web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 389
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 380
Total: 380

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่สิบสาม Come To Me  (อ่าน 939 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบสาม Come To Me
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:12:32 »
บทที่สิบสาม Come To Me

ปิแอร์ยกกาแฟจิบอย่างสุขุม เขากำลังจะนำเอกสารไปให้หัวหน้า บังเอิญพบพอลเสร็จจากการประชุมอันยาวนานพอดี เขาจึงชวนให้ร่วมเสวนาในวงกาแฟด้วย ซึ่งปิแอร์ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ทรุดตัวลงนั่งก็ได้แต่เป็นผู้ฟังเหล่าฝ่ายบริหารคุยกัน โดยไม่ต้องเกริ่นหัวข้อให้ยืดยาว พวกเขาก็เข้าเรื่องนวัตกรรมใหม่ของฝ่ายวิศวกรรมทันที เนื่องมาจากยังติดพันจากในการประชุม ความคุกรุ่นและไม่พอใจมีอยู่มากเพราะเงินงบประมาณมหาศาลหมดไปกับการศึกษาเรื่องนี้

นวัตกรรมเกี่ยวกับการโจรกรรมข้อมูล

“ใครจะไปทำได้ เครื่องขโมยข้อมูลระดับนั้น” ชายหัวแล้งผมเอ่ยขึ้น

“ช่าย มันไม่ง่าย” ชายอีกคนนั่งตรงกันข้าม ใส่แว่นกรอบหน้าสนับสนุน

อีกคนหนึ่งตรงมุมโต๊ะหัวเราะ “ช่ายมันไม่ง่าย แต่ดันมีคนทำได้ มันก็เลยเป็นปัญหาให้บอสกระวนกระวายอยู่อย่างนี้ไง”

“ตอนนี้ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าใคร แต่จะถามบอสก็เห็นเขาหงุดหงิดกลัวจะโดนลูกระเบิดกันไปใหญ่”

ชายตรงมุมโต๊ะยิ้มหึๆ คลึงนิ้วกับหูแก้วกาแฟ พลางยกขึ้นจิบและเอ่ย “แต่ฉันพอจะรู้ว่าใคร”

บุคคลผู้ล้อมโต๊ะที่เหลือมองตรงไปยังผู้พูดอย่างสนใจทันที

“มิทซึคิง”

เจฟหูผึ่งทันทีพลางเลิกคิ้ว ท่ามกลางเสียงหัวเราะของใครหลายคน “แกมั่วแล้ว อย่างมิทซึคิงน่ะเหรอวะจะทำได้ ถ้าทำได้จริงทำไมไม่เอามาขายซะล่ะ เก็บอยู่ทำไม”

“ก็เพราะว่ามันไม่สมบูรณ์ยังไงล่ะ ถึงยังขายไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ฉันว่ามันอาจจะเป็นเครื่องมือที่ละเมิดกฏหมายหลายข้อ การผลิตมาขายอย่างโจ่งแจ้งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย”

“แล้วบอสจะสร้างไปทำไม ขายก็ไม่ได้” คนหนึ่งแย้งอย่างสงสัย

“ตลาดมืดไงล่ะ” คนที่เหลือเริ่มผสมโรง หลายคนส่ายหัว

“ฉันว่าเป็นโครงการบังหน้าเพื่อเอาเงินไปใช้อย่างอื่นมากกว่า”

จากนั้นบทสนทนาก็เต็มไปด้วยการโต้แย้งถกเถียง เมื่อหาความจริงมายืนยันไม่ได้ก็ได้แต่คาดเดา แล้วลงเอยด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น เจฟจิบกาแฟจนหมดแก้วก็ขอตัวบอกว่ามีนัด

เจฟเดินเข้าสู่ห้องทำงานของพอลโดยไม่บอกกล่าวใคร อาศัยช่วงที่เลขานุการหน้าห้องหันไปคุยงานกับเจ้านาย เขาจึงเดินเข้าไปอย่างเรียบเนียน เอาเครื่องดักฟังไปแปะไว้ใต้โต๊ะ พลางเดินออกผ่านพอลก็ล่ำลาอย่างเป็นปกติ และตรงไปทางประตูหลังของอาคาร เปิดไปสู่ภายนอก และเดินเลียบทางเท้าไปเรื่อยก่อนจะมีรถยนต์คันหนึ่งจอดเทียบทางเท้าเพียงชั่วแวบ เขาก้าวขึ้นรถทันทีพลันรถก็ออกตัวสู่ถนนใหญ่

คนขับคือบอส คาดแว่นตาสีชา และไร้รอยยิ้ม “ไงเรียกฉันมามีอะไร”

เจฟมองตรงไปตามทาง สักครู่ก็เอ่ย “ฉันอยากรู้รายละเอียดนวัตกรรมของโฮลแลปและข้อมูลที่ได้จากการกู้เซฟตี้บ๊อกซ์”

บอสยิ้มหึๆ เลือกตอบเพียงเรื่องแรก “เรายังกู้ไม่เต็มร้อยหรอกนะ ต้องถอดรหัสไปเป็นส่วนๆ แต่พอจะรู้ว่าโฮลแลปกำลังสร้างเครื่องมือก๊อปปี้ข้อมูลชนิดใหม่ เคยให้พายนำต้นแบบไปใช้ล้วงข้อมูลในบ้านของอาสินแล้วครั้งหนึ่ง คืนวันเดียวกับที่โฮลแลประเบิด” บอสอธิบายอย่างรวดเร็ว คนฟังนึกออก เจ้าเครื่องต้นแบบที่เคยให้พายทดสอบสมรรถภาพนั่นเอง

“เรามีงานจากหลายเจ้าที่ต้องการรู้ข้อมูลส่วนตัวของอาสิน ฉันจึงให้พายเข้าไปล้วงข้อมูลด้วย รวมทั้งทดสอบอุปกรณ์นี้ด้วย ไม่นึกเหมือนกันว่าจะเจอตออีกหลายเรื่อง รวมทั้งรู้ว่าอาสินเป็นคนสั่งบุกโฮลแลป”

เจฟเหยียดยิ้มมุมปาก ข้อมูลส่วนนี้เขารู้ดีเพราะเขากับพายเห็นกับตาตอนอาสินลงจากเฮลิคอปเตอร์ สั่งการให้ลูกน้องค้นหาของสำคัญในซากโฮลแลป

“แล้วมันพิเศษกว่าเครื่องก๊อปปี้ข้อมูลยังไง”

บอสเลี้ยวไปบนถนนใหญ่ มุ่งสู่ถนนวงแหวนรอบเมือง

“ฉันก็ไม่ค่อยรู้มาก เห็นว่าเป็นการก๊อปปี้เนื้อของสารแม่เหล็ก ซึ่งล้วนเป็นส่วนประกอบสำคัญในฮาร์ดแวร์ที่ใช้บันทึกความจำ ที่พายไปก๊อปปี้ก็คือฮาร์ดดิส พื้นฐานมาจากการอ่านลักษณะเรียงตัวของสารแม่เหล็กในระดับอนุภาค จากนั้นบันทึกไว้เพื่อจำลองการเรียงตัวใหม่อีกทีในแถบแม่เหล็กใหม่ หรือง่ายๆ คือมันจะจำลองรูปร่างของฮาร์ดดิสนั้น แล้วค่อยจัดเรียงใส่ฮาร์ดดิสอันใหม่ให้รูปร่างเหมือนอันที่จำลองมา การจำลองในลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องต่อสายอะไรเลย ถ้าแกยังจำได้ว่าเครื่องบันทึกภาพแบบสามมิติที่ทำให้เราได้ภาพคนร้ายในโรงหลอมมาแล้ว โฮลแลปก็เป็นต้นคิด เป็นหลักการเดียวกัน ยิ่งวางเครื่องจำลองสารแม่เหล็กไว้ใกล้กับสิ่งที่ต้องการจะเลียนแบบมากเท่าใด ก็ยิ่งแม่นยำเท่านั้น”

เจฟพยักหน้า ถึงว่าตอนนั้นดร.โฮลถึงได้ย้ำกับพายถึงระยะห่างในการวางเครื่องทดสอบกับซีพียูของคอมพิวเตอร์

“โฮลแลปสามารถพัฒนานวัตกรรมนี้ไปได้ไกลกว่านั้น เครื่องต้นแบบที่พายนำไปบ้านอาสิน เป็นแค่ขนาดย่อส่วนเท่านั้น สิ่งที่โฮลแลปประดิษฐ์ได้ คือเครื่องขโมยข้อมูลระยะไกลกว่าหลายเท่า”

“ไกลขนาดไหน”

บอสหันมายิ้มขรึมๆ “ฉันไม่แน่ใจเพราะยังแกะข้อมูลจากเซฟตี้บ๊อกซ์ไม่หมด คงจะไกลระดับหลักกิโลเมตร หรือถ้าดีกว่านั้นก็หลักสิบกิโลเมตรล่ะมั้ง”

เจฟหันมองคนขับด้วยสายตาทึ่ง

การขโมยข้อมูลไกลระดับนั้น หมายถึงว่าจะแฮกข้อมูลโดยที่ตัวคนขโมยไม่ต้องเข้าไปอยู่ในตัวตึกเดียวกันเลยก็ได้ มิน่าล่ะฝ่ายนั้นถึงต้องการนวัตกรรมนี้

“แต่การจะทำอย่างนั้นได้ ต้องหาพิกัดของสิ่งที่ต้องการจำลองให้แน่นอน โฮลแลปคิดค้นให้ใช้ร่วมกับเครื่องบันทึกสามมิติที่เคลื่อนที่ได้เพื่อหาพิกัด แล้วค่อยให้เครื่องใหญ่ส่งสัญญาณไป น่าเสียดาย...”

“เสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามดันจับได้ซะก่อน ก็เลยส่งคนมาค้นโฮลแลป” เจฟขมวดคิ้วลำดับความคิดอย่างรวดเร็ว “แล้วเมื่อหาไม่เจอ จึงทำลายโฮลแลปทิ้งซะ”

“ฉันก็เดาแบบเดียวกัน แต่โดยนิสัยของดร.โฮล ฉันว่าเขานั่นแหละเป็นคนระเบิดแลปทิ้ง เพื่อกลบร่องรอยการทดลอง... เคยได้ยินไหม ว่าถ้าเราไม่ได้คนอื่นก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน เฟเดอริกสตาร์แม้จะเป็นบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่น่าจะกล้าหาญขนาดถล่มสถาบันวิจัยของฝ่ายตรงข้ามให้ราบ ผิดกฎหมายแบบโจ่งแจ้งอีกต่างหาก ที่สำคัญการสร้างศัตรูกับมิทซึคิงนั้น ใครก็รู้ว่าไม่ควร”

...แต่ก็ทำไปแล้ว...

นัยน์ตาของเจฟมีแสงคุกรุ่น บอสยิ้มมุมปาก เขาเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่ายดี จึงยื่นมือไปตบไหล่เบาๆ สองที เจฟสูดลมหายใจเข้าเรียกความใจเย็นให้กับตัวเอง

“ฉันแจ้งอังเดรแล้วว่ากรุณาสั่งงานฝ่ายกฎหมายของมิทซึคิงด้วย ถึงเราจะรู้อยู่ว่าใครเป็นคนระเบิด แต่พวกนั้นก็ทำร้ายนักวิจัยของเราถึงชีวิตไปหลายคน คงจะปล่อยให้โดนโจมตีฝ่ายเดียวไม่ได้”

เจฟเข้าใจความหมายของบอสทันที มันแปลว่าถึงแม้พวกเขาไม่ได้ระเบิด แต่ก็มีส่วนทำให้เกิดการระเบิด พวกเราก็จะหมายรวมล่ะว่าพวกเขาเป็นต้นเหตุ อยู่ที่นักกฏหมายล่ะว่าจะมีลูกเล่นมากแค่ไหน

“เทอรี่... ฉันว่างานนี้มันใหญ่เกินไปไหม มันเกินตัวพวกเราไปไหม”

ไม่บ่อยที่ใครจะเรียกชื่อของเขา ชายหนุ่มวัยกลางคนนามเทอรี่คลี่ยิ้มปลอบใจให้หลานชาย ใบหน้าของทั้งคู่มีเค้าโครงคล้ายกันอยู่มาก ต่างกันก็เพียงความหนุ่มแก่ หนวดเคราและริ้วรอยแห่งประสบการณ์ตามคางและแก้มของผู้สูงวัยกว่าเท่านั้น ที่ช่วยปิดบังความเหมือนเอาไว้ เทอรี่รู้ดีว่าเจฟเหนื่อยล้า ครั้งนี้เราโดนโจมตีหนักเหลือเกินจนเพื่อนร่วมทีมเสี่ยงเกือบตายไปหลายคน รวมทั้งเพื่อนสนิทที่สุดของเขาด้วย

รถขับวนกลับมาที่เก่า เจฟเตรียมลงจากรถ บอสเอนตัวมาบอก “สนแจ้งว่าอาสินคงจะไปงานเลี้ยงในวันมะรืนนี้ ฉันรู้ว่าลำพังตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการคงเข้าร่วมงานระดับนั้นไม่ได้ แต่ฉันรู้สึกว่าปิแอร์จะไปได้ ใช่ไหม?”

เจฟนิ่งคิดเพียงไม่กี่วินาที ก็ส่งยิ้มมั่นใจเป็นคำตอบให้อีกฝ่ายได้หัวเราะพลางโบกมือลา

...

... ปุจฉา ‘ปัจจัยที่ทำให้กานต์ชนิตหายตัวมีอะไรบ้าง’ ...

...วิสัชนา ‘คงจะเพราะความตกใจรึเปล่า หรือเพราะเกี่ยวกับเวลา หรือสถานที่กันล่ะ หรืออย่างอื่น โอ๊ย เธอจะไปรู้ได้ยังไง’ ...

พลันก็มีเสียงคอรัสร้องประสานเสียง ‘นั่นซี นั่นซี นั่นซี จะไปรู้ได้งาย ได้งาย ได้งาย’

การตอบคำถามด้วยคำถามมีแต่จะทำให้เกิดคำถามไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนการเขียนโปรแกรมให้รันวงลูปแบบไม่มีสิ้นสุดนั้นแหละ และยิ่งรันนานก็มีแต่จะทำให้เครื่องเออเร่อ

วรินธรตักอาหารเช้าเข้าปากอย่างเชื่องช้า คิ้วนิ่วขมวด ตาลอยมองปลายม่านปลิวสะบัดระวงกบหน้าต่างราวกับเบื้องหลังม่านจะมีคำตอบซ่อนอยู่ ใช่สิเธอต้องหาคำตอบ คงจะต้องเริ่มจากกลับไปสืบที่บ้านเพื่อนบ้านอีกครั้ง คิดได้ดังนั้นอาหารเช้าก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เธอลุกขึ้นตั้งท่าจะไปคุ้ยหาเสื้อผ้าในกระเป๋า

เสียงเคาะประตูห้องเรียกความสนใจซะก่อน เมื่อประตูห้องเปิดออกจนปรากฏร่างสมส่วนในเสื้อกราวน์ปักชื่อแพทย์หญิงอินทนิล เธอจึงนึกได้ว่ากำลังทำอะไร

วินาทีนี้เธอควรคิดเรื่องหมออินทนิลกับหมอรสสุคนธ์มากกว่ามิใช่หรือ จะมากังวลกับเรื่องของกานต์ชนิตที่ไม่มีส่วนสัมพันธ์กับงานเลยทำไม สองมือจึงได้ตกลงชิดข้างตัว พลางกระตุกยิ้มให้หมอที่วันนี้ค่อนข้างอิดโรย ก็แน่ล่ะ อยู่เวรมาค่อนคืนแล้วยังต้องทำงานต่ออีก

“หมอหรือว่าซอมบี้เนี่ย” วรินธรพยายามทักเพื่อคลายอารมณ์ตึงในใจตนเอง

อินทนิลเก๊กหน้าบึ้งได้ไม่นานก็ยิ้มจนได้ ทำให้ดูสดใสขึ้นบ้าง

“กวนกันอีกตามเคย ไหนหมอขอตรวจแผลหน่อย”

วรินธรกลับไปนั่งบนเตียง ยื่นแขนให้อีกฝ่ายตรวจโดยดี ส่งยิ้มแบบหุ่นยนต์ให้กับใบหน้าใกล้กัน และก็หมดความสนใจเพียงเท่านั้น

อินทนิลตรวจไปก็นิ่งไป เริ่มล้างแผลแล้วเอ่ย “เหมือนมันจะอักเสบมาอีก”

วรินธรรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร แต่เรื่องอะไรจะบอกหล่อนล่ะว่าเธอโดนน้ำเมื่อคืน มือหมอกดแผลทำให้เจ็บนิดหน่อย เธอแค่เหลือบมองนิ่งๆ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายสบตากลับ

“แปลกนะ ทำท่าอย่างกับไม่เจ็บ”

เธอแค่ยิ้มขรึม “ก็เจ็บค่ะ” แต่ยังน้อยนักเทียบกับเมื่อคืน ความเจ็บแสบเสียดแทงทำให้ทรมาน

หมอจึงเอ่ยชม “แสดงว่าเป็นคนอดทน”

เธอยิ้มรับแบบเดิม จนฝ่ายหมอเริ่มสงสัยหันไปถามอุณหภูมิคนไข้จากพยาบาลซึ่งเพิ่งดึงปรอทออกเมื่อครู่ ก็ปกติดีไม่ได้มีไข้ แต่หน้าตาคนไข้ไม่ดีเลย

“เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ปวดท้องหรืออะไรไหม”

เธอเบนหน้าจากหน้าต่างมองหมอ และส่ายหน้า “ฉันปกติดีค่ะ คงมีแค่แขนที่เจ็บนิดหน่อย... ฉันว่าหมอต่างหาก ควรรีบกลับบ้านไปนอนพัก เวรเมื่อคืนยุ่งมากจนไม่ได้นอนใช่ไหม”

คำถามแบบรู้ไปหมดก็ยังทำให้อินทนิลทึ่งอยู่นั่นเอง “เธอเป็นพวกมีตาทิพย์หรือไงนะ”

คนป่วยหัวเราะหึ “หน้าหมอมันฟ้อง”

อินทนิลจับหน้าตัวเอง พลางเอ่ยยิ้มๆ “โถ อุตส่าห์ตบแป้งตั้งหนา ไม่ช่วยเลยเหรอน่ะ”

“อย่างหมอไม่ต้องตบแป้งหรอก ถึงจะทำงานหน้ามันก็ยังสวยเป็นธรรมชาติอยู่ดี”

“ฮึ ว่าอะไรนะ” วรินธรไม่ได้ตั้งใจหว่านเสน่ห์อะไรทั้งสิ้น ครั้งนี้แค่พูดไปตามตรง แต่พอสบตาหมอที่พราวระยิบก็เริ่มรู้ตัวว่าอาจจะต้องระวังคำพูดหน่อย นึกถึงแฟนหล่อนแล้วขยาด คงไม่ดีแน่จะไปกระตุกหนวดเสือ มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจเปล่าๆ แม้หมอจะมีแก้มป่องคล้ายกานต์ชนิตก็เถอะ...

เอ๊ะ เธอคิดแบบนี้อีกแล้ว...

เธอสบตาคุณพยาบาล ในสมองหล่อนคงคิดจินตนาการไปสารพัด คนสมัยนี้ทำไมจิ้นวายกันเก่งจัง เธอจึงเปลี่ยนเป็นส่งยิ้มเผล่ให้ “อย่างคุณพยาบาลนี้ แก้มป่องๆ โดยธรรมชาติจะทำให้รู้สึกว่าเป็นคนสุขภาพดีไงล่ะ พอสุขภาพดี ก็จะสวยสดใสเป็นธรรมดา”

คำเฉไฉสามารถลดความระยิบระยับในแววตาของคุณหมอได้นิดหน่อย แต่อย่างไรก็ทำเสียงเอ่ยแบบเสียดาย

“แหม เราก็อุตส่าห์ดีใจว่ามีคนชมว่าสวย”

เธอยิ้มพร้อมเอ่ยสโลแกน “เป็นผู้หญิง อย่าหยุดสวย” ให้หมอขำ

“เธอก็รักษาสุขภาพหน่อย นอนป่วยนานๆ แบบนี้คงจะสวยยาก”

“นี่จะว่ากันทางอ้อมว่าฉันไม่สวยใช่ไหม”

อินทนิลหัวเราะชอบใจ “ฉันว่าฉันไม่ได้อ้อมนะ”

“หูย ร้ายกาจ”

อินทนิลเก็บอุปกรณ์และเอ่ยปิดท้าย “เอาน่า เดี๋ยวหายป่วยก็กลับมาสวยได้แล้ว ช่วงนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดี หมอไปละ”

เธอโบกมือและส่งยิ้มลา เมื่อหมอและพยาบาลออกจากห้อง ก็ทิ้งความเงียบปกคลุมดังเดิม

...ฉันไม่ไปไหนหรอก ไว้ค่อยสืบเรื่องของฉันเมื่อไหร่ก็ได้...

หล่อนพูดโกหก บอกว่าจะไม่ไปไหนแต่หล่อนก็หายไป

วรินธรมองรอบตัว มันว่างเปล่า “กานต์ อยู่รึเปล่า”

ได้แต่เรียก เผื่อว่าจะอยู่แถวนี้ แม้รู้ดีกว่าถึงหล่อนอยู่ เธอก็ไม่เห็นหล่อนอยู่ดี ไม่รู้จะเรียกไปทำไมเหมือนกัน

วรินธรถอนหายใจ ก็พร้อมๆ กับเสียงถอนใจของใครอีกคนนั่นแหละ และวรินธรก็คงจะไม่ได้ยิน ผีพรายผู้ยืนถอนใจอยู่ข้างเตียง มองดูอาการซึมมึนของคนป่วยอย่างพอเข้าใจความรู้สึก

กานต์ชนิตเห็น... ในดวงตาของวรินธรตอนเห็นเธอโปร่งแสง คงเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นวรินธรกลัว คนเข้มแข็งและเจอสถานการณ์อะไรก็ไม่หวั่นอย่างหล่อน ยังแสดงอาการตื่นตะลึงได้มากขนาดนี้ เธอคิดว่าตนเองได้กลายเป็นผีร้ายในสายตาของหล่อนเข้าแล้ว

ก็ถ้าใครลองได้เจอวิญญาณหายตัวได้ ยังไม่พอแถมยังกรีดร้องโหยหวนอีกต่างหาก คงจะวิ่งหนีไปให้ไกลหรือคงเข็ดขยาด และคงไม่มีทางอยากพบเจออีกเป็นครั้งที่สอง

แต่เพราะเป็นวรินธร คนที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา ถึงได้เรียกหาเธอแบบนี้ แถมยังทำท่าเศร้าสร้อยเห็นแล้วรู้สึกสงสาร เธอรู้สึกว่าความเห็นใจในกระบวยเริ่มจะเต็ม จนอยากสัมผัสใบหน้านั้น ลูบหัวเบาๆ เป็นการปลอบใจหล่อนเสียหน่อย แต่ก็แตะต้องกันไม่ได้

...................................................................................................

สมิธมีศักดิ์เป็นอาของพอล การที่เขาเอาตัวไปเป็นเพื่อนกับพอล ทำให้มีโอกาสได้คุยกับสมิธบ่อยขึ้น ปิแอร์รู้ดีว่าสมิธนั้นต่างจากพอลเป็นอย่างมาก ด้วยประสบการณ์ของเขาและตำแหน่งกรรมการในฝ่ายบริหาร เขาจึงมีความเฉียบแหลมและเฉียบคม ดวงตาของสมิธเวลาจ้องมอง เขาจะพยายามอ่านนิสัยจนทะลุ สำหรับมือใหม่ไม่เคยเจอ บางทีอาจจะตื่นกลัวเอาง่ายๆ แต่ปิแอร์เคยเจอคนประเภทนี้มาหลายครั้ง จึงไม่เคยเกรงกลัว อีกทั้งยังอ่านนิสัยออก

คนเฉียบคมย่อมนิยมคนฉลาด การสร้างภาพเป็นสิ่งที่ชาวอีเว้นท์นิยมฝึกหัด พูดดีเข้าตัว ความชั่วซุกไว้ ทำอย่างไรก็ได้ให้ดูว่าเราฉลาด ดังนั้นเพียงไม่กี่บทสนทนา สมิธก็ต้องมองปิแอร์ใหม่ และเมื่อพอลขอให้พาปิแอร์ไปงานเลี้ยงด้วย สมิธจึงเสนอให้ปิแอร์เป็นแขกของเขาซะเองอย่างง่ายดาย

วันนี้ปิแอร์จึงได้มายืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในห้องจัดเลี้ยงริมสระน้ำและสวนจำลองบนชั้นสูงสุดของอาคารเฟเดอริกสตาร์ซึ่งไม่เคยมีพนักงานระดับรองผู้จัดการต๊อกต๋อยเช่นเขาเคยเหยียบที่นี่ ขนาดระดับผู้จัดการยังมายากเลย ดังนั้นเป็นโอกาสดีที่เขาจะเก็บข้อมูลให้ทั่วว่ามีใครบ้างเป็นยอดปีรามิดของบริษัทแห่งนี้

“ปิแอร์” เสียงพอลดังขึ้นจากสวนด้านนอกห้องจัดเลี้ยง เขาอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนคู่กับหญิงสาวคนหนึ่งในเดรสยาวสีเขียว หล่อนตวัดสายตาคมมองปิแอร์นิ่ง จนกระทั่งเขาเดินถึงตัวพอลและเอ่ยทักทายอย่างยินดี หญิงผู้นั้นจึงได้ส่งมือให้จับและแนะนำตัว

“พุดตี้ค่ะ เป็นเพื่อนของพอล”

ปิแอร์ส่งมือกลับและเอ่ยเป็นภาษาไทยฟังชัด “ปิแอร์ครับ”

รอยยิ้มของผู้หญิงทำให้เขายิ้มหวานตอบ พลางเหลือบดูสายตาพอลว่าอะไรหรือไม่ พอลยังคงยิ้มละไม เป็นกิริยาที่บอกให้รู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน

“พุดตี้เป็นนางแบบ นายอาจจะไม่เคยเห็นเพราะเธอถ่ายแต่แฟชัน ไม่ได้เป็นนักแสดง”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณสวยมาก” คำชมคล้ายดั่งมารยาท ปิแอร์กลืนขำลงคอเพื่อมองออกว่าคนฟังก็ยิ้มเขินตามมารยาทเช่นกัน เสียงพอลบรรยายต่อมาอีก

“เธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรีสอร์ทเครือวิลล่าพาราไดซ์ด้วย นายเคยได้ยินไหม เป็นรีสอร์ทที่กำลังเปิดสาขาไปหลายประเทศในเอเชีย”

“เคย ได้ข่าวว่าหรูหรามาก ค่าห้องคืนเดียวคงแพงกว่าเงินเดือนของฉันทั้งเดือน” ปิแอร์ตอบกลางกลั้วหัวเราะ พุดตี้ยิ้มมองเขาอย่างสนใจ

ผู้หญิงที่ดูไว้เนื้อไว้ตัว บ้างก็ชอบผู้ชายที่ฐานะเสมอตัวเอง บ้างก็ชอบผู้ชายถ่อมตัว คุณพุดตี้คนนี้ น่าจะเป็นประเภทหลัง

“ถ้านายคิดอยากจะพักสักคืนในราคาย่อมเยาล่ะก็ ลองถามวิธีจากพุดตี้สิ เธอกับคุณกีจกร ซีอีโอของวิลล่าพาราไดซ์ รู้จักกันดี”

“อุ๊ย พอลก็พูดให้คุณปิแอร์เข้าใจผิด รู้จักกันดีอะไรล่ะ ฉันร่วมงานกับเขาบ่อยค่ะ ถ้าคุณอยากได้บัตรส่วนลดล่ะก็ บางทีฉันอาจจะหามาให้คุณได้”

ปิแอร์หัวเราะ “ก็อยากจะได้อยู่ล่ะครับ แต่คิดไม่ออกว่าจะไปกับใครดี ดังนั้นถึงผมได้บัตรมา ก็คงหาโอกาสจะไปไม่ได้อยู่ดี”

“ไม่น่าเชื่อ อย่างคุณปิแอร์เนี่ยนะคะหาใครไปด้วยไม่ได้” เสียงหัวเราะเล็กๆ ทำให้ปิแอร์ยิ้มมุมปาก ยกเครื่องดื่มจรดริมฝีปากไปเสียแทนที่จะพูดอะไร เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในหลุม

“เรื่องหาคนไปด้วยไม่ได้ยากสักนิดค่ะ ถ้าคุณมีปัญหาแค่หาคนไปด้วยล่ะก็ พุดตี้สามารถจัดการให้ได้ค่ะ”

“นี่โปรโมชันสุดๆ ไปเลยนะครับ” ปิแอร์สบตาหล่อนยิ้มๆ มองเห็นร่างสูงบึกของชายหนุ่มในสูทครีมผู้หนึ่งเดินตรงมาใกล้ หน้าตาของเขาเคร่งขรึม มองปิแอร์และหญิงสาวข้างปิแอร์ด้วยสายตาไม่บอกอารมณ์อันใด

“อ้อ คุณกีจกรมาพอดีเลย เรากำลังพูดถึงรีสอร์ทของคุณเชียวค่ะ”

ปิแอร์ซ่อนความตื่นเต้นภายใต้ใบหน้ายิ้มขรึม ยื่นมือจับกับกีจกรเป็นการทักทาย ปล่อยให้เสียงเล็กของพุดตี้เจื้อยแจ้วผ่านหูไป ในความคิดพลันวิเคราะห์ชายตรงหน้า

ปิแอร์เพิ่งได้พบกับกีจกรเป็นครั้งแรก กีจกรผู้นี้มีอายุเพียงสามสิบต้นๆ ก็ได้เป็นซีอีโอสืบต่อจากบิดาที่เสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ เขาบริหารงานได้ดี สามารถขยายสาขาเพิ่มได้อีกหลายประเทศ และเรื่องข่าวลือว่ากำลังคบหาดูใจกับนางแบบสาวคนหนึ่ง ข่าวก็คงจะไม่หนีจากความจริงนัก เพียงแต่ว่านางแบบสาวคนนี้จะออกลายแพรวพราวไม่น้อย

เสียงบทสนทนาดังมาจากภายในห้องจัดเลี้ยง บริเวณเวทีของนักดนตรี สักครู่พิธีกรก็ประกาศชายหนุ่มผู้หนึ่งร่างกายผอมบาง ผิวพรรณขาวจนเกือบซีด ก้าวขึ้นมาบนเวที เขาคือกรรมการผู้ถือหุ้นใหญ่ของที่นี่ น่าจะอายุไม่เกินยี่สิบ การบริหารทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือของลุงซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกและผู้ปกครอง แต่วันนี้ผู้เป็นลุงมาไม่ได้ จึงส่งให้หลานมาแทน จริงๆ น่าจะไม่เรียกให้มาแทน แม้หลานชายจะเป็นเจ้าของตัวจริง แต่ทุกคนทราบดี เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น

งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น ปิแอร์อาศัยความช่างจ้อของพอลและพุดตี้ เก็บข้อมูลอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งเป้าหมายของเขามาถึง

อาสินในสูทสีดำสนิท ควงคู่มากับลูกสาวของเขา...ภาพทิวา

ปิแอร์เผลอยิ้มออกมาทันที หน้าตาบูดบึ้งของภาพทิวาบ่งบอกได้ดีว่าหล่อนเต็มใจมางานนี้แค่ไหน อย่างไรก็ตามภาพทิวาจะทำให้งานเลี้ยงไม่น่าเบื่อ

“อ่ะนั่นไง คนสำคัญของปิแอร์มาแล้ว” พอลแกล้งประกาศเพื่อให้พุดตี้ได้ยิน ปิแอร์ยกน้ำจิบเป็นแก้วที่สองพลางมองตรงไปยังภาพทิวาในชุดสีน้ำเงินเข้ม ขับผิวนวลเหลืองผุดผาด เส้นผมที่ปกติปล่อยตามธรรมชาติ วันนี้รวบตวัดขึ้นพันเก็บไว้กลางศีรษะอย่างมีศิลปะ ทิ้งปอยเคลียแก้มและลำคออย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อแต่งหน้าแต่งตาเพื่อออกงานกลางคืนอย่างนี้แล้ว เขายอมรับว่าหล่อนดูสวยจริงจัง

ปิแอร์ขอตัวเพื่อไปตักผลไม้เพิ่ม เพราะเล็งเห็นแล้วว่าบริเวณนั้นคนน้อย แล้วก็เป็นดังคาด ครู่เดียวร่างเพรียวระหงของภาพทิวาก็เดินมายังโต๊ะวางถาดผลไม้ ปิแอร์โผล่หน้ามาจากรูปปั้นตกแต่งตรงหัวโต๊ะ เมื่อภาพทิวาเห็นก็ตาโตตกใจ “นายมาที่นี่ได้ยังไง!”

เขายิ้มรับ จิ้มมะละกอใส่ปากเคี้ยวกลืนและบอก “ผมไม่ได้ตามคุณมานะ ผมได้รับเชิญมาอย่างถูกต้อง ชิมหน่อยไหมครับ หวานใช้ได้”

ภาพทิวามองผลไม้ในมือเขาอย่างโกรธเคือง เอ้อ โกรธคนแล้วพาลโกรธผลไม้ก็ได้ด้วย

“ฉันตักเองได้” ปิแอร์มองหล่อนตักผลไม้ด้วยดวงตาพราวยิ้ม

“นี่คุณมิ้นท์ ผมถามบ้างได้ไหม แล้วทำไมวันนี้คุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ตาแก่คนนั้นที่คุณควงมาเป็นใครเหรอ”

คำถามกวนประสาททำให้ภาพทิวาถลึงตาใส่ “ตาแก่ที่นายว่านั่นคือพ่อของฉัน”

ปิแอร์ยกมือขอโทษอย่างเสแสร้ง “ขอโทษ กระผมไม่ทราบ โล่งใจไปที ผมนึกว่าเป็นคนที่อุ้มชูเลี้ยงดูคุณเสียอีก”

คนอุ้มชูเลี้ยงดูที่เขาหมายความถึง ไม่ใช่พ่อแน่ๆ ดวงตาของภาพทิวามีไฟแลบเป็นริ้วๆ ก่อนจะระเบิดออกมาตามการยั่วยุของชายหนุ่ม คุณหญิงคุณนายกลุ่มหนึ่งก็เดินมาตักผลไม้เป็นการขัดทัพให้ ปิแอร์หัวเราะมือหนึ่งถือจานผลไม้ที่ตักเต็ม อีกมือส่งแก้วให้ภาพทิวา “ช่วยถือหน่อยครับ”

ภาพทิวารับมาแบบงงๆ แล้วมืออีกข้างที่ว่างก็โดนเจ้าหนุ่มฝรั่งจับจูงให้ออกเดินไปยังโต๊ะนั่งริมน้ำ ปลอดคนและสามารถเห็นได้ทั้งงาน ภาพทิวาเมื่อรู้สึกตัวก็สะบัดมือออก ปิแอร์ยื่นมือขอรับแก้วคืนมา พลางนั่งลงบนเก้าอี้

“นั่งสิ หรือคุณอยากปั้นหน้ายิ้มตอบคำถามคุณหญิงพวกนั้นล่ะ”

แม้ไม่เห็นด้วย แต่ภาพทิวาก็เห็นว่าที่ตรงนี้สงบที่สุดในงาน จะดีมากถ้าไม่มีตาฝรั่งขี้เก๊กให้เกะกะตา

ฝรั่งขี้เก๊กที่วันนี้ไม่ค่อยจะเก๊ก ฉีกยิ้มรู้ทันจนดวงตาเป็นประกาย

“กินนี่ให้หมดก่อน แล้วเดี๋ยวผมมีวิธีทำให้คุณหลบออกจากที่นี่โดยที่พ่อคุณไม่รู้”

หญิงสาวมองคนพูดอย่างไม่เชื่อถือ และเห็นว่าไว้ใจไม่ได้ ปิแอร์ไม่พูดอะไรต่อ มองพิธีกรพูดคุยเชิญคนนั้นคนนี้บนเวทีอย่างสนใจ อาสินพ่อของหล่อน เป็นสปอร์นเซอร์ใหญ่ สักครู่เขาเดินตรงไปคุยกับกีจกร ปิแอร์มองเห็นอาการนบนอบย่างเห็นได้ชัด แม้อาสินจะอายุมากกว่า แต่ทำไมกลับกลัวผู้ชายรุ่นลูกอย่างกีจกร ไม่ต้องเดาให้มากก็พอจะรู้ว่าใครเป็นลูกน้องใครเป็นนาย

และคนที่ทุกคนในที่นี้เกรงกลัวที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นก็คือหัวเรือใหญ่ของเฟเดอริกสตาร์ ลุงของเด็กคนนั้น คุณพยัคฆ์

“น้องมิ้นท์ มานั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้นี่เอง”

ปิแอร์เบนหน้ากลับมาตามเสียงทัก แล้วก็ต้องเปิดตากว้างเมื่อเห็นหญิงสาวเบื้องหน้า

แต่ถ้าพายมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ มันจะต้องตาโตเป็นสองเท่าของไข่ห่านอย่างแน่นอน

ก็แพทย์หญิงที่มันเดินว่อนตามหาทั่วโรงพยาบาลมาหลายวัน มายืนเด่นสวยในชุดเดรสสีขาวอยู่เบื้องหน้าเขานี่ไง และกำลังพูดคุยอย่างสนิทสนมกับภาพทิวาอีกด้วย

นี่มันงานนัดพบ งานรวมเสือรวมสิงห์ชัดๆ

“ว่าแต่ว่าชายหนุ่มคนนี้คือใครคะ ไม่เห็นจะแนะนำพี่เลย”

ภาพทิวาสลายรอยยิ้มได้ไวยิ่งกว่าการสลายร่างของธาตุโปโลเนียมซะอีก (โปโลเนียมเป็นธาตุกัมมันตรังสีที่มีค่าครึ่งชีวิตต่ำมากแค่ไม่ถึงหนึ่งวินาที อิอิ)

“อย่าไปยุ่งกับเขาเลยค่ะพี่รส...”

พี่รส?...

“ผมปิแอร์ครับ เป็นพนักงานฝ่ายบุคคลของที่นี่” เขาชิงพูดแทรกพร้อมกับยืนขึ้น ยกมือให้จับทักทาย แพทย์หญิงผู้นั้นยังลังเลมองหน้ามุ่ยของภาพทิวากับหน้ายิ้มแย้มของปิแอร์ ก็หัวเราะและส่งมือให้เขา

“ยินดีค่ะ รสสุคนธ์ค่ะ”

อ๋อ พี่รส รสสุคนธ์นี่เอง... นามสกุลอะไรนะเออ...

ปิแอร์ลดบุคลิกอันมั่นอกมั่นใจลงและออกตัว “คือคุณสมิธให้ความกรุณากับผมมาร่วมงานนี้ครับ แต่พอดีผมรู้จักแค่ไม่กี่คน เห็นคุณมิ้นท์เคยฝึกงานอยู่ใกล้แผนกผม ก็เลยชวนปลีกตัวออกมาจากวงสนทนาของผู้ใหญ่”

รสสุคนธ์ยิ้มเอ็นดูภาพทิวา “ฉันเข้าใจค่ะ น้องมิ้นท์ไม่ชอบออกงาน นี่คงโดนพ่อบังคับมาล่ะสิ ใช่ไหม”

ภาพทิวาไม่ปฏิเสธ แถมยังเขย่าแขนชวนให้อีกฝ่ายพากันกลับบ้านอีกด้วย ปิแอร์มองด้วยรอยยิ้มปิติ ก็จะไม่ให้ปิติได้ยังไงล่ะ นี่มันจุดไต้ตำตอชัดๆ สองคนนี้สนิทกัน หึหึ ไม่ธรรมดา

“พี่ต้องไปคุยธุระสำคัญกับคุณพ่อของน้องมิ้นท์ก่อน เอาไว้คุยเสร็จแล้วเดี๋ยวเราค่อยออกจากงานพร้อมกันนะ”

“โหพี่รส กว่าพี่รสจะคุยเสร็จอีกเป็นชั่วโมง”

รสสุคนธ์หัวเราะ ร้องตอบว่าไม่นานหรอก พร้อมกับผละไปยังวงสนทนาของอาสินทันที ปิแอร์มองท่าทีกระเง้ากระงอดพลางยิ้ม เมื่อมองตามร่างของรสสุคนธ์อีกที ก็เห็นหล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่มีอาสิน กีจกรและเด็กหนุ่มผู้กำหุ้นส่วนใหญ่ ทั้งสามสนทนากันด้วยสีหน้าปกติ ปิแอร์อ่านท่าทางของเด็กหนุ่มผู้นั้นออก ว่ามันแฝงความเคร่งเครียดจนเก็บกลั้นไม่ไหว เพียงแต่ไม่กล้าจะออกปากขอตัวจึงต้องอยู่ร่วมฟังบทสนทนาด้วย

อาสินขยับมือเรียกลูกน้องด้านหลัง ลูกน้องในชุดสูทสีดำซึ่งคงจะเป็นมือขวาของอาสินยื่นมือส่งกล่องสี่เหลี่ยมกล่องหนึ่งให้เขา เป็นกล่องเล็กขนาดเท่าฝ่ามือและดูยับยู่ปู้ปี้ แสงไฟในงานเลี้ยงทำให้ปิแอร์เห็นกล่องไม่ชัดนัก แต่มันให้ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาชอบกล ขอให้ไม่ใช่สิ่งที่สังหรณ์ก็แล้วกัน อาสินส่งกล่องต่อให้กับกีจกร ชายหนุ่มรับไปด้วยรอยยิ้มสมใจ เขาอ่านปากกีจกรเป็นคำพูดได้ว่า

“ทำดีมาก”

อาสินยิ้มรับคำชม กีจกรดึงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ล้วงกล่องเล็กกว่ากล่องแรกส่งให้รสสุคนธ์

“ฉันกำลังโดนจับตาอย่างหนักไม่ดีแน่ถ้าเก็บสองอย่างไว้กับตัว พวกอีเว้นท์เป็นหมากัดไม่ปล่อย เธอเป็นคนเดียวที่พวกเขาไม่สงสัย คุณพยัคฆ์จึงให้ฉันฝากนี่เอาไว้ที่เธอก่อน”

รสสุคนธ์เขย่ากล่องขึ้นลงวัดน้ำหนัก ตวัดสายตามองกีจกรอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ปิแอร์รู้ว่าสองคนนี้ระดับเดียวกัน ไม่มีใครสั่งใครได้ แต่คงเพราะเป็นคำสั่งของพยัคฆ์ หล่อนจึงทำตามเก็บใส่กระเป๋าโดยดี

จากนั้นทั้งสามก็แยกวงอย่างแนบเนียน พากันไปคุยกับวงสนทนาใหม่ ปิแอร์จึงรู้แล้วว่างานเลี้ยงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสิ่งใด ว่าแต่ว่าอะไรอยู่ในกล่องสองใบนั่น แล้วมันสำคัญอย่างไร?

ชายหนุ่มหันกลับมายังโต๊ะ มองไม่เห็นภาพทิวาอีกต่อไป เอ หายไปไหน

กวาดตามองพักใหญ่ เขาจึงเห็นร่างภาพทิวาในชุดน้ำเงินตรงประตูทางออก ขณะที่ทั้งอาสินและรสสุคนธ์ยังติดพันพูดคุยไม่มีทีท่าว่าจะจบ เขาจึงเร่งฝีเท้าตามภาพทิวาไปดีกว่า หมดความสนใจจะอยู่ที่นี่ต่อไป

เมื่อมาถึงทางเดินด้านนอกก็ไม่เห็นใคร ภาพทิวาเดินไวใช่เล่นเขาหาไม่เจอเลย

ครู่ใหญ่ที่เดินวนเวียน เขาก็เห็นภาพทิวาเดินหน้าเบื่อออกมาจากห้องน้ำ รอยยิ้มกริ่มปรากฏบนมุมปากของชายหนุ่ม แอบเดินเลียบผนังชิดตัวหล่อนได้ ก็คว้าข้อมือหมับ พร้อมกับยกสองนิ้วปิดปากหล่อนไว้

“ชู่ว์ อยากออกจากที่นี่ ห้ามพูดอะไร”

ภาพทิวามีสีหน้าไม่พอใจอย่างหนัก ปิแอร์ยิ้มอย่างสนุก พลันกระชากแขนอีกฝ่ายให้เดินแกมวิ่งเข้าสู่ลิฟต์ทันที

“นี่! นายปิแอร์!”

...

ความเงียบในยามค่ำคืนมักเป็นเวลาที่ดีสำหรับนั่งคิดงาน หรือการวางแผนการสักอย่างหนึ่ง

แต่มาคืนนี้มันไม่ใช่

วรินธรเอนตัวราบไปกับเตียงนอนอยู่นานก็ไม่สามารถคิดแผนที่ดีได้ สมองเธอตีบตันเพราะอดนอน ใช่ แล้วเธอควรจะหลับได้แล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ยอมหลับยังไงล่ะ เพราะว่ามันยังมีเรื่องรบกวนใจ

วันนี้ทั้งวันเธออุตส่าห์พาตัวเองไปเดินข้างนอก พาความคิดกลับไปสู่เรื่องหมอรสสุคนธ์ พยายามชักจูงให้สืบหาเรื่องราวต่อ วันนี้เธอพบว่ารสสสุคนธ์แท้จริงแล้วเป็นอาจารย์หมอและเป็นฝ่ายบริหารของโรงพยาบาล มีห้องทำงานอยู่อีกตึกหนึ่งซึ่งเธอบอกตัวเองว่าควรไปเดินเล่นแถวนั้นสักหน่อย

แต่เดินเล่นไม่ได้เท่าไหร่ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องฉุกเฉิน และคงจะเบนเข็มไปยังห้องพักแพทย์ในไม่ช้า รู้ดีว่าถึงเข้าไปก็คงไม่มีวันได้พบกับกานต์ชนิต

เพราะว่าหล่อนหายวับไปแล้วเมื่อคืนนี้ หล่อนสลายร่างเหมือนปีศาจในเซเลอร์มูล แค่เพียงเพราะโดนน้ำพ่นใส่ แต่กลับให้อิทธิฤทธิ์เหมือนโบกคทาวิเศษ เสกมนต์ของตัวแทนแห่งดวงจันทร์...




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบสาม Come To Me(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:13:33 »
(ต่อ)

วรินธรยันกายลุกขึ้น ลูบใบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยล้า หันมองโซฟายาวที่ว่างเปล่า ก็เดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเช็ดให้สะอาด พลางนำร่างกายที่เริ่มจะแข็งแรงเป็นปกติออกไปยังระเบียงห้องแคบๆ ด้านนอกมีเพียงเก้าอี้ไม้ตัวยาววางชิดหน้าต่างห้อง แต่จิตใจนั้นล่ะ ทำไมมันถึงได้โหวงเหวงนัก ตึกที่มีโครงสร้างกลวงโบ๋ก็เป็นตึกที่รอวันถล่ม จิตใจที่โหวงเหวงคงไม่ต่างกัน

เธอเคยนอนไม่หลับเมื่อนานมาแล้ว มันเกิดขึ้นเวลาที่เธอมีเรื่องต้องการทำมากๆ แล้วทำไม่สำเร็จ เวลาที่มองไม่เห็นความหวัง มองหาปัญญาไม่เจอ มีคนบอกว่าการนั่งสมาธิทำให้เกิดปัญญา เธอนั่งลงเอนหลังพิงพนักพร้อมกับมองไปยังสวนมืดสลัวเบื้องหน้า ลมเย็นคลายความระอุตอนกลางวันได้มาก พัดเอาเส้นผมปลิวเบาๆ

จึงหลับตา... ปล่อยตัวเข้าสู่สมาธิ

สายลมเอื่อยเฉื่อยล้อเล่นคลอเคลีย ชวนทำให้เคลิ้มไปวูบใหญ่ วรินธรค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อลมวูบนั้นผ่าน ข้างกายเธอในตอนนี้ ไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป...

ร่างโปร่งใสเลือนราง ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างกัน

ดวงตากลมโตมีแววหนักใจปนเห็นใจ เธออยากคิดว่ามันเป็นแค่จิตหลอน เพราะวันนี้เธอคิดถึงหล่อนทั้งวัน จะเกิดมีปัญญาสร้างจินตภาพเป็นรูปหล่อนก็คงจะไม่แปลก และถ้ามันเป็นแค่จิตหลอน อีกเดี๋ยวหล่อนเกิดหายไปอีกครั้ง เธอจะได้ไม่รู้สึกใจหายและทรมาน

มือเย็นแตะทาบบริเวณหน้าผากของเธออย่างถือวิสาสะตามเคย เสียงแผ่วก็บอก “เธอตัวรุมๆ อีกแล้วนะพาย”

................................................................จบบทที่สิบสาม Come To Me

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.