web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 183
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 172
Total: 172

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 5  (อ่าน 1596 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 5
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:22:33 »
Chapter 5

ไอกับพี่ชายและแม่เดินทางมาถึงจังหวัดน่านโดยเครื่องบิน ซึ่งกว่าจะได้ออกจากกรุงเทพฯ ก็เป็นช่วงเวลาค่ำแล้วเพราะอาร์ทติดงานด้านเอกสารด่วน ทั้งสามคนมาถึงที่สนามบินจังหวัดน่านในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม เมื่อเดินออกมาที่นอกอาคารของสนามบินสาวตาหวานก็มองบรรยากาศรอบๆ ตัวด้วยสายตาที่ตื่นๆ เพราะนอกจากเธอ แม่ พี่ชาย และผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่มาด้วยกันแล้ว ก็ไม่พบใครอีกนอกจากความเงียบและความมืดของยามค่ำคืน

“น่านเมืองมันเล็ก ไม่เหมือนเชียงใหม่หรอก เงียบๆ แบบนี้เรื่องธรรมดา” พัชรินทร์พูดแล้วกดโทรศัพท์มือถือหาปิง แม่ของเจ้าสาว

ช่างซ่อมเครื่องบินเรียกน้องสาวให้ช่วยขนกระเป๋าที่ตกลงบนพื้นขึ้นรถเข็นขณะที่แม่ของพวกเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ และไม่นานนักรถโฟร์วิวคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาเทียบ

“รอนานมั้ย” สาวใหญ่เจ้าเนื้อใส่แว่นที่เดินลงมาจากรถถามทันทีเมื่อเห็นหน้าบุคคลทั้งสาม

“แป๊บเดียวเอง” คุณครูประถมตอบ

“หวัดดีครับน้าปิง” อาร์ทพูดพร้อมกับยกมือไหว้ ไอก็รีบทำตามพี่ชาย

สาวใหญ่ยิ้มแล้วเดินเข้ามากอดสองพี่น้องทันที “อาร์ท! ไอ! เป็นไงบ้างลูก แหม... โตขึ้นมานี่หล่อๆ สวยๆ กันทั้งนั้นเลยนะเนี่ย นี่ถ้าเจ้าปลาไม่มีแฟนซะก่อนนะ น้าจะให้แต่งกับอาร์ทซะเลย”

ช่างซ่อมเครื่องบินหัวเราะลั่น ส่วนสาวตาหวานก็ยิ้มกว้างกับคำพูดของอีกฝ่าย หลังจากนั้นทั้งหมดก็ช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นรถแล้วขับเข้าไปในตัวเมือง

“ฉันจองโรงแรมไว้ให้แล้วนะ จริงๆ แล้วกะว่าจะให้นอนที่บ้านแหละ แต่พอดีว่าคนมันเยอะ ของก็เยอะ เกรงใจ” ปิงพูดขณะที่ขับรถไปด้วย

“เธอนี่จริงๆ เลยนะ ลูกสาวแต่งงานทั้งทีไม่มีบอกเพื่อนบอกฝูงกันล่ะ นี่ถ้ายัยน้ำไม่โทรมาบอกฉันนะป่านนี้ฉันก็คงนั่งทำงานแบบไม่รู้เรื่องอยู่กับบ้านไปแล้ว” พัชรินทร์บ่น

“เธอนี่ขี้บ่นจัง” สาวใหญ่พูดแล้วมองไปที่กระจกหลัง เธอสบตากับไอแล้วถามว่า “อยู่บ้านขี้บ่นแบบนี้มั้ยเนี่ย”

สาวตาหวานหัวเราะ “ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกค่ะ”

ปิงทำหน้าประหลาดใจแล้วหันไปมองหน้าเพื่อน “อย่ามาหลอกน้าเลยหนูไอ ยัยพัชเนี่ยขี้บ่นจะตาย ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่งงานมีลูกก็ยังขี้บ่นไม่เลิก”

“นี่... ไม่ต้องนินทาฉันต่อหน้าลูกเลยนะ ขับรถไปเถอะน่า”

เสียงหัวเราะของลูกๆ สองคนที่นั่งอยู่เบาะหลังดังขึ้นมาเบาๆ หลังจากนั้นสาวตาหวานก็นั่งนิ่งๆ โดยมีพี่ชายกุมมือเอาไว้ตลอดเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวล เพราะเพื่อนของคุณครูประถมนั้นถือว่าเป็นคนที่ขับรถน่ากลัว – น่ากลัวมากจนทำให้ผู้โดยสารทั้งสามนั้นนั่งตัวแข็งกันเลยทีเดียว

“ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ยังขับรถน่ากลัวเหมือนเดิมเลยนะ นี่ฉันมางานแต่งลูกสาวเธอนะ ไม่ใช่มาแข่งแรลลี่” พัชรินทร์บ่น

“บ่นจังเลยเธอนี่ ใกล้ถึงแล้ว” สาวใหญ่พูดแล้วเลี่ยวรถเข้าไปที่โรงแรมเทวราช โรงแรมที่จะเป็นที่พักและสถานที่จัดงานแต่งงานช่วงกลางคืนของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว

หลังจากเช็คอินได้ไม่นานปิงก็ขอตัวลากลับไปเตรียมของและบอกว่าพรุ่งนี้เธอจะให้คนมารับแต่เช้าเพื่อไปร่วมพิธี

เช้าวันต่อมาคนที่บ้านของแม่เจ้าสาวก็มารับแขกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อร่วมพิธีแต่งงานช่วงเช้า ไอยิ้มและหัวเราะเมื่อเธอได้กั้นประตูเงินประตูทองร่วมกับญาติๆ ฝ่ายเจ้าสาว รวมถึงช่วยอาร์ทหาที่ซ่อนรองเท้าของเจ้าบ่าวขณะที่กำลังทำพิธีสงฆ์ เมื่อเสร็จพิธีช่วงเช้าแล้วอาร์ทก็ขออนุญาตเจ้าภาพพาน้องสาวออกไปเที่ยวในเมืองเพื่อเปิดหูเปิดตา

“ไหนๆ ก็มาแล้วไปไหว้ศาลหลักเมืองกับวัดภูมินทร์สักหน่อยก็ได้ลูกแล้วค่อยกลับไปโรงแรม” คุณครูประถมบอกในขณะที่กำลังคุยกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันที่มาร่วมงานนี้อย่างเพลิดเพลิน

“ครับ” ช่างซ่อมเครื่องบินรับคำ

‘วัดภูมินทร์เหรอ...’ สาวตาหวานคิดในใจพลางนึกถึงโปสการ์ดใบล่าสุดที่เธอได้รับ ซึ่งเป็นรูปของวัดภูมินทร์

อาร์ทพาน้องสาวซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ยืมมาจากบ้านเจ้าสาวขี่ออกไปตามถนนที่มุ่งหน้าสู่ศาลหลักเมือง วัดมิ่งเมือง และวัดภูมินทร์ สามสถานที่สำคัญที่ตั้งอยู่ใจกลางอำเภอเมืองน่าน เมื่อถึงวัดมิ่งเมือง วัดที่เป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองของจังหวัดน่านไอก็ต้องตื่นตากับสถาปัตยกรรมล้านนาร่วมสมัยลายปูนปั้นที่ผนังด้านนอกของพระอุโบสถที่มีความสวยงามวิจิตรบรรจงเป็นอย่างมาก สองพี่น้องเข้าไปกราบพระประธานและสักการะเสาหลักเมือง



เมื่อขี่รถมอเตอร์ไซด์ออกมาจากศาลของเสาหลักเมืองได้ไม่เท่าไหร่และยังไม่ทันจะข้ามไปวัดภูมินทร์ เมฆที่ลอยครึ้มอยู่เต็มท้องฟ้าก็กลั่นหยดน้ำลงมา ทั้งคู่จึงต้องรีบวิ่งหาที่หลบฝนและมาหยุดพักที่ร้านเฮือนฮอม ร้านอาหารเหนือสไตล์พื้นเมืองแท้ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดมิ่งเมืองมากนัก ช่างซ่อมเครื่องบินบอกให้น้องสาวไปหาโต๊ะนั่งรถขณะที่ตนเองนำรถมอเตอร์ไซด์ไปจอด

ขณะที่สาวตาหวานกำลังเดินไปที่โต๊ะอาหาร เธอก็หยุดยืนอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งเพราะเห็นลายมือที่คุ้นเคยอยู่บนกระดาษขนาดโปสการ์ด บนกระดาษใบนั้นเขียนไว้ว่า

‘Wat Pra That Che Hang, Nan (วัดพระธาตุแช่แห้ง น่าน)’



หัวใจของไอเต้นเร็ว เธอมองซ้ายมองขวาหาเจ้าของโต๊ะที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของร้านอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับไปมองดูที่กระดาษขนาดโปสการ์ดบนโต๊ะอีกครั้ง เมื่อไล่สายตามองที่เก้าอี้ก็พบเพียงกระเป๋าเป้ใบหนึ่งวางไว้เท่านั้น

“ไอ ทำไมไม่ไปหาที่นั่งล่ะ” อาร์ทเดินเข้ามาหาน้องสาวแล้วลากตัวอีกฝ่ายเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านใน

สาวตาหวานรู้สึกกระวนกระวายปนตื่นเต้นพลางสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของโต๊ะอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะโดนพี่ชายเร่งให้สั่งอาหาร หลังจากที่สั่งอาหารเสร็จแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเธอก็เห็นว่าเจ้าของโต๊ะคนที่เธอมองหาอยู่กลับมานั่งที่โต๊ะแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นหน้าเพราะอีกฝ่ายนั่งหันหลังให้กับเธอเพียงแต่รู้ว่าคนที่นั่งโต๊ะตัวนั้นเป็นผู้หญิงเท่านั้นเองเมื่อดูจากรูปร่างของอีกฝ่าย

“เป็นอะไรไป อยู่ไม่สุขเลยเรานี่” ช่างซ่อมเครื่องบินถามด้วยเสียงดุๆ

“ป... เปล่า” ไอตอบแล้วหลบตาพี่ชาย

ระหว่างที่นั่งกินข้าวนั้นเธอก็แอบมองอีกฝ่ายอยู่ตลอด ใจหนึ่งเธอคิดว่าคนๆ นั้นเป็น ‘คุณโปสการ์ดทำมือ’ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าไม่ใช่เพราะอาจจะเป็นแค่คนที่มีลายมือคล้ายกัน ความรู้สึกสับสนนี้ทำให้มือของเธอสั่นและมีเหงื่อซึม

“เป็นอะไรไปหรือเปล่าไอ” อาร์ทถามเมื่อเห็นอาการของน้องสาวไม่สู้ดีนัก เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาทำให้อีกฝ่ายมีอาการวิตกกังวลซึ่งเคยเป็นบ่อยมากในช่วงหนึ่งหลังจากไอที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว

“ม... ไม่ได้เป็นอะไร”

“แน่ใจนะ”

“อ... อื้อ ไม่ได้เป็นอะไร” สาวตาหวานตอบ และเธอก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่เธอมองอยู่กำลังจ่ายเงินค่าอาหาร

“งั้น... เดี๋ยวพี่ไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ” ช่างซ่อมเครื่องบินบอกแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะ

หัวใจของไอเต้นแรงเมื่อเห็นคนที่เธอมองอยู่กำลังเก็บของลงกระเป๋าเป้ กระดาษขนาดโปสการ์ดที่เธอเห็นในตอนแรกนั้นปลิวเข้ามาใกล้โต๊ะของเธอเมื่ออยู่ๆ ลมฝนวูบใหญ่พัดเข้ามาในร้านและทำให้ข้าวของต่างๆ กระจายไปทั่วร้าน

สาวตาหวานลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาดู มันเป็นภาพของบันไดนาคที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน โดยมีพระเจดีย์เป็นแบบล้านนา และมีฐานสี่เหลี่ยมซ้อนสีเหลืองทองอยู่ตรงมุมด้านขวา ท่ามกลางท้องฟ้าที่ขมุกขมัวไปด้วยเมฆฝน และเมื่อพลิกกลับด้านหลังนอกจากเธอจะเห็นข้อความที่บอกสถานที่แล้วเธอก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นชื่อและที่อยู่ของตัวเองอยู่บนนั้น

“ม... ไม่อยากจะเชื่อ...” ไอพูดออกมาเบาๆ

ลายมือที่สาวตาหวานจำได้ขึ้นใจ หางของตัวเอพิมพ์ใหญ่ที่ถูกตวัดขึ้นต่อเป็นตัวไอ เอกลักษณ์ของ ‘คุณโปสการ์ดทำมือ’

“Oh… thank you. Can I have it back? (โอ๊ะ ขอบคุณค่ะ ขอคืนได้มั้ยคะ)” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นด้านหน้าไอที่กำลังจ้องมองด้านหลังของโปสการ์ดด้วยใบหน้าตกตะลึง

“Y… yes (ค... ค่ะ)”

สาวตาหวานส่งโปสการ์ดคืนแล้วมองหน้าอีกฝ่าย เธออ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอนั้นคือสาวญี่ปุ่นที่เธอเคยเจอที่กรุงเทพฯ คนที่ส่งโปสการ์ดมาให้เธอนั้นคือโยมิ!

สาวร่างสูงเมื่อเห็นหน้าของไอก็ตกใจไม่แพ้กัน “Are! Y… you (อาเร๊ะ! ค... คุณ)”

โยมิพูดต่อว่า “Your name is Ai, right? (ไอใช่มั้ย)”

สาวตาหวานไม่ตอบเพราะเธอกำลังอึ้งกับ ‘คุณโปสการ์ดทำมือ’ อยู่ เธอไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นสาวญี่ปุ่นคนนี้! เธอไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกในลักษณะนี้ด้วย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าคนที่ได้รับโปสการ์ดทุกๆ ใบนั้นจะยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง

“Are you ok? (คุณโอเคหรือเปล่า)” สาวร่างสูงถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง

“อ... เอ่อ... P… Postcard (ป...โปสการ์ด)”

“This? Oh… I’m gonna send it before I go back to my hostel (อันนี้น่ะเหรอ... อ้อ! ฉันกำลังจะส่งมันก่อนที่จะกลับที่พักน่ะ)”

“So… it’s really you… you’re the sender… Why you send to me? (งั้น... เป็นคุณจริงๆ ด้วย... คุณเป็นคนส่ง... ทำไมคุณส่งให้ฉันล่ะ)”

“You? Receiver? (คุณงั้นเหรอ คุณเป็นคนรับงั้นเหรอ)” โยมิพูดทำท่างง แล้วมองดูชื่อผู้รับ “Ailada, is that your name? (คุณชื่อไอลดางั้นเหรอ)”

“Yes and that’s my address as well (ค่ะ แล้วนั่นก็ที่อยู่ฉันด้วย)” ไอพูดแล้วชี้ไปที่ข้อความถัดมาที่อยู่ใต้ชื่อของเธอ

สาวญี่ปุ่นร้องเสียงหลงพลางทำหน้างง เธอก้มลงไปมองที่โปสการ์ดแล้วหันมามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอสลับกันไปมาหลายครั้ง หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับหัวเราะให้กับตัวเอง

“Can you tell me, why you send postcards tome? (คุณบอกฉันได้มั้ยว่าคุณส่งโปสการ์ดมาให้ฉันทำไม)” สาวตาหวานรีบถามคำถามที่เธอสงสัยมาตั้งแต่รับโปสการ์ดใบแรกกับอีกฝ่ายทันที

ก่อนทีสาวร่างสูงจะตอบอะไรออกมา เสียงดังโครมครามก็ดังขึ้นที่หน้าร้าน ทั้งคู่หันไปมองก็พบกับรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่ถูกล้มคว่ำอยู่ คนขับรถเป็นชายวัยกลางคนที่ไม่สวมหมวกกันน็อค เลือดของเขาไหลนองอาบใบหน้า คู่กรณีเป็นรถกระบะคันหนึ่งที่คนขับรถกำลังวิ่งลงมาดูอาการพร้อมกับบรรดาไทยมุง โยมิหันกลับมาหาคู่สนทนาเมื่อรู้สึกว่าเธอถูกสัมผัสตัว และเมื่อหันมาเห็นเธอก็พบกับไอที่ใบหน้าซีดขาว น้ำตาเม็ดใหญ่กำลังไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย อีกทั้งยังดูอาการไม่ค่อยดีคล้ายกับจะเป็นลม

“Hey! Are you alright? (เฮ้! คุณเป็นอะไรหรือเปล่า)” สาวญีปุ่นรีบดึงตัวอีกฝ่ายเข้าหาตัวเองทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะล้มลง

ใบหน้าของสาวตาหวานซบลงกับไหล่ของอีกฝ่าย เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นของร่างกายของอีกฝ่าย รวมทั้งฝ่ามืออุ่นๆ ที่กำลังลูบหลัง

“Dijoubuyo (ไม่เป็นไรนะ)” เสียงพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ ที่กระซิบข้างหูของไอ มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด

“ไอรอนานมั้ย โทษที...” เสียงของอาร์ทดังขึ้นหลังจากที่เขาออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นน้องสาวกำลังถูกหญิงสาวคนหนึ่งกอดอยู่ก็ทำหน้าตกใจแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาทันที

“คุณทำอะไรน้องสาวผมน่ะ!” ช่างซ่อมเครื่องบินถามสาวร่างสูงเสียงดังพลางดึงตัวน้องสาวให้ออกจากตัวอีกฝ่าย

โยมิตกใจแล้วเดินถอยหนี เมื่อกำลังจะอ้าปากถามก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงคนในอ้อมกอดพูดออกมาเบาๆ ว่า “พี่อาร์ท ไอไม่เป็นอะไร พอดีโยมิช่วยไอเอาไว้”

“โยมิเหรอ...” อาร์ทถาม “รู้จักกันเหรอ”

สาวตาหวานค่อยๆ ผละออกจากตัวของอีกฝ่ายแล้วยืนตัวตรง “Thank you, I’m fine now (ขอบคุณค่ะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว)

“คนญี่ปุ่นที่ไอเล่าให้ฟังยังไงล่ะ คนที่เจอบนรถเมล์ เค้าชื่อโยมิ” ไอบอกกับพี่ชาย “This is my elder brother (นี่พี่ชายของฉันค่ะ)”

“Hi, my name is Art. Sorry about that (หวัดดีครับ ผมชื่ออาร์ท เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะครับ)”

“It’s ok, I’m Yomi. Nice to meet you (ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชื่อโยมิ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ)” เมื่อพูดจบสาวญี่ปุ่นก็หันไปมองสาวตาหวานที่ยืนอยู่ข้างๆ มือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายยังคงเกาะอยู่ที่ไหล่ของเธอ

“Are you ok? (คุณโอเคนะ)”

ไอพยักหน้าแล้วไม่พยายามหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังของเธอ เสียงร้องโอดโอยของผู้บาดเจ็บและเสียงโวยวายของไทยมุงยังคงดังอยู่ เมื่อช่างซ่อมเครื่องบินมองไปยังด้านนอกก็พยักหน้าอย่างรับรู้ได้ทันที เขารีบประคองน้องสาวให้ไปนั่งที่เก้าอี้ทันทีโดยมีสาวร่างสูงเดินประคองมาด้วยด้วยใบหน้างงๆ

“What happen? She looks not good (เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ดูน้องคุณอาการไม่ดีเลย)”

“Well, she’s sick (คือ เธอไม่สบาย)”

“Sick? (ไม่สบายเหรอ)” โยมิพูดพลางหันไปมองเหตุการณ์ที่หน้าร้าน เธอนั่งลงข้างๆ สาวตาหวานแล้วมองดูที่โปสการ์ดในมือของเธอ สาวญี่ปุ่นถอนหายใจแล้วเก็บโปสการ์ดใบนั้นลงกระเป๋าเป้ หลังจากนั้นก็มองไอแบบเต็มๆ ตา

ช่างซ่อมเครื่องบินรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นสาวร่างสูงมองน้องสาวของตัวเองด้วยความสงสัย เขาจึงรีบอธิบายพูดอธิบายทันที

“W… well she is… erm is… (อ... เอ่อ คือ ธ... เอิ่ม เธอ...)

“I’m suffer from PTSD disorder. Do you know this kind of symptom? (ฉันเป็นโรค PTSD คุณรู้จักอาการของโรคนี้มั้ย)” ไอพูดแทรกขึ้นมาแล้วหันไปถามโยมิ

ผู้ถูกถามส่ายหน้า แล้วนั่งฟังอีกฝ่ายที่ยังมีสีหน้าไม่สู้ดีนักพูดต่อไปว่า

“It’s a severe anxiety disorder from psychological trauma. My reaction will follow by something happened in the past (เป็นโรควิตกกังวลขั้นรุนแรงจากความเจ็บป่วยทางจิต อาการของฉันจะเป็นไปตามสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต)” สาวตาหวานพูดแล้วมองหน้าสาวญี่ปุ่น

“And… (แล้วยังไง)”

“It makes me scare of everything and makes me keep myself inside my home (มันทำให้ฉันกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ทำให้ฉันเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน)”

ช่างซ่อมเครื่องบินทำหน้าตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่น้องสาวของเขาพูด ไอรับรู้ถึงอาการของเธอเป็นอย่างดี

“So? (แล้ว...)”

สาวตาหวานถอนหายใจ “On the first day your postcard came to me. I kept myself thinking about traveling for asking you why you sent it to me (ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับโปสการ์ดของคุณ ฉันได้แต่คิดถึงการออกเดินทางเพื่อที่จะถามคุณว่าส่งมาเพื่ออะไร)”

“Do we know each other before? (พวกเรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า)” ไอถามต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมา

อาร์ทหันไปมองหน้าสาวร่างสูงทันที ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ส่งโปสการ์ดหลายต่อหลายใบมาหาน้องสาวของเขา

“ไอรู้ได้ยังไงว่าเค้าเป็นคนส่งมา”

“พอดีไปเห็นลายมือคุ้นๆ ที่โต๊ะตอนที่โยมิไม่ได้นั่งอยู่น่ะ ไอจำลายมือได้ทุกตัวและคิดว่าจำไม่ผิดด้วย” สาวตาหวานหันไปบอกพี่ชายแล้วก็ยื่นมือไปจับมือของโยมิ

“Why you send postcards to me? What is the reason? (ทำไมคุณถึงส่งโปสการ์ดมาให้ฉัน มีเหตุผลอะไรงั้นเหรอ)”

สาวญี่ปุ่นทำหน้างง หลังจากนั้นก็ยักไหล่แล้วพูดว่า “There’s no reason, I just made and sent. And I’m sure we’re never known each other before (ก็ไม่มีเหตุผลอะไรนี่ ฉันก็แค่ทำโปสการ์ดแล้วก็ส่งให้คุณ แล้วฉันก็แน่ใจว่าเราสองคนไม่ได้รู้จักกันมาก่อน)”

คำตอบของอีกฝ่ายทำให้สองพี่น้องทำหน้างง “But how can you have our address! How do you know her name? (แล้วคุณมีที่อยู่ของบ้านเราได้ยังไง! แล้วคุณรู้จักชื่อน้องสาวผมได้ยังไง)” ช่างซ่อมเครื่องบินถามออกมาด้วยความตกใจ

“Someone hired me to make my photos to be postcards and send to you. That person gave me money for all expenses and your address. That’s all (มีคนๆ นึงจ้างให้ฉันเอารูปถ่ายของฉันมาทำเป็นโปสการ์ดแล้วส่งมาให้คุณ เค้าให้เงินสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดกับที่อยู่ของคุณให้ฉัน แค่นั้นแหละ)”

“Do you know that person? (แล้วคุณรู้จักคนๆ นั้นหรือเปล่า)” อาร์ทถาม

สาวร่างสูงส่ายหน้าเร็วๆ “I just met at the Photo Shop for developing my pictures. Then I accepted the request (ก็เจอกันที่ร้านถ่ายรูป ฉันเอารูปไปล้างน่ะ แล้วฉันก็รับคำของร้องของเค้า)”

“Why did you accept the request? (แล้วคุณรับคำขอร้องเค้าทำไม)” ไอถามอย่างรวดเร็ว

โยมิทำหน้างงๆ แล้วหันไปมองสองพี่น้องสลับกันไปมาแล้วพูดออกมาว่า “I think it’s a kind of funny (ก็แค่คิดว่ามันน่าสนุกดี)”

สาวตาหวานทำหน้าผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เธอคิดว่าจะได้เจอกับคนที่เธอรู้จัก คนที่แคร์เธอ คนที่ให้กำลังใจเธอ และเมื่อได้พบแล้วเธออาจจะได้สิ่งดีๆ ตอบกลับมา จาก ‘คุณโปสการ์ดทำมือ’ ที่เธอวาดเอาไว้ว่าเป็นคนพูดน้อย ใจดี ขี้อาย และคอยเป็นห่วงเป็นใยเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ใช่เลย ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่เธอคิดเอาไว้เลย

สาวญี่ปุ่นนั่งทำหน้างงอยู่พักหนึ่งแล้วหันไปมองรอบๆ ตัว ฝนหยุดแล้ว และอุบัติเหตุที่หน้าร้านก็คลี่คลายลง รวมทั้งอาการของคนที่นั่งข้างๆ เธอก็ดีขึ้นแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นยืน

“If you have nothing to talk, may I excuse myself? Bye (ถ้าไม่มีอะไรจะคุยแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ ลาล่ะ)” พูดจบสาวร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินออกจากร้านไป

“อะไรของเค้าวะ” ช่างซ่อมเครื่องบินพูดพลางมองตามหญิงสาวที่เพิ่งจะเดินออกไปจากร้าน

ไอนั่งมองอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบวิ่งออกจากร้านตามอีกฝ่ายไป

“ไอ... จะไปไหนน่ะ” อาร์ทตะโกนถาม

“ไปตามโยมิ” สาวตาหวานตะโกนตอบกลับ

เมื่อวิ่งออกมานอกร้านแล้วไปก็รีบหันซ้ายมองขวาตามหาโยมิ ผู้ที่ส่งโปสการ์ดให้กับเธอ แล้วเธอก็เห็นอีกฝ่ายกำลังมองแผนที่ขณะที่นั่งอยู่บนรถจักรยานแม่บ้านคันหนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะออกเดินทางไปที่ไหนอีกครั้ง

“Hey! Our discussion is not over (เฮ้! เรายังคุยกันไม่จบนะ)”

สาวญี่ปุ่นตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียก และเมื่อหันไปมองข้างๆ ก็พบกับไอ

“Really? I thought we finished already (งั้นเหรอ ฉันคิดว่าเราคุยกันจบแล้วซะอีก)”

สาวตาหวานเงียบ... เมื่อสาวร่างสูงเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็เก็บแผนทีแล้วทำท่าจะออกเดินทางต่อ

“Where are you going? (คุณจะไปไหนเหรอ)” ไอถาม

“Travel (ออกเดินทาง)”

คำตอบของอีกฝ่ายทำให้สาวตาหวานพ่นลมหายใจราวกับว่าเธอไม่พอใจแล้วรีบนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของโยมิทันที

“Uso! (โกหกน่า!)” สาวญี่ปุ่นร้องออกมาเป็นภาษาของตัวเองแล้วหันไปมองคนนั่งซ้อนท้าย

“What are you doing?! (นี่คุณจะทำอะไร!)”

“I’ll go with you (ฉันจะไปกับคุณ)”

สาวร่างสูงพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกแรงๆ ด้วยความไม่พอใจ เธอลงจากรถจักรยานแล้วหันมามองหน้าคนที่นั่งซ้อนท้ายด้วยความไม่เข้าใจ

“With me? Are you serious? I don’t even know you, it’s no reason for going with me? (ไปกับฉัน... คุณแน่ใจแล้วเหรอ ฉันแทบไม่รู้จักคุณเลยนะ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไปกับฉันเลยนะ)

“I think it’s a kind of funny (ก็แค่คิดว่ามันน่าสนุกดี)” ไอตอบด้วยคำตอบที่อีกฝ่ายพูดออกมาเมื่อถามถึงเหตุผลที่ส่งโปสการ์ดมาให้กับเธอ

“Mataku! (ให้มันได้อย่างนี้สิ!)” โยมิพูดออกมาเบาๆ แล้วส่ายหน้าอย่างระอา “What do you want from me? (คุณต้องการอะไรจากฉัน) เธอถามด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

“I really wanna know why you sent those postcards to me (ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมคุณถึงส่งโปสการ์ดพวกนั้นให้กับฉัน)”

“I already told you! Geez! Someone hired me (ก็บอกไปแล้วไง! ให้ตายเหอะ! มีคนจ้างฉันไง)” สาวญี่ปุ่นพูดออกมาแบบหัวเสีย

“Who hired you? (แล้วใครจ้าง)”

“I don’t know (ฉันไม่รู้)” สาวร่างสูงตอบด้วยความรำคาญ เธอสบตากับดวงตาสวยๆ ของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ

ก่อนที่สองสาวจะพูดอะไรกันต่อไปอีก รถกระบะโฟร์วิลคันหนึ่งก็เทียบจอดที่ข้างๆ รถจักรยานที่สองสาวคุยกันอยู่ เมื่อกระจกรถเลื่อนลงสาวตาหวานก็ร้องออกมาทันที

“แม่คะ!”

พัชรินทร์ที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับก็ร้องตอบ “ว่าไงลูก แล้วอาร์ทไปไหน”

“พี่อาร์ทอยู่ในร้านค่ะ แม่คะ... หนูเจอคนที่ส่งโปสการ์ดให้หนูแล้ว คนนี้ไงคะ” ไอตอบแล้วก็ชี้ไปที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ

คุณครูประถมและโยมิสบตากัน ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรแล้วคนที่อยู่บนรถก็พูดออกมาว่า “คุณส่งโปสการ์ดให้ลูกสาวของฉันเหรอคะ”

“Pardon? (อะไรนะคะ)” สาวญี่ปุ่นตอบ

“เค้าเป็นคนญี่ปุ่นค่ะ ชื่อโยมิ” สาวตาหวานพูดแล้วหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “This is my mum (นี่แม่ของฉันค่ะ)”

สาวร่างสูงยกมือทั้งสองประกบติดกันทำท่าพนมมือ แต่ดูเหมือนเธอจะยกข้อศอกสูงไปหน่อยจนไอต้องใช้มือกดข้อศอกของอีกฝ่ายให้ต่ำลงจนกระทั่งดูเป็นท่าไหว้แบบคนไทย โยมิหันไปมองคนช่วยนิดหนึ่งแล้วก็หันกลับมาพูดกับคนที่อยู่บนรถว่า “ซะ... หวัด... ดีก่ะ”

“สวัสดีค่ะ I think we should move rain is coming (ฉันว่าเราต้องไปที่อื่นแล้วล่ะค่ะ ฝนกำลังมา)”

“I’m ok, I have rain coat. Could you please tell her to let me go? (ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันมีเสื้อกันฝนติดมา คุณช่วยบอกกับเธอคนนี้ให้ปล่อยฉันไปหน่อยได้มั้ยคะ)” สาวญี่ปุ่นถามคนที่นั่งอยู่บนรถ

พัชรินทร์หันไปมองหน้าลูกสาวที่ตอนนี้กำลังมองสาวร่างสูงอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ดูท่าทางลูกสาวของเธอคงไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปไหนแน่ๆ เพราะสาวตาหวานยังคงนั่งคร่อมเบาะหลังของรถจักรยานและเหมือนจะเตรียมพร้อมที่จะดึงตัวโยมิเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนีได้ทุกเมื่อ ท่าทางเอาชนะแบบนี้เหมือนสามีของเธอแบบนี้เป็นภาพที่เธอไม่ได้เห็นมานานหลังจากอุบัติเหตุจนทำให้ครอบครัวของเธอเปลี่ยนไป และก่อนที่ทั้งสามจะพูดอะไรต่อไปสายฝนระลอกใหม่ก็เริ่มโปรยปรายลงมา

ช่างซ่อมเครื่องบินบิดรถมอเตอร์ไซค์มาเทียบข้างๆ รถกระบะพร้อมกับบอกว่าจะรีบกลับไปโรงแรมก่อนหลังจากนั้นเขาก็ขี่รถออกไปท่ามกลางสายฝนที่ลงหนาเม็ดมากขึ้น สองสาวที่ยังคงยืนตากฝนอยู่ก็มองหน้ากันแล้วคุณครูประถมก็พูดขึ้นมาว่า

“Will you go with us? (จะไปกับพวกเรามั้ยคะ)”

สาวญี่ปุ่นถอนหายใจ “Shouganai na (ช่วยไม่ได้แฮะ)” เธอบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วหันไปมองไอ “I’ll go with you (ฉันไปด้วยก็ได้)”

สองสาวช่วยกันยกรถจักรยานขึ้นที่กระบะหลังรถแล้วก็ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังด้วยสภาพที่เปียกไปแทบจะทั้งตัว หลังจากนั้นรถกระบะก็ขับออกไปตามทางที่มุ่งสู่โรงแรมที่อาร์ทไปรออยู่ก่อนแล้ว

...

เสียงเพลงล้านนาที่เปิดเบาๆ ภายในรถเรียกความสนใจของโยมิที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหยดน้ำที่อยู่บนใบหน้า เธอชะเง้อมองที่วิทยุด้วยความสนใจและเมื่อเธอรู้สึกว่าคนที่นั่งข้างๆ นั้นมองเธออยู่ สาวญี่ปุ่นก็ยิ้มออกมาแบบอายๆ

“It’s called Lan Na Music, northern style music (เรียกว่าเพลงล้านนา เพลงแบบภาคเหนือ)” ไออธิบายให้อีกฝ่ายฟัง

“Northern style music? You mean if I go south, I can hear different style right? (เพลงแบบภาคเหนือ คุณหมายความว่าถ้าฉันไปภาคใต้ ฉันจะได้ยินเพลงอีกแบบนึงงั้นเหรอ)”

สาวตาหวานพยักหน้า แล้วเธอก็ยิ้มเมื่อได้ยินเสียงสาวร่างสูงพูดพึมพำออกมาเป็นภาษาของตนเองเบาๆ พร้อมกับหน้าตาที่บ่งบอกว่าทึ่งกับเพลงที่ได้ยิน

“What did you say? (คุณว่าอะไรเหรอคะ)” ไอถามเมื่อโยมิหันมายิ้มให้เธออีกครั้ง

“Omoshiroi yo… means interesting (โอโมชิโร้ย โย หมายถึงน่าสนใจ)” สาวญี่ปุ่นตอบ “I feel clam when listen this song (ฉันรู้สึกสงบตอนที่ได้ยินเพลงนี้นะ)”

สาวตาหวานแตะมืออีกฝ่ายแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “I feel clam and feel like I get energy to live after I got your postcards. That’s why I wanna know the reason why you sent them to me (ฉันก็รู้สึกสงบ แล้วก็รู้สึกว่าได้รับพลังในการใช้ชีวิตหลังจากที่ฉันได้โปสการ์ดของคุณ นี่เป็นเหตุผลที่ฉันอยากจะรู้ว่าทำคุณถึงส่งพวกมันให้ฉัน)”

สาวญี่ปุ่นนิ่งไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “I told you, and I swear I didn’t lie (ฉันบอกคุณไปแล้วนี่นา แล้วฉันสาบานได้เลยว่าฉันไม่ได้โกหก)

บรรยากาศฝนรถเงียบลง มีเพียงเสียงเพลงที่ยังเปิดคลออยู่ กับเสียงเครื่องยนต์ และเสียงพูดกันเบาๆ เป็นภาษาไทยของคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า

“But I glad that they made you feel like that, I mean my postcards (แต่ฉันก็ดีใจนะที่พวกมันทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น ฉันหมายถึงโปสการ์ดของฉัน)

สิ้นเสียงของสาวร่างสูงได้ไม่กี่วินาที เสียงเบรคดังขึ้นพร้อมกับรถที่ไถลไปตามพื้นถนนที่เปียกปอนพร้อมๆ กับเสียงบีบแตรไล่ของรถกระบะที่พวกเธอนั่งมา รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นตัดหน้าพวกเขาก่อนที่จะเลี้ยวเข้าโรงแรม

“ไอ... ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยลูก” พัชรินทร์รีบหันมาหาลูกสาวทันที

“ม... ไม่เป็นอะไรค่ะ” หญิงสาวเจ้าของชื่อตอบเสียงสั่น เสียงเบรคเมื่อครู่ทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธออีกครั้ง ตอนนี้ไม่เพียงแค่เสียงของเธอเท่านั้นที่สั่น แต่ตัวของเธอสั่นระริกเป็นลูกนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

คุณครูประถมรีบยื่นมือไปจับมือลูกสาวเพื่อปลอบและให้หยุดตัวสั่นทันที เธอสบตากับโยมินิดหนึ่งแล้วก็หันไปปลอบลูกสาวเช่นเดิม

เมื่อมาถึงโรงแรมตัวของไอยังสั่นไม่หายและดูท่าทางจะเป็นลมจนสาวญี่ปุ่นต้องช่วยประคองเธอให้ลงมาจากรถและขึ้นไปนอนพักบนห้อง เธอยังคงไปไหนไม่ได้เพราะฝนยังไม่หยุดตก รวมไปถึงรถจักรยานที่อยู่หลังรถกระบะนั้นก็ยังไม่ได้คืน และเหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ดึงเธอให้นั่งอยู่ในห้องพักของสาวตาหวานได้นั้นคือมือนุ่มๆ ของไอที่ยังจับมือของเธอแน่นถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในอาการหลับใหลก็ตาม

---------------

อัพตอนใหม่แย้ววววววว ฉลองงานที่ผ่านที่โดนแก้แล้วแก้อีกผ่าน สิริรวมทั้งหมด 7 ดราฟถ้วน! (ต้องเอาเข้าบอร์ดบริหารวันศุกร์นี้ด้วย!)

มันโล่งจริงๆ ที่งานผ่าน แต่ถ้าวันหลังเป็นแบบนี้อีก เอิ่ม... ก็... ฆ่ากรูให้ตายเหอะ! เครียดอิ๊บอ๋าย!

สองสาวเจอกันอีกแล้ว และโยมิก็รู้แล้วว่าตัวเองส่งโปสการ์ดให้กับไอ แต่... ใครอึ้งกับคำตอบของโยมิบ้าง... แล้วคนที่จ้างเป็นใคร...

... ก็รอตอนต่อไปนะคะ (โดนถีบ!)

ป.ล. นอกจากเรื่องงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว (ถึงจะมีงานอื่นตามมาก็ตามเถอะ) ไปเจอคลิปโฆษณาคลิปนี้มาที่ทำให้ฟินไปเป็น 2 เท่า

สองสาวที่อยู่ในคลิปเป็นอิมเมจตัวละครของอิฉันทั้ง 2 คนเลย แต่คนละเรื่องงงง โฮกกกกกกก

คนซ้าย Kanjiya Shihori (อิมเมจของ “ฮานะ” จาก Backpack In Love)
คนขวา Kitagawa Keiko (อิมเมจของ “โยมิ” จากเรื่อง Photos to Postcards นั่นไง)



สองสาวเคยเล่นละครด้วยกันค่ะ ก็เลยซี้กัน... เคโกะเรียกชิโฮริว่า “ชีจัง” ด้วย น่าร้ากกกก

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า...




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.