web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 110
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 91
Total: 91

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 4  (อ่าน 2417 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 4
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:18:39 »
Chapter 4

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ไอรู้สึกว่าเธอเครียดเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงเตรียมการสอบปลายภาคซึ่งการสอบวันแรกของเธอจะเริ่มในอีก 3 วันข้างหน้า สาวตาหวานทุ่มเทอ่านหนังสือเพื่อต้องการให้การสอบแบบครั้งเดียวผ่านเพราะไม่ต้องการลงเรียนซ้ำ

“กดดันตัวเองมากไปหรือเปล่าไอ” มินถามขณะที่มองเพื่อนอ่านหนังสืออย่างหน้าดำคร่ำเครียด

“เราหยุดเรียนไปนานนะมิน อุตส่าห์กลับมาเรียนทั้งทีก็ไม่อยากให้ตก ไม่อยากลงเรียนใหม่น่ะ” ไอตอบ

“งั้นเหรอ” สาวผมแดงพูดพลางเท้าคางมองเพื่อน “แต่ทำไมเรารู้สึกว่าคำพูดของไอมันหมายถึงว่าไออยากสอบให้ผ่านๆ ไปเพราะไอกะจะไม่ออกจากบ้านอีกแล้ว”

สาวตาหวานเงยหน้ามองเพื่อน “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

“ก็เรารู้สึกแบบนั้นนี่นา”

“เหรอ...” ไอตอบรับแล้วเงียบไป

“ถามจริงๆ เถอะ ทำไมถึงไม่ค่อยอยากจะออกจากบ้านล่ะ เวลาพวกเราชวนไปไหนไอไม่ค่อยไปกับพวกเราเหมือนเดิมเลย”

“เรา... เรา...” สาวตาหวานอ้ำอึ้ง “ไม่รู้สิมิน... เวลาเราออกจากบ้านทีไรเรารู้สึกแปลกๆ มันเหมือนว่าเรารู้สึกไม่ปลอดภัย เรารู้สึกว่าภาพที่เราเห็นมันตามติดตัวเรามาตลอดเลย เรารู้สึกดีมากกว่าเวลาที่เราอยู่บ้าน”

“ที่ไหนๆ มันก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้นแหละ” มินพูดแทรกขึ้นมา “ใช่ว่าบ้านจะปลอดภัยนะ ข่าวขโมยขึ้นบ้าน ปล้นฆ่า ข่มขืนในบ้านอะไรก็มีให้เห็นเยอะแยะ ไม่ใช่งั้นงี้นะ เรากลัวว่าไอจะกลายเป็นพวกฮิคิโคโมริ*”

“ฮิคิโคโมริเหรอ... ทำไมมินถึงคิดว่าเราเป็นแบบนั้นล่ะ” ไอถาม

“ก็บางทีไอดูเหมือนจะกลายเป็นพวกนี้ไปแล้วน่ะสิ”

*ฮิคิโคโมริ (Hikikomori) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “ฮิคกี้” เป็นปรากฏการณ์ (Phenomenon) ไม่ใช่ โรค (Syndrome) คนที่เป็นฮิคิโคโมริมักจะเก็บตัวในห้องส่วนตัว หรือในบ้านเป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่ยอมไปโรงเรียน ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็อาจจะอ่านหนังสือการ์ตูน เล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต ดูทีวี หรืออาจจะนั่งเฉยๆ อยู่ในห้องคนเดียวได้เป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ โดยสาเหตุที่ทำให้คนกลุ่ม ฮิคิโคโมริ กลัวการเข้าสังคม อาจมาจากหลายๆ เหตุผล เช่น โดดเด่นเหนือกว่าคนอื่นจึงถูกล้อเลียน ทำให้ไม่กล้าไปโรงเรียน หรือบางคนพูดไม่เก่ง มีอารมณ์อ่อนไหวกับคำวิจารณ์มากจึงรับไม่ได้ คนกลุ่มฮิคิโคโมริจึงเลือกที่จะหนีปัญหา ทางจิตวิทยาฮิคิโคโมริมีลักษณะเด่นคือการ “หนี” (avoidance) คำว่าหนีไม่เหมือนเพิกเฉย (denial) หรือชอบอยู่คนเดียวอย่างสงบ (schizoid) แต่การหนีหมายถึงที่จริงอยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ด้วยปัจจัยบางอย่าง ทำให้คนกลุ่มนี้มีปฏิสัมพันธ์ได้อย่างจำกัดมากๆ

“เราไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้นสักหน่อย มินพูดเกินไปแล้วนะ”

“งั้นเหรอ... ถ้างั้นปิดเทอมไอก็ไปเที่ยวกับพวกเราสิ พวกเราจะไปต่างจังหวัดกัน แพรก็ไป ป้อมก็ไปนะ เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ไปกันด้วย ไปกันเยอะๆ สนุกดีออก”

สาวตาหวานทำหน้าอึดอัด “เราไม่แน่ใจน่ะ ต้องดูนัดของคุณหมอด้วย แล้วก็... ต้องไปทำบุญให้พ่อด้วย” คำพูดในประโยคสุดท้ายของเธอหายลงไปในลำคอ

สาวผมแดงถอนหายใจ “เอางี้ ถ้ายังไงไอลองเช็คตารางดูก็แล้วกันว่าว่างเมื่อไหร่ แล้วยังไงถ้าพวกเราได้วันเดินทางกับสถานที่ๆ แน่นอนแล้วเราจะบอกไอ โอเคป่ะ ถ้ายังไงไอก็ลองถามป้อมเอาก็ได้”

“จ้ะ... แต่พูดถึงป้อม... ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอป้อมเลยนะ ป้อมโทรมาบอกตลอดเลยว่าไม่ว่างให้เราไปเอง ดูเหมือนว่าป้อมมีอะไรปิดเรา หลบหน้าเราด้วย... มินรู้อะไรเหรือเปล่า”

เมื่อไอพูดจบสาวเจ้าของชื่อก็หัวเราะออกมาเสียงดังจนอีกฝ่ายตกใจและงงเป็นอย่างมาก

“มีอะไรเหรอเหรอ... มินหัวเราะทำไมอ่ะ”

“ป้อมมันมีแฟนน่ะไอ”

สาวตาหวานอ้าปากหวอแล้วหัวเราะออกมา “อ๋อ... ถึงว่าสิพักนี้ดูแปลกๆ ไป”

“เป็นสาวรุ่นน้องคณะมนุษย์ฯ น่ะ ที่ไม่มีเวลาให้ไอ ที่หลบๆ หน้าไอเพราะกำลังจีบอยู่ ตอนแรกน้องเค้าเข้าใจผิดว่าไอเป็นแฟนป้อม แต่พอรู้ว่าไอไม่ใช่แฟนปุ๊บน้องเค้าก็เลยอ่อยจนป้อมมันหลงไปเลยล่ะ” สาวผมแดงอธิบาย

ไอหัวเราะ “ขนาดนั้นเลย! ป้อมหลงมากจริงๆ ด้วยนะเนี่ย”

“ฮื่อ ไม่ลืมหูลืมตาเลยล่ะ แล้วที่หลบหน้าไอเพราะป้อมกลัวน้องจะเข้าใจผิดอีกน่ะ ฝากเรามาขอโทษไอตั้งหลายครั้งแหนะ”

“ฮื่อ ไม่เป็นไร เราเองก็ลำบากใจที่ต้องรบกวนป้อมตลอด ฝากบอกป้อมด้วยนะว่าไม่ต้องกังวล เราโอเค”

“จ้า”

ก่อนที่สองสาวจะแยกย้ายไปเรียนวิชาสุดท้ายก่อนสอบตามตารางของตัวเองมินก็ร้องเรียกไอแล้วพูดว่า

“ถ้ามีอะไรอยากให้เราช่วยก็บอกได้นะไอ ไม่ต้องเกรงใจนะ”

“จ้ะ... ขอบใจมากนะมิน”

สาวตาหวานกลับถึงบ้านในช่วงหัวค่ำ เธอสงสัยมากเมื่อไม่เห็นแสงไฟที่มักจะเปิดอยู่เสมอเพราะแม่ของเธอนั้นจะกลับมาก่อนและทำงานที่ห้องครัว แต่วันนี้กลับไม่มีแสงไฟทั้งในตัวบ้านและหน้าบ้าน เมื่อไอไขกุญแจเปิดเข้าไปในบ้านเธอก็พบกระดาษโน้ตที่แปะอยู่หน้าตู้เย็นเขียนว่า

‘แม่ต้องไปงานกินเลี้ยงกับผู้บริหารโรงเรียนอื่น กลับดึกหน่อยนะ วันนี้อาร์ทเข้ากะ ถ้ามีอะไรโทรหาแม่นะ’

และเมื่อไอไล่สายตาลงไปด้านล่างก็พบโปสการ์ดใบหนึ่งที่ติดอยู่บนตู้เย็นด้วยแม็กเน็ตรูปตัวการ์ตูน เธอรีบดึงโปสการ์ดขึ้นมาดูทันที

ภาพที่อยู่ในมือเธอคือภาพของแผ่นหนังวัวฉลุเป็นรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์เรียงรายประดับอยู่ในอาคารหลังหนึ่งที่น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงาน สีของตัวหนังที่จัดแสดงบนผ้าผืนใหญ่สีขาวดูสวยงามเมื่อต้องแสงไฟสีเหลืองนวลๆ จากหลอดไฟที่อยู่บนเสาของอาคารและช่วยขับให้ตัวหนังมีความสวยงามเด่นชัดขึ้น

มือของสาวตาหวานพลิกด้านของโปสการ์ดเพื่ออ่านข้อความที่อยู่ด้านหลังถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าจะเจอเพียงแค่ชื่อกับที่อยู่ของเธอ และข้อความของสถานที่ๆ เขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่เธอก็ยังอยากจะอ่านข้อความเหล่านั้นจาก ‘คุณโปสการ์ดทำมือ’ อยู่ดี

‘Shadow Puppet Museum, Ratchaburi (พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ ราชบุรี)*’

*หนังใหญ่เป็นมหรสพชั้นสูงอันเก่าแก่ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า หนังใหญ่เริ่มมีขึ้นมาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด ได้รับแบบแผน หรือวิธีการเสดงมาจากชาติไหน แต่หนังใหญ่ถือเป็นมหรสพที่เก่าแก่และได้รับการยกย่องว่าเป็นมหรสพชั้นสูง  เป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลายในสมัยโบราณ การแสดงหนังใหญ่ในแต่ละครั้งถือว่าต้องเป็นงานหลวงหรือไม่ก็ต้องเป็นงานใหญ่ ซึ้งมีความสำคัญมากจริงๆเท่านั้น



พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน
ลักษณะเป็นเรือนไทยเก็บรักษาหนังใหญ่ 313 ตัวที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นตัวละครเรื่องรามเกียรติ์ ชุดหนุมานถวายแหวน ชุดสหัสสกุมาร และเผากรุงลงกา และชุดศึกอินทรชิตครั้งที่ 1 รวมทั้งจัดนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาการแกะสลักตัวหนังใหญ่และการแสดงเชิดหนังใหญ่ทุกวันเสาร์ เปิดบริการให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. - 17.30 น. เปิดให้ชมการแสดงหนังใหญ่ ณ โรงแสดงหนังใหญ่วัดขนอน ทุกวันเสาร์ เวลา 10.00 น. -11.00 น. งานเทศกาลหนังใหญ่วัดขนอน จัดในวันที่ 13 และ 14 เมษายน ของทุกปี


“ราชบุรีเหรอ... เริ่มออกไปต่างจังหวัดแล้วสินะ”

หลังจากนั้นอีก 4 – 5 วันต่อมา ไอก็ได้รับโปสการ์ดอีก 1 ใบในช่วงระหว่างการสอบ ใบแรกเป็นรูปของน้ำตกที่อยู่บนหน้าผาสูงใหญ่ แถมด้วยรุ้งกินน้ำสายใหญ่พาดผ่านระหว่างกลางน้ำตก ซึ่งรูปนั้นเขียนระบุสถานที่ว่า

‘Thi Lo Su Waterfall, Tak (น้ำตกทีลอซู ตาก)**’



**น้ำตกทีลอซู ทีลอซูมาจากภาษากะเหรี่ยงเพราะพรานชาวกะเหรี่ยงเป็นผู้ค้นพบ หมายถึง น้ำตกดำ มีความสูง 300 เมตร กว้างถึง 500 เมตร ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของเอเชีย และเป็นน้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง มีหลายชั้นตกลดหลั่นลงมาจากหน้าผาสูงผ่านโขดเขาหินปูนและดงไม้เขียวขจี พลังมหัศจรรย์ของสายน้ำตกแห่งนี้ หากใครปีนขึ้นไปเที่ยวชมบริเวณน้ำตกชั้นบนสุดในเวลาช่วงเช้า

สาวตาหวานประหลาดใจมาก เธอรู้สึกว่าความตึงเครียดของเธอจางหายไปเมื่อมองดูโปสการ์ดที่เธอได้รับมา พร้อมๆ กับความรู้สึกว่าเธออยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวและส่งโปสการ์ดให้คนอื่นอย่างคนที่ส่งมาให้เธอบ้าง เธอจึงตั้งเป้าหมายเล็กๆ ไว้ในใจว่าถ้าสอบเสร็จเธออยากจะออกไปเที่ยวตามสถานที่ๆ อยู่บนโปสการ์ดที่เธอได้รับโดยเริ่มต้นจากห้องสมุดเนลสัน เฮย์ ซึ่งเป็นสถานที่แรกในโปสการ์ด

“ไอ... เป็นไงมั่ง” อาร์ทถามเมื่อเห็นน้องสาวเดินเข้ามาในบ้าน

“ก็โอน่ะพี่อาร์ท”

“ท่าทางแบบนี้ได้ทำมากกว่าทำได้ใช่มั้ยเนี่ย” ช่างซ่อมเครื่องบินแซวเมื่อเห็นท่าทางสะโหลสะเหลของอีกฝ่าย

“ทำได้สิ! พี่อาร์ทอ่ะอย่าแซวสิ เขียนตอบซะมือหงิกไปหมดเลย เหนื่อยชะมัด”

อาร์ทหัวเราะกับคำตอบของน้องสาว พักหลังมานี้ไอดูผ่อนคลายมากขึ้นและทำให้เขาดีใจมากเมื่อเห็นอาการของสาวตาหวานเป็นเช่นนี้ ทุกคนสันนิษฐานว่าการที่ไอได้รับโปสการ์ดจากคนที่ไม่รู้ที่มาทำให้เธอมีแรงจูงใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเก็บตัวให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จิตแพทย์ประจำตัวของสาวตาหวานยังอ้างถึงคำพูดของคนไข้ที่ออกอาการตื่นเต้นและดีใจที่พูดถึงโปสการ์ดแต่ละใบที่เธอได้รับ รวมทั้งยังแสดงออกถึงความคาดหวังที่จะเห็นโปสการ์ดใบต่อๆ ไป และความคิดที่จะออกไปเที่ยวข้างนอกตามคำชวนของเพื่อนที่บอกเธอก่อนสอบ

“หนูไออาการดีขึ้นมาจริงๆ ค่ะ อาจจะมีความกังวลและความเครียดอยู่บ้าง แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรมากเพราะช่วงนี้เป็นช่วงสอบ นักเรียนทุกคนเครียดกันทั้งนั้นแหละค่ะ แต่เท่าจากการพูดคุย อาการ Flash back หรืออาการนอนไม่หลับยังจะมีอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อก่อนคงเป็นเพราะการตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือกับคอยโปสการ์ดนั่นแหละค่ะ”

คุณหมอประจำตัวของน้องสาวเล่าให้ช่างซ่อมเครื่องบินฟังในการไปพบครั้งล่าสุด พร้อมกับแนะนำว่าหากเขามีเวลาว่างก็น่าจะพาไอออกไปเที่ยวตามสถานที่ๆ เธออยากจะไปเพื่อให้อีกฝ่ายหลุดจากความคิดที่จะเก็บตัวอยู่กับบ้านที่ครอบงำอยู่เกือบ 2 ปี

“พี่อาร์ทๆ แม่ยังไม่กลับเหรอ” อาร์ทตื่นขึ้นมาจากภวังค์เพราะเสียงเรียกของสาวตาหวาน

“ฮะ... อ๋อ แม่ออกไปจ่ายเงินค่าโทรศัพท์น่ะ แล้วก็จะเลยไปตลาดด้วยเดี๋ยวก็คงมา”

“เหรอ...”

“มีอะไรเหรอเปล่า”

“ก็มีเรื่องจะปรึกษาน่ะ แต่รอแม่กลับมาก่อนดีกว่าจะได้คุยพร้อมๆ กัน”

“อ่าฮะ... เออใช่ มีโปสการ์ดมาอีกใบแหนะ” ช่างซ่อมเครื่องบินพูดพลางชี้ไปที่ตู้เย็น โปสการ์ดใบหนึ่งติดไว้บนประตู

ไอรีบเดินไปหยิบโปสการ์ดออกมาดูทันที ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มแสดงออกถึงความดีใจที่ได้รับ

“อย่างกะรู้ว่าวันนี้ไอสอบวันสุดท้ายแหนะ” ช่างซ่อมเครื่องบินพูด

“ยังไงเหรอพี่อาร์ท”

“ก็ข้างหลังเขียนว่า Congratulations! (ยินดีด้วย!)”

สาวตาหวานขมวดคิ้วแล้วพลิกไปดูด้านที่เขียนข้อความที่เขียนว่า

‘The top of Doi Phu Vae at 1,837 meters, Doi Phu Kha National Park, Nan (ยอดเขาดอยภูแวที่ความสูง 1,837 เมตร อุทยานแห่งชาติดอยภูคา น่าน)***’



***ดอยภูแว ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีระดับความสูง 1,837 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเทือกเขาที่มีความงดงามมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า ป่าหิน มีพรรณไม้ที่แปลกๆ อาจจัดว่าเป็นป่ากึ่งอัลไพน์

การเดินทางสู่ดอยภูแว ต้องใช้เจ้าหน้าที่ป่าไม้นำทางขึ้นไป และต้องขึ้นไปพักค้างแรมแบบตั้งแค้มป์ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์ไปให้ครบถ้วน เต็นท์ ถุงนอน เครื่องหนาว เสบียงอาหาร และน้ำดื่ม เนื่องจากด้านบนยอดเขาไม่มีแหล่งน้ำ ถ้าต้องการลูกหาบช่วยแบกสัมภาระสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่จะมีชาวบ้านปู่ดู่ที่อาศัยอยู่บนเขาจะมาเป็นลูกหาบ และต้องเดินขึ้นไปติดต่อบนหมู่บ้าน ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 1.20 ชั่วโมง เส้นทางเดินป่ามีลักษณะเป็นป่าโล่ง เดินตามเส้นเขาที่ทอดยาวเชื่อมต่อกันตลอดจะมีช่วงลาดชันอยู่บ้าง สภาพธรรมชาติเป็นป่าเบญจพรรณ ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ อีกทั้งบอกแหล่งน้ำสุดท้ายที่ต้องเตรียมน้ำไปให้เพียงพอ ยอดเขาที่เป็นทุ่งหญ้าคล้ายกับเขาหัวโล้น ลานตั้งแค้มป์ที่อยู่เชิงยอดภูแว

ช่วงฤดูกาลที่ควรเที่ยวเป็นช่วงหน้าหนาวตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์

และด้านล่างก็มีข้อความเขียนอีกคำว่า ‘Congratulations! (ยินดีด้วย!)’

ไอยิ้มแล้วหันไปบอกพี่ชายว่า “เค้าไม่รู้หรอกว่าไอสอบเสร็จวันนี้ ไอเดาว่าเค้าคงจะเขียนชมตัวเองมั้งว่าเค้าเดินไปถึงยอดดอยทั้งๆ ได้ที่ตอนนี้เป็นหน้าฝน”

อาร์ทหัวเราะ “เออว่ะ แปลกคนหน้าฝนแท้ๆ กลับเดินเที่ยวดอย ไม่เดินตกดอยก็บุญแล้ว คิดอะไรของเค้าเนี่ย”

สาวตาหวานหัวเราะตามอีกฝ่ายแล้วพลิกกับไปดูรูปที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง เป็นภาพของเชิงยอดเขาที่เป็นลานโล่งอิงแอบกับยอดดอยที่มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าปกคลุม และป่าหินปูนผุดโผล่ขึ้นมามากมาย รวมไปถึงแนวสันเขาที่ทอดยาวลงไปยังดอยที่อยู่ด้านล่าง เทือกเขาที่ทอดยาวพาดผ่านท้องฟ้ายาวเช้า แสงสีส้มอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ส่องกระทบกับทุ่งหญ้าสีทองแลดูตระการตา ปะปนไปกับป่าหินที่เป็นเอกลักษณ์ของยอดดอยภูแว

“คนนี้เค้าไปเที่ยวหลายที่ดีนะพี่อาร์ท คราวแล้วยังเที่ยวพวกพิพิธภัณฑ์ เที่ยวน้ำตกอยู่เลยคราวนี้เดินป่าปีนเข้าซะแล้ว”   

“แล้วยังไงล่ะ”

“ก็คิดว่าน่าสนุกดี แล้วก็คิดว่าเค้าจะเป็นคนยังไงกันแน่” ไอตอบ

“ก็คงจะเป็นคนแปลกๆ ละมั้ง” ช่างซ่อมเครื่องบินพูดพลางหัวเราะ “แต่ก็ถือว่าใช้ชีวิตท่องเที่ยวได้คุ้มดี”

“อื้อ... รู้สึกว่าสนุกเวลาที่เห็นรูปพวกนี้ เหมือนได้เที่ยวไปกับเค้าเลยน่ะ”

“เหรอ... แล้วอยากเที่ยวเองบ้างมั้ยล่ะ” อาร์ทถาม

สาวตาหวานยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร ท่าทางแบบนี้อีกฝ่ายเดาได้ว่าคำตอบของเธอคือ “อยาก” เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง

“ไอ... มีอะไรก็บอกพี่นะ เข้าใจมั้ย”

“ค่ะ... ไอขึ้นไปบนห้องก่อนนะ”

ไอเก็บโปสการ์ดใบใหม่ลงในอัลบั้ม เธอนอนมองดูรูปต่างๆ ที่เธอได้รับแล้วคิดถึงคำพูดของพี่ชาย

‘แล้วอยากเที่ยวเองบ้างมั้ยล่ะ’

“อยากสิพี่อาร์ท... แต่ไอยังกลัวอยู่เลย” สาวตาหวานพูดออกมาเบาๆ พลางคิดถึงเหตุการณ์ช่วงขากลับที่เธอได้นั่งรถตู้กลับบ้าน ไอได้นั่งด้านหน้าข้างคนขับซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวที่เธอนั่งตอนที่เกิดอุบัติเหตุ เธอพยายามสะกดตัวเองไม่ให้ร้องไห้และนั่งหลับตาตลอดทาง โชคดีที่รถตู้ไม่ได้ขึ้นทางด่วนอาการของเธอจึงไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ก็ทำให้เธอเสียเวลานั่งสงบสติอารมณ์อยู่นานที่ป้ายรถเมล์เพื่อหยุดขาและมือที่สั่นจนกระทั่งเธอพอจะมีแรงเดินเข้าบ้าน

“เฮ้อ...” สาวตาหวานถอนหายใจออกมาเสียงดังแล้วกอดอัลบั้มโปสการ์ดเอาไว้แนบอก

...

ก่อนหน้าที่โปสการ์ดรูปดอยภูแวจะส่งถึงไอ...

‘Dare yorimo seiken wo shiranu, watashi (ฉันรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบนี้น้อยกว่าใครๆ)’

‘Sekaijuu no hito to tomo ni kiesaretai kedo… demo… mada zankoku na shakai no teihen (แม้จะอยากเลือนหายไปพร้อมๆ กับผู้คนทั่วโลกก็ตาม... แต่... ฉันยังอยู่ใต้ฐานของสังคมอันโหดร้าย)’

ดวงตาสีน้ำตาลของโยมิเบิกโพล่งหลังจากคำพูดที่อยู่ในหัวของเธอจบลง สาวญี่ปุ่นชันตัวขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังอยู่ในถุงนอน แสงสลัวๆ รอบๆ ตัวภายในเต็นท์ทำให้เธอรับรู้ได้ว่าตอนนี้น่าจะใกล้ช่วงเวลาเช้าแล้ว เธอยกมือซ้ายขึ้นมากดไฟดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือระบบดิจิตอล ตอนนี้เกือบจะตี 5 แล้ว 

“Watashi hontou ni BAKA! (ฉันนี่มันบ้าจริงๆ)” สาวร่างสูงพึมพำขึ้นมาเบาๆ แล้วรูดซิปถุงนอนเพื่อออกไปนอกเต็นท์

วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่โยมิจะได้อยู่บนยอดดอยภูแว เธอเดินทางมาที่นี่ด้วยความไม่ตั้งใจ และเป็นหนึ่งในห้าของนักท่องเที่ยวที่บ้าบิ่นที่จะเดินขึ้นมาบนนี้ในฤดูฝน นักท่องเที่ยวอีก 4 คนเป็นคู่หนุ่มสาวชาวไทย 1 คู่ และชาวยุโรปอีก 1 คู่ ในขณะที่เธอมาคนเดียว เมื่อสาวญี่ปุ่นเดินออกไปนอกเต็นท์พร้อมกล้องถ่ายรูปคู่ใจ เธอก็เดินฝ่าความชื้นของทุ่มหญ้าสีทองที่อิ่มจากน้ำค้างตลอดคืนขึ้นไปบนยอดดอย

สาวร่างสูงตั้งใจจะถ่ายรูปดอยภูแวในยามเช้าอีกครั้ง แต่ก็ละมือจากชัตเตอร์แล้วถือมันเอาไว้เสียเฉยๆ ในขณะที่สายตามองทอดยาวไปสูงท้องฟ้ากว้างและยอดดอยที่อยู่เบื้องหน้า

“Hrrr… Watashi wa koko de nani o shi teru no? (เฮ้อ... ฉันมาทำอะไรที่นี่นะ)” สาวญี่ปุ่นพูดออกมาอีกครั้ง

โยมิเดินทางขึ้นมาภาคเหนืออย่างไร้จุดมุ่งหมาย เพียงแค่อยากออกห่างจากเมืองหลวงและตัวเมืองใหญ่เพื่อที่จะมาที่ๆ สงบเพื่อพักผ่อน และห่างไกลจากผู้คน โดยเฉพาะคนชาติเดียวกับเธอเองที่สามารถหาพบได้ง่ายๆ ตามเมืองท่องเที่ยวของประเทศนี้ ยิ่งเจอคนญี่ปุ่นด้วยกันเธอก็ยิ่งหลีกหนีมากขึ้น เธอเองก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องเข้าตัวเมืองเพื่อล้างรูปและส่งโปสการ์ดให้หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่กรุงเทพฯ


สาวร่างสูงหันหลังกลับไปตามทางเดินอีกครั้งเพื่อกลับไปที่เต็นท์เพื่อเก็บของและเตรียมตัวลงดอย ตอนนี้สมองของเธอยังคิดไม่ตกว่าเธอจะส่งรูปอะไรให้กับคนที่จะรับโปสการ์ดจากเธอดี และเมื่อมาถึงที่ทำการอุทยานที่อยู่ด้านล่างในช่วงบ่ายกว่าๆ สาวญี่ปุ่นก็ตัดสินใจโบกรถของคนแถวนั้นเพื่อกลับเข้าไปในตัวอำเภอปัว อำเภอที่อุทยานตั้งอยู่ ระหว่างทางที่นั่งรถก็ผ่านวัดที่ดูเหมือนว่าจะมีงาน มีซุ้มออกร้านขายของที่เป็นอาหารและเครื่องดื่มมากมาย โยมิตัดสินใจลงจากรถเพราะสนใจว่าชาวบ้านกำลังทำอะไรกันและอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเธอหิวมาก

เมื่อก้าวเท้าเดินเข้าไปในวัด นอกจากเธอรู้สึกประทับใจกับงานรื่นเริงที่อยู่ด้านในแล้วเธอยังชอบสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านหน้าของเธออีกด้วย สาวร่างสูงรีบหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาและกดชัตเตอร์ทันที และเมื่อมองไปรอบๆ เธอก็พบผู้สูงอายุกลุ่มหนึ่งที่ยืนมองเธออยู่ พวกเขายิ้มให้เธอแล้วกวักมือเรียก

“Yes? (คะ)” สาวญี่ปุ่นส่งเสียงถามพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ เธอได้รับคำตอบด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจกลับมา

“อู้ไทยได้ก่ (พูดภาษาไทยได้มั้ย)” หญิงชราคนหนึ่งถามโยมิ

“I don’t understand (ไม่เข้าใจค่ะ)” สาวร่างสูงพูด หลังจากนั้นเธอก็ชี้ที่ตัวเองแล้วพูดว่า “I’m Japanese (ฉันเป็นคนญี่ปุ่นค่ะ)”

“เปิ้นลุกไหนมา (คุณมาจากไหนเหรอ)” หญิงชราคนเดิมถาม

สาวญี่ปุ่นขมวดคิ้วแล้วยกมือราวกับขอเวลา เธอรีบวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงลบพื้นแล้วค้นหาหนังสือที่สอนบทสนทนาภาษาไทย เมื่อเจอแล้วเธอก็รีบเปิดออกอ่าน

“ซ... ซาหวัดดีก่ะ” โยมิพูดพลางพนมมือแบบเก้ๆ กังๆ “ฉ... ฉัน... เปง... คง... ญี่... ปุ่น... ก่ะ”

เสียงอื้ออึงจากบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ดังขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด โยมิจึงรีบหาบทสนทนาต่อไปที่เธอสามารถจะสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ได้

“ฉ... ฉัน... หิว...” พูดจบสาวร่างสูงก็ชี้ไปที่ท้องของตัวเองหลังจากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉ... ฉัน... โหลง... ทาง... ก่ะ”

เสียงหัวเราะดังขึ้นมา หญิงชราคนที่ถามคำถามเธอคนแรกรีบเดินมาขึ้นมือเธอแล้วพูดว่า “มาเพะๆ (มาทางนี้ๆ)”

โยมิรีบแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเธอตามเจ้าถิ่นที่ไปที่โต๊ะกลมตัวหนึ่ง เธอถูกกดในนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกแบบงงๆ หลังจากนั้นอาหารมากมายก็ถูกลำเลียงมาวางไว้ตรงหน้าเธอ

“กิ๋น (กิน)” ชายชราพูดกับเธอแล้วทำท่าบอกให้ผู้มาเยือนกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะ

สาวญี่ปุ่นยิ้มแล้วรีบดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา “How much? อาโน... เท่า... ไหร่... ก๊ะ”

“บ่ต้องๆ บ่เอาเงิน” บรรดาคนที่นำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะรีบโบกไม้โบกมือ ทำเอาสาวร่างสูงขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจ พวกเขาซุบซิบกับอยู่พักใหญ่แล้วก็พูดว่า

“ฟรี” หญิงชราคนที่พาเธอมานั่งพูดแล้วใช้มือชี้ไปที่อาหารทุกอย่าง “ฟรี ฟรี ฟรี ฟรี”

“Free? Really? All of these foods are free? (ฟรี... จริงเหรอคะ อาหารทุกอย่างเนี่ยนะคะฟรี)”

“เจ้า ฟรีเจ้า” แม่เฒ่าทุกคนตอบแล้วยิ้มให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่หลงเข้ามาในวัด

โยมิยิ้มตอบแล้วรีบพนมมือ “Itadagimasu (ทานละนะคะ)” หลังจากนั้นเธอก็ลงมือกินอาหารที่วางไว้ตรงหน้าของเธออย่างแรกนั่นก็คือก๋วยเตี๋ยว

“Oishiii (อร่อยมากกกก)” สาวญี่ปุ่นพูดหลังจากกลืนอาหารลงคอ

“เปิ้นอู้หยัง (เค้าว่าอะไรน่ะ)” พ่อเฒ่าถามหญิงชราที่นั่งมองผู้มาเยือน

“บ่ฮู้ ชิ ชิ ไปตวยละอ่อนมาตางเพ้ (ไม่รู้อะไร ชิ ชิ ไปตามเด็กๆ มาไป๊)”

กลุ่มวัยรุ่นชายหญิงที่ดูท่าทางเป็นนักศึกษาเดินตรงเข้ามายังโต๊ะที่สาวร่างสูงกำลังนั่งกินอาหาร พวกเขาคุยกับพ่อเฒ่าแม่เฒ่าที่พานักท่องเที่ยวหลงทางมาที่นี่อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ส่งตัวแทนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาหาโยมิ

“Delicious (อร่อยมั้ยคะ)” เด็กหนุ่มผมตั้ง ใบหน้าขาวท่าทางตุ้งติ้งที่เป็นตัวแทนของกลุ่มถามคำถามกับชาวต่างชาติ

“Yes, everything is very testy (ค่ะ อร่อยทุกอย่างเลย)” สาวญี่ปุ่นตอบ

“They said you are Japanese and got lost (พวกเค้าบอกว่าคุณเป็นคนญี่ปุ่นแล้วก็หลงทาง)”

“Yes, I tried to go back to the city (ค่ะ ฉันอยากจะกลับเข้าเมือง)” สาวร่างสูงตอบ “Can you suggest how can I get back there? (คุณพอจะบอกทางให้ฉันได้มั้ยคะ)”

“You can go back with us after the ceremony (คุณกลับไปกับพวกเราก็ได้หลังจากเสร็จพิธี)”

“Great! Thank you very much (เยี่ยม! ขอบคุณค่ะ)” โยมิพูด หลังจากนั้นเธอก็ถามว่า “You said ceremony, as I know here is a temple, right? And what kind of ceremony today (คุณบอกว่าพิธี เท่าที่ฉันรู้ตรงนี้เป็นวัดใช่มั้ย แล้ววันนี้คุณมีพิธีอะไรกันเหรอ)”

เด็กหนุ่มหันไปปรึกษาเพื่อนอีกพักหนึ่งแล้วหันมาตอบเธอว่า “Here is Wat Rong Ngan, the old temple built around 250 years ago. Today ceremony called Tan Kauy Salak, the monks are invited to take a ballot, according to which they receive offerings (ที่นี่คือวัดร้องแงง*วัดเก่าแก่ที่สร้างเมื่อประมาณ 250 ปีมาแล้ว ส่วนพิธีในวันนี้เรียกว่าตานก๋วยสลาก** พระภิกษุจะจับสลากเพื่อรับของที่ชาวบ้านมาถวาย)”



*วัดร้องแงง ตั้งอยู่บ้านร้องแงง ต.วรนคร อ.ปัว จ.น่าน เป็นวัดเก่าแก่และสวยงามด้วยสถาปัตยกรรม แบบไทยลื้อดั้งเดิมที่ผสมผสานกับศิลปะของ ช่างเมืองสมัยใหม่ได้อย่างลงตัวสันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2310 นอกจากนี้ยังมี ปราสาทธรรมมาสเผย รูปทรงแปดเหลี่ยมฐาน เป็นปูน ช่วงบนเป็นไม้ ไม่มียอดปราสาท ตกแต่งด้วยแก้วอังวะลงชาดปิดทองคำเปลวสวยงามอย่างยิ่ง

**ตานก๋วยสลาก หรือ สลากภัต เป็นภาษาของชาวถิ่นล้านนา ภาคใต้เรียกงานบุญเดือนสิบ ภาคอีสานเรียกบุญข้าวสาก ชาวล้านนานิยมปฏิบัติกันตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นการถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ในเทศกาลเข้าพรรษาและบวกกับในช่วงเวลานี้ก็มีผลไม้สุก เช่น ลำไย มะไฟ ส้มโอ เป็นต้น

วิธีการปฏิบัติ ผู้รับสลากภัตจับสลาก การจับสลากนั้นบางทีเขียนชื่อพระภิกษุสามเณรในวัดนั้นทั้งหมด หรือเท่าจำนวนที่กำหนดไว้ ทำเป็นธงม้วนไว้ให้มักทายกจับ เมื่อจับได้ชื่อพระภิกษุ สามเณรรูปใดก็นำไปถวายรูปนั้นหรือเขียนเลขไปเท่าจำนวนพระภิกษุสามเณรทำเป็นธงให้ทายกจับแล้วไปเสียบไว้ที่ของตนและทำสลากขึ้นอีกส่วน หนึ่งเท่ากับจำนวนที่ทายกจับไปแล้วให้พระภิกษุสามเณรจับ จับได้ตรงกับเลขของใครผู้นั้นก็นำของไปถวายแก่พระภิกษุสามเณรที่มีเลขตรงกัน ข้อสำคัญของการถวายสลากภัตมีว่า ให้ตั้งใจถวายตามสลากจริงๆ อย่าแสดงความยินดียินร้ายเจาะจงในผู้รับ

“I see… Very interesting ceremony (ค่ะ... เป็นพิธีที่น่าสนใจมากเลยค่ะ)”

หลังจากอิ่มแล้วพ่อเฒ่าแม่เฒ่าและนักศึกษาก็พาสาวญี่ปุ่นเดินชมวัดและเดินเที่ยวรอบๆ งานจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับเข้าเมือง หญิงชราคนที่ทักทายเธอครั้งแรกก็เดินเอาด้ายสีขาวมาผูกข้อมือให้กับเธอก่อนที่จะลากลับ พร้อมกับพูดด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจเสียยืดยาว

“She blessed you (เธออวยพรให้คุณค่ะ)” เด็กหนุ่มตอบขณะที่พวกเขากำลังนั่งรถกลับไปในตัวอำเภอ

สาวร่างสูงยิ้ม “Thai people is very kind, I got help from you guys many many times (คนไทยใจดีมากๆ คนไทยช่วยฉันเอาไว้หลายครั้งมากๆ)”

“So, do you interesting to get some Thai boyfriend (แล้วคุณสนใจที่จะมีแฟนเป็นคนไทยมั้ยล่ะคะ)” เด็กหนุ่มพูดพลางพยักพเยิดไปที่เด็กหนุ่มคิ้วเข้มคนหนึ่งที่เงียบและไม่พูดกับโยมิเลย มีเพียงแต่สายตาและรอยยิ้มอายๆ ที่ส่งมาให้เธอเป็นบางครั้ง

สาวญี่ปุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ “I’m gonna think of it (ไว้ฉันจะคิดดูค่ะ)”

เมื่อมาถึงตัวอำเภอปัว สาวร่างสูงก็โบกมือลากลุ่มนักศึกษาแล้วเดินตรงไปที่เกสต์เฮ้าส์ที่พวกเขาแนะนำมา หลังจากติดต่ออยู่พักใหญ่เธอก็ได้ที่พัก เมื่อเข้าไปในห้องแล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็กๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อนโดยไม่เปิดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ แล้วหลับตาลงพร้อมๆ กับฝนที่จู่ๆ ก็ตกลงมา

โยมินอนหลับตาฟังเสียงฝนที่ตกที่ดูท่าทางว่าจะหนาเม็ดขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมทั้งเสียงฟ้าร้องดังเป็นระยะๆ แสงจากฟ้าแล่บวับวาบที่นอกหน้าต่างราวกับแสงแฟลชจากล้องถ่ายรูป

‘Sora ga ima nimo naki dashisoo da (ท้องฟ้ากำลังร้องไห้)’

หลังจากนอนฟังเสียงฝนไปเกือบชั่วโมง สาวญี่ปุ่นก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งก็หยุดที่หน้าห้องของเธอแล้วตามมาด้วยเสียงเคาะประตู

“Mou oitette (ให้ฉันอยู่คนเดียวได้มั้ย)” สาวร่างสูงพูดออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เธอรู้ว่าใครเป็นคนเคาะและวัตถุประสงค์ของการรบกวนเธอในเวลานี้เพราะอะไร โยมิวางแผนไว้ในใจว่าพรุ่งนี้เธอต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะออกจากอำเภอนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

สาวญี่ปุ่นยืนพิงอยู่หลังประตูเงียบๆ เธอได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนพูดเป็นภาษาไทย ภาษาที่เธอไม่รู้ความหมายอยู่พักใหญ่ เสียงของพวกเขาดูเหมือนว่าจะอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดและโมโห พร้อมๆ กับเสียงเขย่าลูกบิดประตูที่เธอล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนาพร้อมกับกลอนที่อยู่ด้านบนและล่าง พวกเขายืนบ่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสียงฝีเท้าก็หายไปจากหน้าห้อง

สาวร่างสูงยืนอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนอยู่หน้าห้อง เสียงฝนซาลงแล้วราวกับว่ามันจะหยุดตกในอีกไม่ช้า เธอค่อยๆ เดินย่องตรงไปที่หน้าต่างอย่างแผ่วเบาแล้วลอบมองจากผ้าม่านที่ปิดอยู่ เธอเห็นรถมอเตอร์ไซด์หลายคันจอดอยู่กลางถนนด้านหน้าเกสต์เฮ้าส์ หนุ่มวัยรุ่นหลายคนยืนสูบบุหรี่กลางสายฝนที่ตกปรอยๆ หนึ่งในวัยรุ่นกลุ่มนั้นคือเด็กหนุ่มคิ้วเข้มที่เธอพบที่วัด และเป็นคนที่เพื่อนของเขาบอกว่าสนใจเธอ

“Yappari (ว่าแล้วเชียว)” โยมิพูดออกมาเบาๆ สิ่งที่เธอคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดจากความรู้สึกก่อนหน้าที่จะเดินมาที่นี่ เธอไม่ได้เข้าพักในเกสต์เฮ้าส์ที่นักศึกษากลุ่มนั้นแนะนำ เธอพักเกสต์เฮ้าส์ที่อยู่ข้างกันด้วยความที่ว่าสถานที่ๆ กลุ่มนักศึกษาแนะนำนั้นมันดูคล้าย Love Motel ยังไงชอบกล และที่สำคัญ เธอเห็นเขาแอบตามเธอมาช่วงที่เธอเดินออกมาจากเกสต์เฮ้าส์แรกที่เธอเดินเข้าไปติดต่อ

‘Wareware wa zankoku na shakai no teihen imasu (พวกเราอยู่ในสังคมที่โหดร้าย)’

...

สองวันหลังจากสอบเสร็จ...

ไอนอนอยู่บ้านเพื่อพักผ่อนหลังจากที่คร่ำเคร่งกับการสอบอยู่นานสองนาน ตอนช่วงบ่ายของวันนั้นในขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือในห้องนั่งเล่นอยู่นั้นแม่ของเธอก็เปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน

“วันนี้แม่กลับมาเร็วจัง” สาวตาหวานทัก

“วันนี้ลาครึ่งวันน่ะ ไอไปซื้อของกับแม่หน่อยสิ”

“ซื้อของ... ซื้ออะไรเหรอคะ”

พัชรินทร์เดินเข้ามาหาลูกสาวแล้วยื่นโปสการ์ดใบใหม่ให้อีกฝ่าย “ซื้อของขวัญกับชุดไว้ไปงานแต่ง”

“อ๋อ... แล้วงานแต่งของใครเหรอคะ” ไอรับโปสการ์ดมาถือไว้แต่ก็ยังไม่ได้ดูรูปหรือข้อความที่อยู่ในนั้น

“ของลูกสาวน้าปิงไง น้าปิงที่อยู่น่านน่ะ หนูปลาเค้าจะแต่งงาน”

“ค่ะ... แล้วแต่งเมื่อไหร่เหรอคะ”

“มะรืนนี้”

สาวตาหวานทำหน้าตกใจ “มะรืนนี้! ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ละคะ!”

“ก็นั่นแหละแม่ถึงต้องรีบไง... อะไรกันก็ไม่รู้ ลูกสาวจะแต่งงานทั้งทีไม่ยอมบอกเพื่อนบอกฝูง” คุณครูประถมพูดพลางสาวเท้าเดินขึ้นบันไดบ้าน “ไอรีบเตรียมตัวเร็วเข้าลูก แม่โทรไปบอกอาร์ทแล้ว พรุ่งนี้เราจะไปน่านกัน”

“ค... ค่ะ” ไอรีบเดินตามอีกฝ่ายขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้านโดยเธอลืมนึกถึงโปสการ์ดที่เธอวางเอาไว้ที่หัวเตียงหลังจากที่เดินกลับเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้านไปเสียสนิท




ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 4(Continued...)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:20:47 »
Chapter 4 (Continued...)

สามชั่วโมงต่อมา สามแม่ลูก พัชรินทร์ อาร์ท และสาวตาหวานก็กลับเข้าบ้านพร้อมของที่หอบมาพะรุงพะรัง ไอทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่เธอช่วยแม่เตรียมของทั้งหมดและจัดกระเป๋าของเธอเองเสร็จแล้ว กระเป๋าเสื้อผ้าที่เธอมีดูเหมือนจะใหญ่เกินไปสำหรับการเดินทางเพียงแค่ 3 วัน แต่เธอก็มีกระเป๋าเพียงแค่ใบเดียว ด้วยความที่กระเป๋าของเธอใบใหญ่เกินกว่าของที่ใส่ลงไป เธอจึงใส่เสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ ลงไปเพิ่มราวกับว่าเธอจะเดินทางเป็นสิบๆ วัน

“นี่เราทำบ้าอะไรเนี่ย” สาวตาหวานพูดว่าตัวเองออกมาเบาๆ เมื่อมองดูกระเป๋าเสื้อผ้าแบบลากใบใหญ่ของตัวเอง

เมื่อไอพลิกตัวไปที่อีกด้านของเตียงเธอก็มองเห็นโปสการ์ดใบใหม่ที่เธอเพิ่งได้รับวันนี้ สาวตาหวานเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู ภาพที่อยู่บนโปสการ์ดเป็นภาพของวัดทางภาคเหนือ ด้านหน้าเป็นสิงห์สีขาวสองตัวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวัด ส่วนด้านในเป็นบันไดที่ทั้งสองนั้นปั้นเป็นรูปพญานาคทอดยาวไปถึงตัวอาคารซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นอุโบสถ สาวตาหวานพลิกกลับไปดูเธอก็ตกใจเมื่อเห็นข้อความที่เขียนระบุสถานที่ในภาพนั้นว่า

‘Wat Phumin, Nan (วัดภูมินทร์* น่าน)’



*เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อตำบลในเวียงในปัจจุบัน อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารของเมืองน่าน พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อ พ.ศ.2139 มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ ‘วัดพรหมมินทร์’ แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็นวัดภูมินทร์

จุดเด่นของวัดนี้คือเป็นวัดที่สร้างทรงจตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหารและพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหาร และอาคารแนวเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถ รัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ได้จำลองพระวิหารหลังนี้ไว้ด้วย

“น่าน! คุณโปสการ์ดทำมืออยู่ที่น่าน!” ไอพูดขึ้นมาด้วยความตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน

“เราจะได้เจอคนๆ นี้มั้ยนะ”

สาวตาหวานคิดคำๆ นี้วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวจนกระทั่งเธอหลับไป

-----------------------

โอ๊ะๆๆ โยมิเกือบไปแล้ว! แล้วตอนหน้าไอจะได้เจอโยมิหรือเปล่าเนี่ย?

ก็รอกันต่อไปนะเคอะ

ช่วงนี้เครียดค่ะ งานเยอะมาก แก้งานแบบยกชุดมา 3 รอบแล้ว แถมเป็นงานแบบด่วนอิ๊บอ๋ายด้วย ทำงานไปเจอยืนกดดันอยู่ข้างหลังนี่มันดูดพลังงานในร่างกายออกไปหมดเลยนะเนี่ย!

สู้กันต่อไป พร้อมกับเครียดลงกระเพาะเป็นของแถม ถุยชีวิต!

ทำใจก่อนสู้งานต่อ

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.