web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 389
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 360
Total: 360

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่สิบสอง Down By The Water  (อ่าน 796 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบสอง Down By The Water
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:10:27 »
บทที่สิบสอง Down By The Water


ภาพทิวารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ที่เมื่อถามใครในคณะสถาปัตยกรรมก็ไม่มีใครรู้จักพริ้งแพรวพรรณเลยสักคน เพื่อนหลายคนบอกว่าเคยเห็นหล่อนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หรือว่าพริ้งจะเป็นพวกชอบโดดเรียนกันล่ะ

เธอสั่งให้คนขับรถขับไปยังบริษัทเฟเดอริกสตาร์เพื่อเริ่มการฝึกงาน เมื่อรถจอดไม่ทันไร เธอก็ต้องรีบหลบหลังเสา เพราะเจ้าหนุ่มฝรั่งตัวสูงเดินผ่านลานกว้างเข้าไปยังตัวอาคารพอดี พนักงานชายหญิงทักทายเขาอย่างเป็นกันเองและสนใจ เขาเป็นเป้าสนใจเสมอไม่ว่าเดินไปที่ใด และเพราะอย่างนี้ก็เลยพลอยทำให้เธอเดือดร้อนไปด้วย เมื่อเขาเดินเข้าไปแล้ว เธอจึงค่อยออกมาจากหลังเสาบ้าง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่ต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ ทั้งที่เรื่องนี้เธอไม่ได้เป็นคนก่อแท้ๆ

นายปิแอร์ตาใสนั่นต่างหาก

เสียงล้อรถบดกับพื้นคอนกรีตดังเอี๊ยด ทำให้เธอหันไปมอง พบรถเก๋งคันเล็กทรงแปลกเลี้ยวเข้าจอดในซองอย่างเร่งรีบ พลันคนขับก็ก้าวออกมา ดึงแว่นตากันแดดออกเสียงสาบเสื้อ ยิ่งดึงคอเสื้อให้ต่ำจนเห็นร่องอก

ผู้หญิงคนนั้นหุ่นดีและอยู่ในชุดเดรสสั้นอวดขาเรียวยาวสวยไร้ที่ติ เธอคงจะมองต่อด้วยความสนใจมาก ถ้าไม่บังเอิญเห็นใบหน้าหล่อนชัดเสียก่อน และรู้ว่านั่นคือผู้หญิงลูกครึ่งที่เคยจูบกับพริ้งแพรวพรรณให้เธอได้ตกใจหน้าห้องสมุดมาแล้ว

ทำไมผู้หญิงคนนี้มาอยู่ที่นี่ล่ะ?

หน้าตาหล่อนสวยแบบสาวลูกครึ่ง ดวงตาที่เข้มคมแบบเชื้อสายยุโรปและจมูกโด่ง แต่คิ้ว แก้มและรูปหน้ามันเป็นของชาวเอเชีย แน่นอนหล่อนสวยกินขาด กินไปซะทุกอย่าง รวมทั้งกินพริ้งแพรวพรรณไปด้วย เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เล็กๆ เพียงแค่นั้นกลับสร้างความกังวลให้เธอนอนหลับไม่เต็มตื่นไปถึงสามวัน

อย่างไรก็ตาม ภาพทิวาตัดสินใจแอบตามผู้หญิงลูกครึ่งผู้นั้นไป ด้วยความหวังลึกๆ ว่าอาจจะเจอคนที่หล่อนต้องการพบได้ คนที่เพียงเข้ามาในชีวิตไม่ถึงหนึ่งวัน ได้อยู่ด้วยกันเพียงแค่หนึ่งคืน กลับสร้างความสนใจได้อย่างมากมาย แล้วยิ่งทำตัวเป็นปริศนา ยิ่งสร้างความสนใจเข้าไปอีก

น่าแปลกที่อีกฝ่ายกลับเดินอย่างมาดมั่นไปยังด้านหลังของอาคาร เป็นส่วนประตูทางออกด้านหลัง พลางขึ้นบันไดไปครึ่งทาง ภาพทิวาดึงขาตัวเองให้แอบเข้าข้างเสาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกคนที่เดินออกมาจากตัวอาคารคือใคร

นายปิแอร์ตาใส? เหตุใดรู้จักผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับพริ้งแพรวพรรณได้ล่ะ

สองหนุ่มสาวคุยอย่างปกติ และยืนห่างกันเล็กน้อย ภาพทิวาอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียง สีหน้าของปิแอร์นิ่งเฉยค่อนไปทางขำขัน ส่วนผู้หญิงนั้นเล่ากลับเต็มไปด้วยความเครียดและกังวล หล่อนดูท่าจะหัวเสียไม่น้อย และตั้งท่าจะทำอะไรบางอย่างให้นายปิแอร์ต้องรีบก้าวถอยหลังเป็นการหนี ทั้งคู่คุยกันอีกอึดใจ ก็โบกมือล่ำลา นายปิแอร์เดินล้วงกระเป๋ากางเกงกลับไปในอาคาร ส่วนฝ่ายหญิงก็เดินกลับมายังรถยนต์ส่วนตัว ภาพทิวารีบวิ่งลงไปหน้าอาคาร มองหาแท็กซี่ได้ก็โบกให้หยุด หันไปมองรถของสาวลูกครึ่งที่แล่นด้วยความเร็วผ่านหน้าไปสู่ถนนใหญ่ จึงบอกให้แท็กซี่รีบขับตามหล่อนไปทันที

...

วรินธรรวบรวมแผนการในสมองตัวเองกว่าค่อนคืนและทบทวนแผนการอย่างถี่ถ้วน จึงค่อยปล่อยให้ตัวเองหลับไปในที่สุด พอเช้าตรู่ เธอจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ แบ่งของหวานและและขนมปังให้เพื่อนร่วมห้องที่มองตาปรอยไปสองชิ้น พลางขยับตัวลุกจากเตียงนอน

“จะไปแล้วเหรอวรินธร”

เธอไม่ตอบ ค้นหาเสื้อผ้าอย่างลวกๆ พลางเอ่ย “จะไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด” พลางมองอีกฝ่ายขึ้นลง และยื่นจมูกไปฟุดฟิดๆ ใกล้ตัวหล่อน

“ทำอะไรน่ะวรินธร!” อีกฝ่ายรีบก้าวถอยห่างทันควัน เธอจึงจับแขนหล่อนไว้

“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับเธอนะ”

วรินธรขำกับความระแวงเรื่องนั้นของหล่อน “ฉันแค่สงสัยว่าตอนนี้เธอกินได้นอนได้เหมือนคนทั่วไปแล้ว และจะมีการเผาผลาญเหมือนคนทั่วไปรึเปล่า เช่นว่า ต้องขับถ่ายไหม มีเหงื่อรึเปล่า ต้องอาบน้ำไหม ฉันคิดว่าเธอควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”

เธอย่นจมูกเป็นการประกอบคำพูด และเดินถือชุดคนไข้ชุดใหม่เข้าห้องน้ำ

กานต์ชนิตก้มลงดมตัวเองบ้าง เสื้อผ้าชุดนี้เธอใส่มาปีหนึ่งแล้ว ถ้ามันจะเหม็นบ้างก็ไม่เห็นแปลกเลยนิ วรินธรทำให้เธอเสียเซ้วเรื่อยเลย

จากนั้นกานต์ชนิตจึงไปค้นในกระเป๋าเสื้อผ้าของวรินธร พบชุดลำลองสองชุดก็หยิบออกมาทาบกับตัว เลือกตัวที่พอจะใส่ได้ เมื่อวรินธรออกจากห้องน้ำ เธอก็รีบเอ่ย “ฉันขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว รอฉันก่อนน้า”

วรินธรเหล่ตามอง “นั่นมันเสื้อผ้าของฉันนี่”

กานต์ชนิตยิ้มหวานอย่างเอาใจ “ฉันขอยืมหน่อยเดียว จะเป็นไรไป นะนะ”

“ชั้นในของฉันด้วยนะ” กานต์ชนิตทำหน้าไม่ถูกนักเมื่อมองตามนิ้วชี้ของอีกฝ่าย วรินธรจ้องด้วยสายตาคมกริบ พลันก็ยิ้มกริ่ม “เห็นว่าได้ข้อมูลดีมาบอก เอาล่ะ เดี๋ยวเย็นนี้จะซื้อชั้นในเป็นของขวัญให้”

“ยัยบ้า!”

ว่าจบก็ปิดประตูห้องน้ำดังปัง วรินธรหัวเราะก๊าก พอดีกับพยาบาลเดินเข้ามา เธอจึงหันไปยิ้มให้ พลางรับยาจากมืออีกฝ่ายใส่ปากอย่างว่าง่าย และยื่นนั่นนี่ให้อีกฝ่ายตรวจร่างกายอย่างรู้งาน

พอตรวจเสร็จ กานต์ชนิตก็ออกจากห้องน้ำพอดี พยาบาลเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ เป็นการบอกว่าหล่อนไม่เห็นกานต์ชนิตแต่อย่างใด

“ฉันนึกว่าพยาบาลจะเห็นเสื้อผ้าลอยได้ซะอีก แต่ก็เปล่านะ” วรินธรตั้งข้อสังเกตอย่างประหลาดใจ มองกานต์ชนิตขึ้นลงและบอก “เธอตัวเตี้ยกว่าฉัน ขาเลยเหลือ พับขาซะหน่อยดีไหม”

กานต์ชนิตมองชายกางเกงและพยักหน้า รีบก้มลงทำตาม และรีบแจ้นออกจากห้องตามร่างคนป่วยที่เดินว่องไวออกไปพร้อมกับเสาน้ำเกลือก่อนแล้ว

แต่แล้วยังไม่ทันได้ก้าวออกไปไหนไกล เสียงแหลมดังก็วิ่งทะลุผ่านโสตประสาทของคนทั้งคู่จนสะดุ้ง

“พราวพิลาศ!”

การปรากฏกายของหญิงสาวผิวขาวเนียนกับขาที่ดูจะเด่นมาแต่ไกล ทั้งรูปร่างที่เพรียวผอมเอวเล็กอกตูมหน้าเป๊ะ ทุกอย่างรวมกันทำให้หล่อนกลายเป็นจุดสนใจทันที และตอนนี้ หล่อนก็กำลังเดินมาหาพวกเธอ

วรินธรกลอกสายตาหนี หันสบตากานต์ชนิตเป็นการบอกว่า เรื่องยุ่งๆ กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ฮารุกะกวาดตามองคนป่วยกับเสาน้ำเกลือขึ้นลง สายตาโมโหปนโกรธแปรเปลี่ยนเป็นความกังวล เมื่อเดินมาถึงตัว หล่อนก็อ้าแขนกอดเธอแน่น เธอได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดของฮารุกะที่เธอเคยคิดว่ามันคล้ายกลิ่นดอกชบา แต่เมื่อสกัดเข้มข้นกลายเป็นน้ำหอม เธอกลับคิดถึงกลิ่นหอมอ่อนเย็นจนแทบไร้กลิ่นจากดอกจริงมากกว่า

“ฮารุ... นี่มันโรงพยาบาลนะ เค้าห้ามส่งเสียงดังรู้ไหม” วรินธรกล่าวคำทักทาย ยิ้มอ่อนใจกับแรงรัดที่แน่นแสนแน่น

“ถ้าเจฟไปช่วยพายไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม” เสียงกระซิบตอบกลับเคร่งเครียด เมื่อฮารุกะผละออกจนเห็นหน้ากันชัด วรินธรจึงได้เห็นว่าน้ำตาอีกฝ่ายกำลังไหล คราวนี้มองเธออย่างกับเธอไปแย่งของเล่นหล่อนมา

วรินธรยื่นมือไปแตะศีรษะอีกฝ่าย ดึงเข้ามากอดพลางตบไหล่เบาๆ เป็นการปลอบใจ

“ฉันไม่เป็นอะไร สบายดีทุกอย่าง”

“สบายดี? แล้วแขนเธอล่ะ?”

“เออ เดี๋ยวมันก็หาย”

การปลอบใจฮารุกะทุกทีไม่เคยยาก วรินธรถอยออกมามองใบหน้าหล่อนพลางส่งยิ้มหวานให้ หล่อนก็จะหายโกรธ แต่ครั้งนี้มันไม่ง่ายอย่างนั้น เธอส่งยิ้มหวานอยู่นาน ใบหน้านั้นก็ยังบึ้งได้ไม่หยุด

“ซีเรียส?” เธอเลิกคิ้วแซว “ไม่เอาน่า จมูกบานแล้ว หน้าแก่อีกต่างหาก”

“ซีเรียสที่สุดในชีวิต ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องหรอก ฉันไม่หลงกล”

วรินธรยักไหล่ มือเปลี่ยนไปจับเสาน้ำเกลือดังเดิม และทำท่าจะเดินจากไป ฮารุกะรีบดึงแขนเธอให้หันกลับไป อีกข้างก็ดึงต้นคอโน้มใกล้ และก็เหมือนเดิม จอมเผด็จการทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว

ประกบริมฝีปากลงมายังปากเธอทันที ทำเอาแทบงับปากไม่ทัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดันตัวอีกฝ่ายออก แต่ก็รู้ว่ายากสักหน่อยกับสาวที่มีกำลังเยอะอย่างฮารุกะ แล้วก็สังขารอันไม่สมบูรณ์แบบของเธอ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลยอีกจนได้ จวบกระทั่งอีกฝ่ายพักยก เธอจึงได้ลืมตามองรอบตัว ว่ามีไทยมุงหลายหย่อมมองมาตรงนี้ โอ๊ย ปวดกะบาลแท้

“ฮารุกะ”

เธอเรียกชื่อหล่อนเรียบๆ เจ้าของชื่อยังคงหน้าบึ้งมองเธอขุ่นขวาง อ้อ นี่คงคิดว่าตัวเองโมโหเป็นคนเดียวล่ะสิ “ฉันต่างหากที่ควรมองเธอด้วยสายตาแบบนั้น เธอทำทุกอย่างตามใจพอแล้ว ก็กลับไปได้แล้ว”

“ทำไมพายพูดแบบนี้”

“ก็ทำอะไรไม่คิดถึงผลเลย แบบนี้ฉันไม่ชอบ”

วรินธรพยายามก้าวถอยหลัง ฮารุกะจึงคว้าเอวเธอไว้หมับและกอดต่อ ให้เธอได้ถอนหายใจอีกรอบ “ฉันขอโทษ พายก็อย่าทำตัวให้ฉันเป็นห่วงนักสิ แล้วนี่นอนโรงพยาบาลตั้งหลายคืน เธอเคยป่วยหนักแบบนี้ที่ไหน”

“แล้วเจ้าเจฟไม่ได้บอกเหรอว่าฉันใกล้หายแล้ว”

“เจฟบอก แต่ฉันไม่เชื่อ” นั่นไง ไปถามไอ้เจฟมาจริงด้วย แล้วมันก็เสือกโกหกไม่เนียน

เออ พี่น้องคู่นี้ รู้ทันกันไปหมด

“บอสฝากมาบอกว่า ให้พายงดทำงานตลอดสัปดาห์นี้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร ไม่ต้องสืบทั้งนั้น”

วรินธรนิ่งไป ฮารุกะไม่ชอบโกหก น้ำเสียงหล่อนก็บอกว่าเรื่องนี้จริงจัง

“แล้วถ้าเกิดฉันเห็นเบาะแสอยู่ตรงหน้าล่ะ”

ฮารุกะกอดแน่นขึ้น “ก็ไม่ต้องสนใจ ปล่อยจิงจ้อสืบไป เธอมีหน้าที่เดียว คือรักษาตัวให้หายก็พอ เข้าใจแล้วนะ”

วรินธรขมวดคิ้วพลางดันร่างนั้นออก “ฮารุกะ ฉันหายใจไม่ออก”

อีกฝ่ายเงียบและไม่ทำตามคำขอของเธอ เธอรู้สึกถึงความซึมชื้นที่ไหล่ ก็รู้ได้ทันทีว่าฮารุกะร้องไห้อีกแล้ว รอบนี้ดูท่าจะกังวลจริงจังถึงได้บ่อน้ำตาตื้นเป็นเด็กๆ เธอรู้ว่าฮารุกะต้องตามหาเธอนานและไม่ยอมมีใครบอกว่าเธออยู่ไหน สุดท้ายก็กลับไปถามเจฟเอาจนได้ เพราะอย่างนี้เธอจึงปล่อยให้หล่อนกอดไปให้สาแก่ใจ และชวนไปคุยต่อในห้อง แทนที่จะยืนเด่นให้คนรุมดูอยู่อย่างนี้

นานทีเดียวกว่าฮารุกะจะกลับไป ทำเอาหมดแรงหมดอารมณ์จะไปค้นหาเบาะแสเลยทีเดียว

วรินธรเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟา พ่นลมหายใจดังฟู่ และเหลือบมองกานต์ชนิต

“นี่วรินธร คุณฮารุกะเนี่ย ตกลงเป็นอะไรกับเธอกันแน่” กานต์ชนิตนั่งไขว่ห้างเท้าศอกกับเข่าเอามือวางคางอยู่บนเตียงคนไข้ มองเธออย่างเห็นใจแทนที่จะตกใจตาเป็นไข่ห่านเหมือนคนทั่วไปที่เห็นผู้หญิงจูบกัน

“เป็นน้องสาวของเพื่อน”

“เจฟน่ะเหรอ?”

เธอหรี่ตามองคนถามที่ยิ้มตอบ ตอนนี้เธอเหนื่อยใจ ไม่มีอารมณ์จะตั้งแง่ว่าหล่อนจะเอาข่าวไปบอกใครรึเปล่า จึงได้แต่บ่นเบาๆ “รู้เยอะเกินไปแล้ว”

“ฉันว่าแล้วว่าเธอต้องระแวงฉันอีก”

“เฮ้อ อย่ามากวนอารมณ์กันน่า”

กานต์ชนิตกระโดดลงจากเตียง รินน้ำส่งให้เธอ วรินธรได้แต่เลิกคิ้ว

“ฉันไม่เคยคิดจะกวนอารมณ์เธอ อ่ะดื่มสิ จะได้หายเหนื่อย”

อาจเป็นความง่าย ความซื่อ และจริงใจ เธอจึงรับแก้วน้ำมาดื่มจนหมด จนหล่อนยิ้ม “เวลาว่าง่ายแล้วน่ารักจะตาย”

แต่ก็มาสะดุดเพราะปากหล่อนเนี่ยแหละ เธอมองหล่อนตาขวาง จนกานต์ชนิตหัวเราะ มองด้วยแววตาวาวๆ แฝงความรู้ทัน และขยับตัวนั่งลงบนโซฟาข้างกัน

“มีแต่คนเค้าชอบคำชมว่าน่ารัก เธอนี่ก็แปลกคน”

“เธออย่าเข้าใจอะไรเอาเอง ฉันยังไม่ได้พูดอะไร”

กานต์ชนิตมองใบหน้าซีกข้างของคนป่วย ก็ขำ “เธอว่าไม่ได้เป็นอะไรกับฮารุกะ แล้วทำไมฉันเจอเธอสองคนทีไร เป็นต้องจูบปากทักทายทุกที”

วรินธรยิ้มเรี่ย “คงเป็นธรรมเนียมฝรั่งมั้ง”

“เฉไฉตลอด ฉันรู้หรอกว่าฮารุกะคิดอะไรกับเธอ”

“ความคิดของใครก็ของมัน ห้ามกันไม่ได้หรอก”

กานต์ชนิตชะโงกมองหน้าเธอ เธอไม่ชอบหลบตาใคร จึงหันไปสบตาหล่อนตรงๆ

“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้เย็นชาอย่างคำพูดคำจาของเธอหรอก ไม่งั้นเธอคงออกปากไล่ฮารุกะไปตั้งแต่ตอนจูบแล้ว”

“ฉันก็ไล่แล้วไม่เห็นเหรอ ไปซะที่ไหนล่ะ”

“ฉันคิดว่าคนอย่างเธอถ้าอยากจะไล่จริงคงมีวิธีทำแหละ แต่ไม่อยากทำต่างหาก”

การถูกล้วงหาตัวตนเป็นสิ่งที่ชาวอีเว้นท์หวงแหนหนักหนา วรินธรยิ่งรู้สึกระแวงคนพูดหนักข้อ มันมาพร้อมกับความตื่นเต้นที่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่วิเคราะห์นิสัยกันได้ถูกต้อง

“แล้วเธอคิดว่า... ทำไมฉันไม่ไล่ฮารุไปล่ะ”

กานต์ชนิตยิ้มซื่อ “เพราะเธอน่ารักไงล่ะ”

พลันระบบเลือดใต้ผิวของเธอก็สูบฉีดอย่างแรงจนตั้งตัวไม่ทัน คนที่มองดูอยู่ยิ้มออกมาทันที วรินธรได้แต่สะบัดหน้าหนี พลางค้านเสียงเรียบ “เธอมั่วแล้ว”

พลางรับฟังเสียงหัวเราะเบาๆ ของกานต์ชนิตอย่างข่มอารมณ์ หล่อนยังคงใช้ปากอันว่างงานจากการกินมาวิจารณ์เธอต่อราวกับบรรยายดินฟ้าอากาศ

“เพราะเธอใจอ่อน และขี้สงสาร เธอก็เลยไม่ไล่ฮารุกะไป เหมือนตอนนั้นถ้าเธอจำได้ ที่ฉันพบกับเธอครั้งแรก ตอนฉันเปียกน้ำจนเสื้อที่ใส่อยู่มองทะลุไปถึงไหน เธอก็ยังช่วยฉันเอาไว้เลย”

วรินธรปั้นหน้าเฉย ไม่หันไปรับรอยยิ้มขอบคุณของคนพูด พลางลุกขึ้นยืน เปลี่ยนเรื่อง

“ฉันจะไปข้างนอก”

กานต์ชนิตมองหน้าเธออย่างค้นหา สักครู่ก็ยิ้มกึ่งขำ พลางพยักหน้า “ได้ ฉันไปด้วย”

จะตามไปถึงไหน...

วรินธรเริ่มหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผล เดินว่องไวไปพลางกระชากประตูเปิดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นคนที่ไม่คาดคิดยืนอยู่หน้าห้อง ยกมือค้างเหมือนกำลังจะเคาะประตู

...ภาพทิวา...

“เอ่อ ฉัน... คือฉัน...” คนมาใหม่อ้ำอึ้งเมื่อเห็นหน้าเธอ

วรินธรลูบแก้มตนเองทันที พลางประมวลผลอย่างรวดเร็ว วันนี้เธอไม่ได้อยู่ในใบหน้าของพริ้งแพรวพรรณ ไม่มีทางที่หล่อนจะรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเธอ แล้วยิ่งชื่อที่แปะหน้าห้องคือพราวพิลาศ ซึ่งตั้งใหม่สดๆ ร้อนๆ ยิ่งไม่น่าจะมีใครล้วงข้อมูลส่วนนี้ได้ นอกจากจะตั้งใจสืบประวัติและต้องเป็นคนที่จับไต๋ได้ด้วยว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ เธอมั่นใจว่าทางฝ่ายอาสินยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น...

“มาหาใคร คะ?” เธอยิงคำถามออกไปทันที ส่งผลให้หล่อนมีใบหน้าเก้อ ไม่ใช่หน้าตาของคนที่มาจับผิดแน่ พอจะโล่งใจได้ส่วนหนึ่ง เธอจึงสงบใจที่เต้นรัวอย่างง่ายดาย

“คุณพราวพิลาศใช่ไหมคะ ฉันมี...บางเรื่องจะแจ้งให้คุณทราบค่ะ”

วรินธรมองคนพูดเป็นคำถาม ภาพทิวาหันออกไปมองนอกห้อง มองรอบตัวอย่างกังวลก่อนกลับมามองเจ้าของห้อง

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเมื่อครู่นี้”

ในสมองของวรินธรปรากฏเครื่องหมายปรัศนีอันใหญ่ แต่โดยมารยาทและโดยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบคุยกันแบบโจ่งแจ้ง เธอจึงผายมือหล่อนให้เดินเข้ามาในห้อง กานต์ชนิตตาโตมองภาพทิวาสลับกับมองเธอ มีเครื่องหมายปรัศนีเต็มแววตาของหล่อนเช่นกัน เออมันน่าขำ แต่เธอขำไม่ยักกะออก

“ฉันไม่ตั้งใจจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณหรอกนะคะ แต่ฉันแค่อยากจะมาเตือนคุณไว้ค่ะ”

วรินธรมองใบหน้านวลใสอย่างไม่แน่ใจ “เตือน?”

ใบหน้าภาพทิวาจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ถ้าบอกว่ามาแจ้งข่าวว่าพ่อตายจะไม่สงสัยเลยสักนิด

“คุณรู้จักผู้หญิงคนนั้นดีแล้วเหรอคะ”

กานต์ชนิตร้อง “ผู้หญิงคนไหน? ฮารุกะน่ะเหรอ”

วรินธรส่งสายตาปรามผีตัวเดียวในห้อง และส่งสายตาเป็นคำถามต่อไปให้ภาพทิวา ฝ่ายนั้นก็เอาแต่นั่งอมลิ้นเงียบ จะเปิดปากได้หรือยัง แม่คุณ

“มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ” วรินธรกอดอก และตั้งคำถามกระตุ้น เริ่มทำหน้าเครียดบ้าง แสร้งมองว่าหล่อนกำลังจะพูดอะไร หรือกำลังยุ่งเรื่องส่วนตัวอะไรของเธอหรือเปล่า ภาพทิวาลังเลอยู่อีกอึดใจ แต่ในที่สุดหล่อนก็ตัดสินใจพูด

“คุณอาจจะไม่รู้ เธอกำลังหลอกคุณอยู่นะคะ”

เอาล่ะสิ อย่างนี้อิชั้นงงไปกันใหญ่แล้วนะ “คุณต้องการจะพูดอะไรคะ พูดมาให้ชัดเจนเลยดีกว่า”

ภาพทิวาสูดหายใจเข้า “ถ้าคุณกำลังคบกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ ฉันแค่จะบอกว่า ฉันเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นจูบกับคนอื่นมาก่อนค่ะ”

วรินธรกะพริบตาปริบๆ อ้อหล่อนจะมาบอกว่าฮารุกะจูบกับตัวเธอเองในอีกเวอร์ชันนึง โอ๊ยตาย ควรหึงตัวเองดีไหมเนี่ย ในใจเหมือนทุ่มภูเขาออกไปโครมใหญ่ รู้สึกโล่งมาทันตา พยายามปั้นหน้าเครียดเสมือนไม่รู้เรื่องอะไร และตอบไป “อ้อ อย่างงั้นเหรอ”

ส่วนกานต์ชนิตนั้นได้แต่อ้าปากหวอมองภาพทิวาอย่างน่าขำ

“เธอไม่ได้มีคุณแค่คนเดียว ถ้าคุณยังคบกับเธอ คุณจะเสียใจนะคะ”

วรินธรทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะปั้นหน้าแบบไหนดี หล่อนดูไร้เดียงสา แต่ว่าค่อนข้างจุ้นเรื่องคนอื่นไม่เข้าท่า

“ทำไมคุณถึงมาบอกฉันล่ะ”

“ก็เพราะฉันเห็นคุณจูบหล่อนเหมือนกัน...” ภาพทิวาหน้าแดงเมื่อนึกถึง วรินธรมองแล้วร้องโถในใจ แอบรู้สึกเห็นใจปนเอ็นดูหล่อนขึ้นมานิดหนึ่ง

“เอ้อ... ขอโทษนะที่ฉันทำอะไรกันไม่ระวัง”

ภาพทิวาส่ายหน้าเร็วๆ “ฉันไม่ได้จะว่าอะไรคุณนะคะ ฉันแค่อยากบอกในสิ่งที่รู้มาเท่านั้นเอง”

“แต่ฉันยังไม่เข้าใจค่ะ คุณไม่ได้รู้จักกับฉัน จู่ๆ จะมาหวังดีบอกกับฉันทำไม รู้ไหมว่าเดินเข้ามาพูดจาแบบนี้ ฉันมีสิทธิ์คิดว่าคุณจะมายุแยงอะไรฉันได้นะคะ”

หล่อนยิ่งส่ายหน้าเร็วกว่าเดิม “ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้จะยุแยงอะไรคุณเลย เพียงแต่ว่า...”

วรินธรเลิกคิ้ว มองหล่อนแทบทะลุ นั่นทำให้ภาพทิวาอึกอักนึกหาคำพูดเป็นการใหญ่

“ฉัน... คือฉัน... คงแค่ไม่อยากให้มีใครต้องเสียใจค่ะ”

อาการหลบตาของภาพทิวาอ่านง่ายมาก เธอยิ้มมุมปากและถาม “คงไม่ใช่ฉันหรอกที่คุณไม่อยากให้เสียใจ คงเป็นใครอีกคนมากกว่าใช่ไหมล่ะ”

ใบหน้านวลเจือสีชมพูอย่างน่าดู กานต์ชนิตที่ยืนดูอยู่ก็เข้าใจขึ้นมาบ้าง ก้มลงมองหล่อนแล้วส่งสายตาขุ่นมาให้เธอ

“เธอกำลังทำบาปนะ เธอเล่นกับความรู้สึกสาวน้อยคนนี้”

วรินธรยักไหล่ ทำนองว่าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นถึงขนาดนี้ ไม่คิดว่าหล่อนจะยังระลึกถึงเธอด้วย คิดว่าห่างๆ กันเดี๋ยวก็ลืมกันไปเอง

“อืม ยังไงก็ขอบคุณที่มาบอกนะ ถึงแม้ฉันจะไม่เข้าใจอะไรนักก็ตาม” เธอส่งยิ้มให้ภาพทิวา และลุกขึ้นยืน

“ทำไมดูเหมือนคุณไม่เดือดร้อนอะไรเลยคะ แฟนคุณกำลังนอกใจนะ”

วรินธรถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่แฟนของฉันค่ะ”

สายตาหล่อนไม่เชื่ออย่างแรง กานต์ชนิตหัวเราะ “ต่อให้เธออมพระไว้ เป็นใครก็ไม่เชื่อหรอกวรินธร”

วรินธรเหล่สายตาปรามคนแซว ก่อนจะยกมือเกาแก้มแสดงอาการลำบากใจ “คือ...ว่าคุณคงเห็นว่าฉันกำลังเป็นคนป่วย ฉันขอตัวพักผ่อนได้หรือเปล่าเอ่ย”

พูดซะขนาดนี้ ภาพทิวาก็ยิ่งหน้าเหลือสองนิ้ว พยักหน้าอย่างเกรงใจ พลางเดินไปยังประตู หันมามองคนป่วยอีกที ก็อวยพรอย่างเพิ่งนึกได้ “ขอให้หายไวๆ นะคะ”

วรินธรเกือบหลุดขำ และปั้นหน้านิ่งตอบ “ขอบคุณค่ะ” พลางเปิดประตูให้

แต่แล้ว ภาพบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ก็ทำให้วรินธรตกใจอีกเป็นรอบที่สามของวัน เจออย่างงี้ทุกวันเธอคงหัวใจวายตาย

...ปิแอร์...

ดวงตาของปิแอร์วาววับแวบหนึ่ง ก็กลับเป็นเคร่งขรึม เบนสายตามองไปยังอีกคนในห้อง วรินธรจึงร้องอ๋อในใจ ที่แท้ก็มาตามภาพทิวา เธอจำได้ว่าเขาเคยเล่าว่าเห็นภาพทิวาไปฝึกงานที่นั่น

“มาหาใครคะ?” เจ้าของห้องเล่นละครต่อ ฝ่ายแขกก็ตอบ “ขอโทษที่รบกวนครับ ผมมาหาผู้หญิงคนนี้”

“คุณตามฉันมาเหรอ?” ภาพทิวาขึ้นเสียงสูง ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของปิแอร์ หล่อนยิ่งปริ๊ด ปิแอร์ส่งมือให้จับ

“ไปกันเถอะ ผมเห็นคุณเข้ามาในห้องนี้นานแล้ว กำลังสงสัยอยู่เชียวว่ารู้จักกันหรือเปล่า”

วรินธรรีบส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เขาเข้ามาเตือนฉันเรื่องบางเรื่องด้วยความหวังดีน่ะ”

ภาพทิวาไม่จับ เอ่ยล่ำลาเธอ แล้วก็รีบเดินสวนปิแอร์ออกไป ปิแอร์ส่งเสียงเรียก “เดี๋ยวสิคุณมิ้นท์!”

ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งทำให้ภาพทิวาเร่งฝีเท้าหนี ปิแอร์หัวเราะหันมองเพื่อนขึ้นลง

“เออสภาพดีขึ้นแล้วนี่หว่า”

วรินธรพยักหน้าแห้งแล้ง “จะมาทรุดก็วันนี้ล่ะ เซอร์ไพร๊ซ์เยอะเหลือเกิน”

“ฮารุมาหารึ” ปิแอร์เดาได้ง่ายดายพลางส่ายหน้า สบตาเป็นการรู้กันว่ามันยากแค่ไหนจะห้ามคนอย่างฮารุกะให้มาหาเธอได้ ว่าแล้วปิแอร์ก็ยื่นเน็ตบุ๊กและกระเป๋าเอกสารที่ถืออยู่ให้เธอ

“อะไรน่ะ” สายตาจริงจังของเขาทำให้เธอรีบรับมาแต่ก็ยังสงสัย

ปิแอร์หันมองร่างภาพทิวาอย่างคำนวณในใจว่าจะวิ่งตามหล่อนทันไหม และหันมายักคิ้วตอบเธอ

“ร่างคำร้อง ตั้งเรื่องฟ้อง นัดหมายพยาน เรียบเรียงหลักฐาน ลูกน้องแกหามาคนละหย่อมสองหย่อม แกสั่งงานอะไรไปใครจะไปทราบ แล้วบอสบอกต้องรีบไม่งั้นอายุความฟ้องคดีจะหมด”

“เฮ๊ยกี่งานวะเนี่ย”

ปิแอร์ส่งยิ้มหวาน โบกมือลา “โชคดีเพื่อน” ก่อนจะรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไป ทำท่าอย่างกับคนคลั่งรักตามจีบหญิง แถมหญิงก็เล่นตัวไม่สนใจใยดีในตัวเขาสักนิด คงจะเป็นแผนการสนุกๆ ของเจฟ รายนั้นรักสนุกยิ่งกว่าใคร แต่มันคงไม่รู้หรอกว่าถ้าส่งเจนนิเฟอร์ไปจีบท่าจะมีโอกาสมากกว่าปิแอร์เยอะ

มองงานในมืออีกทีก็นึกถึงคำพูดฮารุกะที่ว่าบอสห้ามเธอทำงาน อ้อ หรือที่โยนงานในสำนักงานทนายความมาให้เธอก็เพราะจะได้ไม่มีเวลาไปสืบ

บอสนะบอส

วรินธรร้องจิ๊กจั๊กๆ ในลำคออย่างไม่พอใจแล้วก็หันกลับมาในห้อง พบกับหน้าตาไม่พอใจของกานต์ชนิตยืนคอยอยู่แล้ว ก็ย่นคิ้วงง

“เป็นอะไรของเธอ”

“พวกเธอนี่ร้ายกาจ สุมหัวกันหลอกเด็กคนนั้น”

วรินธรจึงคลายหัวคิ้วออกทำปากอ๋อ พลางขัดเรียบๆ “ขอโทษ ไม่ทราบว่าเธอเป็นญาติฝ่ายไหนของเด็กนั่นกันเหรอ ดูท่าทางเป็นห่วงมากจัง”

“นี่ยังไม่สำนึกอีกนะ ที่เตือนเนี่ยเพราะจะได้รู้ตัวว่ากำลังทำตัวไม่ดี”

เธอยกมือห้าม เมื่อเห็นพนักงานโรงพยาบาลนำอาหารกลางวันมาเสิร์ฟ “ถ้ายังอยากกินข้าวกลางวัน เลิกสั่งสอนฉันเป็นยายแก่ได้แล้วน่า”

กานต์ชนิตอ้าปากจะพูดต่อ แต่วรินธรรีบคว้าส้มบนโต๊ะยัดปากอีกฝ่ายหมับ ทำเอาคายออกแทบไม่ทัน เรียกเสียงหัวเราะให้คนแกล้งได้ทันที แล้วพนักงานโรงพยาบาลก็หันมองอย่างสงสัยว่าหัวเราะอะไร

วรินธรจึงปั้นหน้าตาย เหล่มองอีกฝ่ายที่โมโหก็ขยับหลบหลังคุณพนักงานและตอบ “เอ้อ ช่วยวางให้ตรงบนโต๊ะเลยค่ะ ขอบคุณค่า”

อีกฝ่ายแม้งงอยู่มากแต่ก็บริการให้ วรินธรชี้หน้ากานต์ชนิตและอ้าปากพูดแบบไร้เสียงว่า “ถ้ายังโมโหเดี๋ยวไม่ให้กินข้าว”

เท่านั้นกานต์ชนิตจึงเงียบสงบลงได้ กลิ่นอาหารก็ยั่วยวนให้เธอต้องหยุด เอาไว้คราวหน้าก็ได้ เดี๋ยวค่อยทำให้หล่อนรู้ดีรู้ชั่วให้ได้ เธอว่าที่หล่อนเจ็บปางตายอย่างนี้ ก็เพราะไปก่อกรรมทำเข็นใครต่อใครไว้แล้วไม่สำนึกนั่นเอง

...

กานต์ชนิตก้าวเดินบนทางเดินตัวหนอนท่ามกลางความมืด มีเงาตะคุ่มของต้นไม้ใบหญ้าที่บดบังโคมไฟประดับในสวนอย่างชวนจินตนาการเป็นรูปต่างๆ

ยอมรับว่าเธอเป็นผีแต่ก็ยังกลัวผี แล้วนี่ก็ตีสี่ เวลาผีออก ยัยผู้หญิงดื้อคนนี้ก็ยังจะออกจากห้องมาจนได้ ด้วยเจตนารมณ์ตั้งมั่นของเจ้าตัวที่ประกาศว่า “บอสคิดว่างานแค่นี้จะหยุดฉันได้ ไม่มีทาง”

งานของบอสหยุดหล่อนได้เพียงแค่สองวัน สองวันเต็มๆ ที่วรินธรเอาแต่ซุ่มทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กที่ปิแอร์นำมาให้ นั่งทำอยู่นานจนค่อนคืน คุยโทรศัพท์ติดต่อคนนู้นคนนี้ไม่รู้กี่สายต่อกี่สาย เธอว่าหล่อนเป็นบุคคลที่ถึกทน สามารถทำงานติดต่อกันได้ถึงยี่สิบชั่วโมง จะพักก็แค่ตอนมีอาหารกับตอนเข้าห้องน้ำ

ดังนั้นเวลาตีสามของคืนวันที่สองหลังจากเจอปิแอร์ หล่อนก็ได้เวลาลุกจากที่เพื่อประกาศชัยชนะ ทั้งที่เมื่อคืนก็นอนไปแค่สี่ชั่วโมงเอง

เธอนะง่วงแสนง่วง จะไม่ตามหล่อนออกมาก็ไม่ได้ด้วยสิ ตอนนี้เธอจึงได้แต่เดินตามร่างสูงเพรียวในชุดคนไข้ซึ่งไม่มีเสาน้ำเกลือแล้ว บัดนี้จึงได้คล่องแคล่วเดินไวลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนหย่อมระหว่างอาคาร พยายามหาห้องของแพทย์หญิงอินทนิลก่อนเป็นเบาะแสแรก

วันนี้แพทย์หญิงอินทนิลมีเวรห้องฉุกเฉิน และมีคนไข้ฉุกเฉินหลายรายจนหล่อนไม่ได้ว่างอยู่กับห้องพักแพทย์ วรินธรจึงเดินเข้าไปภายในห้องอย่างง่ายดาย ในห้องไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแค่หนังสือเรียน คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ อาหารนิดหน่อย ตารางระบุเวลา ที่นอนแบบพับได้ และของจุกจิกสารพัด

ใต้ตาของวรินธรเริ่มมีขอบดำบอกอาการอดนอนได้ชัดเจน นี่ล่ะหนอคนดื้อ หล่อนยังคงเปิดลิ้นชักนู้นนี่ดูได้ไม่เลิก ห้องก็เล็กนิดเดียวแต่ทำไมหล่อนใช้เวลาค้นนานจัง จนเธอเริ่มเมื่อยจึงได้เอนหลังพิงผนัง แล้วบังเอิญศอกดันไปชนกล่องบนชั้นวางของล้มลง ข้าวของภายในนั้นกระจัดกระจายบนพื้นห้อง

วรินธรหันมา ตาโตส่องประกาย พลางดิ่งตรงเข้าไปหาของสิ่งหนึ่งบนพื้น เธอได้แต่มองตามอย่างสนใจ

กรอบสี่เหลี่ยมในมือของวรินธรทำให้เดาไม่ยากว่ามันคือกรอบรูป เมื่อหันด้านหน้ามาเธอก็ตาโตด้วยอีกคน

เป็นรูปคู่ของแพทย์หญิงสองคนที่เธอเห็นเมื่อวาน แพทย์หญิงอินทนิลกับแพทย์หญิงต้องสงสัยหุ่นเหมือนหุ่นในร้านเสื้อผ้าคนนั้น ทั้งคู่อยู่ในชุดกราวน์ของแพทย์ คนหนึ่งโอบคอ คนหนึ่งโอบไหล่และยิ้มร่าเริง

ถ้าเป็นเพื่อนก็คงจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก

วรินธรเพ่งมองรูปตาไม่กะพริบ

“เธอมองอะไรน่ะวรินธร”

หล่อนไม่ตอบ เพ่งไปได้สักครู่ ก็เอ่ยชื่อหนึ่งออกมา “รสสุคนธ์”

“หืม ว่าอะไรนะ”

กานต์ชนิตนั่งยองลงข้างหล่อนและมองดูบ้าง วรินธรจึงชี้นิ้วไปยังป้ายตรงอกเสื้อของผู้หญิงต้องสงสัยคนนั้น

“ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เอาเสื้อของใครมาใส่ เธอจะมีชื่อว่ารสสุคนธ์”

วรินธรเพ่งนามสกุลอีกที เห็นค่อนข้างไม่ชัด แต่ก็ยังดีกว่าไม่เห็น ครู่ใหญ่เสียงพูดคุยของใครอย่างน้อยสองคนก็แว่วดังมาจากทางเดิน คงจะเป็นหมอหรือพยาบาลที่เสร็จจากการตรวจคนไข้ กานต์ชนิตสบตาคนตรงหน้า จากนั้นก็รีบเก็บของกลับที่เดิมและพากันลุกขึ้นยืน วรินธรจับแขนกานต์ชนิตเอาไว้เมื่อคำนวณแล้วว่าเสียงใกล้ถึงหน้าห้องเต็มทน ส่งสัญญาณว่าจะต้องหาที่หลบในห้องนี้แหละ กานต์ชนิตมองซ้ายมองขวา เธอว่าเธอคุ้นๆ กับเสียงจึงชะเง้อหน้าออกไปดู...ก็เห็น

“พายวรินธร! นั่นมันหมออินทนิลกับผู้หญิงคนในรูปนั่น”

วรินธรชะงักกึก สบตาโตตกใจของเธอบอกความอันตรายระดับสูง คงจะแก้ตัวไม่ขึ้นแน่ถ้าเกิดใครมาเห็นพวกเธอยืนอยู่ในห้องนี้ จะตอบว่ามาทำอะไรล่ะ วรินธรชี้ไปยังประตูบานหนึ่ง เธอพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่ทันใจอีกฝ่ายที่แทบจะกระชากแขนเธอให้เข้าไปในห้องน้ำแคบด้วยกันให้ว่องไวที่สุด

กานต์ชนิตพบกับความมืดคับแคบและชื้น เห็นแค่แสงไฟระหว่างบานประตูกับวงกบที่งับไม่สนิท พอจะมองออกไปด้านนอกได้นิดหน่อย ตอนนั้นเองเธอก็เพิ่งนึกได้ว่าที่จริงเธอไม่ต้องหลบก็ได้นี่นาเพราะไม่มีใครเห็นเธอได้อยู่แล้ว ครั้นจะเปิดประตูออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน

ร่างเพรียวสูงคล้ายหุ่นที่เธอนึกชมก้าวเข้ามาในห้องก่อน หมอรสสุคนธ์ที่พวกเธอเพิ่งทราบชื่อมาหมาดๆ จับจูงมือหมออินทนิลหมอเจ้าของไข้ของวรินธรเข้าห้องพักแพทย์ด้วยความสนิทสนม เสียงพูดคุยในทีแรกเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยวิชาการ ทั้งคู่ปรึกษากันเรื่องคนไข้เคสหนึ่ง ฟังแล้วฝ่ายรสสุคนธ์เป็นผู้ให้คำแนะนำ เดาว่าหล่อนน่าจะแก่กว่าและมีประสบการณ์ทำงานที่นานกว่า สักพักก็เปลี่ยนเป็นกระหนุ๋งกระหนิงจับมือถือแขน โอนเอนซบพันไปพันมา

เอ... อาการแบบนี้ให้ความรู้สึกคุ้นๆ ชอบกล

กานต์ชนิตที่ย่อตัวนั่งคุกเข่าเหลือบมองอีกคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ข้างกัน สักพักวรินธรก็หันสบตาเธอเมื่อรู้สึกว่าถูกมอง

“ฉันว่าผู้หญิงสองคนนี้ทะแม่งๆ”

วรินธรหลุดยิ้ม ย่อตัวลงมากระซิบตอบ “เซ้นส์ดีใช้ได้ กลายเป็นพวกเดียวกันแล้วสิท่า”

“หยึ๋ย ไม่มีทางย่ะ”

อีกฝ่ายกลั้นหัวเราะพลางชวนให้ดูหมอคู่นั้นต่อ เออ...คงไม่ใช่ทะแม่งธรรมดา อย่างนี้มันชัดเลย




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบสอง Down By The Water(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:11:20 »
(ต่อ)

อินทนิลนั่งลงบนเก้าอี้ยาวกลางห้องพัก พลางดึงแขนอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ๆ โอบกอดเอวอย่างออดอ้อนและชี้ให้ดูถุงใต้ตา

“ดูสิตาดำเป็นหมีแพนด้าเลย”

รสสุคนธ์ยิ้มหวาน ซึ่งเธอคนมองรู้สึกขนลุกยังไงไม่ทราบ แต่คนถูกมองกลับมีอาการตรงกันข้าม อินทนิลยิ้มตอบในแบบเดียวกัน ยื่นมือจับแก้มหมอหุ่นไว้ พลางยื่นปากจุ๊บแก้มข้างละที และหยุดที่ริมฝีปากซึ่งเผยอรับอย่างเหมาะเจาะ รับจังหวะกันดีอย่างคนคุ้นเคยที่จะกระทำต่อกัน

เสียงกระซิบเหนือหัวกลับมาอีก “สมใจเธอไหม ฮิฮิ”

กานต์ชนิตกระทุ้งซอกใส่ต้นขาจนวรินธรร้องอุ๊บ พยายามปิดปากระงับเสียง โชคดีที่หมอสองคนคงหูดับเพราะไปใส่ใจกับสัมผัสทางอื่นมากกว่าทางหู จึงไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ

“เติมพลัง เติมพลัง” รสสุคนธ์ยื่นมือจับหัวคนตรงหน้าไว้ พลางจรดหน้าผากชิดกันและหลับตา “หายเหนื่อยนะคะหมอหนึ่งคนเก่ง พี่หมอเติมพลังให้แล้ว”

กานต์ชนิตยอมรับว่าหมออินทนิลเวอร์ชันอินเลิฟดูน่ารักกว่าเวอร์ชันปั้นหน้าขรึมแบบหมอผู้ทรงภูมิเยอะเลย ยิ่งเวลายิ้มเขินไม่ยอมสบตาแบบนี้ยิ่งดูมีเสน่ห์ หรือวรินธรจะมองเห็นเสน่ห์ของหมอจึงได้หว่านใส่จังเลย

วรินธรก้มลงสบตาเธอเป็นคำถามทำนองว่ามองอะไร มองทำไม

เธอไม่ได้ตอบ แค่สำรวจใบหน้าเฉยของวรินธรที่ไร้ร่องรอยโกรธเคืองหรือหึงหวงอันใด ก็สรุปความได้ว่า วรินธรนั้นหว่านเสน่ห์ไปเรื่อยอย่างคนไร้ความรับผิดชอบนั่นเอง บาปกรรมจริงๆ

เสียงโทรศัพท์ในห้องพักแพทย์ดังกรีดหูไปถึงระบบประสาท อู้ว

กานต์ชนิตยกมืออุดหูแทบไม่ทัน และพยายามกลืนน้ำลายสลายอาการหลอนในหู คิดว่าแพทย์เวรหากว่านอนหลับเอาแรงคงกระเด้งตัวตื่นแบบไม่มีเวลาให้งัวเงียอย่างแน่นอน

อินทนิลรับโทรศัพท์และรีบวิ่งออกไปห้องฉุกเฉิน ไม่ลืมจะส่งยิ้มเหนื่อยและโบกมือลาอีกคนที่เหลือในห้องด้วย รสสุคนธ์ส่งยิ้มให้กำลังใจ เมื่อไม่มีใครหล่อนก็มองนาฬิกาข้อมือ พลางเปลี่ยนทิศมาทางห้องน้ำ

หล่อนจะเข้าห้องน้ำ.... ซวยล่ะสิ เอาไงดี

เธอยืดตัวพลางถดตัวถอยหลังทันที หัวชนคางคนด้านหลังดังปั๊กจนเธอร้อยอู้ย ตัวทั้งตัวก็ชนกับร่างอุ่นๆ ของวรินธรที่ยื่นมือจับตัวเธอให้นิ่งไว้ ส่งเสียงชู้วให้สงบก่อน สายตารอบคอบไร้ร่องรอยแตกตื่นเหลียวหลังมองในความมืดสลัว ยอมรับล่ะว่าวรินธรเป็นคนสติดี แทบจะไม่เคยแตกตื่นในสถานการณ์คับขัน พลันหล่อนก็ดึงแขนเธอให้ก้าวเข้าไปในตู้อาบน้ำแบบไม่มีประตูซึ่งคงเป็นที่เดียวที่พอจะหลบได้ มือยาวรูดผ้าม่านพลาสติกบางๆ ไม่โปร่งใสแต่โปร่งแสงกั้นไว้อย่างหมิ่นเหม่สุดๆ ครู่เดียวไฟในห้องน้ำก็สว่าง

วรินธรชิดใน เธอชิดนอก คนชิดนอกลืมตัวว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นเธอได้ ก็เลยเบียดดันอีกฝ่ายชิดผนังแทบเป็นกล้วยปิ้ง วรินธรส่งมือชี้ไปยังคนด้านนอก ชี้หน้าเธอและชี้ลูกตาตัวเองพลางส่ายหน้า แปลว่า...

...ไม่มีใครเห็นเธอสักหน่อย จะตื่นเต้นไปทำไมยะ...

กานต์ชนิตจึงยิ้มแหะ เลิกหนีบอีกฝ่ายติดผนัง หันมองบุคคลที่สามในห้องน้ำ พอเห็นเท่านั้นแหละ เธอก็รีบดันวรินธรชิดผนังแอ๊กอีกหน ก็เพราะว่า รสสุคนธ์ก้าวเข้ามาทำกิจธุระในส่วนห้องส้วม แล้วเธอก็ไม่ได้อยากเห็นของสงวนอะไรของหล่อน ก็เลยหันหน้าหนีพลางถอนหายใจเฮ้อ เห็นดวงตาดุๆ ของวรินธรก็ส่งสายตาขอร้องว่าไม่ไหวจริงๆ

วรินธรบีบไหล่แน่นและส่งสายตาบอกว่าอย่ายุกยิก เพราะหล่อนต้องขยับตามไปด้วยและต้องพยายามไม่ขยับตัวมากไม่งั้นจะมีเสียง กานต์ชนิตยิ้มเจื่อน พยายามทำตัวนิ่งไม่ตื่นเต้นลนลานเกินควร ภาวนาอย่าให้รสสุคนธ์นึกอยากอาบน้ำขึ้นมาเลย ไม่อย่างนั้นตายแน่

ในที่สุดรสสุคนธ์ก็ทำธุระเสร็จ แต่ยังคงยืนส่องกระจกสำรวจหน้าตาพักใหญ่ ไม่ยอมออกไปสักที ครู่ใหญ่ทีเดียวดูเหมือนหล่อนจะได้ฤกษ์ดีออกไปได้แล้ว ก็แว่วเสียงเคาะประตูห้องน้ำ

“พี่หมอรสคะ” ถ้าเธอจำไม่ผิด นั่นน่ะเสียงอินทนิลรึเปล่านะ

พี่หมอรส...เปิดประตูห้องน้ำแอด เธอชะโงกหน้าดูก็พบว่าใช่จริง อินทนิลหน้าตาร้อนรนเอ่ยเล่าอาการคนไข้รายหนึ่งให้ทราบ และดึงแขนออกจากห้องน้ำอย่างรีบร้อน

กานต์ชนิตถอนหายใจเฮ้อ คลายอาการเกร็งตัวลงและขยับตัวก้าวถอยหลัง พลันก็ลื่นพรืดเพราะพื้นห้องตู้อาบไม่ได้แห้งสนิท มือคว้าหาที่ยึดก็จับหมับที่ไหล่ของคนตรงหน้า ซึ่งก็คงไม่ได้มั่นคงเท่าไหร่เพราะหล่อนลื่นไถลเสียหลักไปพร้อมกับเธอทันที ในที่สุด กฎของความสมดุลก็ทำให้วัตถุที่เอียงกะเท่เร่พยายามรักษาสภาพตัวเองให้เสถียรที่สุด ผลก็คือร่างกายของวรินธรเซเอียงข้างวืดเดียวก็เปลี่ยนตำแหน่งระหว่างเท้ากับก้นทันที แถมยังมีร่างคนก่อเรื่องตามทับลงมาอีก

วรินธรร้องอุ๊กในลำคอเพราะความจุก ประกายตาส่องแววดุใส่เธอซึ่งพยายามแก้ตัวด้วยการลุกขึ้นยืน แต่ก็ดันลื่นลงมาใหม่ สองมือคว้าที่เหนี่ยวรั้งได้แค่ม่านผืนบ๊างบางหลุดคามือลงมากองที่พื้น อีกข้างคว้าที่ยึดได้มั่นคงกว่า ยังไม่ทันได้ยิ้มดีใจ เสียงซ่าก็ทำให้รู้ตัวแล้วว่าตนเองหยิบอะไรไป

น้ำจากฝักบัวพลันไหลซ่าพ่นความชุ่มฉ่ำโดยที่ไม่มีใครเรียกร้อง และคงจะไม่มีอะไรซวยไปกว่านี้เพราะนอกจากเธอจะเปิดน้ำโดยไม่มีใครอยากอาบน้ำแล้วยังดึงก๊อกน้ำให้หลุดติดมือด้วย เหมือนม่านนั่นแหละ คราวเคราะห์ของแท้ คราวนี้น้ำไหลพรวดแบบเต็มความแรงของก๊อกดังซู่ สะท้อนผนังตรงข้ามตู้อาบน้ำกระจายไปทั่ว

“เสียงอะไรคะพี่หมอ?”

เสียงคนข้างนอกดังขึ้นอย่างน่าใจหายวาบ โชคดีที่พี่หมอมีหัวใจแพทย์มากกว่า เอ่ยตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราไปดูคนไข้ก่อนเถอะ ค่อยกลับมาดูทีหลัง” และพากันเดินเร็วๆ ไปยังห้องฉุกเฉิน ทิ้งเสียงน้ำให้ดังกลบเสียงถอนหายใจเฮ้อของคนทั้งคู่

กานต์ชนิตสบตาคุกรุ่นของอีกคนด้านใต้ซึ่งเปียกไปกว่าค่อนตัว เธอได้แต่ส่งยิ้มขอโทษ “เธอนี่นะ เกือบไปแล้วไหมล่ะ”

“แหม... มันก็...” เธอตอบอ้อมแอ้มๆ ยื่นมือส่งก๊อกน้ำให้หล่อนเป็นของขวัญขอโทษ ทำเอาวรินธรอ้าปากค้าง “ยัยถึก เปิดน้ำยังไงให้มันหลุดมาอย่างงี้เนี่ย”

“โหย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเปิดสักหน่อย”

วรินธรขำพยายามลุก “แล้วจะนอนทับฉันอีกนานไหม หรือว่าชอบท่านี้”

กานต์ชนิตดันตัวออกห่างทันที ค้อนปะหลับปะเหลือก พลันก็เห็นตัวของวรินธรที่เปียกโชกก็ตกใจ “พาย แล้วแผลเธอล่ะ ตายแล้ว เปียกหรือเปล่า”

ฝ่ายคนป่วยเพิ่งนึกได้เหมือนกันจึงยันตัวตามแรงผลักออกนอกรัศมีน้ำ รีบยืนและชูแขนขึ้นให้พ้นละออง พลางเหลือบมองแผลซึ่งไม่ได้โดนน้ำพ่นใส่โดยตรง “ไม่เป็นไรหรอก ไม่เปียกมาก คงยังไม่ซึมถึงข้างใน”

กานต์ชนิตค่อยโล่งใจเอนหน้าหลบกระแสน้ำที่พ่นใส่ลำตัว พยายามดันก๊อกกลับไปใส่ที่เดิม แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด แถมยังทำให้ตัวเธอเปียกไปหมด จึงชูหัวก๊อกให้วรินธรดู

“คงจะปิดน้ำไม่ได้แล้วล่ะมั้ง”

พลันเสียงก๊อกน้ำโลหะก็กระทบพื้นดังเคร้ง วรินธรมองเธออย่างสงสัย เออ เธอเองก็งงเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น

ความรู้สึกวืดๆ เหมือนน้ำทะลุผ่านเธอไปชอบกล พลางก็เย็นวาบปนแสบในอกทำให้เธอนิ่วหน้า

“เป็นอะไรไปน่ะ ทิ้งก๊อกน้ำทำไมกานต์ เสียงดังงี้เดี๋ยวใครก็ได้ยิน”

กานต์ชนิตเองก็ไม่รู้ พยายามจะอ้าปากตอบ แต่ก็มีอาการหายใจไม่ออกจนต้องรีบสูดลมหายใจเข้าไวๆ ยิ่งสูดก็ยิ่งแสบ ยิ่งเย็นวูบตามช่องอก เธอรู้... รู้แล้วว่ามันอาการอะไร เงยมองหน้าวรินธรอย่างขอความช่วยเหลือ

“พาย... พาย...” พลางยื่นมือหาอีกฝ่าย มือของเธอเริ่มโปร่งใส ก็ได้แต่มองมือตัวเองด้วยความตกใจสลับกับมองวรินธรที่เริ่มขมวดคิ้ว

ฝ่ายวรินธรเองก็รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น กานต์ชนิตทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เธอยื่นมือคว้าไหล่ของกานต์ชนิตอย่างต้องการพิสูจน์ รู้สึกถึงความเย็นเยียบแล่นเข้าสู่มือ แล้วนิ้วมือเธอก็ขยับเข้าหากันตามแรงกำผ่านร่างโปร่งใสนั้นไป เมื่อจับใหม่สักพักก็เหมือนจับได้ สักครู่ก็กลายเป็นลมว่างเปล่า จับได้แต่พักเดียวก็หาย เหมือนกับสายน้ำที่ทะลุผ่านตัวหล่อนไปชนผนังอีกฟากหนึ่ง และใบหน้าที่ซีดจางลงของหล่อน

วรินธรพยายามคว้าแขนหล่อนและตะโกนสั่ง

“เธอห้ามหายตัว! เธอห้ามหนีฉัน!”

กานต์ชนิตหน้าเสีย ใจก็คงเสีย จนเธอต้องตะโกนเรียกสติ “กานต์ชนิต!”

ผู้ฟังได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เธอไม่ได้ยินเสียงหล่อนแล้ว แต่ยังเดาได้ว่าหล่อนพูดอะไร

...อย่าเข้ามา แผลเธอจะเปียก...

โธ่เอ๊ย ตัวเองจะหายยังไม่วายห่วงคนอื่น คลื่นความเย็นโหมวืดเข้าในความรู้สึก เย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า คงไม่ใช่เพราะสายน้ำที่ชโลมร่างของเราสองคนเท่านั้นหรอก แต่เป็นพลังบางอย่างที่ลึกลับเกินจะเอ่ยและหาที่มาไม่ได้ ร่างของกานต์ชนิตพลันก็เริ่มบิดตัวอย่างไม่เป็นสุข จนกระทั่งดิ้นพล่านและส่งเสียงหวีดร้อง

เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นโหยหวนกึกก้องราวกับคนได้รับความทุกข์อย่างสาหัส แสงเลื่อมพรายสะท้อนไปทั่วห้อง เหมือนแสงสะท้อนจากผิวน้ำ ดูวิบวับสวยงามแต่น่าขนลุกจับใจ ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นเงาดำมืดวาดทับร่างกายโปร่งแสงตรงหน้า กระเพื่อมเป็นคลื่นแห่งความความเย็นทวีคูณจนเธอสะท้านสั่นเทา วรินธรอยากขยับตัวและช่วยหล่อน แต่ความเย็นเยียบนั้นเสียดแทงร่างจนชาดิกแทบขยับตัวไม่ได้

กานต์ชนิตกำลังโปร่งใสจางลงบ้างเข้มขึ้นบ้างอย่างจับจังหวะไม่ได้ ภาพสุดท้ายที่เธอเห็น คือหล่อนหันใบหน้าอาบน้ำตากลับมา ดวงตาแดงก่ำฉายความเจ็บปวด กว่าเธอจะสามารถฝืนความกลัวทั้งหมดตัดสินใจยื่นมือคว้าหล่อน มันก็สายไปแล้ว...ร่างตรงหน้าหายวับ หายไปพร้อมกับเสียงร้องและความเย็นทั้งหมดด้วย

เหลือเพียงเธอที่ยืนนิ่งอึ้งในห้องน้ำ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเหลือเกิน เธอมองมือตัวเองอันว่างเปล่าที่ยื่นค้างออกไป สายน้ำจากฝักบัวรินรดดังซ่าๆ ได้แต่มองรอบตัวเชื่องช้า เมื่อวินาทีแห่งความตื่นตะลึงหายไป หัวใจของเธอก็กลับมาเต้นรัวแรงด้วยความตื่นเต้นระคนตื่นกลัว

อีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว แต่คราวนี้มันมากกว่าคราวก่อนมาก เธอรู้สึกถึงความรู้สึกของหล่อนทุกรูขุมขน จนไม่สามารถระงับอาการขนลุกซู่ได้

นี่...หล่อนเป็นตัวอะไรกันแน่

จะต้องผ่านอะไรมา ต้องเจอเหตุการณ์อย่างไหนจึงทำให้ร้องออกมาด้วยความทุกข์ทรมานแบบนั้นได้

ความเจ็บปวดของหล่อน กรีดลึกไปทุกสัดส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะตรงนี้ เธอดึงมือกลับเข้ามากดบริเวณอก เธอคิดว่าคงเป็นช่องอก มันปวดแสบปวดร้อนเหมือนคนสำลักน้ำ พลันน้ำเสียงกึกก้องวังเวงก็สะท้อนกลับในความคิด

...ฉันจมน้ำตาย...

วินาทีนี้เธอรู้สึกเชื่อคำพูดของหล่อน เชื่อเพราะความรู้สึกของตนเองบอกให้เชื่อ เชื่อทั้งที่ยังหาอะไรมาพิสูจน์ไม่ได้ เธอยกมือลูบหน้าไล่หยดน้ำออกและลูบผ้าพันแผลเริ่มชื้น แต่ยังคงดึงความสนใจเธอไม่ได้ ในใจนั้นยังหมกมุ่นกับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดตรงหน้ามากกว่า

กานต์ชนิตมักจะหายไปและทิ้งคำถามให้เธอเสมอ

“กานต์ชนิต...” เธอช่วยกลับมาตอบคำถามฉันก่อนสิ...ทิ้งกันไปอีกแล้ว...

.........................................................................................จบบทที่สิบสอง Down By The Water

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.