web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 376
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 299
Total: 299

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่แปด Mystery Girl  (อ่าน 847 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่แปด Mystery Girl
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:55:59 »
บทที่แปด Mystery Girl

เช้าวันใหม่ แสงอาทิตย์จากภายนอกส่องลอดหน้าต่างกระจกทำให้ทั้งห้องสว่าง วรินธรลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะแสงด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือรับรู้ถึงอาการปวดเมื่อยในร่างกายจนทนนอนต่อไม่ไหว จึงลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย บอกให้รู้ว่าเธอได้ใช้ร่างกายตัวเองหนักเกินไป มันจึงประท้วงด้วยความรู้สึกอยากพักผ่อนต่อ มองแผลที่แขนซึ่งพันผ้าสีขาวอย่างดีก็นึกขอบคุณคุณหมอคนเก่ง เป็นคนเก่งสำหรับเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผ่านมากี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอ ตั้งแต่ครั้งที่พ่อของเธอต้องเข้าผ่าตัดหัวใจเมื่อสี่ปีที่แล้ว หมอไนท์เป็นหนึ่งในทีมแพทย์ผ่าตัดด้วยทำให้เธอรู้สึกไว้ใจ ผ่านมาป่านนี้ เธอน่าจะกลายเป็นศัลยแพทย์คนเก่ง

วรินธรคิดพลางก้มมองสภาพตนเองในชุดคนไข้ พลางกวาดตาไปทางอื่น แล้วก็ตกใจแทบสะดุ้ง ความคิดเรื่องหมอไนท์ถูกหยุดเพียงแค่นั้นเมื่อเธอเห็นว่าในห้องของเธอตอนนี้ไม่ปกติเสียแล้ว

มีร่างของใครคนหนึ่งนอนทอดตัวอยู่บนโซฟาห่างจากเตียงคนไข้เพียงช่วงแขน

ใคร?!?

เจฟรึเปล่า?

ไม่ใช่แน่ นั่นมันรูปร่างของผู้หญิง

แล้วบุกเข้ามาในนี้ได้อย่างไร ทำไมเธอไม่รู้ตัวเลยล่ะ

ลืมไปว่าที่นี่เป็นห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ดังนั้นใครจะเข้าจะออกก็ย่อมได้ พลันความรู้สึกตื่นตัวก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย

วรินธรมองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรย้ายตำแหน่ง ยกเว้นซองยากับแก้วน้ำบนโต๊ะข้างเตียง ถ้าจำไม่ผิด เมื่อคืนเธอว่าบนโต๊ะนี่ไม่มีสิ่งใด จำได้ว่าได้คุยกับเจฟและหมอก่อนจะหลับไป มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน แล้วร่างยาวๆ นี่คือใคร

พยาบาลพิเศษก็ไม่น่าจะแต่งตัวประหลาดแบบนี้ แถมนอนจนผมกระเซอะกระเซิงปิดหน้าปิดตา

เธอค่อยๆ ย่องลงจากเตียง เพื่อมองดูผู้บุกรุกช้าๆ เสื้อผ้าสีขาวสะอาดมีรอยปักลายตรงใกล้ชาย ผมเปียยาวสีน้ำตาลเข้ม ไล่จนถึงซีกแก้มขาวเกือบซีด จึงยกนิ้วชี้ปัดปลายคางคนนอนให้หันกลับมา เท่านั้น... คนมองก็หัวใจเต้นรัว

เป็นหล่อนนั่นเอง ผู้หญิงล่องหนคนที่ช่วยเหลือเธอสองครั้ง

ทำไมมานอนอยู่นี่ แล้วทำไมเธอถึงเห็นหล่อนได้

คำถามประดังประเดเข้ามาเช่นเคย อย่างที่เธอต้องหลับตาพยายามตั้งสติ ขับไล่อาการมึนซึมและอ่อนล้าออกไปก่อน พลางมองผู้หญิงตรงหน้าใหม่ยังคงปรากฏภาพเดิม คงไม่ได้หลอนตัวเองแน่นอน

ทุกครั้งเธออยากรั้งให้อีกฝ่ายอย่าเพิ่งหายตัวไป แต่พอหล่อนมาปรากฏตัวต่อหน้า ก็ดันทำตัวไม่ถูก

สิ่งแรกที่เธอทำคือค่อยๆ ยกนิ้วจิ้มไปยังแขนของอีกฝ่าย รู้สึกถึงเนื้อหนังมังสาเย็นๆ อย่างน่าแปลก แต่พอลูบดูมันก็คือผิวหนังของคนธรรมดา ไม่ได้สัมผัสว่ามันคือสิ่งสังเคราะห์อย่างอื่นที่ประดิษฐ์เพื่อหุ้มอะไรบางอย่างในร่างกาย เธอสามารถจับแขนจับขาหล่อนได้ตามปกติอีกด้วย คราวนี้คนหลับเริ่มรู้สึกตัวค่อยๆ กะพริบตาตื่นขึ้นมา

วรินธรกลั้นลมหายใจทันที สบดวงตาปรือสีน้ำตาล ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตาคู่นั้นจึงเบิกกว้างตกใจ แล้วสะดุ้งพรวดลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับถดตัวหนีห่างจนชนพนักโซฟาด้านหลังปังใหญ่พลอยทำให้โซฟาไถลถอยหลัง

ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติ เธอคงจะตลกความลุกลี้ลุกลนของหล่อนไปแล้ว ตอนนี้เธอทำได้เพียงจ้องมองอีกฝ่ายเฉยๆ คิ้วขยับเข้าหากัน “เธอเป็นใคร...”

คำถามเดิมที่เธออยากถามหล่อนทุกครั้งเมื่อพบหน้า และไม่เคยได้คำตอบ คราวนี้จะพลาดหรือเปล่า หล่อนจะสลายร่างหายตัวไปเหมือนปีศาจในเรื่องเซเล่อมูนรึเปล่า แต่เธอยังไม่ได้โบกคทาเลยนะ

“เธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” วรินธรพยายามกลืนคำถามที่สามเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของหล่อน หล่อนกำลังสงสัยและตื่นตกใจ หล่อนจะตกใจอะไร เธอต่างหากที่ต้องตกใจสิ จู่ๆ ตื่นมาแล้วเจอใครไม่รู้มานอนเฝ้า ทำอะไรไปบ้างก็ไม่รู้

เราทั้งคู่ยังคงเงียบเหมือนกำลังหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน และวรินธรคงจะอดทนได้ในยามปกติ ขอย้ำว่ายามปกติ แต่ตอนนี้เธอไม่ปกติ เธอกำลังป่วยและกำลังประสาท ดังนั้นต่อมความอดทนของเธอจึงเล็กลีบผิดปกติ

“จะพูดอะไรก็พูดสักทีสิ”

เมื่อเธอเร่งใส่ หล่อนจึงได้คลายอาการเกร็งตัว และเป็นอีกครั้งที่เธอได้เห็นรอยยิ้มในดวงตาคู่นั้น

“นี่ยังไม่หายไข้อีกเหรอ”

วรินธรขมวดคิ้ว “ทำไมเธอรู้ว่าฉันเป็นไข้?”

หล่อนยกมือเสยผมปรกใบหน้าไปด้านหลัง เป็นกิริยาที่ปกติที่สุด แต่สำหรับคนหวาดระแวงแล้ว อดไม่ได้จะยืดตัวขึ้นอย่างเตรียมพร้อมตั้งรับ ทำให้คนมองชะงักไปและถอนหายใจ

วรินธรขมวดคิ้วอยู่เช่นนั้นสบตาหล่อนนิ่งๆ หล่อนจึงยื่นมือข้างหนึ่งส่งให้ ถ้ากวักมือด้วยจะเหมือนมาก

เธอมองมือหล่อนอย่างไม่เข้าใจนัก เส้นลายมือพาดโค้งสวยดี เส้นสมองยาวเกือบถึงขอบ แต่เส้นอายุสั้นไปหน่อย เส้นความรักโค้งสวยใช้ได้ปลายแตกเป็นแฉกบอกถึงโอกาสความเป็นโฮโมเซ็กชัว... ก่อนที่ความคิดของตนเองจะไกลไปกว่านั้น เธอพอจะเข้าใจว่าหล่อนต้องการอะไร เรื่องนี้ต้องพิสูจน์กันหน่อย

เธอส่งมือตัวเองไปจับมือเย็นของคนตรงหน้า ทันทีที่จับกันได้ สีหน้าหล่อนก็ยิ้มเล็กๆ

“เห็นไหม เธอจับตัวฉันได้... ฉันจับตัวเธอได้”

มือเย็นและนุ่มข้างนั้นกำลังบีบมือเธอเบาๆ อย่างต้องการแสดงความจริงใจบางอย่าง แต่เธอกลับรู้สึกวูบวาบและขนลุกตั้งแต่หลังจรดศีรษะ พยายามอย่างมากจะบังคับไม่ให้มือสั่น ช่างแปลกประหลาดจนเธอเองอธิบายไม่ได้ว่ากำลังเกิดอะไร ในความคิดก็ถกเถียงตีกันว่าหล่อนเป็นตัวอะไรกันแน่ ลงมติเอกฉันท์แล้วว่าหล่อนเป็นเอไอ...หุ่นยนต์อัจฉริยะอย่างแน่นอน อีกใจก็ไม่เชื่อว่าใช่

“เมื่อคืนฉันก็อยู่ที่นี่ เข้ามาในห้องตามหลังเธอและนายหนุ่มฝรั่งเพื่อนเธอคนนั้น แต่ว่าเธอไม่เห็นฉัน ขนาดฉันตามเธอทั้งวัน เธอยังไม่รู้สึกตัวเลย”

เธอไม่ชินกับการถูกตาม โดยเฉพาะการถูกตามโดยที่เธอไม่รู้สึกตัวเลย เธอชินกับการแอบตามคนอื่นมากกว่า ยิ่งฟังยิ่งระแวงจนปวดหัวตุบๆ มือข้างนั้นปล่อยออกและชักกลับ แต่แววตาใสแจ๋วคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังโดนรุกรานอย่างหนัก รุกรานเพราะเขารู้เราแต่เราไม่รู้เขา คงไม่ใช่เธอแน่ที่จะยอมตั้งรับอยู่เฉยๆ “แล้ว...ทำไมเธอต้องตามฉัน”

ใบหน้าขาวเกือบซีดตรงหน้าดูจะเก้อไปนิด คำถามนี้ทำให้หล่อนอึดอัดใจ หรือกำลังมีอะไรปิดบัง

“ก็เพราะเธอเป็นคนเดียวที่เห็นฉัน”

คำตอบของหล่อนผิดคาดไปนิดหน่อยและฟังดูไม่เหมือนคำแก้ต่างของผู้ร้าย ผู้หญิงตรงหน้าจึงส่งยิ้มให้อีกครั้ง รอยยิ้มเหมือนกำลังปลอบใจเธอ แสดงความเข้าอกเข้าใจ วรินธรไม่ได้รู้สึกอินไปกับหล่อนด้วยหรอกนะ หล่อนจึงเอ่ยถาม

“เธอกำลังคิดล่ะสิว่าฉันเป็นตัวอะไร”

“ก็ถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะคิดรึเปล่าล่ะ”

หล่อนนิ่งไป ทำไมเธอถึงอ่านไม่ออกนะว่าหล่อนกำลังคิดอะไร หล่อนพยักหน้า “ก็ใช่ เป็นใครก็คงต้องคิด แต่เป็นฉันคงกลัวมากกว่า คงช็อกไปตั้งแต่เห็นคนหายตัวได้แล้ว เท่าที่ผ่านมา ฉันไม่เห็นเธอกลัวเลย”

“ใครบอก ตอนนี้ฉันก็กำลังกลัวเธออยู่”

หล่อนมองเธอแล้วส่ายหน้า “เธอไม่ได้กลัวฉันหรอก”

แสงแดดยามเช้าส่องถึงตัวหล่อนแล้ว หล่อนหันหน้าไปหาแดด พลางหันหน้ามองเงาตัวเองบนพื้นห้อง สีหน้าดูยินดี ก่อนที่หล่อนจะหันกลับมาสบตา “ถ้าเธอกลัว เธอไม่นั่งคุยกับฉันใกล้ขนาดนี้แน่ๆ คงวิ่งหนีเตลิดไปแล้ว”

วรินธรแค่นยิ้ม “เดาว่าเธอคงตามฉันไม่กี่วันใช่ไหม” เพราะถ้าตามเธอมานาน จะรู้ว่านิสัยเธอถึงจะรู้สึกกลัวก็ไม่มีทางวิ่งหนีเตลิดแน่

“ฉันตามเธอตั้งแต่วันนั้น... ฉันเห็นเธอที่หน้าบ้านของฉัน เธอกลับมาจากไหนก็ไม่รู้ ใส่ชุดเหมือนทหาร เข้ามาในบ้านได้ก็นอนหลับเป็นตาย” คำตอบจริงใจของหล่อนไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากเพิ่มอาการหวาดระแวงของเธอมากขึ้น

วรินธรครางในลำคอ “ตั้งแต่วันนั้นเลยเหรอ” พลางขยับตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงเพราะรู้สึกปวดข้อเท้าจากการต่อสู้ และถามต่อตรงประเด็นสำคัญ “แล้วใช่เธอหรือเปล่าที่เข้ามาช่วยฉันในโรงหลอม”

อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ และมองเธอขึ้นลง สายตาบอกให้รู้ว่ากำลังเป็นห่วงอาการป่วยของเธอ

“เธอเลิกมองฉันอย่างระแวงได้แล้ว ฉันไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอ อีกอย่างฉันช่วยเธอเอาไว้ตั้งสองครั้งนะจำได้ไหม หยุดขมวดคิ้วสักที ฉันมองแล้วเหนื่อยแทนจริง”

ฟังแล้วยิ่งหงุดหงิด ก็เพราะใครล่ะทำให้เธอระแวง “เธอก็อย่าลืมว่าฉันไม่ได้ขอร้องให้เธอมาช่วยฉันเหมือนกัน เธอช่วยด้วยความสมัครใจ ดังนั้นจะทวงบุญคุณ ฉันคงไม่มีอะไรจะตอบแทนให้”

หล่อนหน้าเหวอไปเลย กะพริบตาปริบๆ “เธอนี่... ฉันไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณนะ”

“เธอทวงไปเมื่อกี้นี้ไง”

“ฉันก็แค่พูดให้เธอเลิกระแวง”

วรินธรมองหล่อนอย่างไม่เชื่อถือ แค่นยิ้มอย่างกวนประสาท แล้วก็เป็นตามที่เธอต้องการ หล่อนเริ่มอารมณ์ไม่เย็นแล้ว ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย

“เพราะชีวิตของเธอสับสนวุ่นวาย เธอก็เลยระแวงอะไรไปหมด สมองเธอไม่เคยได้หยุดพัก ถ้าเธอจะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นซะบ้าง เธอคงไม่ต้องเหนื่อย ฉันไม่จำเป็นต้องทำร้ายอะไรเธอหรอก ยังไงเธอก็ชอบวิ่งหาเรื่องอันตรายอยู่แล้ว ฉันไม่เข้าใจ... ฉันเฝ้าดูเธอ วิ่งตามไปนั่นไปนี่ เห็นเธอสู้กับพวกผู้ชายหลายคน เสี่ยงอันตรายไม่เว้นแต่ละวัน เธอทำได้ยังไงนะ เธอไม่เคยกลัวอะไรเลยเหรอ หรือเธอไม่รักชีวิต จึงได้เอาชีวิตไปทิ้งง่ายๆ อย่างงั้น เธอมีชีวิต...สิ่งที่มีค่าที่สุด แต่กลับไม่ถนอมไว้เลย บางคนอยากมีชีวิตแทบตาย เค้ายังไม่สามารถมีได้”

หล่อนกำลังเทศนาเธอด้วยน้ำเสียงก้องกังวานกลับไปกลับมาในหู จนเธอขาดสมาธิไปวูบหนึ่ง ราวกับหลุดลอยไปในคลื่นน้ำเย็น ดับอาการประสาทของเธอได้ชั่วครู่ และเผลอสำรวจใบหน้าขาวซีดตรงหน้า ที่ไม่ได้ดูสวยเด่นสะดุดตา มีเพียงก็แต่ดวงตาที่เปิดเผยจริงใจที่เป็นจุดเด่น ดึงเสน่ห์ให้วงหน้าของหล่อนดูกระจ่างน่ามอง ถึงแม้ตอนนี้แววตานั้นกำลังฉายแววไม่พอใจและเจือแววเศร้าอยู่ก็ตาม

“เธอจะบอกฉันว่าเธอเป็นสิ่งไม่มีชีวิตงั้นสิ”

คนตรงหน้าเม้มปาก น้ำตารื้นขึ้นมานิดหนึ่งก่อนหล่อนจะกะพริบตาขจัดมันออกไป วรินธรเชื่อว่าเธอเดาถูก หล่อนไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่หล่อนจะเป็นเอไอหรือเป็นเทคโนโลยีประเภทอื่นก็ไม่ทราบได้ หรือจะเป็นแค่แสงโฮโลแกรม ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเธอสัมผัสหล่อนได้ด้วย สำคัญก็คือว่าหล่อนติดตามเธอทำไม หรือคนที่ส่งหล่อนมาต้องการจะล้วงความลับอะไรรึเปล่า ถ้าหล่อนเป็นนวัตกรรมจริงละก็ คงเป็นนวัตกรรมที่ล้วงความลับได้ทุกอย่างโดยที่เหยื่อไม่รู้เลยว่ากำลังถูกล้วง น่ากลัวที่สุด

“ใช่... ฉัน... ตายไปแล้ว”

วรินธรทวนคำ “ตายแล้ว?”

อีกฝ่ายมองเธอด้วยความสงสัย วรินธรเองก็สงสัย ถ้าเป็นเอไอ จะตายได้ยังไง หรือหล่อนจะผีเป็นเหมือนในละครหลังข่าว โอ๊ย ไม่ใช่แน่ เธอดึงตัวเองกลับมาคิดเชิงวิทยาศาสตร์ หรือว่านวัตกรรมชิ้นนี้ต้องใช้จิตวิญญาณของคน เธออ่านเจอว่าทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามนุษย์เก็บความทรงจำในรูปแบบกายภาพหรือในรูปแบบจิตใจหรือที่เรียกว่าจิตวิญญาณ หมายถึงว่าเวลาเราจำอะไรเพิ่มไปเรื่องหนึ่ง สมองก็จะผลิตเซลล์ในรูปร่างแบบหนึ่งเพื่อบันทึก คนที่รอยหยักมากจึงแสดงถึงความฉลาดกว่า ไอน์สไตน์จึงมีน้ำหนักสมองมากกว่าคนปกติ แต่ถ้าคนเราเก็บความทรงจำในรูปแบบของจิตแล้วละก็ แม้เซลล์สมองจะมากก็ไม่ได้แปลว่าจดจำอะไรได้มาก ก็เป็นไปได้ว่าจะสามารถย้ายความทรงจำออกจากคนคนหนึ่งได้ หล่อนก็สามารถเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากการย้ายความทรงจำเข้าสู่วัตถุอื่นได้...

“พายวรินธร”

เท่านั้นแหละ เธอจึงรู้สึกตัวว่าจมดิ่งในความคิดตนเองมากไปเสียแล้ว “เธอ... ไม่กลัวฉันเลยเหรอ ที่รู้ว่าฉันเป็น... เป็น...ผี”

“ฉันบอกเธอเมื่อไหร่ว่าเธอเป็นผี”

“อ้าว ก็ฉันบอกอยู่นี่ไง”

วรินธรเอียงคอ หรือว่าหล่อนเป็นต้นแบบที่ยังไม่รู้ตัวว่าโดนย้ายจิตวิญญาณกันนะ เลยคิดว่าตนเองตายแล้วกลายเป็นผี แสดงว่าบริษัทเจ้าของนวัตกรรมต้องกระทำโดยที่หล่อนไม่รู้ตัว แสดงว่านวัตกรรมนี้ต้องทดลองกับมนุษย์ตัวเป็นๆ มาก่อน หรือเรียกได้ว่าฆาตกรรมหล่อน หล่อนเป็นเหยื่อของการทดลองรึเปล่า หรือเป็นแค่การแยกจิตออกจากร่าง ตัวร่างกายของหล่อนอาจจะยังอยู่ก็ได้ (เป็นตุเป็นตะจริง)

หล่อนมองมาที่เธออย่างไม่เข้าใจ วรินธรจึงอธิบาย

“เธออาจจะเข้าใจผิดก็ได้ว่าเธอตายแล้ว”

“เข้าใจผิด? บ้าแล้ว!” หล่อนพูดเสียงดังลั่น น้ำเสียงหล่อนชวนให้แสบแก้วหูพิลึก แล้วมันทะลุทลวงเข้าไปในระบบประสาทพิกล “เธอไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริง อย่าคาดเดาให้มั่วไปเลย”

วรินธรแบมือ “แล้วความจริงคืออะไรล่ะ”

“ฉันก็บอกเธออยู่นี่ไงว่าฉันตายแล้ว เป็นผี”

“รู้ได้ยังไง”

คำถามกวนอารมณ์ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าเข้มขึ้นบอกถึงอารมณ์กรุ่นอย่างสุดๆ เป็นหล่อนที่ขมวดคิ้วและเถียงด้วยน้ำเสียงคล้ายคลื่นน้ำ

“เธอคิดว่าฉันโกหกรึไง”

วรินธรปั้นยิ้มไม่เต็มที่นัก เพราะคลื่นเสียงของหล่อนสะท้อนกึกก้องในหู ได้แต่มองคนตรงหน้าที่เท้าสะเอวด้วยอาการโมโห เธอแหย่หล่อนสำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของหล่อนจะทำให้เกิดความผิดปกติบางอย่าง

“ก็...ฉันคิดว่าเธออาจจะยังไม่ตายไง”

“ฉันตายแล้ว ตายจริงๆ ฉันตายในบึงข้างหลังบ้านเธอ ถ้า...เธอไม่เชื่อละก็ ถามใครก็ได้ คนแถวนั้นเค้ารู้กันหมด”

วรินธรยันตัวเองกับโต๊ะข้างเตียง พยายามลุกขึ้นยืนตาม และพยายามเลิกสนใจกับเสียงก้องสะท้อนกลับไปกลับมา และถามดังขึ้นกลบเสียงเหล่านั้น

“ไหนเล่ามาซิว่าตายยังไง”

สีหน้าคนตรงหน้ามีทั้งกรุ่นโกรธมีทั้งซีดจางสลับกันอย่างรวดเร็ว หล่อนดูเหนื่อยล้าและเริ่มโปร่งแสง เธอได้แต่ลุ้นอย่าเพิ่งให้หล่อนหายไป ความสะเทือนใจปรากฏในสายตากลมโตชัดเจน วรินธรกลืนน้ำลายเมื่อรู้สึกว่ากำลังกระทบจุดอ่อนของหล่อนตรงเป้า รออยู่นานทีเดียวที่หล่อนพยายามควบคุมการหายใจเข้าออกและเอ่ยตอบ

“ฉันจมน้ำตาย”

แรงอารมณ์แห่งความเศร้าโศกแผ่ออกมาจากตัวผู้พูด มันมากพอจะก่อให้เกิดอาการเย็นยะเยือกจนทำให้ขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของหล่อนไม่ได้ฟังน่ากลัว แต่มันสะท้อนเคว้งคว้างไร้หลักแหล่ง มีเข็มความเย็นเล็กๆ ค่อยๆ ก่อตัวเสียดแทงตามเนื้อตัวจนเกิดอาการชาวาบวูบ

“ถ้าเธอไม่เชื่อละก็ ไปค้นดูได้เลย เมื่อหนึ่งปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนชื่อกานต์ชนิต ลูกสาวของบ้านหลังข้างๆ ของเธอ ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า หรือว่าตายไปแล้ว ตายได้ยังไง ตายเพราะอะไร ถ้ารู้ความจริงแล้วค่อยมาคุยกัน”

พูดจบหล่อนก็หมุนตัวเดินหนีไปทางประตู วรินธรรีบคีบต้นแขนหล่อนเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไปสิ!”

อีกฝ่ายสะบัดหนีแต่ไม่สำเร็จ วรินธรใช้สองมือรั้งตัวไว้ คราวนี้หล่อนหันกลับมาผลักเธอจนล้มลงกับพื้น พลันเดินหนีออกประตูพร้อมกับปิดดังปังจนห้องสะเทือน เธอคิดว่ากานต์ชนิตคนนั้นไม่ได้ผลักเธอแรงถึงขนาดทำให้เธอล้มลง แต่เพราะใบหน้าซีดของหล่อนที่หันกลับมาเมื่อครู่นี้ต่างหาก เพราะหล่อนกำลังร้องไห้

ซึ่งเธอเกือบจะรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ยั่วอารมณ์หล่อนมากเกินพอดี คนเราจะรู้ว่าโกหกหรือไม่ก็ต้องตอนที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ หลักการนี้เธอชอบใช้เสมอ เพียงแต่ว่ากับผู้หญิงคนนั้น...ความเศร้าโศกของหล่อนมีผลกระทบกับตนเองเกินคาด แม้ความเย็นรอบตัวจะหายไปแล้ว แต่อาการชาหนึบปนเสียใจของอีกฝ่ายยังคงติดค้างในใจไม่จางหาย

....

กานต์...

หล่อนชื่อว่ากานต์ชนิต...

เสียงเคาะประตูบ้านดังโป๊กๆ ดังถี่รัวมาจากที่แสนไกล เรียกสติของเธอคืนกลับมา วรินธรขับไล่อาการเหวอรับประทานหันมองไปยังประตู เสียงเคาะเงียบไปครู่ ก็รัวขึ้นมาใหม่แรงกว่าเดิมด้วยจังหวะคุ้นเคยบอกเป็นรหัส เธอจึงจำเป็นต้องยันกายลุกขึ้นยืน สองขาพาตัวเองเดินกะเพลกไปเปิดประตูต้อนรับ

แสงแดดกระจ่างภายนอกสาดจ้าเข้ามาจนเธอหยีตา แสงสะท้อนกับใบหน้าขาวผ่องของฝรั่งให้ยิ่งขาวขึ้นไปอีก แล้วก็ยิ่งทำให้รอยฟกช้ำที่แก้มและปลายคางเด่นชัดกว่าเดิมด้วย แต่เนื้อตัวยังคงดูสบายดี เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวเรียบร้อยและกางเกงยีนเดฟรองเท้าหนัง แว่นตาดำเสียบที่สาบเสื้อ รอยยิ้มของเขาหายไปเมื่อเห็นสภาพเธอ เธอปั้นยิ้มกวนๆ ให้เขา เขาจึงทักทั้งที่หัวคิ้วขยับหากัน

“ไง แผลหายหรือยัง”

คนไข้หัวเราะหึๆ เป็นคำตอบ “แกเสกยาวิเศษมาให้ฉันกินสิ เอาแบบที่กินปุ๊บหายปั๊บน่ะมีไหม”

เจฟยิ้มเล็กๆ พร้อมกับดันประตูเพื่อแทรกตัวเองเข้ามาสู่ในห้อง มองเพื่อนที่เดินโขยกเขยกกลับไปนั่งบนเตียง และจ้องเขาเป็นคำถาม

“อะไร มองอย่างกับฉันเป็นจำเลย”

“แกหายไปไหนมา”

เจฟเลิกคิ้ว กลั้วหัวเราะ “แกเริ่มคำถามอย่างกับแฟนขี้หึงเลยว่ะ”

วรินธรส่งยิ้มหัวเราะหึ เธอถามเพราะมันปล่อยให้เธอนอนในห้องนี้เงียบๆ คนเดียว แล้วจะมีใครย่องเข้ามาแอบดูเธอตอนหลับก็ได้

“โอ๊ยไม่ต้องระแวงไป ฉันไม่สะเพร่าปล่อยให้แกนอนในนี้คนเดียวหรอก” ด้วยความที่สนิทกันมานาน เจฟจึงอ่านสีหน้านั้นออกไม่ยาก ก่อนจะเสริมความเข้าใจให้เธอ “ฉันไม่ได้ลงทะเบียนให้แก จำได้ไหม และห้องพิเศษห้องนี้ก็เป็นห้องว่างที่ไม่มีคนป่วยนอน ดังนั้นจะไม่มีใครรู้ว่าแกนอนอยู่ที่นี่”

วรินธรร้องอ้อในใจ ค่อยคลายกังวลไปบ้าง

“แล้วอีกอย่าง ไอ้จิงจ้อมันควรอยู่กับแกด้วยสิ แล้วนี่มันไปไหน”

เจฟขมวดคิ้วมองซ้ายขวา วรินธรเอนตัวพิงเตียงที่ยกเอียงขึ้นอย่างสงสัย “จิงจ้อ? ฉันยังไม่เห็นหน้ามันเลย”

เจฟร้องเสียงดัง “มันอู้งานเหรอไอ้จิงจ้อ”

วรินธรโบกมือ “แกอย่าตะโกนสิไอ้บ้า ฉันยิ่งปวดหูปวดหัวอยู่”

“ท่าทางจะอาการหนักนะพาย ดูแกเหนื่อยๆ”

เจฟล้วงมือถือขึ้นมากดยิกๆ วรินธรตวัดสายตามองตามนิ้วมือเขาตามจังหวะการกด อ่านเป็นข้อความว่า ...แกอยู่ไหน...

“ช่างมันเถอะ เอาเรื่องเมื่อวันก่อนดีกว่า ไหนเล่ารายละเอียดมาซิ เมื่อวันก่อนแกกับสนเป็นยังไงบ้าง”

ชายหนุ่มเก็บมือถือ ที่ดูท่าจะส่งข้อความหาจิงจ้อและเงยหน้าตอบคำถามโดยสรุป

“ฉันหนีออกมาได้ก่อน สนฉัตรก็น่วมเอาการ โดนยิงที่แขนไปสองนัดแต่อาการดีขึ้นแล้ว โดยสรุปแกน่าเป็นห่วงที่สุด”

เขาจ้องผ้าพันแผลสีขาวสะอาดและผ้าพันข้อมือซ้นดูเรียบร้อย เข้ากับชุดคนไข้สีขาว ทำให้เจ้าตัวดูบอบบางสมเป็นผู้หญิงขึ้นมาหน่อย

“แล้วจิงจ้อมันหายหัวไปไหน ทิ้งให้ฉันรับมือในโกดังอยู่คนเดียว”

เจฟร้องอ๋อ “มันเองก็ย่ำแย่ รอบนี้อาสินมันจัดเต็ม ทำเอาบอสเรียกประชุมทุกคนด่วนเมื่อคืน บอสโมโหมากที่พวกเราเสียท่าอย่างหนัก แล้วพาลใส่แด๊ดจนต้องรีบแจ้นบินกลับไทยเพื่อมารับรู้ปัญหา”

วรินธรหัวเราะพลันก็เจ็บปากจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มธรรมดา “อังเดรบินกลับมาแล้วช่วยอะไรบ้างไหมล่ะ บอสก็ทำเป็นเด็กติดพี่ไปได้ ขี้ฟ้องจัง” ในอีเว้นท์มีไม่กี่คนที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติของบอสกับผู้บริหารของมิทซิคิง

เจฟนั่งลงบนโซฟา หยิบซองยาออกจากถุงพลางอ่านฉลากแล้วเริ่มเทใส่ถ้วยเตรียมให้คนไข้ ปากก็เล่าต่อ “ฉันยังไม่ได้ถามบอสว่าคุยอะไรกัน แต่อาการบอสที่เปลี่ยนจากโกรธเป็นฤาษีเงียบนี่สิ ทำให้ฉันคิดว่าแด๊ดต้องพูดอะไรที่สำคัญมากแน่ๆ”

เธอพยักหน้าเห็นด้วย บอสของเธอเป็นคนอารมณ์ดี มักจะมองโลกในแง่ดีและใจเย็น เธอแทบจะไม่เคยเห็นเขาเครียดเลยนอกจากเมื่อปีก่อนที่มีลูกน้องในบริษัทประสบอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิตจากการสอบสวนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ถ้าเรื่องไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย บอสคงจะไม่เครียดให้เห็นแน่

“งั้นรอบอสใจเย็นก่อน ค่อยหาทางถาม”

เจฟยิ้ม “อืม คงพอดีกับแกหายป่วยอ่ะ แกก็ไปถามซะนะ”

วรินธรร้องฮึ เจฟส่งยิ้มหวานได้อีก และขยับตัวเข้ามาใกล้ ชี้ไปยังแขนของเธอซึ่งโดนใบมีดเฉือนไปจนต้องเรียกร้องหาหมอให้เย็บให้ “หมอเย็บไปกี่เข็ม”

เธอก้มมองผ้าพันแผลและนึก “ฉันจำไม่ได้ว่ะ”

“ทำไมจำไม่ได้”

“ใครจะไปรู้ แค่เถียงกับหมอไนท์ฉันก็เต็มกลืนแล้ว แล้วยังมาฉีดยาอะไรให้ฉันไม่รู้”

เจฟร้องบอก “ยาอะไรบ้าง? กี่ซีซี”

วรินธรกลอกตาหนี เจ้าเพื่อนเธอคนนี้เวลาเป็นห่วงมันจะสัมภาษณ์เธอละเอียดยิบอย่างนี้ล่ะ

“ฉันจะรู้ได้ไงล่ะ แกไม่ไปบีบคอหมอไนท์ถามกันเองล่ะ”

เขาจับแขนเธอหมับ มันโดนแผลเธอจึงร้องโอ๊ย เรียกเสียงหัวเราะของคนจับได้ทันที “เมื่อวานฉันติดธุระหลายอย่าง พอแกหลับไปฉันก็เลยไม่ได้มีเวลาถามไถ่ ไหนขอดูแผลหน่อยว่าโอเคไหม”

ไม่พูดเปล่าสองมือยังว่องไวปลดผ้าพันแผลของเธอออก วรินธรจะขยับตัวหนีก็กลัวจะเจ็บอีกรอบ จึงเลิกขัดใจ ยื่นแขนให้ซะเลย ดวงตาสีน้ำตาลของเจฟกวาดขึ้นลงมองรอยแผลพลางครางในลำคอ

“ไม่เกินสามวัน”

เธอหัวเราะหึ “แผลจะหายวับไปเหรอวะ”

เจฟแยกเขี้ยว “หายวับกับป๋าแกสิ ก็อาจจะทำให้แห้ง แต่ถ้าจะแห้งสนิท ต้องสักอาทิตย์นึง อย่าโดนน้ำก็แล้วกัน เมื่อคืนเป็นไง ผ่านมาได้ด้วยดีไหม”

วรินธรจ้องคนถามอย่างระแวง “หมายความว่าไง”

เจฟสงสัย “อะไรของแก นี่วิตกจริตรึ ต้องไปบำบัดจิต แกอาจจะกลัวหลังจากเพลิงไหม้...”

“ไม่ใช่ละ ไอ้บ้าอย่านอกเรื่อง”

เจฟหัวเราะมองใบหน้าหงุดหงิดของเพื่อน คิดในใจว่ามันคงรำคาญตัวเองที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกดังเคย

“ก็ถามเพราะว่าแผลแกอาจจะระบมหนักหน่อย เมื่อวานกับคืนนี้ คงต้องพักเยอะๆ ไม่งั้นจะมีไข้ เมื่อคืนผ่านมาด้วยดีคงเพราะยาหมอไนท์ ดีแล้วเพราะไม่งั้นแกจะปวดแผลจนนอนไม่หลับ”

วรินธรกลืนน้ำลายฝืดคอ เธอรู้สึกลางๆ เหมือนกันว่าเธอสั่นงักเป็นเจ้าเข้าเมื่อคืน คงตรงตามที่ผู้หญิงล่องหนบอก เธอไข้ขึ้นอย่างหนักจนไม่รู้สึกตัว ไม่ยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าหล่อนคอยช่วยเหลือเธอมาตลอด วรินธรถอนหายใจพยายามเบนความสนใจตนเองไปเรื่องอื่น

“แกเลิกสนใจเรื่องแผลของฉันดีกว่า เดี๋ยวมันก็หาย ตกลงว่าจิงจ้อมันโดนอะไรบ้าง”

แพทย์จำเป็นหัวเราะหึ “มันแค่เกือบโดนจับถ่วงแม่น้ำพร้อมสมอเรือ”

เธอตาโต เชียร์อัพให้เขาเล่าต่อ “มันส่งข้อความมาบอกว่าถูกคนของอาสินจับแล้วมัดไว้ในที่มืด เมื่อเช้ามาส่งมาบอกอีกทีว่ามันหนีออกมาได้แล้ว ที่นั่นเป็นท่าเรือเก่า พวกนั้นกะจะจับมันถ่วงน้ำหลังจากจัดการแกเสร็จ แต่ปรากฏว่าไม่เหลือใครไปจัดการจิงจ้อสักคน ทุกคนถูกย่างอยู่ในโรงหลอมหมด”

สีหน้าคนฟังสะอึกไปนิด มีหรือคนเป็นเพื่อนสนิทอย่างเขาจะสังเกตไม่ได้

“ไม่ใช่ความผิดของฉัน”

เจฟพยักหน้ายักไหล่ “แหงล่ะ แกเองก็เกือบโดนปิ้งในนั้น จิงจ้อมันกะจะเอาคืน มันเลยกลับเข้าไปแถวท่าเรือใหม่อีกครั้งเพื่อติดตั้งระเบิดดินรอบห้องที่มันถูกจับแล้วก็ซุ่มคอยจุดชนวน ตอนเช้าอาสินส่งโรเบิร์ตมา ก็เลยได้เห็นว่าโรเบิร์ตพาเพื่อนมาด้วย”

เธอเลิกคิ้ว “เพื่อนของโรเบิร์ตชื่อกีจกร เป็นไฮโซและซีอีโอกิจการรีสอร์ทวิลล่าพาราไดซ์ แกคงจำชื่อโรงแรมนี้ได้”

วรินธรนั่งนึกไปอึดใจก็ร้อง “อ๋อ ทำไมจะจำไม่ได้ ที่พวกเราไปถ่ายแบบกันครั้งนั้น...” เธอจำได้ลางๆ ถึงเจ้าของรีสอร์ทมาดนิ่งที่ชื่อกีจกรซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายในการสืบหาข้อมูลส่วนตัว ตอนนั้นตัวแทนจากนิตยสารยังอยากทาบทามให้เขามาถ่ายแบบลงปกให้ แต่เขาปฏิเสธ

“เขาเกี่ยวพันกับโรเบิร์ตได้ แสดงว่าเขาต้องเกี่ยวพันกับอาสิน” เจฟคาดการณ์

เธอค่อนข้างเห็นด้วย พลางนึกถึงบุคคลสองคนที่อาสินนัดพบในโรงหลอม

“แล้วก็เรื่องภาพทิวา”

วรินธรตวัดสายตามองคนพูด ที่ยิ้มกริ่ม เธอเลิกคิ้ว

“ฉันพบภาพทิวาที่บริษัทเฟเดอริกสตาร์”

สองสายตาประสานกันนิ่ง เจฟพยายามมองหาความตื่นเต้นในดวงตาของวรินธร แต่ก็ไม่พบ จึงแน่ใจว่าวรินธรไม่ได้ติดใจอะไรสาวน้อยผู้นี้มากไปกว่าเรื่องงาน

“แล้วแกไปทำอะไรที่เฟเดอริกสตาร์?”

วรินธรมักจะมีแววตาที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอฉลาดเสมอ เขายิ้มและไม่ตอบ เท่านี้คนถามก็รู้ “บอสสั่ง?”

เจฟทำมือเป็นคำตอบว่า ...เก่งมาก...

“หวังว่าจะไม่ลงทุนเสียเปล่า แกได้ตำแหน่งอะไร”

“รองผู้จัดการฝ่ายบุคคล”

...ตำแหน่งดีใช้ได้...

“ว่าแต่ว่าเครื่องบันทึกสามมิติที่ฉันเปิดไว้ในโรงหลอม ส่งข้อมูลอะไรกลับไปให้เมนอีเว้นท์บ้าง”

เจฟดีดนิ้ว “นี่ก็อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้บอสไม่หัวเสียจนทะลุเพดาน เพราะแกสร้างผลงานไว้ได้ชัดแจ๋ว คุ้มค่ากับที่เอาชีวิตไปเสี่ยงหน่อย”

คนฟังยิ้มมุมปากรับ ที่บอสหัวเสียคงเพราะเธอเอาชีวิตไปเสี่ยงเนี่ยแหละสำคัญที่สุด แล้วนี่ถ้าเจอหน้าบอส ไม่รู้ว่าเธอจะโดนบ่นอะไรบ้างนะ “บันทึกได้ทั้งสองคนเลยเหรอ?”

เจฟส่ายหน้า “คนมีเคราไม่สามารถระบุใบหน้าได้ ถึงแม้ตัดเคราออกก็จำลองใบหน้าออกมาไม่ได้”

วรินธรหัวเราะหึ พลางนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในโรงหลอม “นายคนนี้น่าทึ่งมาก ฉันเหวี่ยงมีดใส่เขาสองเล่ม เขาเหวี่ยงกลับฉันมาเป็นสิบ อย่างกับนักมายากล”

เจฟเคร่งขรึมไปอึดใจ ก็กลับมาเล่าต่อ “ถึงเราจะหาตัวจริงของนายมีเคราไม่ได้ แต่หาอีกคนที่นัดพบกับอาสินได้ หล่อนเป็นผู้หญิง”

“ผู้หญิง?”

“กำลังให้ไอ้จิงจ้อไปสืบรายละเอียด แล้วไม่รู้มันไปไหนของมัน...”

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะนับได้เจ็ดที ก่อนประตูจะถูกเปิด ทั้งเธอและเจฟหันมองบุคคลผู้ก้าวเข้ามาใหม่เป็นตาเดียว รหัสความปลอดภัยถูกต้อง ดังนั้นไม่ต้องตั้งท่าระแวงเพราะผู้มาใหม่ต้องเป็นคนกันเองอย่างแน่นอน พลันร่างกะทัดรัดในเสื้อยีนส์กางเกงยีนส์ก็ปรากฏ เผยใบหน้ายิ้มแย้มจนมองไม่เห็นลูกตาลบเหลี่ยมกรามไปจนสิ้น

“ไง คนป่วย หิวกันไหม ฉันซื้อข้าวเช้ามาฝาก” จิงจ้อชูถุงใส่อาหารให้เพื่อนทั้งสอง เจฟยิ้มตอบพลางรับถุงมา ก่อนมือข้างที่ว่างจะตบตุบที่บ่าอย่างไม่เบาเลย

“อุ๊ย อะไรของแกวะเจฟ”

“ใครเสือกให้แกทิ้งห้องพายออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกวะ”

“เฮ๊ย ก็ฉันแค่ออกไปชม.กว่าเอง”

“ตั้งชม.กว่า ไอ้นี่ เกิดพวกอาสินบุกเข้ามาจะทำยังไง”

จิงจ้อถลึงตาใส่เพื่อน “ฉันไม่โง่ขนาดนั้นหรอกน่า” พลางเดินไปหาคนป่วย ยกข้อมือข้างหนึ่งของวรินธรขึ้นจนเห็นปลอกข้อมือพลาสติก

“เจ้านี่เป็นเครื่องติดตามตัว ถ้าถูกตัดฉันจะรู้ หรือถ้ามันยังติดหนึบกับพาย ก็ทำให้รู้พิกัดของพายด้วย ทีเมื่อวานแกยังออกไปข้างนอก ก็ทิ้งพายมันนอนในห้องเหมือนกันละวะ”

“ฉันก็ไม่โง่ ฉันติดระบบป้องกันไว้แล้ว...”

วรินธรถือโอกาสช่วงที่สองหนุ่มทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง คีบถุงอาหารออกจากมือเจฟ แล้วควานปาท่องโก๋มาเคี้ยวกินเล่น พร้อมกับดูดนมไปพลาง น้ำเกลือทำให้เธอมีน้ำตาลในเลือดก็จริง แต่กระเพาะอาหารของเธอไม่ได้หยุดทำงานไปด้วยสักหน่อย ดังนั้นการได้มีอาหารตกถึงท้องในรอบสองวัน เป็นความสุขอย่างที่สุด

เจฟหันมาอีกที ของกินก็หมดไปเกือบครึ่งแล้ว จึงร้อง “ไอ้พาย กินเป็นชูชกแบบนี้เดี๋ยวก็จุกตาย”

วรินธรหันมองจิงจ้อพลางเอ่ย “เจฟมันรู้ตัวป่าววะว่ามันกำลังบ่นอย่างกับป้าแก่”

จิงจ้อหัวเราะรีบพยักหน้าเข้าข้างคนพูดทันที ทำเอาป้าแก่คว้าปาท่องโก๋ยัดปากคนละชิ้นจนแทบสำลัก

เมื่อกินเอาแรงเสร็จ วรินธรก็เสนอแนะ “ฉันว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยถึงเราจะวางระบบป้องกันแค่ไหน เราไม่ควรประมาทอาสิน เกิดมันหิ้วตัวฉันออกไป บางทีแกอาจจะตามเจอศพฉันก็เป็นได้ ดังนั้นฉันว่าวันนี้เรารีบเผ่นออกจากที่นี่ดีกว่า”

เจฟทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันเห็นด้วยกับแก...”

“เดิมทีฉันก็คิดแบบแกสองคนนั่นแหละ” จิงจ้อขัดเรียบๆ ใบหน้าพราวยิ้ม

“หมายความว่าไง เดิมที?” เจฟขมวดคิ้วถาม

จิงจ้อนั่งลงตรงปลายเตียงคนไข้ กัดแอปเปิล และบอก “เดิมทีก่อนที่ฉันจะค้นเจอว่าผู้หญิงที่สมรู้ร่วมคิดกับอาสินในโรงหลอมวันนั้นเป็นใครน่ะซี”

จิงจ้อยื่นภาพในมือถือให้เธอดู




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่แปด Mystery Girl(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 01:56:46 »
(ต่อ)
เป็นใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่ง ผมยาวตรง คางมน คิ้วตาจมูกปากถือว่าเข้ากันดี จุดเด่นคงอยู่ที่เสื้อคลุมสีขาวที่หล่อนสวม เป็นเสื้อกราวน์แพทย์ที่มีตราโรงพยาบาลบนกระเป๋าอก ซึ่งก็คือโรงพยาบาลแห่งนี้

วรินธรสบตาเพื่อน “เป็นหมอที่นี่เหรอ?”

จิงจ้อพยักหน้ายิ้มๆ “เดิมทีแกแค่มีแผลที่แขน ข้อมือเคล็ด ข้อเท้าเคล็ด แล้วก็ระบมตามตัวนิดหน่อย” พูดพลางดึงเอกสารในกระเป๋าเป้ของตนเองส่งให้เธอรับมาด้วยความงง

เมื่อเปิดดูก็พบฟิล์มเอ๊กซเรย์ พร้อมกับผลจากแลปอีกสองสามใบ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าชื่อที่จ่าหัวว่าเป็นผลการตรวจของใคร

...พราวพิลาศ แพรวพราว...

เมื่อสบตาเจ้าจิงจ้ออีกที ก็ร้องเอ๊ะ “ใคร? ยัยพราวพิลาศ?”

จิงจ้อชี้นิ้วไปยังคนถาม พร้อมกับหัวเราะสีหน้าเอ๋อของเธอ เธอมองฟิล์มเอ็กซเรย์อีกครั้ง ก็พบว่าเป็นผลเอ๊กซเรย์กระดูกข้อมือซึ่งหักเปลี่ยนทิศชัดเจนจนน่ากลัว ส่วนข้อเท้าก็แจ้งว่าเส้นเอนพลิก แขนมีรอยแทงหนึ่งแห่งเย็บสิบเข็ม ตามเนื้อตัวฟกช้ำหลายแห่ง มีอาการฟกช้ำภายในจนกลัวว่าจะเกิดเลือดคลั่งในอวัยวะภายใน ผลตรวจอย่างอื่นโดยรวมแล้วร่างกายอ่อนแอ ชีพจรและความดันต่ำ ขาดน้ำและเกลือแร่ ควรนอนดูอาการที่โรงพยาบาล...

อะไรกัน?!?

วรินธรจึงลองขยับข้อมืออีกทีก็ยังขยับได้ แม้จะปวดอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับหักแน่ๆ หมอไนท์ก็ไม่เห็นว่าหัก ข้อเท้าเส้นเอนพลิก? ไหนลองพลิกก็แค่แปล๊บๆ ลูบท้องตัวเองที่ว่าบาดเจ็บภายใน เอ้อ นี่น่าจะสาเหตุเพราะเธอไม่ได้กินข้าวมาสองวันรึเปล่า ว่าแต่แขนเนี่ยสิบเข็มจริงไหมนะ

จิงจ้อขำกับอาการของเพื่อน จึงบอกต่อ “แต่ในเมื่อรอยช้ำมันมีหลายที่ ก็สร้างผลตรวจให้ดูโอเวอร์ว่าอาการหนักสาหัสจะดีกว่า”

“ทำไมต้องให้ดูเว่อร์”

จิงจ้อส่งยิ้มให้กับรูปในมือถือ วรินธรมองตาม

“หมายความว่า...” เจฟสบตากับเธอ เพียงครู่เดียวเขาและเธอก็จับต้นชนปลายได้

จิงจ้อพยักหน้าให้กับเพื่อนทั้งสองพลางยิ้มกริ่ม “จงเป็นคนป่วยในโรงพยาบาลนี้ต่ออีกสักหน่อยนะเพื่อน”

....................................................................... จบบทที่แปด Mystery Girl

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.