web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 389
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 364
Total: 364

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ สิบห้า I’m Not That Girl  (อ่าน 953 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ สิบห้า I’m Not That Girl
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:16:32 »
บทที่ สิบห้า I’m Not That Girl

“สำเร็จไหมวะเจฟ”

เจฟมองรูประตูและสอดท่อนเหล็กไขว้กันเพื่อคลายสลักอยู่พักใหญ่จนเหงื่อไหลไคลย้อย พลางร้องตอบเพื่อนด้านนอกซึ่งคอยดูต้นทางให้ “ไม่เสร็จโว้ย”

“โอ๊ย แล้วอีกนานไหม หมอจะเลิกประชุมแล้ว” จิงจ้อชะเง้อหน้ามองเพื่อนจากนอกห้อง แล้วกลับมาจ้องทางเดินใหม่ เอนหลังพิงป้ายชื่อแพทย์หญิงรสสุคนธ์ซึ่งแปะติดหน้าห้องด้วยความเหนื่อยจะลุ้น

ห้องทำงานของรสสุคนธ์มีประตูสองชั้น ประตูชั้นแรกกว่าจะใช้เวลาเปิดได้ เจฟต้องงัดท่อนเหล็กหลายขนาดเขี่ยขยับสลักจนกระทั่งคลายร่วมชั่วโมง เจฟว่ารูกุญแจบานนี้พิเศษ มันกลับด้านไปจากรูกุญแจปกติ เหมือนกับว่าไม่ได้ผลิตในประเทศ เขาจึงต้องเปลี่ยนทิศทางการไข และแน่นอนมันทำเพื่อสร้างระบบความปลอดภัยจากกุญแจผีแบบปกติ แสดงว่าภายในห้องต้องมีอะไรสำคัญและเป็นความลับซ่อนอยู่แน่

ดังนั้นเมื่อไขเข้าไปได้ ทั้งคู่จึงดีใจเป็นอย่างมาก แต่แล้ว... พวกเราก็ต้องพบกับด่านชั้นสอง อันเป็นห้องว่างเปล่า แค่ไม่กี่ตารางฟุตเท่านั้น มีแค่โซฟาขนาดสองคนนั่งวางชิดผนัง เบื้องหน้ามีประตูอีกบานหนึ่งสีเดียวกัน และมีกรอบหน้าต่างกระจกถัดไปจากประตูหนึ่งบาน เจฟประเมินว่าห้องนี้คือห้องสำหรับให้แขกนั่งคอยเสียมากกว่า ห้องจริงๆ น่าจะอยู่หลังประตูบ้านนี้ มีรูกุญแจสองรู แสดงว่าเป็นดับเบิลล็อก หน้าต่างปิดแน่นแนบสนิทกับวงกบเป็นลักษณะเดียวกับหน้าต่างทั่วไปที่ล็อกกลอนจากด้านใน และหน้าต่างรุ่นนี้ล็อกสองชั้น บนกับล่างเสียด้วย ต่อให้มีกุญแจผีดีอย่างไรก็เอาชนะกลอนไม่ได้ งานของเจฟจึงซ้ำเดิม คือต้องถอดสลักกุญแจสองรูให้ได้

เจฟปลดล็อกด้วยวิธีเดิมแม้ลางสังหรณ์จะบอกว่าด่านนี้ไม่ง่ายนัก แล้วก็เป็นดังคาด เขาไม่สามารถปลดล็อกได้แม้จะพยายามสักกี่วิธี แต่เจฟก็ยังเป็นเจฟ ถ้าไม่ถึงนาทีสุดท้าย เขาไม่เคยละความพยายาม

จิงจ้อตัดสินใจโทรออกหาวรินธร ซึ่งคาดการณ์ความเป็นไปได้ไว้หลายแบบ ถ้าหากไม่สามารถไขกุญแจห้องได้ ควรทำอย่างไรต่อ

“โรงพยาบาลไม่มีน้ำชาเลย” วรินธรรับสายเสียงเรียบ จิงจ้อกระซิบตอบเสียงเครียด

“เออ ขาดแคลนแล้ว ฉันก็อดกิน เจฟปลดล็อกไม่ได้ ประตูห้องนี้กันนักล้วงไว้หลายชั้น ฉันว่ากล่องนั่นต้องอยู่ในห้องแน่ๆ”

“อืม ก็เป็นไปได้เท่ากับเป็นไปไม่ได้ ฉันมาสำรวจรถหมอเหมือนกัน ไม่เจอกล่องที่เจฟว่า แต่คิดว่าถ้าหมอจะเก็บไว้ในรถจริง คงเก็บไว้ในลิ้นชักใต้คอนโซลรถหรือไม่ก็กระโปรงรถด้านหลังมากกว่า”

“ลอง ‘สำรวจ’ หรือยังล่ะ”

วรินธรหัวเราะหึ จิงจ้อไม่ชอบเสียงหัวเราะนี้ เพราะคำตอบมักจะไม่น่าฟัง “เป็นรถรุ่นใหม่ ใช้กุญแจอัจฉริยะ ถ้าฉันคิดจะงัดแงะแม้แต่นิดเดียว มันร้องแน่”

จิงจ้อสบถหลายคำ “นี่หมอก็จะเลิกประชุมแล้ว เอาไงดีวะพาย”

“ฉันก็คิดอยู่”

“ก็คิดเร็วๆ หน่อยสิว้า” จิงจ้อชักร้อนรนเมื่อเห็นชุดขาวของบรรดาหมอเริ่มทยอยเดินข้ามทางเชื่อมระหว่างอาคารห้องประชุมตรงมาตึกนี้แล้ว “หมอเลิกประชุมแล้วไอ้เจฟ แกได้หรือยังวะ หรือจะตัดกระจกตรงหน้าต่างห้องเลยเป็นไงพาย”

วรินธรขำนิดหนึ่งอย่างกวนอารมณ์เขาที่สุด ก็คนมันใจร้อน จะให้ทนใจเย็นอย่างไอ้พายเห็นจะไม่ไหว

“ทำแบบนั้นไก่ตื่นหมด เอางี้จิงจ้อ คิดว่าหมอคงเก็บกุญแจห้องไว้กับตัว หมอใส่กระโปรงหรือกางเกงล่ะวันนี้”

จิงจ้อนึกย้อนไปเมื่อสองชั่วโมงก่อนก็ตอบ “กระโปรง”

“งั้นคงใส่ไว้ตรงกระเป๋าเสื้อกราวน์ทางขวา เพราะหมอถนัดขวา แกมีโอกาสล้วงครั้งเดียว ทำยังไงก็ได้ให้เนียนที่สุด ขโมยได้แล้วบอก ฉันจะถ่วงเวลาให้หมอออกมาทางนี้เอง”

จิงจ้อค่อยใจชื้นขึ้น วางสายเพื่อนแล้วส่งเสียงบอกเจฟ “แกทำต่อไปอย่าหยุดไอ้เจฟ ฉันกับพายจะถ่วงไม่ให้หมอเข้าห้องได้ง่ายๆ” เจฟพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจง่าย พร้อมกันนั้นจิงจ้อก็ปิดประตูปังให้อีกด้วย ล้วงเสื้อคลุมของพนักงานโรงพยาบาลมาสวมทับ ลูบใบหน้าตนเองที่แปลงโฉมต่างออกไปจากทุกใบหน้า พลางออกปฏิบัติการนักล้วงทันที

.............................................................................................

วรินธรสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยไฟไหม้จากตึกฝ่ายบริหาร ไอ้จิงจ้อ บอกให้ทำให้เนียน อึกทึกครึกโครมทุกที ผู้คนในโรงพยาบาลมองอย่างตื่นเต้นตกใจและสนใจ มองบุคลากรในชุดขาววิ่งออกจากตึกกันโกลาหล ไม่แน่ใจว่าระบบน้ำกันไฟไหม้ภายในตึกทำงานรึเปล่า มือถือในกระเป๋าเสื้อคนไข้ของเธอสั่นไหว เมื่อเปิดดูข้อความบอกถึงความสำเร็จก็ถอนหายใจ เบื้องหน้าของเธอคือห้องพักแพทย์ของหมออินทนิล เดิมทีเธอจะใช้อินทนิลช่วยดึงความสนใจของรสสุคนธ์ให้ออกมาที่นี่ แต่ไอ้จิงจ้อดันก่อเรื่องใหญ่กว่า แล้วเธอจะทำไงต่อล่ะ

แพทย์หญิงอินทนิลยื่นหน้าออกมาจากห้องพักแพทย์ ในมือยังมีกล่องโฟมกับตะเกียบถืออยู่บอกให้รู้ว่ากำลังจัดการอาหารเย็นตอนห้าโมงครึ่ง วันนี้คงใช้เวลาตรวจผู้ป่วยในไม่นานเท่าไหร่ จึงเสร็จเร็วก่อนหกโมง เธอแกล้งเลียบผนังไปข้างประตูพร้อมยื่นหน้าเข้าไปจ๊ะเอ๋ใกล้ๆ อินทนิลตกใจอุ๊ย

“พราวพิลาศนี่เอง หมอตกใจหมด”

เธอยิ้มมองหมี่หยกผัดกับเป็ดย่างในมือก็ชม “อาหารเย็นน่ากินนะ จากร้านไหนเหรอคะ”

“หมอไม่ทราบหรอก เพื่อนหมอซื้อให้อีกที นี่พราวพิลาศ อย่ามัวมาสนใจกับข้าวเลย ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นเหรอ”

เธอร้องอ๋อแกล้งมองตามทิศมือหมอชี้ “เขาว่ากันว่าสัญญาณเตือนไฟไหม้มันดังน่ะ แต่ก็ยังไม่เห็นเปลวไฟตรงไหนสักที่”

“หืม ไฟไหม้เหรอ งั้นหมอขอตัวแป๊บ” อินทนิลไม่สนใจเธออีก คว้ามือถือในกระเป๋าเสื้อโทรออกทันที

“พี่หมอ!”

พราวพิลาศเอนตัวพิงวงกบมองแผ่นหลังของหมอนิ่ง

“โหย ดีจังไม่มีใครเป็นอะไร แล้วเกิดเหตุตรงห้องไหนล่ะคะ”

ปลายสายอธิบายอยู่ยาว “เป็นไปได้เหรอระบบขัดข้อง”

คนฟังยิ้มหึ ขัดข้องโดยจงใจล่ะสิ “ให้หนึ่งขึ้นไปหาไหมคะ”

ไม่ดีมั้งคะหนึ่งขา... วรินธรชักคิดหนัก ควรรั้งตัวหมอรสมาอยู่ทางนี้สิดีกว่า

“งั้นพี่หมอรสมาหาหนึ่งก็ได้ค่ะ นี่เพื่อนซื้อหมี่เป็ดมาหลายกล่องเชียว”

เริ่ดไปเลยค่ะพี่หมอรสขา... วรินธรยิ้มกว้าง

สองคนนั้นคุยกระหนุงกระหนิงไปหลายประโยคจนกระทั่งวางสายด้วยคำว่าแล้วเจอกัน พลางหันกลับมาพบเธอ อินทนิลก็ตาโต “นี่ยังอยู่ตรงนี้อีกเหรอพราวพิลาศ”

พราวพิลาศหันซ้ายหันขวา “อ้าว แล้วฉันยืนตรงนี้ไม่ได้หรือคะ”

“ก็ไม่ใช่ไม่ได้.. แล้วนี่ ไม่ใช่ว่าได้ยินที่ฉันคุย โอ๊ย... มาแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์ทำไม”

“ฉันก็ยืนอยู่ก่อนคุณหมอจะมีสายนี่นา ฉันไม่ได้แอบฟังสักหน่อย หมอจะคุยกับแฟนก็คุยไปสิ”

อินทนิลชูมือถือชี้หน้าเธอซึ่งกลั้นขำ และหล่อนคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนหน้าแดงหน้าซีดสลับกัน จึงออกปากไล่ซะอย่างงั้น

“นี่มันก็เย็นแล้วนะ ทำไมไม่กลับห้องไปพักผ่อนละคะ”

เธอหัวเราะออกมา ส่งสายตาบอกว่ารู้ทันให้อีกฝ่ายได้ร้อนๆ หนาวๆ เล่น ก่อนจะตอบคำถาม “ฉันต้องออกจากที่นี่พรุ่งนี้แล้วนี่นา ก็เลยเดินเล่นซะหน่อยน่ะ อีกอย่างจะเอาเค้กมาให้ด้วย”

เธอยื่นกล่องเค้กโปร่งใสให้ มองไปเห็นชิ้นเค้กชวนกินอยู่ภายใน อินทนิลตาโต กึ่งเก้อกึ่งหวั่นใจ แต่ก็รับจากเธอมาพร้อมกับพึมพำขอบคุณ “จริงๆ หมอก็รักษาคุณไปตามหน้าที่นะ”

“ฉันก็แค่อยากขอบคุณค่ะ”

“แล้วนี่จะไม่กลับไปพักผ่อนจริงๆ เหรอ แล้วข้าวเย็นทานหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ หมี่เป็ดเก็บไว้ให้พี่หมอรสคนเดียวเถอะ”

อินทนิลถลึงตาใส่ เธอหัวเราะ “หมอก็ไล่ฉันจริง อย่างกับกลัวพี่หมอรสมาเห็นฉันอย่างงั้นอ่ะ”

อินทนิลเพิ่งรู้ตัว เออใช่ ยอมรับว่าใช่ เพราะคนไข้ตรงหน้าเธอนั้นไม่ธรรมดา แม้หล่อนจะไม่เคยทำอะไรแปลกประหลาดให้รู้สึกเชิงชู้สาว แต่เธอกลับรู้สึกว่าสายตาของหล่อนมันส่องประกายบางอย่าง

“เอ้า ฉันไปก็ได้ คืนนี้หมอไม่มีเวรใช่ป่ะ งั้นกลับบ้านดีๆ นะคะ”

มารู้อีกว่ามีเวรไม่มีเวร เฮ้อ ไอ้ความรู้ทันไปสิบเรื่องนี่ก็อีกอย่าง ที่กรอกประวัติว่าเป็นแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวน่ะจริงหรือ? ทำไมดูเจ้าเล่ห์นัก

“ฉันก็ไม่ได้ไล่อะไรเธอหรอก จะเดินเล่นก็ระวังน้ำค้างด้วยค่ะ เพิ่งหายป่วยเดี๋ยวจะกลับมาเป็นอีก”

พราวพิลาศส่งยิ้มรับทราบ พร้อมกับเดินลงบันไดไปในสวน สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อคนไข้ไหล่ตั้งหลังตรง หล่อนค่อนข้างสูงทีเดียว และหุ่นก็ดีด้วย จะว่าไปก็คล้ายๆ พี่หมอรสเหมือนกันนะ เมื่อเบนกลับมาหน้าห้องอีกที เธอก็พบกับพี่หมอรส...ของเธอ ซึ่งเธอเผลอไปคิดเปรียบกับใครอีกคนเข้า

“พี่หมอ...”

รสสุคนธ์ยืนมองเธอตาแป๋ว พร้อมกับเบนสายตามองไปยังสวนด้วย “นั่นใครเหรอหนึ่ง”

“เอ้อ ก็คนไข้ของหนึ่งค่ะ เธอจะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้แล้ว ก็เลยมาขอบคุณน่ะ”

สายตารสสุคนธ์จับที่กล่องเค้กน่ากินแวบหนึ่ง ก่อนจะสบตาเธอ “ด้วยเค้กนี่น่ะเหรอ”

สายตาของพี่หมอมักจะคมกริบเสมอล่ะ เวลารู้สึกระแวงอะไร ซึ่งโดยส่วนตัวเธอไม่คิดว่ามีอะไรน่าระแวงเลยสักนิด ก็แค่คนไข้ธรรมดาเท่านั้นเอง เธอจึงส่งยิ้มให้คนถาม “ใช่ค่ะ เธออยากให้อะไรขอบคุณสักอย่าง มากินด้วยกันหลังข้าวเย็นกันดีไหมคะพี่หมอ”

สายตาพี่หมอจึงดีขึ้น ก้าวเข้ามาในห้องพักแพทย์ เธอกุลีกุจอส่งกล่องอาหารให้ พร้อมกับลากกันมานั่งตรงมุมโต๊ะกลางห้อง ชวนคุยขณะกิน

“ตอนนี้ก็ยังหาต้นเพลิงไม่เจอหรอก ดีที่ระบบน้ำยังไม่เริ่มทำงาน ไม่งั้นพวกเอกสารในห้องได้เปียกกันหมด”

รสสุคนธ์เป็นคนจริงจังกับงานมาก วันนี้จึงได้ดูหงุดหงิดเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันกลางคัน แถมยังเกือบทำให้งานเสียไปอีก “พี่คงต้องประชุมเรื่องระบบการเตือนภัยที่ตึกบริหารเสียใหม่ เพราะไม่มีการเช็คระบบกันเลยตั้งแต่ติดตั้ง บางทีอาจจะต้องซ้อมเตือนภัยกันบ้าง”

เพราะพี่หมอมีตำแหน่งบริหารในโรงพยาบาลแห่งนี้ จึงได้คิดทุกอย่างอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเป็นระบบ ซึ่งเธอก็ชื่นชอบนิสัยนี้ของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย

“เค้กดีกว่าค่ะพี่หมอ” เธอเอาใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็อารมณ์ดีขึ้น บีบแก้มเธออย่างหยอกล้อ

“วันนี้ไม่มีเวรใช่ไหม ไปเที่ยวไหนก่อนกลับบ้านสักพักไหม”

“พี่หมออยากไปไหนล่ะคะ”

“อืม นั่นสินะ ดูหนังดีรึเปล่าล่ะ”

อินทนิลยิ้มและพยักหน้า อะไรที่พี่หมอเสนอ เธอไม่ค่อยจะขัดใจหล่อนหรอก เธอชอบโอนอ่อนผ่อนตามมากกว่า

จากนั้นสองหมอสาวก็พากันเดินออกจากห้องสู่ทางเดินภายในอาคารพื้นสีแดงเพื่อจะไปลานจอดรถ ระหว่างที่เลี้ยวตรงทางแยกนั้นเอง ก็มีร่างหนึ่งโผล่พรวดโดยไม่ทันเห็น เพราะรสสุคนธ์กำลังหันมาคุยกับเธอ จึงไม่เห็นและชนร่างใครอีกคนเข้าเต็มเปา พร้อมกับน้ำเย็นราดซ่าใส่รสสุคนธ์ไปเสียครึ่งค่อนตัว

“ขอโทษค่ะ ตายแล้ว คุณหมอ ฉันทำคุณหมอเปียก” พร้อมกับมือไม้ของคนพูดก็มาแตะๆ คลำๆ บนเสื้อสีขาวเปียกโชคอย่างวิตกกังวล

อินทนิลเงยหน้ามองคู่กรณี ก็ขมวดคิ้ว “พราวพิลาศ?”

พราวพิลาศในยามนี้หน้าซีดเหลือสองนิ้ว เก็บถังน้ำพลาสติกซึ่งเดิมคงใส่น้ำไว้แต่บัดนี้กลายเป็นถังเปล่าถือไว้บนหน้าตักอย่างรู้สึกผิด

รสสุคนธ์สะบัดน้ำออก ขมวดคิ้วมองคนไข้ของเธอด้วยสายตาดุ

“ไม่ทราบว่าคุณเอาน้ำเข้ามาทำอะไรคะ”

“เอ้อ... ฉันขอโทษค่ะ คือฉัน... แบบว่ากำลังแก้บนน่ะค่ะ”

“แก้บน?” อินทนิลทวนคำเป็นคำถาม อีกฝ่ายพยักหน้าพลางเทินถังน้ำไว้บนหัว

“จะแบกถังใส่น้ำไว้บนหัวแบบนี้เดินรอบสามตึกค่ะ ถ้าฉันหายเป็นปกติดี เอ่อ คือเปลี่ยนเสื้อก่อนดีไหมคะหมอ ฉันมีเสื้อของฉันหลายตัวเชียวค่ะ ญาติใส่กระเป๋าไว้ให้ เดี๋ยวฉันไปหยิบแล้วให้หมอเปลี่ยนนะคะ”

อินทนิลอยากส่ายหน้าห้ามปราม เหลือบมองเห็นอาการหงุดหงิดของคนข้างตัวก็ยิ่งหวั่นใจ

“ไม่ต้องค่ะ เสื้อของฉันก็มีเหมือนกัน คงไม่ต้องรบกวนของคุณ” น้ำเสียงห้วนจัดเรียกรอยยิ้มเหี่ยวจากเรียวปากของคนไข้ อินทนิลรีบเอ่ย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพราวพิลาศ คราวหน้าก็อย่าบนอะไรประหลาดๆ แบบนี้อีกนะ พี่หมอคะ เรารีบไปเปลี่ยนเสื้อดีกว่า ที่ห้องหนึ่งก็ได้ค่ะ ไปกัน”

อินทนิลรีบลากแขนคนเดือดให้ออกเดิน ทิ้งคนไข้ยืนถือถังน้ำเปล่าโบ๋เบ๋ด้วยมือเดียว อีกมือหนึ่งนั้นควงพวงกุญแจอัจฉริยะของรถคันหรูไว้ในมือ พร้อมกับร่างที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้สองร่างก็พรวดมาหยิบกุญแจนั้นไปยังลานจอดรถด้วยความว่องไว

วรินธรกลอกตามองร่างของเพื่อนทั้งสองที่หลังจากปฏิบัติการขโมยกุญแจห้องทำงานจากกระเป๋ากราวน์ข้างขวาสำเร็จก็ไขห้องทำงานได้โดยง่ายพร้อมกับเข้าไปสำรวจภายใน ก็บอกว่าไม่พบกล่องดังกล่าว จึงเหลือที่แห่งเดียวคือในรถยนต์ส่วนตัวของรสสุคนธ์ ซึ่งหล่อนก็ยังเก็บกุญแจรถยนต์ไว้กับตัวอีกด้วย ทั้งที่ทิ้งกระเป๋าสัมภาระทุกอย่างไว้ในห้อง มีความจำเป็นสักแค่ไหนต้องพกกุญแจรถไปในห้องประชุม กระเป๋ากราวน์ข้างซ้ายจึงเป็นเป้าหมายในลำดับต่อไป และถือเป็นโอกาสที่จะคืนกุญแจห้องทำงานสู่กระเป๋าข้างขวาด้วย

เธอตัดสินใจเดินตามสองสาวไปเงียบๆ เลือกจะลัดเลาะตามเส้นทางในสวนหย่อม และแอบตรงม้านั่งในมุม มองไปยังภายในห้องพักแพทย์เล็กๆ ที่มีแพทย์หญิงเป้าหมายสองคนยืนถกเถียงกันอยู่ ดูท่ารสสุคนธ์คงจะเป็นพวกขี้โมโหขี้ฉุนเฉียวไม่น้อย เพราะใช้เวลาโวยวายอยู่นาน สักพักก็เดินปึงๆ ออกจากห้อง

วรินธรกดข้อความบอกเพื่อนว่าแค่สองนาทีเท่านั้น เพราะรสสุคนธ์คงจะเดินปึงๆ ด้วยความเร็วไปถึงรถในไม่ช้า ภาวนาให้สองหนุ่มนั้นค้นให้เสร็จโดยไว แพทย์หญิงทั้งสองเดินลับมุมสุดท้าย เหลือแค่ทางตรงและลงบันไดก็จะไปสู่ลานตัวหนอนสำหรับจอดรถได้สำเร็จ สายตาของวรินธรเห็นเงาเพื่อนทั้งสองยังคงมุดก้มๆ เงยๆ อยู่ในรถ จึงได้แต่เคี้ยวฟันตัวเองด้วยความไม่ได้ดั่งใจ ส่งข้อความบอกอีกเป็นการเร่ง และคาดเดาความดื้อด้านของเจฟได้เลยว่าถ้ามันยังหาไม่เจอ มันไม่มีทางออกมาง่ายๆ แล้วจะพากันหายนะกันหมดก็งานนี้

เมื่อเป็นดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องถ่วงเวลา ขี้โมโหแบบนี้คงจะยั่วไม่ยาก

เธอจึงแอบมุมหนึ่ง ตรงสวนข้างบันได พร้อมกับกลิ้งก้อนหินผ่านหน้าอินทนิล ก้อนแรกหล่อนไม่รู้ตัว จึงมีก้อนที่สอง หล่อนเริ่มรู้ตัวในก้อนที่สี่ และก้อนที่ห้าก็ทำหล่อนสะดุดเสียด้วย จึงเอะใจมองซ้ายแลขวา ปล่อยให้ร่างสูงของหมออีกคนเดินลอยลมผ่านไปก่อน หล่อนขมวดคิ้วก้มลงมองทำปากถามว่ามีอะไร

เธอจึงชี้ไปยังร่างสูงตรงหน้า ถามว่าหล่อนโอเคไหม หายโกรธหรือยัง

อินทนิลถอนหายใจ ส่งมือว่าโอเค และรีบๆ ไล่เธอให้จากไป ก่อนที่คนเบื้องหน้าจะหันมา เธอส่งยิ้มแหะๆ ทำท่าโอเคกลับไป

“หนึ่ง ทำอะไรน่ะ”

อินทนิลยืดตัวสูงพลัน และส่งยิ้มหวานเสมือนไม่มีอะไร แต่มีหรือคนตาคมคนนั้นจะไม่รู้ รสสุคนธ์เดินกลับมาหาหล่อน พร้อมกับมองไปยังพุ่มไม้บริเวณนอกระเบียง

“แล้วก้มๆ เงยๆ มองอะไร”

“เปล่าค่ะพี่รส ไม่มีอะไรค่ะ”

รสสุคนธ์มองหน้าอินทนิลขวับ “รีบตอบแบบนี้ ไม่ค่อยเหมือนหนึ่งคนเดิมเลยนะ” พร้อมกันนั้นหล่อนก็ก้าวอย่างช้าๆ ไปตรงพุ่มไม้ด้วย วรินธรยิ้มอย่างดึงความสนใจได้สำเร็จ เหลือบมองเพื่อนก็พบว่ามันพากันเปิดประตูรถพร้อมจะวิ่งหายไปเช่นกัน ดูจากกิริยาของเจฟแล้วเขาน่าจะได้กล่องเสียด้วย ฮ่าๆ ลักกี้ แต่ตอนนี้สิจะแก้ปัญหาให้ตัวเองยังไง สวนเบื้องหน้าก็รายล้อมด้วยผนังตึกอีกต่างหาก มีทางเข้าทางเดียวก็คือทางที่หมอสองคนจะเดินมานั่นแหละ นึกอยากล่องหนเหมือนกับกานต์ชนิตอีกแล้ว หรือไม่ก็ใช้ความสามารถในการทำให้เธอล่องหนได้เหมือนหล่อนก็ได้ เหมือนคราวแรกที่เราเจอกัน เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา สมองฉับไวสั่งการให้ตนเองกลิ้งดุบๆ ไปบนพื้นหินกรวดเล็กมุดใต้ม้านั่งอีกมุมหนึ่งทันที พุ่มไม้คงบังได้ไม่นาน เธอรีบพาตัวเองขึ้นนั่งไขว่ห้างทำท่าสบายอารมณ์มองไปยังบ่อปลาคดโค้งตรงหน้า

เมื่อได้ยินเสียงเรียก “เธอ” เธอก็หันไปเลิกคิ้ว

เห็นหน้าตาเรียบอย่างกับเตารีดนาบของหมอรสสุคนธ์ก็ส่งยิ้มหวานให้ “อ้าวคุณหมอ เปลี่ยนเสื้อแล้วเหรอคะ”

แต่หมอไม่ได้ยิ้มตอบเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งสายตาคมกริบยังฉายความหวาดระแวงชัด วรินธรประเมินสายตาเช่นนี้ออก มันเป็นความระแวงเพียงสองแบบ หนึ่งคือระแวงอีกฝ่ายจะรู้ความลับอะไรของตน สองคือระแวงว่าของรักของหวงจะถูกแย่งชิง

ประเด็นแรกตัดไปได้เลยเพราะหล่อนคงยังไม่รู้ตัวแน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้องทำงานและรถยนต์ของหล่อน ประเด็นที่สองสิใช่กว่า เพราะเธอดันเสือกปรากฏตัวในระยะเวลาไล่เลี่ยกันสองครั้งแล้ว อีกทั้งยังสนิทสนมกับหมออินทนิลแฟนของหล่อนอีกด้วย อย่างนี้ไม่มีปัญหาได้อย่างไร แต่เธอไม่ได้อยากมีปัญหากับหล่อนด้วยนี่นา ไม่อยากเอาตัวเองในหน้าจริงถึงจะชื่อปลอมไปโดนหมายหัวด้วย ยิ่งเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับอาสินด้วยแล้ว บรื๋อ ไม่ไหว ขอหนีล่ะ

“อ้าว แหะๆ ฉันว่าฉันกลับห้องดีกว่าค่ะ”

วรินธรยังไม่ทันได้เดินครบหนึ่งก้าว เสียงห้วนมีอำนาจก็ร้อง “เดี๋ยวก่อน”

เธอก็ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้นแหละหนอ มองอินทนิลที่หน้าซีดพอกัน อย่างพอรู้ว่าหล่อนคงช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้มาก เผลอๆ ถ้าโดดเข้ามาช่วยยังคิดว่าปกป้องกันอีก

“ถ้าเธอมีอะไรจะคุยกับหมอเจ้าของไข้ของคุณล่ะก็ คุยเสียตอนนี้เลยก็ได้ ไม่ต้องลับๆ ล่อๆ คุยกัน”

“อ่า พี่หมอคะ ไม่ได้ลับๆ ล่อๆ อะไรเลยนะ”

“หนึ่ง! พี่ไม่ได้ตาบอดนะ”

โอ้ว...สองคนนี้คบกันแบบผู้พันกับพลทหารชัดๆ

“คือฉันเปล่าลับล่อคุยกันค่ะ เอ้อ ก็แค่อยากเล่นสนุกอะไรกับหมอหนึ่งทิ้งท้ายก็เท่านั้นเอง” เธอก็แค่เรียกหมอหนึ่งตามที่อีกฝ่ายเรียกเท่านั้นล่ะหนอ ไม่คิดว่าจะเป็นประเด็นเพิ่มมาอีกจนหัวคิ้วคนฟังกระตุกหากัน

“พี่ไม่คิดว่าเธอจะสนิทสนมกับคนไข้เร็วขนาดนี้” รสสุคนธ์พูดกับคนด้านหลัง ซึ่งหน้าเหลือสองนิ้วเช่นเดียวกับเธอ

“เอ้อ ขอโทษนะคะ ฉันก็เรียกหมอหนึ่งตามคนไข้คนอื่นล่ะค่ะ”

“ฉันไม่ได้ถามค่ะ!”

ป๊าด... วรินธรได้ยินเสียงซิบรูดริมฝีปากตัวเองติดกันดังพรืด เหงื่อตกตามอินทนิลเลยทีเดียว ทนยืนรับความกดดันอยู่ได้ไม่นาน ก็ไม่ไหวต้องรีบยกมือขออนุญาตถาม ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอนุญาตอะไรหรอก แค่เบนสายตามองว่ามีอะไรไม่ทราบ

“คือถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉัน...ฉันปวด...เอ่อ ปวดฉี่ค่ะ ขอตัวไปได้หรือยังอ่ะคะ”

สีหน้าของอินทนิลเกือบจะยิ้ม แต่รสสุคนธ์มองเธอนิ่งราวกับรู้ทันคำแก้ตัวปลาไหล และถ้าเธอนับวินาทีในใจได้ หล่อนมองเธอค้างอย่างนั้นเพื่อกดดันเป็นเวลาห้าสิบเอ็ดวินาที โอ๊ยตาย สำหรับคนลื่นอย่างเธอแม้จะใจเย็นสักเท่าใดเมื่อตกอยู่ใต้ความกดดันมากมายเช่นนี้ ยอมรับจริงๆ ว่าควบคุมตนเองให้นิ่งได้ยากเย็นเหลือเกิน ใจมันอยากจะยอมแพ้และสารภาพความจริงอยู่ร่ำไป นี่น่ะหรือคนมีอำนาจล้วงความลับของจริง ไม่ต้องอาศัยกลเม็ดใด แค่มองหน้านิ่งๆ แค่ใช้เวลาก็สามารถบีบให้ลูกไก่อ้าปากได้แล้ว ช่างน่ากลัว

“ตามสบายเถอะค่ะ”

เท่านั้น วรินธรก็ส่งยิ้มหวาน ยกมือไหว้ขอบคุณพลันทั้งสองนาง แล้วรีบวิ่งปรู้ดหายไปโดยไม่สนใจอีกว่าทั้งคู่จะเปิดศาลซักไซ้กันเองต่ออีกไหม เฮ้อ... เชื่อแล้วว่าหล่อนเป็นเจ้านายของอาสินได้

...

วรินธรรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดลำลอง จัดการเรื่องออกจากรพ.ด้วยตนเอง แล้วรีบสะพายกระเป๋าเดินออกจากตึก ดีใจที่จะได้กลับบ้าน

เวลาเช้าคนยังไม่มากนัก วรินธรหิ้วกระเป๋าออกมาหน้าตึก เห็นหลังไวๆ ของหมอนีรนาถ จึงรีบก้าวเดินตามไป นีรนาถเดินไวมาก ครู่เดียวก็คลาดสายตาแล้ว แหม เสียดายจริง เพราะเธอยังไม่ได้ขอบคุณหมอนีรนาถเลย เจอหน้ากันก็ไม่เคยคุยดีๆ วรินธรหยุดเดินตามหา ในใจอยากเจอหน้าเพื่อนเก่าคนสำคัญ แต่อีกใจก็นึกถึงใบหน้าของกานต์ชนิต เธอจึงหมุนตัวกลับไปยังทางออกของโรงพยาบาลดังเดิม นีรนาถนั้น...เดี๋ยวก็คงได้พบกันอีก

สองเท้าพากันเริงร่าแล้วเริ่มวิ่งหาทางออก ตรงข้ามกับผู้คนที่ทยอยเข้า แต่ความขัดข้องเหล่านี้ไม่เคยทำให้ลำบากใจ เธอก้าวหลบคนบนทางเดินอย่างคล่องแคล่ว สายตาพลันมองเห็นสวนหย่อมจึงก้าวลงบันไดหมายจะใช้เป็นทางลัด แต่ก็ดันชนโครมกับร่างใครบางคนซึ่งเดินสวนขึ้นมาเสียก่อน

“พราวพิลาศ”

เป็นหมอหนึ่งนั่นเอง เมื่อเช้าตรู่เข้ามาตรวจเธอครั้งสุดท้าย เธอเห็นหมอยุ่งๆ จึงไม่ได้คุยอะไรกันมากแค่กล่าวอำลากันตามปกติเท่านั้น เจออีกทีก็ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า

เธอตั้งตัวได้ก่อนจึงยื่นมือดึงอีกฝ่ายให้ยืนขึ้นมาด้วย พลางก้มเก็บถุงอาหารให้

“จะรีบไปไหนเนี่ย เค้าห้ามวิ่งในโรงพยาบาลนะคะ”

เธอส่งถุงอาหารให้หล่อนพลางถามยิ้มๆ “ใครห้ามคะ พี่หมอรสเหรอ”

อินทนิลอ้าปากค้าง มองซ้ายมองขวาแล้วเอ่ย “ปากดีแต่เช้า”

เธอหัวเราะ ตอบตามตรง “ฉันจะกลับบ้านค่ะ กลัวไปสายรถจะติดเสียก่อน ยังไงก็ กินข้าวกับพี่หมอรสให้อร่อยนะคะ”

หมอส่งตาเขียว “นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉันนะ”

เธอยิ้ม เอ่ยถาม “จะกลับไปกินที่ห้องพักแพทย์หรือเปล่า งั้นไปทางนี้เถอะค่ะ ทางนั้นคนเยอะ”

เพราะเป็นทางเดียวกับทางออก เธอจึงชี้มือแนะนำหล่อนไปในสวนหย่อม อินทนิลเองก็เห็นด้วย จึงพยักหน้า พลางก้าวเดินไปพร้อมกัน วรินธรลดความเร็วของฝีเท้าลงเมื่ออีกฝ่ายชวนคุย

“แล้วนี่จะกลับคนเดียวเหรอ คุณญาติไปไหนเสียล่ะคะ”

“เขาไปทำงานแล้วค่ะ ฉันกลับเองได้ ฉันหายดีแล้วนี่นา”

“อ้อ อย่าลืมมาล้างแผลตามวันที่หมอนัดด้วยล่ะ” หมอเตือนด้วยความเป็นห่วง

วรินธรพยักหน้าก้มหัว “รับทราบค่ะ จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

ชวนให้คนมองมองอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู เธอส่งยิ้มทางสายตาให้หล่อน

อินทนิลสบตาวาววับของเธอ ก็เริ่มชักไม่แน่ใจ และแน่นอน ยิ่งเธอรู้ว่าหล่อนมีความสัมพันธ์อะไรกับรสสุคนธ์อยู่แล้ว ยิ่งทำให้หล่อนอึดอัด วรินธรนึกสนุกขึ้นมา เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกบ่อยๆ หยอกเล่นทิ้งท้ายดีกว่า

“หมอคิดอะไรคะ คิดว่าฉันจะจีบหมอเหรอ”

คำถามตรงๆ ทำให้หล่อนสะดุ้ง ตาโตพลันวางหน้าไม่ถูก เธอจึงหัวเราะ อินทนิลรู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนแกล้ง มือหนึ่งก็เลยโบกเข้าที่ต้นแขนเธอจนร้องอุก

“โหยหมอ ดีนะคะที่ตีถูกข้าง”

“ก็เล่นสนุกไม่เป็นเวล่ำเวลา”

“เนี่ยเรียกเป็นเวลาแล้ว ถ้าพี่หมอรสมาฉันก็ไม่กล้าเล่นหรอก”

“ยังไม่เลิกอีกนะพราวพิลาศ” เสียงเขียวแว๊ดขึ้นมาทำให้เธอหัวเราะ ความรู้สึกสบายๆ กำลังเกิดขึ้น หากไม่ใช่เพราะเรื่องงาน เธอคงจะอยากรู้จักผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย เพราะบอกไม่ถูก เธอคิดว่าคนเราจะประทับใจอะไรคล้ายๆ เดิม หรือที่เรียกว่าสเป๊กนั่นแหละ เห็นหล่อนแล้วเธอนึกถึงแฟนคนแรกสมัยเรียนมหาวิทยาลัย... แต่เพราะอินทนิลเกี่ยวข้องกับตัวอันตราย เธอจึงคิดว่าหล่อนก็เป็นตัวอันตรายด้วยเช่นกัน

“ยังไงก็ ขอให้หมอโชคดีนะคะ”

อินทนิลหยุดเดินและหันมองเธอ “เธอก็เช่นกัน พราวพิลาศ ถึงเธอจะมีอะไรแปลกๆ มากสักหน่อย แต่ยังไงก็รักษาตัวด้วย อย่าไปเดินที่เปลี่ยวๆ เดี๋ยวจะโดนดักทำร้ายอีก”

วรินธรส่งยิ้ม สูดหายใจรับลมอ่อนโชย พลางได้ยินเสียงกรอบแกรบแปลกๆ สบตาคนตรงหน้าแล้วทั้งคู่จึงเงยหน้ามองเจ้ากิ่งไม้ท่อนใหญ่กำลังเคลื่อนไหว

“ระวังกิ่งไม้ครับ!” เสียงโหวกเหวกทำให้พวกเธอรู้ตัว

วรินธรเห็นภาพทันทีโดยไม่ต้องถามว่าระวังกิ่งใด เพราะเจ้ากิ่งที่อยู่เหนือหัวเธอสองคนนั่นไงกำลังใกล้เข้ามา สายตาคมกวาดรวดเดียวอย่างคะเนทิศทาง โดยสัญชาติญาณจึงพาตัวเองก้าวหนีไปยังจุดที่จะเป็นช่องระหว่างกิ่ง แต่ยังเห็นคุณหมอยืนเอ๋อ จังหวะการกระโดดจึงสะดุด เรื่องง่ายๆ ก็เลยยาก เมื่อเธอต้องคว้าแขนหล่อนกระชากตามกันไปด้วย แล้วหลบกิ่งได้อย่างหวุดหวิด แล้วเสียหลักกลิ้งหล่นตูมลงไปในบ่อปลาแทน

เธอยกมือลูบน้ำบนใบหน้า พลางหันมองคนข้างกันที่ยังงุนงงตกใจ

“บาดเจ็บเปล่าคะหมอ”

อินทนิลยกมือลูบน้ำออกบ้างเรียกสติ พลางค่อยๆ ส่งยิ้มให้เธอและส่ายหน้าว่าไม่เป็นอะไร

“แล้วเธอล่ะพราวพิลาศ...”

“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ” พลางเหลือบมองแผลของตนเอง นึกได้ว่าไม่ควรให้มันเปียกในช่วงสัปดาห์นี้ เธอจึงดึงเสื้อส่วนที่แห้งเช็ดน้ำออกและบอก “ดีที่หมอพันผ้าแบบกันน้ำให้ คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่ลุกไหวไหมคะ”

อินทนิลพยักหน้า ดันกายขึ้นยืน พลันก็เซวูบจนทรุดนั่งไปในน้ำตื้นแค่เข่าอีกครั้ง

“อ้าวหมอ... เป็นอะไรคะ?...”

เธอยังถามไม่ทันจบประโยค พลันก็รู้สึกถึงคลื่นความเย็นเยียบแล่นหาตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าจนขนลุก แต่ครู่เดียวก็หายไป เธอขมวดคิ้ว

เธอคุ้น...กับความรู้สึกอย่างนี้ชอบกล

แต่ก็ตั้งสติตามประสาคนเจอกับเหตุฉุกเฉินบ่อยครั้ง จึงปรับสีหน้าได้ไว มองใบหน้าตกใจของอินทนิลอย่างสงสัย มือของหล่อนทาบหน้าอกแล้วรีบสูดหายใจเข้าราวกับคนต้องการอากาศอย่างเร่งด่วน อีกมือก็ยื่นมาจับมือเธอเอาไว้

“เอ่อ หมอคะ”

เธอไม่เข้าใจอาการของอีกฝ่ายนัก หล่อนนิ่วหน้าระงับความเจ็บปวด และหายใจหอบถี่ เธอไม่คิดว่าหล่อนเป็นโรคกลัวน้ำ โดนน้ำแล้วจะเกิดอาการหรอกนะ จึงรีบสำรวจตามเนื้อตัวหล่อนว่าบาดเจ็บหรือไม่ ก็ปรากฏว่าเห็นสีแดงเข้มค่อยๆ ย้อยซึมลงมาจากศีรษะด้านหลังจนเปรอะปกเสื้อสีขาวของอีกฝ่าย คงจะกระแทกกับรูปปั้นตกแต่งกลางบ่อปลาเข้าให้ และทำให้หัวแตก

“ลุกขึ้นเถอะค่ะ เดี๋ยวจะได้ทำแผล”

เธอสั่งการและดึงหล่อนให้ยืนขึ้น ในใจยังสงสัยอาการ เพราะหัวแตกก็น่าจะปวดหัว แต่นี่หมอหนึ่งกลับทำท่าราวกับเป็นหอบหืด

หัวหน้าคนงานรีบวิ่งเข้ามาถามอาการ เธอจึงตอบไปคร่าวๆ เขารีบผายมือนำทางไปห้องฉุกเฉิน ฝูงชนก็ช่วยแหวกทางให้อย่างสะดวก มีเพียงแต่สีหน้าคนไข้ยังดูจับต้นชนปลายไม่ถูกสักเท่าใด เงยหน้าสบตาเธอและยื่นมือจับแขนเสื้อเธอไว้

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้” หล่อนถาม

วรินธรไม่เข้าใจ ไม่รู้จะตอบคำถามยังไง “เอ้อ มันคงเป็นโชคชะตามั้งคะหมอ” เธอตอบให้คลายเครียดแต่ดูท่าหล่อนจะไม่เล่นด้วย ยังคงทำหน้าซีเรียสราวกับทำข้อสอบปลายภาคไม่ได้สักข้อ

“เรารีบเดินดีกว่า เลือดคุณออกเยอะแล้ว” เธอเร่ง และจูงแขนหล่อนให้ออกเดิน

อินทนิลมองซ้ายมองขวา มองรอบตัวและมองร่างกายตนเอง สุดท้ายจึงมองสำรวจร่างกายเธอขึ้นลง ก่อนจะสะบัดหน้าตีแก้มตัวเองแรงๆ

“หมออออ” เธอต้องรีบจับมือหล่อนให้ค้างไว้ นี่หัวกระแทกจนประสาทกลับแล้วหรือไง “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ มึนหัวหรือ”

ใบหน้าอินทนิลนิ่งไป สายตาที่สบกับเธอเหมือนจะสื่ออะไรบางอย่าง และตอบ “ฉันไม่ใช่หมอ”

?

จู่ๆ เธอก็เห็นเครื่องหมายนี้

คราวนี้อินทนิลกำคอเสื้อเธอเอาไว้แล้วรีบเอ่ยรัวเร็ว “ฉันไม่รู้มันเป็นอย่างงี้ได้ยังไง”

เป็นยังไงล่ะ?

“เอ่อ ใจเย็นก่อนดีไหม มันเป็นยังไงล่ะอย่างงี้ที่ว่าน่ะ”

“เป็น...” คนพูดสีหน้าสับสนชี้หน้าและชี้อกตัวเอง “เป็นหมออินทนิลไงล่ะพาย ฉันไม่รู้ว่าทำไม...”

“หื้มมมม” วรินธรสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง จ้องมองหล่อนตาแทบถลน สมองคิดสะระตะว่าหล่อนพูดชื่อนี้ออกมาได้อย่างไร จะว่าเป็นคำอุทานก็ไม่ใช่ ใครจะอุทานว่าพาย พาย พายบ้าง ดูจะเห็นแก่กินมากไปล่ะ

“พาย นี่ฉันเอง กานต์ไง กานต์ชนิต” หล่อนพูดและเขย่าแขนเธอ

“กานต์... ชนิต” เธอทวนคำ

“ใช่ ฉันเอง กานต์”

ถ้าหมอหนึ่งจะเล่นมุก นี่คงเป็นมุกที่แป่กที่สุดยิ่งกว่าตอนแมงมุมเล่นมุกอีก (ยืมชื่อมาเล่นหน่อย อิอิ) ใช่ล่ะหมอหนึ่งไม่ได้เล่นมุก เพราะสายตาหล่อนเครียดมากที่สุดเท่าที่เคยเห็น

“เป็น... เป็นไปได้เหรอ”

อินทนิลที่อ้างว่าตัวเองคือกานต์ชนิตพยักหน้าไวๆ




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ สิบห้า I’m Not That Girl(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:17:22 »
(ต่อ)

“เป็นไปได้สิ นี่ไงมันเป็นไปแล้ว เธอต้องเชื่อฉันนะ หมอหนึ่งจะรู้จักชื่อเธอได้ยังไงล่ะยัยบ้า โอ๊ย ทำไมฉันเข้ามาในร่างหมออินทนิลได้ก็ไม่รู้” หล่อนบ่นอย่างกระวนกระวายดูท่าทางจริตไม่ดี เธอตอนนี้ก็กำลังจะจริตไม่ดีตามหล่อนไปเหมือนกัน เพราะได้แต่ยืนอ้าปากค้างได้แต่พึมพำคำเดิม

“กานต์ เป็นไปได้ไง” ก็มันเกินจะเชื่อมากไปไหม แค่กานต์ชนิตเป็นผี เธอก็สุดปัญญาจะหาเหตุผลมาสนับสนุนได้แล้ว นี่ยังมาเข้าร่างคนอื่นได้อีก นี่มันจะละครหลังข่าวไปไหม

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ” พลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “พาย พาย รีบคิดเข้าเถอะ จะทำยังไงต่อดี ฉัน.. ฉันเข้ามาได้ยังไงไม่รู้ แล้วฉันจะออกไปได้ยังไง ทำไม...”

เป็นครั้งแรกที่วรินธรทำหน้าโง่แบบไม่ได้แกล้ง

“เธอ... เอ้อ” วรินธรจ้องมองหล่อนก็ยังเป็นใบหน้าอินทนิลอยู่ดี แต่แววตาก็เริ่มให้ความรู้สึกเหมือนกานต์ชนิตขึ้นมาบ้าง อาจเพราะความวิตกจริตนั่นก็ได้ เป็นเพราะคิดไปเองหรืออะไรก็ไม่ทราบ

“แล้วมันให้ความรู้สึกยังไง หมายถึง... เข้ามาในร่างนี้ได้ไง” ไปต่อไม่ค่อยจะถูกเลย

“ฉันไม่รู้ ฉันก็ยืนดูเธอกับหมอกระโดดหลบกิ่งไม้อยู่ในสวน จู่ๆ ก็ถูกดึงเข้ามา แล้วกลายมาอยู่ในร่างหมอแล้ว”

“หมายความว่ายังไงที่ว่าดึงอ่ะ”

หล่อนคลายสีหน้าวิตกจริตไปนิดหนึ่งเมื่อนึกย้อน เริ่มมีสติกลับมาบ้าง “มันก็เหมือนมีใครมากระชาก ฉันรู้ตัวอีกทีก็ลงไปอยู่ในน้ำกับเธอ”

เธอหยุดเดินและเอียงคอมองหน้าอีกฝ่าย จริงๆ แล้วมันเป็นอาการของสัตว์เลี้อยคลานเวลาทำท่าสงสัย เธอขอยืมมาใช้หน่อยก็แล้วกัน เพราะนี่ก็เอียงจนจะตะแคงแล้วเนี่ย

“หมอหนึ่งดูทีวีหลังข่าวมาไปป่าวคะ”

“โอ๊ย ไอ้พายบ้า” หล่อนตีแขนเธอตุ๊บ ทำเอาสะดุ้งพรวดเพราะมันใกล้แผลมาก

“เฮ๊ย พิสูจน์สิ ถ้าอยากให้ฉันเชื่อเธอก็ต้องพิสูจน์”

อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ ดวงตาหงุดหงิด “พิสูจน์เหรอ... โอเคได้” ว่าจบก็ถลกขากางเกงขึ้น เตรียมพร้อมจะยกเท้า ทำให้เธอรู้ทันทีว่านี่ล่ะกานต์ชนิต เพราะทีแรกที่เจอกันก็ง้างอย่างงี้เลย แรงด้วย

“อ่ะพอๆๆ เชื่อแล้วก็ได้”

เมื่อหล่อนสงบลงเธอจึงได้เบาใจ แต่แล้วดวงตาของหล่อนก็เบิกโตใหม่ มองข้ามไหล่เธอไปด้านหลังอย่างตกใจ เมื่อเธอหันไปเธอก็สะดุ้ง หน้าห้องฉุกเฉินบัดนี้มีร่างสูงเพรียวหุ่นดีของใครคนหนึ่งเดินอาดๆ มาทางนี้

ตายแล้ว หมอรส ดันมาเจอเธอยืนอยู่กับอินทนิลซะด้วย อย่างนี้สมควรเผ่น... แล้วยัยผีที่อ้างว่าตัวเองกำลังสิงร่างคนอื่นนี่ล่ะ ทำไงดี

“แต่เมื่อเธอเข้ามาในร่างหมอแล้ว ตอนนี้เธอก็กำลังเป็นหมอหนึ่งนะกานต์”

“แต่ฉันไม่ได้เป็นหมอหนึ่งนี่นา... โอ๊ยแล้วนั่น ให้ฉันไปเป็นแฟนกับหมอเผด็จการนั่น ไม่เอาด้วยหรอกนะ น่ากลัว”

สายตาทั้งคู่มองไปยังรสสุคนธ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาอินทนิลด้วยสายตาเป็นห่วง ส่งเสียงถามตั้งแต่ยังไม่ถึงตัวด้วยซ้ำ

“หนึ่ง... เป็นอะไรมากไหม”

อินทนิลเขย่าแขนเธออีกครั้ง “พายเรารีบหนีกันเถอะ ฉัน... ไม่อยากอยู่กับผู้หญิงคนนั้นเลย”

วรินธรเกาหัวแกรกๆ “แต่หมอรสเป็นแฟนเธอ... เอ้อ หมอหนึ่งนะ” อยู่กับแฟนจะไม่ปลอดภัยที่สุดเหรอ

รสสุคนธ์คลายสีหน้ากังวลเป็นเรียบตึงได้ทันทีที่เห็นหน้าวรินธร ยิ่งเมื่อเห็นอินทนิลเกาะแขนเธออย่างนั้น น้ำเสียงยิ่งตวัดห้วน “เธอมาอยู่อะไรตรงนี้”

ไม่พูดเปล่า ยังตรงเข้ามากันเธอให้เธอออกห่างหมอหนึ่งอีกด้วย วรินธรได้แต่เซตามแรงหวง เอ๊ยแรงผลัก อินทนิลมองเธออย่างขอร้องว่าอย่าเพิ่งไปไหน อยู่ด้วยกันก่อน

หัวหน้าคนงานรีบเอ่ยเล่าสถานการณ์ให้รสสุคนธ์ฟัง

“คุณหมอเหมือนจะได้รับบาดเจ็บด้วยครับหมอ”

รสสุคนธ์มองแผลครู่เดียวก็ตวัดสายตาเชือดเฉือนเธอ ราวกับหาจำเลยได้แล้วว่าใครกันที่ทำให้แฟนหล่อนเป็นอย่างนี้

เอ๊ย ฉันไม่ได้ทำอะไรนะเฟ้ย

แต่อย่างไรด้วยความเป็นหมอของรสสุคนธ์ก็ยังอุตส่าห์เอ่ยถาม “คุณไม่ได้บาดเจ็บอะไรใช่ไหม”

ซึ่งก็คือการถามไปอย่างงั้นน่ะ เพราะประโยคต่อไปก็ออกปากไล่ “งั้นก็ดีแล้ว รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ” จากนั้นรีบจูงมืออินทนิลให้ออกเดินตามกันไปห้องฉุกเฉิน

อินทนิลขืนตัวอย่างน่าประหลาดใจ จนรสสุคนธ์สงสัย

“อะไรน่ะหนึ่ง เป็นอะไรไป”

อินทนิลมองคนถามทีสลับกับมองวรินธรที และหลบตาคนถามด้วยความเกรง พึมพำเบาๆ

“ฉัน... ฉันยังไม่อยากไปค่ะ ขอฉันอยู่... ฉันไม่ไปได้ไหมคะ”

สีหน้ารสสุคนธ์เคร่งเครียด “เธอเป็นอะไรของเธอ...” สายตาแห่งความระแวงนั้นยังสาดส่องมาถึงวรินธร “เธอมีแผล เธอต้องทำแผลนะ”

เมื่อเห็นความอาลัยที่อินทนิลมีให้กับผู้หญิงตรงหน้าแล้ว ทำให้รสสุคนธ์ตัดสินใจดึงแขนหมอหนึ่งไปยังห้องฉุกเฉินโดยไม่เกลี้ยกล่อมอะไรทั้งสิ้น แรงหึงนี่มันมากกว่าแรงหวงจริงๆ

“อ่ะ ไม่ ไม่ฉันไม่ไป พะ พาย... พราวพิลาศ ช่วยฉันหน่อยซี ฉันไม่อยากไป”

การยึดยื้อเริ่มรุนแรง เมื่อคนยื้อเริ่มมีน้ำโห แล้วคนต่อต้านก็เริ่มออกแรงสุดตัว

“ฉันไม่ใช่หนึ่งของคุณค่ะ กรุณาปล่อยฉันไปเถอะนะคะ”

รสสุคนธ์จ้องอินทนิลตาแทบถลน “พูดอะไรน่ะ”

คราวนี้อินทนิลตะโกน “ฉันไม่ใช่หมอหนึ่งของคุณ!”

รสสุคนธ์มองคนตะโกนอย่างทั้งเป็นห่วงทั้งโมโห ผู้คนเริ่มกลายร่างเป็นไทยมุงหนาตาเรื่อยๆ

“หนึ่งต้องผิดปกติอะไรแน่ๆ ไปทำแผลเดี๋ยวนี้ เลือดไหลมากแล้วเห็นไหม!”

คนโดนสั่งขัดขืนเป็นการใหญ่ และตั้งท่าจะวิ่งมาหาเธอ วรินธรได้แต่ลังเล จะช่วยดีไม่ช่วยดี เพราะมันบอกไม่ถูกจริงๆ ถึงแม้อีกฝ่ายจะประกาศว่าคือกานต์ชนิต แต่หน้าหล่อนน่ะมันคืออินทนิล ร่างกายก็ของอินทนิล แล้วถ้าเธอทำอะไรลงไป ผลกระทบตามเป็นลูกโซ่แน่ จนรสสุคนธ์ต้องเรียกพยาบาลให้กรูเข้ามาช่วยจับ

“ไม่ พายช่วยฉันด้วย เฮ้ย อย่ามาจับฉันนะ” อินทนิลขัดขืนต่อต้านและพยายามร้องเรียกเธอ เออ จะดีมากถ้าไม่เรียกฉันว่าพาย แง่มๆ

รสสุคนธ์เองก็แปลงร่างเป็นนายพลเหมือนกัน เหมือนเมื่อวานไม่มีผิด แต่ผิดกันที่ว่าอินทนิลในวันนี้ไม่เหมือนอินทนิลเมื่อวานก็เท่านั้นเอง

“ช่วยกันจับไว้เร็ว สงสัยต้องต้องฉีดยา” ตอนนี้หลายคนคิดว่าหล่อนสติแตกไปแล้วแน่ๆ วรินธรบอกตัวเองว่าไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง การเป็นศัตรูกับรสสุคนธ์ผู้ซึ่งมีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับอาสินย่อมอันตรายและเสี่ยงมาก เธอควรทำตัวลอยเป็นลมเช่นเดิม เช้าวันรุ่งก็ลอยละล่องหายไป แต่ว่า... แต่ว่า...

จู่ๆ วรินธรก็ยื่นมือคว้าแขนของรสสุคนธ์ไว้และเอ่ยบอก

“หยุดเถอะค่ะ คุณบีบแขนหมอหนึ่งแดงไปหมดแล้ว” คำพูดของเธอทำให้รสสุคนธ์ชะงัก และพยาบาลอีกสองคนก็พลอยชะงักด้วย เปิดโอกาสให้อินทนิลยิ้มดีใจและรีบพรวดมาเกาะแขนเธอไว้ทันที

เฮ้อ...บางทีสมองของเธอก็ประมวลผลตามจิตใจไม่ทันหรอกนะ แล้วบางทีใจก็สั่งการร่างกายโดยไม่รอผลสรุปจากสมองเสียก่อน

รสสุคนธ์มองเธอราวกับมีประกายไฟแลบลาม

“เธอยุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ”

วรินธรส่งยิ้มหวานข่มใจตุ้บๆ ต่อมๆ “ก็...ฉันเห็นหมอทำรุนแรงกับหมอ เลยอดไม่ได้จะสงสารหมอน่ะค่ะ อีกอย่าง ดูท่าทางเธอจะกลัวคุณมากด้วย”

รสสุคนธ์ฉุนเฉียวจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ก้าวพรวดเดียวก็กระชากแขนคนด้านหลังเธอกลับไปได้

“คุณไม่เกี่ยว อย่ามายุ่ง หนึ่ง หยุดดิ้นเดี๋ยวนี้นะ พี่สั่งให้หยุด!” แว๊ดใส่หล่อนแล้วก็ยังหันมาขู่เธอได้อีก “หากเธอยังขัดขวางการทำงานของแพทย์ ฉันคงต้องเรียกรปภ.”

“ลองคุยกันดีๆ ก่อนดีไหม ตอนนี้เธออาจจะแค่ตกใจ”

“ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไร”

“แต่ว่าคุณกำลังขืนใจ เอ๊ยบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำนะคะ” เธอยังคงเถียง

“แต่เธอเป็นคนไข้ของฉัน” หมอตอบเสียงเข้มทรงอำนาจเน้นๆ ชวนทำให้ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ

วรินธรเหลียวสบตาปรอยน้ำตาของอินทนิล แขนของเธอที่ยื่นกันท่าไม่ให้พยาบาลสองและหมออีกหนึ่งมาดึงตัวหล่อนไปได้ เริ่มค่อยๆ ลดลงแนบลำตัว พักหนึ่งก็ปล่อยมือของหล่อน อยากจะช่วยเหมือนกัน เธอเห็นว่าหล่อนควรทำแผลก่อน ไม่ว่าหล่อนจะเป็นอินทนิลหรือเป็นกานต์ชนิตก็ตาม

“ไม่...ไม่ เธอจะทิ้งฉันอย่างนี้ไม่ได้นะ” อินทนิลส่งสายตาทั้งขู่ทั้งขอร้องให้เธอ ซึ่งชักจะทำให้ใจไหวๆ เริ่มอ่อนยวบ “ฉันไม่ไป ปล่อยฉันสิ อย่าทิ้งฉันไว้กับหมอรส พายยย”

อย่าเรียกชื่อช้านนนนน

“หนึ่ง! มานี่เดี๋ยวนี้”

“งั้นกรุณาออกไปข้างนอกเถอะค่ะ ในนี้จะได้ทำงานสะดวกขึ้น”

พยาบาลพูดทิ้งท้ายดันเธอให้ออกจากห้องฉุกเฉินอันแสนวุ่นวาย แล้วยังบอกหัวหน้าคนงานให้ช่วยพาเธอออกไปให้พ้นอีกด้วย วรินธรถูกลากจูงแขนมาปล่อยทิ้งไว้ตรงทางออกนอกอาคาร ท่ามกลางสายตาไทยมุงนับสิบ ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ เธอไม่ควรทำอะไรโดยไม่วางแผน เอาใหม่ก็ได้ ตอนนี้เธอจึงควรใช้งานสมองนึกให้ออกว่าจะเอาอย่างไรดี ก่อนจะพาร่างกายให้ทำตามอำเภอใจอย่างเมื่อครู่

....................................................................... จบบทที่ สิบห้า I’m Not That Girl

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.