเธอคิดยังไงกันนะ คินสิตาไม่เข้าใจเอาเสียเลย เธอชอบช่วยเหลือคนนั่นเป็นเรื่องปกติตามนิสัยของเธอแน่นอนอยู่แล้ว แต่นั่นก็ต้องมาจากความสมัครใจและไม่เป็นการล้ำเส้นเธอมากเกินไป

"ทำไมต้องมาอยู่กับหนูที่นี่ด้วยล่ะคะแม่...แม่ก็รู้ว่าหนูอยู่กับคนอื่นยาก"  คินสิตาถามด้วยความยุ่งยากใจ ครั้นจะปฏิเสธก็ลำบากอีกเช่นกันเพราะอีกความรู้สึกหนึ่งนั้นบอกเธอว่าต้องช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าอยู่เสมอๆ ดังนั้นเธอจึงมีความรู้สึกที่สันสนปนเปกัน ทั้งต่อต้านและยอมทำตามคำขอร้องของผู้เป็นแม่ เธอชอบที่จะอยู่คนเดียว และไม่คุ้นชินกับการมีใครเข้ามายุ่มย่ามในที่อันเป็นส่วนตัว แม้แต่แม่บ้านเธอก็ยังไม่ยอมให้เข้ามาวุ่นวาย เธอจึงทำงานบ้านเองเสียทั้งหมดเพื่อแลกกับความเป็นส่วนตัว

"เด็กคนนี้เป็นเด็กดีมาก...แม่รับรองว่าคินจะไม่ต้องเดือดร้อนเลยสักนิดเดียว...อีกอย่างคินจะได้มีใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนบ้าง...รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะอยู่คนเดียวมากไปแล้ว...อืมม...อันที่จริงแม่คิดว่าเด็กคนนี้อาจทำประโยชน์ให้กับคินได้ไม่น้อยด้วยซ้ำไปนะลูก" เมื่อมารดาของเธอออกตัวรับรองเสียขนาดนี้ จึงเป็นคินสิตาที่ต้องคิดหนัก

"หนูก็อยู่คนเดียวมาจนชินแล้วนะแม่" มิวายที่คินสิตาจะต่อรอง

"เถอะน่า...อย่างน้อยน้องเค้าก็จะได้คอยช่วยปลุกเราในตอนเช้าๆ คินน่ะขี้เซาจะตายไป ทำงานแล้วต้องมีความรับผิดชอบจะมามัวตื่นสายไม่ได้หรอกนะ...น้องเป็นเด็กขยันขันแข็งคงช่วยคินดูแลบ้านทำอาหาร แล้วก็อะไรๆ พวกนี้ได้อีกเยอะเลย" รสสุคนธ์ยังยกเหตุผลอีกหลายข้อมารับรองต่อ

"จะยังไงได้ล่ะคะ...หนูคงต้องตอบตกลงอย่างเดียวเท่านั้นแล้วมั้งตอนนี้" คินสิตาว่าแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ลองมารดาของเธอยืนกรานหนักแน่นแบบนี้แล้ว เธอคงไม่อาจจะปฏิเสธได้ แต่แล้วเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ในนาทีสุดท้ายนั่น

"เอ้อ...แม่คะ...ไม่ลองถามพี่คิมดูบ้างเหรอ...บางที...."

"น้องเป็นเด็กผู้หญิงกำลังจะเป็นสาวแล้วด้วย...จะให้ไปอยู่กับตาคิมได้ยังไงกัน มันดูไม่ดี" เสียงปลายสายชิงพูดขึ้นก่อนที่คินสิตาจะทันได้พูดจนจบประโยคเสียอีก 

"เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะลูก....อ้อ...อีกสองอาทิตย์นะแม่จะเป็นคนพาน้องไปส่งเองถึงกรุงเทพฯ เลย...แล้วแม่จะโทรมาบอกอีกที"  มารดาของเธอวางสายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ส่วนคินสิตานั้นเล่าก็ยังถือโทรศัพท์ค้างอยู่ท่าเดิม ‘โอ้..แม่เรา’

สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้คงมีเพียงทำใจยอมรับสถานการณ์และเตรียมตัวทำหน้าที่ผู้ปกครองเด็ก...จริงสิ...เธอยังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร ข้องเกี่ยวอย่างไรกับมารดาของเธอ...แล้วทำไมเรื่องมันต้องมาจบลงที่เธอแบบนี้ด้วย...คินสิตาโมโหตัวเองที่ไม่ได้ไถ่ถามให้ได้ความ...

ความคิดที่ว่าวันนี้เธอจะนอนอยู่บ้าน อาจจะอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม พร้อมกับฟังเพลงเพราะๆ หรือ อาจจะเปิดซีรี่ส์เรื่องยาวที่ได้ติดมือกลับมาจากเมืองนอกดูให้สบายอารมณ์ เป็นอันต้องเลิกคิดไปเลย เพราะตอนนี้ในหัวเธอมีแต่ความรู้สึกลางเลือนเหมือนจะต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชีวิตตน คอยรบกวนจิตใจของคินสิตาอยู่ตลอดเวลา สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หมดสิ้น จนสร้างความกระวนกระวายให้เธอตลอดทั้งวัน

หญิงสาวหารู้ไม่ว่านี่คือชะตาฟ้าลิขิตที่ตั้งใจให้มันต้องเป็นไปเช่นนั้น มิใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด....
.
.
.

...เย็นย่ำ พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนลับขอบฟ้า ลำแสงสุดท้ายยามอาทิตย์อัสดงส่งประกายสีส้มระบายอยู่ทั่วท้องฟ้าด้านตะวันตก เมืองใหญ่ตื่นตัวพร้อมรับกับราตรีที่คลืบคลานเข้ามาใกล้ในไม่ช้าไม่นานนี้...




--------------------------

จบตอนที่ 2



 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.