web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 440
Most Online Ever: 440
(วันนี้ เวลา 03:05:22)
Users Online
Members: 0
Guests: 432
Total: 432

ผู้เขียน หัวข้อ: นกของทิฆัมพร บทที่ 1  (อ่าน 4125 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
นกของทิฆัมพร บทที่ 1
« เมื่อ: 26 ธันวาคม 2013 เวลา 23:55:07 »



บทที่ 1

ทิฆัมพรนั่งนิ่งอยู่ใต้โคนต้นมะขามใหญ่ โคนต้นหนาถึงสามคนโอบ กิ่งก้านแผ่ขยายไปเป็นบริเวณกว้าง ลมเย็นๆ พัดเอื่อยกว่าเคย หล่อนมักจะมานั่งอยู่ที่นี่เสมอตั้งแต่เมื่อ 12 ปีก่อน...

วันนี้เด็กสาวกลับบ้านเร็วกว่าปกติเพราะไม่มีการบ้านแม้แต่วิชาเดียวเนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชั้นประถมปีที่ 6 หล่อนชอบแวะนั่งเล่นที่ใต้ต้นมะขามนี้ทุกวันถ้าไม่กลับบ้านในเวลาเย็นจนเกินไป ต้นไม้ต้นนี้อยู่เยื้องกับบ้านของเธอไปทางหลังบ้านซึ่งเป็นที่ดินของใครสักคน ตอนนี้ใกล้ๆ กับบ้านของเด็กสาวมีบ้านไม้หลังใหญ่เพิ่งสร้างเสร็จ ไม้ถูกขัดจนเงาวับแตกต่างจากบ้านในบริเวณนี้อย่างชัดเจน ดูอย่างบ้านของเธอ เป็นบ้านหลังเล็กที่ทำจากไม้ผุๆ บ้านข้างหน้าเอียงตัวลงมามากกว่าข้างหลัง เหมือนจะพังได้ทุกเมื่อ

อ้อยไม่ได้อิจฉา แม่ของเธอต่างหากที่มักจะมองมาที่บ้านหลังนี้แล้วค่อนขอดยกใหญ่ หล่อนเบื่อที่จะฟังจึงมักจะออกไปเดินเล่นแถวๆ บ้านไม่ก็มานั่งที่ใต้ต้นไม้นี้ ส่วนพ่อน่ะเหรอเด็กสาวยังเคยสงสัยว่าชีวิตนี้ของพ่อมีอะไรมากกว่าเหล้าหรือเปล่า ไม่มีเวลาไหนเลยที่แม่จะไม่บ่นและพ่อจะไม่นั่งกอดขวดเหล้าสีตุ่นราวกับมันเป็นสมบัติที่ล้ำค่า

เด็กคนอื่นๆ ที่โรงเรียนมักจะล้อทิฆัมพรอยู่เสมอว่าเป็นลูกไอ้ขี้เมา เธอพยายามไม่สนใจด้วยการนั่งนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับใคร ตอนหลังจึงกลายเป็นว่าเด็กสาวไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว ใครๆ ก็เรียกเธอว่ายัยไม้ค้ำ ไม่ก็ ยัยก้อนหิน หล่อนไม่สนใจ รู้สึกเบื่อไปซะทุกอย่าง เธออยากไปจากที่นี่

เธอค่อนข้างสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันอยู่มาก และผอมเหมือนไม่มีอะไรให้กิน มันเป็นความจริงส่วนหนึ่งเพราะแม่ของเธอแม้จะทำอาหารตามสั่งและพวกก๋วยเตี๋ยวแต่ก็ไม่ยอมให้อ้อยแตะของเหล่านั้น หล่อนต้องรอจนแม่ขายของเสร็จในเวลาเย็น ช่วยล้างจาน จากนั้นจึงจะได้รับอาหารซึ่งมาจากผักและหมูที่เหลือจากการขายซึ่งไม่เคยมีเกินครึ่งชามเลย แรกๆ เธอทนหิวไม่ไหวจึงร้องขอแม่เพิ่ม แต่เมื่อโดนตบตีจนช้ำไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นเด็กสาวจึงเก็บปากเก็บคำ เพราะรู้ว่ายิ่งพูดหล่อนจะยิ่งโดนหนักขึ้นกว่าเก่า

ตาสีน้ำตาลเข้มเหม่อมองไปที่ขอบฟ้าที่เริ่มมีสีส้มแดงแทรกอยู่เพียงเล็กน้อย เวลาแบบนี้เป็นเวลาที่คนร่างบางรู้สึกสบายใจเป็นที่สุด หล่อนพึงพอใจกับความเงียบสงบ ไม่มีคำด่า ไม่มีเสียงงึมงำเพราะความเมาไม่ได้สติ ไม่มีการล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งใดๆ ทั้งสิ้น

เสียงร้องเพลงดังขึ้นทำลายความเงียบ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เดาว่าเสียงนั้นคงมาจากบ้านไม้หลังใหญ่นี้ ไม่แปลกใจเพราะว่าต้นไม้ต้นนี้อยู่หลังบ้านที่แสนเงาวับนั้น ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร

ในไม่ช้าเสียงเพลงก็หายไป ความสงบกลับมาอีกครั้ง ใกล้เวลาที่เธอต้องกลับบ้านแล้ว แม่จะบ่นจนหล่อนหูชาถ้ากลับช้าเกินกว่าพระอาทิตย์ตกดิน แล้วจู่ๆ ทัศนียภาพทั้งหมดก็หายไป เหลือเพียงแต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตที่อยู่ตรงหน้า

คนผมสั้นแค่ติ่งหูขมวดคิ้ว นัยน์ตานั้นถอยออกไป หล่อนมองผู้มาใหม่ เด็กสาวใสชุดนักเรียนสีสดใส ผมเปียถักอย่างเรียบร้อย รองเท้าเงามันวับ เธอเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นคนของบ้านหน้าต้นไม้อย่างแน่นอน

หล่อนไม่สนใจ แค่อยากจะหาความสบายใจเล็กๆ น้อยๆ จากเวลาอันจำกัดที่เหลืออยู่จึงขยับหันไปทางด้านซ้ายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมองเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก แต่คนตัวสูงร่างบางก็คิดผิด เด็กคนนั้นตามมามองดูเหมือนกับเธอเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่เจ้าหล่อนคิดว่าจะไม่มีวันได้เจอยังไงยังงั้น

"เธอชื่ออะไร" เสียงใสหวานดังขึ้น เธอหันไปมองทำหน้าไม่พอใจใส่ แต่เด็กคนนั้นก็ยังคงยิ้มอย่างร่าเริงและเป็นมิตร

"เราชื่อข้าว พ่อเรียกว่าข้าวหอม" เสียงเล็กๆ เจื้อยแจ้วอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อเห็นว่าทิฆัมพรไม่ตอบอะไรออกไป

"เราเป็นเพื่อนกันนะ" ปากเล็กๆ นั้นยิ้มกว้าง

เด็กสาวอ่อนอกอ่อนใจกับความช่างตื้อ เวลาของหล่อนกำลังจะหมดลงแล้ว เธอถอนหายใจแล้วพูดออกไปเพื่อตัดความรำคาญ

"อือ" คำพูดสั้นๆ ตามประสาคนไม่ชอบคุย

"แล้วเธอชื่อไรเราจะได้เรียกถูก" เด็กสาวหน้าตาน่ารัก รูปร่างดีไม่ผอมแห้งเหมือนหล่อนยื่นหน้าเข้ามาหาเล็กน้อย

"อ้อย" คนผมสั้นบอกด้วยความจำใจ

"เรานั่งด้วยคนนะ" เด็กผมเปียเอ่ยเป็นเชิงขออนุญาต

ทิฆัมพรไม่พูดเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยบอกให้รู้ว่าตามใจ เธอจะได้มีเวลาเงียบๆ สักสองสามนาที เด็กสาวหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะไม่เจอคนตัวเล็กอีก

เมื่อถึงเวลาเธอลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ก้นเล็กน้อย และเดินกลับบ้านไป ทิ้งให้ข้าวหอมนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้เอ่ยคำลา ทำไมเธอต้องลาในเมื่อไม่ได้อยากรู้จักแต่แรก แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เด็กคนนั้นไม่พูดอะไรอีกเลยตลอดเวลาที่นั่งด้วยกัน ราวกับรู้ว่าหล่อนไม่ชอบอย่างนั้นแหละ



"แกหายหัวไปไหนมา" เป็นประโยคแรกที่น้อย แม่ของเธอพูดออกมาเมื่อเด็กสาวก้าวเท้าเข้าบ้าน

หล่อนไม่ตอบ ไม่จำเป็นต้องตอบเพราะรู้ว่าไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็ต้องโดนตีอยู่ดี ไม่พูดเลยเป็นดีที่สุด

"อ้อ เดี๋ยวนี้เงียบเหรอ มานี่เลย" แขนเล็กบางสีคล้ำแดดเล็กน้อยถูกกระชากเข้าบ้านอย่างแรง ไปยังมุมที่มีก้านมะยมที่ถูกรูดใบทิ้งเสียบไว้

"เงียบนักใช่ไหม" 'เพี๊ยะๆๆ' เสียงก้านมะยมกระทบกับกระโปรงน้ำเงินซีดบาง เสียงนั้นดังก้องในบ้านหลังเล็กๆ แห่งนี้

พ่อขี้เมานอนไม่ได้สติ มือถือเหล้าห้อยมาเกือบติดพื้นดินแข็งๆ สีน้ำตาลอ่อน หล่อนชินแล้วที่พ่อไม่เคยสนใจอะไรเลยสักอย่างเดียว เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่พูดกับพ่อยามมีสตินั้นมันคือเมื่อไหร่กัน หรืออาจจะไม่เคยพูดก็เป็นได้ เด็กสาวไม่แน่ใจ หล่อนไม่มีความทรงจำเรื่องนั้นอยู่ในสมองเลยแม้แต่น้อย

คนผมสั้นไม่ได้ชาชินกับความเจ็บสักเท่าไหร่ แต่มีความอดทนมากพอที่จะปิดปากเงียบเหมือนโดนรูดซิปไว้ เธอรู้ว่าอีกไม่ช้าแม่ก็จะเหนื่อยและเลิกตีไปเอง

"ไป ไปล้างจานนู่น กองเต็มบ้านหมดแล้ว" แม่มองอย่างโกรธเคืองและเหนื่อย ดวงตาสีเดียวกับหล่อนยังมีแววไม่พอใจแฝงอยู่ แต่หล่อนไม่สนใจ แค่เดินไปนั่งตรงก๊อกน้ำหน้าบ้านอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้แผลที่เกิดขึ้นเจ็บมากนั้น จากนั้นจึงลงมือล้างจานอย่างที่เคยทำทุกวัน

จานชามจำนวนมากกองอยู่ในกะละมังสีเงินหมองบุบๆ ใบใหญ่ บางครั้งเธอก็แอบสงสัยอยู่ในใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยังมีคนมาซื้ออาหารที่แม่เธอทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน หล่อนก็ดีใจอยู่หรอกที่แม่หาเงินได้และแบ่งบางส่วนมาเพื่อซื้อสมุดดินสอให้หล่อนใช้ แต่ความจริงก็คือแม่เธอทำอาหารไม่ได้มีรสชาติอร่อยเลย ถ้าเป็นกับข้าวทั่วไปก็พอกินได้ไม่ถึงกับแย่ แต่ก๋วยเตี๋ยวล่ะก็ยังกับกินน้ำเปล่าเลยทีเดียว แม้ทิฆัมพรจะกินอาหารฝีมือแม่มาทั้งชีวิต หล่อนก็ไม่ได้ลิ้นจระเข้ อาหารกลางวันที่โรงเรียนอร่อย แม้จะไม่ค่อยใส่เนื้อสัตว์สักเท่าไหร่ ส่วนมากมีไข่กับผักเป็นส่วนประกอบ

"ล้างให้มันเร็วๆ สิ เห็นไหมจะมืดแล้วเปลืองไฟ" แม่เดินอุ้ยอ้ายมายังหน้าบ้านพร้อมกับชี้นิ้วป้อมไปยังท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ

อ้อยเร่งมือขึ้นอีก แต่ก็ต้องระวังให้ทุกใบสะอาด เมื่อหลายปีก่อนเธอเร่งล้างเหมือนวันนี้และวันรุ่งขึ้นก่อนไปโรงเรียนแม่พบว่าหลายใบยังมีคราบมันและเศษอาหารติดอยู่ วันนั้นเธอโดนตีจนเลือดอาบไม่ได้ไปโรงเรียนเลยทีเดียว รอยแผลของตอนนั้นยังคงเป็นสีเนื้อจางๆ อยู่ที่บริเวณขาอ่อนด้านหลังอยู่เลย

อาหารเย็นของวันนี้เป็นผัดผักบุ้ง วันนี้เหลือผักบุ้งเล็กน้อยแน่นอนว่าจากจำนวนที่น้อยอยู่แล้วเมื่อถูกผัดจึงหดตัวเล็กลงไปอีก เมื่อนำมาใส่จานก็กลายเป็นก้อนเล็กเพียงสองช้อนทานข้าวเท่านั้น ข้าวก็เหลือแค่ครึ่งชาม หล่อนไม่ปริปากบ่นพยายามกินข้าวให้มาก นานๆ ทีตักกับข้าวใส่ปากเสียทีหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะค่อยๆ ละเลียดแค่ไหนสุดท้ายกับข้าวอันน้อยนิดก็หมดอยู่ดี ท้องเธอยังถูกเติมเต็มไม่ถึงครึ่ง หล่อนต้องแอบย่องออกไปดื่มน้ำก๊อกหน้าบ้านเหมือนวันอื่นๆ ไม่อย่างนั้นท้องจะร้องทั้งคืนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้เลย



ก่อนออกจากบ้านเด็กสาวกวาดบ้านเรียบร้อยแล้ว จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้กวาดมากนักเพราะพื้นบ้านคือดินแข็งๆ แต่หล่อนก็ต้องทำไม่อย่างนั้นจะถูกลากตัวกลับมาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เธอมีบทเรียนมากมายที่ต้องจำ ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ได้มีดีเลยแม้แต่น้อย

พระอาทิตย์ขึ้นค่อนข้างเร็วเพราะเข้าสู่ฤดูร้อน อีกไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะเป็นวันสงกรานต์ เธอไม่มีโอกาสได้เล่นเพราะแม่บอกว่าเปลืองน้ำ ต่อให้เป็นน้ำขุ่นๆ จากบ่อหลังบ้านก็ตาม

วันนี้เด็กสาวกะว่าจะไปเล่นน้ำที่น้ำตกซึ่งอยู่ไกลออกไปเกือบสองกิโลเมตร มันเป็นน้ำตกเล็กๆ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าโปร่ง จากนั้นก็จะเก็บฝรั่งลูกเล็กจากข้างทางขากลับมากินที่ใต้ต้นมะขาม มันช่วยทำให้หล่อนหายหิวไปได้บ้าง เพราะหล่อนไม่มีสิทธิ์ได้กินอาหารเช้า ปกติเธอจะออกจากบ้านตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น แวะเก็บใบไม้อ่อนๆ ตามทางกิน พอไปถึงโรงเรียนก็จะมีน้ำสะอาดจากเครื่องทำน้ำเย็นเครื่องเล็กๆ ไว้ให้ดื่ม หล่อนดื่มจนอิ่มทุกวัน



นอกจากได้ลูกฝรั่งเนื้อสีชมพูน่ากินมาหลายลูกแล้ว เธอยังโชคดีจับปลาขณะเล่นน้ำได้หนึ่งตัว มันติดอยู่ที่แอ่งน้ำซึ่งล้อมรอบไปด้วยก้อนหิน เธอเดาว่ามันคงกระโดดเข้ามาโดยบังเอิญและหาทางออกไม่ได้ เด็กสาวจึงหักกึ่งไม้แถวๆ นั้นพยายามทำให้ปลายแหลมโดยใช้มือหักออก แล้วจัดการปลาตัวนั้นเสีย ถือว่าเป็นโชคร้ายของปลาตัวน้อยที่บังเอิญมาเจอคนหิวโซอย่างเธอ

เธอจุดไฟอย่างง่ายๆ ด้วยการปั่นไม้เข้าหากันจนเกิดควันไฟ หล่อนไม่กล้ากลับไปบ้านเพื่อเอาไฟแช็กของแม่มา เพราะถ้าโดนจับได้ว่าหายไป ซึ่งต้องโดนอย่างแน่นอนแม่จะโกรธมากและหล่อนจะต้องเจ็บตัว สู้อดทนเจ็บมือบ้างแต่ได้นั่งกินอาหารสบายๆ ใต้ต้นไม้เสียยังดีกว่า

ใบไม้และกิ่งไม้แห้งถูกนำมาสุมกันเป็นกองเล็กๆ เธอนำไม้ที่เสียบปลาเรียบร้อยแล้วไปยื่นบนกองไฟนั้น ค่อยๆ พลิกอย่างใจเย็นรอสุก จากนั้นจึงดับไฟที่เกือบมอดด้วยรองเท้าแตะเก่าๆ เกือบขาด

"ทำอะไรอยู่เหรออ้อย" เสียงใสดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

หล่อนถอนหายใจเฮือก มองไปยังต้นเสียงเห็นเด็กสาวคนเมื่อวานใส่กระโปรงสีชมพูน่ารัก รองเท้าและโบว์ผูกผมก็สีเดียวกัน

"ย่างปลา" เธอยอมตอบ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเซ้าซี้เหมือนเย็นวานอีก

"หอมจัง" คนสูงน้อยกว่าทำตาวาวพร้อมกับมานั่งข้างๆ

"แน่นอน" หล่อนอดพูดอย่างภูมิใจไม่ได้ ยอมให้ข้าวหอมนั่งข้างๆ โดยดี

ทิฆัมพรลอกหนังปลาส่วนหนึ่งเข้าปาก หนังกำลังนุ่มดีเพราะเป็นส่วนท้อง เธอชอบส่วนนี้เป็นที่สุดเพราะว่าอร่อยมีไขมันนุ่มๆ ต่างจากบริเวณอื่นซึ่งมีแต่เนื้อแน่ๆ เด็กน้อยข้างๆ ไม่พูดสักคำเดียวมองปลาในมือเธออย่างอยากกิน

"เอ้านี่" เธอแบ่งท้องปลาไปให้อีกฝ่าย ถ้าเด็กคนนี้เอ่ยปากขอล่ะก็อ้อยจะไม่มีวันให้เลยเพราะหล่อนมีอาหารแทบไม่พอกินอยู่แล้ว

"ขอบใจนะ" ใบหน้าขาวจนเห็นเลือดฝาดนั้นยิ้ม เป็นยิ้มที่เกิดขึ้นทั้งดวงตา ริมฝีปากสีชมพู เด็กสาวรู้สึกดีนิดๆ เพราะปกติไม่มีใครยิ้มให้เธอแบบนี้เลย มีแต่ยิ้มเยาะเย้ยล้อเลียน

"อร่อยจัง ปลาอะไรเหรอ แล้วหามาจากไหน" เสียงใสถามอย่างอยากรู้

"ไม่รู้เหมือนกัน หาที่น้ำตกนู่น" เธอชี้ไปทางป่าโปร่งที่อยู่ห่างจากหลังบ้านไปพอสมควร

"ไกลไหม" ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนมีแววสนใจ ผมสีน้ำตาลทองที่มัดไว้ขยับไปตามศีรษะที่มองตามนิ้วของเธอ

"นิดหน่อย" ทิฆัมพรเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักพูดมากไปเสียแล้ว จึงเงียบซะแล้วนานๆ ทีจึงแบ่งเนื้อปลาให้อีกฝ่ายสักทีหนึ่ง เพราะรู้ว่าผิวพรรณเปล่งปลั่งแบบนี้คงกินดีอยู่ดีกว่าเธอมากนัก

จากนั้นก็ส่งลูกฝรั่งให้หนึ่งลูกส่วนอีกหกลูกนั้นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อยเสียเรียบ มีเพียงเมล็ดเล็กๆ ที่ถูกกองไว้ข้างๆ ปลายเท้า หล่อนตั้งใจว่าจะขุดหลุมแถวนี้แล้วปลูก จริงๆ เธอลองปลูกหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีอันไหนเลยที่งอก แต่ลองอีกสักทีก็ไม่เสียหายอะไร

เด็กสาวชุดชมพูนั่งเงียบตามเธอ หล่อนไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรถ้าอีกฝ่ายไม่รบกวน โคนต้นไม้ก็ออกจะกว้างแบ่งให้คนอื่นนั่งบ้างก็ไม่เป็นไร



วันถัดมาเธอเก็บเมล็ดกระถินที่ยังอ่อนๆ อยู่มากิน หล่อนเก็บมาเยอะ เพราะบ้านถัดไปไม่ค่อยสนใจนัก ยายสุขมักจะเก็บแต่ยอดอ่อนไปจิ้มน้ำพริกกิน ถึงรสชาติจะไม่ได้อร่อยแต่ก็ประทังหิวได้พอใช้ อีกอย่างเวลาแกะก็สนุกดีไม่น้อย

วันนี้ทั้งวันไม่มีวี่แววของข้าวหอมเลย เธอรู้สึกงี่เง่าเล็กน้อยที่เก็บเมล็ดกระถินอ่อนไว้ให้สามสี่ฝัก เมื่อใกล้เย็นหล่อนรู้แน่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มาแน่ๆ จึงกินเมล็ดเหล่านั้นเสียเพื่อไม่ให้เสียเปล่า

สองสามวันถัดมาชีวิตของอ้อยก็กลับเป็นเหมือนเดิม เธอนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้คนเดียว ทำนู่นทำนี่ตามใจตัวเอง หาของแถวบ้านกิน และมองท้องฟ้าสีสดใส ไม่มีการคอยเด็กสาวบ้านไม้อีกต่อไป



วรดาถือลูกมะพร้าวด้วยสองมือเล็กๆ หล่อนกำลังเป็นวัยรุ่นอีกแค่สองเดือนก็จะเรียนระดับชั้นมัธยมแล้ว แต่ถ้าพูดถึงแรงคงไม่มีมากนักเพราะที่บ้านมีคนรับใช้คอยทำทุกอย่างให้ เธอแทบไม่ได้แตะอะไรเลย

วันนี้เธอใส่กางเกงขาสั้นรองเท้าสีฟ้า เสื้อยืดสีขาว หล่อนอยากลองเปลี่ยนดูบ้างเพราะคนหน้านิ่งมักจะใส่เสื้อผ้าลักษณะนี้อยู่เสมอเพียงแต่มันเก่าจนแทบจะทำเป็นผ้าขี้ริ้วได้อยู่แล้ว

"หวัดดีอ้อย" เธอยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างพยายามผูกไมตรี

"กินด้วยกันไหม" หล่อนยื่นลูกมะพร้าวที่มีหลอดดูดสีขาวและช้อนยาวไปตรงหน้าคนผมสั้น

เธอเดาว่าอ้อยคงแทบไม่มีอะไรจะกินในแต่ละวันเพราะอีกฝ่ายผอมเหลือเกิน กระดูกปูดโปนไปหมด หาไขมันไม่เจอเลยแม้แต่นิดเดียว แถมเมื่อหลายวันก่อนก็กินผลไม้กับปลานั่นอย่างกับหิวโซ เธอแอบรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไปแย่งของกินของทิฆัมพร

"อย่าเลย" เสียงนุ่มนั้นปฎิเสธ แต่เธอมองแววตาสีน้ำตาเข้มคู่นั้นออกว่าอยากลองกินดู

"เถอะนะ ถือว่าชดเชยเรื่องปลาไง" ข้าวหอมอ้าง

"ก็ได้ นิดเดียว" อ้อยนิ่งไปค่อนข้างนานก่อนจะตัดสินใจ หล่อนรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย คงเป็นเพราะชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว เด็กสาวไม่ค่อยแปลกใจเพราะบนผิวที่คล้ำแดดเล็กน้อยนั้นมีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด เธอคิดว่าต้องให้เวลาอีกฝ่ายมากสักหน่อยกว่าที่จะยอมพูดมากกว่านี้และดีกว่านี้

แรกเริ่มเดิมทีสาวนัยน์ตาสวยแค่อยากจะสำรวจบริเวณรอบๆ บ้าน เพราะเป็นวันแรกที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านั้นพ่อหล่อนซื้อคอนโดอยู่ แต่เมื่อเก็บเงินได้มากเข้าจึงมาซื้อที่ดินแถวนี้ซึ่งราคาถูกกว่าในเมืองมาก และปลูกบ้านไม้หลังใหญ่ เธอชอบเพราะอากาศดีและพื้นไม้ก็เย็นสบาย

หล่อนฮัมเพลงที่กำลังนิยมอย่างมีความสุขกับบ้านใหม่ เมื่อเดินมาถึงต้นมะขามหลังบ้านไม่ไกลจากรั้วนัก เธอก็เห็นร่างบางนั่งนิ่งยังกับก้อนหินอยู่ที่โคนต้นไม้ นัยน์ตาสีสวยนั้นมองไปที่ท้องฟ้า และเมื่อเข้าไปทักทายก็ต้องพบเจอกับความเย็นชาอย่างที่ไม่มีใครทำแบบนี้กับเธอมาก่อนเลย เด็กสาวพยายามชวนคุยอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลจึงนั่งนิ่งๆ สังเกตอีกฝ่ายมากกว่า และจากนั้นก็พบว่าเพื่อนใหม่คนนี้ปิดกั้นตัวเองเอามากๆ พูดน้อยเสียจนเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง เมื่ออีกฝ่ายเดินกลับบ้านไป หล่อนเห็นจากไกลๆ ว่าร่างบางนั้นว่าอะไรสักอย่าง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไรออกมาสักคำ จากนั้นแขนเล็กเรียวก็โดนกระชากอย่างแรงเข้าไปในบ้าน เธอรู้สึกเห็นใจ ถ้าโดนอย่างนั้นเด็กสาวคงไม่รู้จะทำยังไง

วันต่อมาคนตัวสูงกว่าก็มีน้ำใจแบ่งอาหารมาให้แถมยังไม่ได้ว่าเธอสักคำที่นั่งอยู่ข้างๆ แท้จริงแล้วอ้อยก็ไม่ใช่คนเย็นชาอย่างที่แสดงออกมา เพียงแต่เจ้าตัวคงต้องทำแบบนี้เพื่อป้องกันตัวเอง วรดาไม่เข้าใจความทุกข์ของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้ แต่หล่อนมองออกถึงสิ่งที่อยู่ข้างในจิตใจของอีกคน

คนตัวผอมตักมะพร้าวอ่อนกินไปชิ้นเดียว และดูดน้ำแค่สองอึก เธอจึงรับกลับมากินไปจำนวนเท่ากันแล้วส่งกลับไปให้อีกครั้ง อ้อยดื้อไม่ยอมรับ หล่อนจึงพูดออกไปว่า

"กินเถอะนะ ข้าวอิ่มแล้ว จะทิ้งก็เสียดายเหลือตั้งเยอะ" เมื่อพูดแบบนี้คนข้างๆ จึงยอมรับไปทั้งๆ ที่หน้านิ่วคิ้วขมวด

มองๆ ไปทิฆัมพรก็ดูดีไม่น้อยถ้ามีน้ำมีนวลมากกว่านี้ ผิวขาวแต่ไม่ถึงขนาดเธอ และก็ไม่คล้ำเหมือนเด็กวัยรุ่นแถวนี้ มีแค่รอยแดดจางๆ เล็กน้อยเท่านั้นเอง ตาเรียวสองชั้นสวย สีน้ำตาลคู่นั้นบางทีก็จริงจังครุ่นคิด แต่บางครั้งก็เหมือนเบื่อหน่ายโลกทั้งใบ ถ้าจับแต่งตัวสักหน่อยเธอคิดว่าอีกฝ่ายคงสวย



หลังจากนั้นที่คนน่ารักกลับมา ณ ต้นมะขามอีกครั้ง ก็มักจะมีของกินติดไม้ติดมือมาเสมอ ไม่ขนมก็น้ำผลไม้อร่อยๆ แต่เด็กสาวก็ไม่อยากให้ตัวเองดูน่าสมเพชในสายตาของอีกฝ่ายจึงยังหาของกินเหมือนเดิม แต่ถ้าข้าวหอมมีของมาแบ่งเพิ่มก็เป็นเรื่องดี เธอเลิกปฎิเสธสาวผมยาวได้สักพักแล้ว เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งเธอไม่ยอมรับของ เด็กสาวจากบ้านไม้จึงทำท่าจะทิ้งของเหล่านั้นจริงๆ ทำเอาหล่อนที่นั่งนิ่งต้องลุกขึ้นไปคว้าของนั้นเอาไว้ สาวตาสวยคนนั้นทำไมถึงต้องทำเพื่อเธอแบบนี้นะ เธอไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

"ดีอ้อย" สาวน้อยยิ้มกว้างดูสว่างไสวเสียยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ หล่อนยอมรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจกับตัวเองว่าเธอชอบรอยยิ้มของอีกฝ่ายมาก

"ดี" ทิฆัมพรตอบแบบประหยัดคำเช่นเดิม

"วันนี้ไปบ้านข้าวไหม" เป็นครั้งแรกที่เสียงใสหวานนั้นชักชวนแบบนี้

หล่อนไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไร ไม่เคยมีเด็กคนไหนชวนเธอไปบ้าน คนผมสั้นก้มลงมองดูเสื้อผ้าของตัวเอง มันช่างซอมซ่อผิดกับชุดใหม่ๆ สวยๆ ของอีกฝ่ายลิบลับ แถมยังไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเด็กคนนี้จะว่าอย่างไรถ้าลูกสาวพาคนต่างฐานะแบบเธอเข้าไปบ้าน

"ไม่เห็นเป็นไรเลย" สาวน้อยน่ารักพูดเมื่อมองชุดของเธอ ยังกับอีกฝ่ายรู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่บ้าง ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไปสักคำ

"พ่อกับแม่ข้าว" เธอไม่รู้จะพูดยังไงต่อจึงหยุดแค่นั้น

"แม่เสียแล้วล่ะ พ่อไปทำงาน เราอยู่บ้านคนเดียว" ข้าวหอมตอบอย่างเข้าใจถึงสิ่งที่แม้แต่เธอเองยังสับสน

"ก็ได้" คำนั้นหลุดออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วเด็กสาวผอมบางก็ได้เห็นรอยยิ้มที่แสนสวยอีกครั้ง



เด็กสาวรูปร่างสมส่วนจูงมือเธอให้เดินขึ้นบันไดบ้านที่ขัดจนมันเงา ไม้ทั้งบ้านเป็นสีน้ำตาลอ่อน ด้านในตกแต่งสวยมากจนเธออดทึ่งไม่ได้ หล่อนไม่เคยเห็นอะไรสวยๆ งามๆ แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต เสาถูกแกะเป็นลวดลายที่ทิฆัมพรไม่รู้จัก แต่มันประณีตเสียจนไม่กล้าแตะ กลัวว่าจะไปทำอะไรเสียหาย เธอไม่มีเงินสักบาทเดียว ถ้าทำพังไม่รู้จะเอาเงินจากไหนมาให้ได้ ถ้าไปขอแม่ก็คงต้องโดนตีหนักอย่างแน่นอนเพราะมาบ้านคนที่แม่บ่นไม่ชอบนักหนา หล่อนไม่อยากเดือดร้อน

"สวยมาก" คนผมสั้นชมจากใจจริง เธอไม่มีวันชวนอีกฝ่ายไปบ้านของตัวเองเพราะมันเทียบไม่ได้เลย

"ไปที่ครัวดีกว่า หาไรกินกันนะ" คนผมยาวเดินนำหน้าไปยังส่วนที่แยกออกไป ในห้องนั้นมีตู้เย็นสีสดสวย มีดที่ด้ามไม่มีรอยขีดข่วนสักนิดเดียวใบมีดถูกเสียบไว้ที่กล่องไม้โดยเฉพาะ จานชามในตู้กระจกก็มีลวดลายสวยงาม

วรดาเปิดตู้เย็นด้วยมือสองข้าง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่มีเนื้อมีหนังกว่าเธอตั้งเยอะ

ภายในตู้เย็นมีน้ำเปล่า น้ำส้ม และน้ำอีกหลากหลายชนิดที่คนร่างบางไม่รู้จัก ชั้นล่างเต็มไปด้วย
ขนมขบเคี้ยว ถ้าหล่อนมีเงินก็จะทำแบบนี้บ้าง ซื้อของใส่ตู้เย็นแล้วก็ไม่ต้องทนหิวหรือกินน้ำจากก๊อกอีกต่อไป สักวันเธอต้องมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้

คนหน้าหวานหยิบขนมสองสามห่อแล้วก็น้ำส้มอีกสองขวดออกมาวางที่โต๊ะไม้หนา หล่อนยืนนิ่งตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไร ยอมรับว่าที่ผ่านมาผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกในรอบหลายปีที่ทำให้เธอเฉยชาน้อยลง พูดมากขึ้น แต่ทำแบบนี้มันไม่มากเกินไปเหรอ คนตรงหน้าไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเธอเลยสักอย่างเดียว แต่ถึงทำหล่อนก็ไม่มีอะไรจะให้อยู่ดีนอกจากตัวเปล่าๆ

"มานั่งอ้อย" เสียงใสชักชวนด้วยความใจดี

"นั่งเป็นเพื่อนข้าวนะ" คำพูดแบบนี้อีกแล้ว หล่อนยอมเพราะคำพูดแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง ถึงแม้จะรู้แต่ก็ไม่สามารถปฎิเสธได้

"ทานด้วยกันสิ" คนผมยาวยิ้มและยื่นขนมให้

"อย่าเลย ของข้าว อ้อยไม่เอา" เธอพูดยาวกว่าปกติ รู้สึกลำบากใจที่ต้องเอ่ยออกไปแบบนี้พอสมควร

"รังเกียจเหรอถ้ามันเป็นของๆ ข้าวน่ะ" แววตาที่เคยสดใสตลอดเวลาหมองลง รอยยิ้มที่หล่อนเคยชอบจางหายไป

"ไม่ใช่แบบนั้น" เธอรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก

"แค่ไม่อยากกินของที่ไม่ใช่ของตัวเอง" สาวผอมบางหวังว่าคำพูดนี้คงจะชัดเจนพอ

"เพื่อนกันน่ะไม่เห็นต้องคิดมาก ทีอ้อยยังแบ่งของให้ข้าวทานเลยทั้งๆ ที่อ้อยก็ไม่ค่อยมี แต่ข้าวมีเยอะแยะ ข้าวจะแบ่งให้อ้อยมันผิดตรงไหนคะ" ตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นพูดถูกต้องทุกอย่าง เด็กสาวถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง

"ไม่ผิด...ค่ะ" ทิฆัมพรพยายามพูดจาให้ดีขึ้น หล่อนอยากทำดีกับคนตรงหน้าเหมือนที่อีกฝ่ายทำดีให้ อยากพูดจาดีๆ และไม่ทำให้รอยยิ้มสวยๆ นั้นหายไปอีก

เมื่อสาวสวยได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มน่ารักให้เธอเสียทีหนึ่ง ชีวิตที่ผ่านมาเพิ่งรู้สึกว่าอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อใครสักคน ตลอดเวลาหล่อนโดนสั่งให้ทำนู่นทำนี่ไม่ว่าจะอยากทำหรือไม่ ไม่มีใครถาม ไม่มีใครสนใจ เธอจะพยายามถึงที่สุดที่จะเป็นเพื่อนกับคุณหนูแสนน่ารักคนนี้



"ดูโทรทัศน์กันนะ บ่ายๆ แบบนี้มีละครด้วยแหละ" ข้าวหอมจูงมืออีกฝ่ายให้มานั่งที่เก้าอี้ไม้ยาวซึ่งมีเบาะนุ่มๆ ปูรองอยู่

คนร่างบางไม่ปฎิเสธเหมือนเคย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำตัวน่ารักขึ้นเรื่อยๆ วรดาดีใจที่เป็นแบบนี้ หล่อนไม่ต้องการให้อีกฝ่ายอดอยากหรืออยู่เดียวดายใต้ต้นไม้เหมือนคนโดนทิ้งแบบนั้นเลย

จอภาพสีไม่ค่อยชัดมากนักเพราะเพิ่งมีจอแบบนี้ได้ไม่นานนัก เธอว่าดีกว่าจอขาวดำแบบเก่าเยอะ อย่างน้อยหล่อนก็เห็นสีสันของเสื้อผ้าและสีหน้าของตัวละครได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ทิฆัมพรนั่งนิ่งมองภาพเคลื่อนไหวไปมาอย่างสนอกสนใจ เธอยิ้ม เดาว่าเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายได้ดูอะไรแบบนี้ หล่อนไม่คิดว่าจะมีอะไรให้แปลกใจนักจากการคาดเดาเมื่อได้เห็นบ้านของคนหน้าสวย

"ขนมติดแก้ม" อยู่ๆ คนหน้านิ่งก็หันมาแล้วพูด

"ตรงไหนเหรอ" เธอถามพยายามคลำบนใบหน้าของตัวเองแต่ก็ไม่เจอ

"ตรงนี้" นิ้วเรียวยาวที่แทบมีแต่กระดูกยื่นมาสัมผัสที่แก้มข้างซ้ายอย่างเบามือ

เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าเล็กๆ แล่นไปทั่วใบหน้า และหัวใจเธอก็เต้นผิดจังหวะอย่างไม่มีเหตุผล หล่อนไม่แน่ใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้น มันอาจจะไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนั้น

อ้อยหันกลับไปมองโทรทัศน์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาของเธอไม่อาจละจากนิ้วมือผอมบางนั้นได้เลย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคนทำงานหนักมา เพราะข้อนิ้วแตกไปหมด พ่อหล่อนเคยสอนให้ดูมือของคนอยู่บ้าง

ทำไมสัมผัสจากนิ้วที่แทบไม่มีเนื้อนั้นถึงได้แผ่วเบาราวกับจะทะนุถนอมได้ขนาดนี้ แล้วความแข็งของปลายนิ้วก็ให้ความรู้สึกประหลาด ไม่เหมือนเวลาพ่อหรือคนอื่นๆ แตะเลย วรดาคิดว่าเรื่องนี้คงจะต้องใช้เวลากว่าที่เธอจะมั่นใจได้ว่าสิ่งที่รู้สึกคืออะไรกันแน่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 16:32:37 Admin »



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.