web stats

ข่าว

 


Ghost Writer - บทที่ 20 Say You Won't Let Go

โพสต์โดย: anhann วันที่: 06 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 10:56:00 อ่าน: 116





"Ghost Writer (เลิกเป็นผี มาเป็นแฟนกันดีไหม) "

เปิดให้จองและชำระเงินได้ตั้งแต่ วันนี้ - 10 กุมภาพันธ์ 2562 กำหนดส่งหนังสือประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2562

ในราคา เล่มละ 350 บาท ส่งฟรีพัสดุธรรมดา (เฉพาะช่วงจอง) ส่งลงทะเบียน 400 บาท และ 420 บาท EMS

สนใจติดต่อ anhann5@gmail.com , Inbox หรือ ไลน์ anhann

หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ --->>> http://bit.ly/2RmpYRR




บทที่ 20 Say You Won't Let Go






วันนี้วันอาทิตย์จูนกับฟลิคพาแม่นมไปโบสถ์  แบร์กับฮารุนะก็ไปด้วย  คาเร็นเป็นคนบอกให้พวกเขาไปเอง  ไม่ต้องห่วงเธอ  ไม่อยากให้พวกเด็กๆ ต้องรอเก้อเหมือนหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา  จูนมีนัดต้องไปเล่นเปียโนแทนอาจารย์คนเก่าที่แก่มากแล้วจนบางครั้งก็เล่นโน้ตเพี้ยนและเด็กๆ ก็งงกันหมด  ร้องเพลงไม่ถูก  อีกอย่างจูนก็ควรมีเวลาของตัวเองบ้าง  จะมัวมาห่วงเธอจนต้องงดทุกอย่างที่เคยทำไม่ได้  แล้วเธอก็ควรจะหัดทำอะไรๆ ด้วยตัวเองบ้าง  เผื่อวันไหนจูนจะต้องไปทำธุระอื่นที่เลี่ยงไม่ได้  เธอจะได้ไม่เป็นภาระให้จูนต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง

คาเร็นพยายามเดินโดยใช้ไม้เท้าแทนการนั่งวีลแชร์  เธอบอกกับจูนไว้ว่าถ้าเธอหายแล้ว  จะขอเอามันไปบริจาคให้กับคนที่ต้องการใช้มัน  ถ้าจูนคิดว่ามันสิ้นเปลืองไป  เธอก็จะขอจ่ายเงินเอง  เธอจะไปขอสิทธิ์ดูแลเงินของตัวเองจากทนายคืนมา  และถ้าจูนอยากจะจดทะเบียนสมรสกับเธอจริงๆ เธอก็จะจด  เราอาจจะมีงานแต่งงานเล็กๆ กัน  หรือไม่มีก็ได้  แต่เธออยากจะแต่งงานกับจูนจริงๆ  ความกลัวของเธอยังคงอยู่  เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะซื้อเวลาได้นานอีกแค่ไหน  ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่  เธอจะใช้มันให้มีค่าทุกๆ วัน  เธอจะไม่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองหรือใครทั้งนั้น  เธอจะใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย  แล้วเมื่อถึงเวลาต้องไปจริงๆ เธอก็จะไม่เสียดายมันอีก  เธอรักจูน  เธออยากแต่งงานกับจูน  อยากเมคเลิฟ  อยากทำอะไรร่วมกัน  เธอก็จะทำทุกอย่าง  หวังแค่มันจะเป็นสิ่งที่จูนต้องการด้วย  เพราะถ้าไม่  มันก็เหมือนเธอเห็นแก่ตัว  เธอต้องถามความเห็นจูนก่อน  ต้องกำชับด้วยว่าไม่ให้ตามใจเธอมากไป 

เธอใช้ไม้เท้าช่วยพยุงขณะค่อยๆ ลงบันไดชั้นสองมา  จูนไม่ยอมให้เธอนอนชั้นล่างทั้งที่มันสะดวกกว่า  เพราะมันทึบ  แลดูน่าอึดอัด  จูนยอมแบกเธอขึ้นหลังไปแทนที่จะให้เธอทนอุดอู้  แบบนี้แหละเธอถึงอยากจะหายไวไว  เพื่อไม่ให้จูนต้องลำบากและหลังเสียก่อนวัย

การมีคนรักที่ดีแบบนี้มันก็ดีแหละ  เพราะแบบนั้นเธอจึงควรถนอมคนรักดีๆ ของเธอเอาไว้ให้แข็งแรงเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ  ผมเปลี่ยนสี  แก่เฒ่าไปด้วยกัน

"จูนเขียนหนังสือเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด"

คาเร็นได้ยินเสียงนี้ทันทีที่ก้าวเข้าห้องหนังสือตัวเองในชั้นล่างของบ้านซึ่งใหญ่เกินกว่าเธอควรจะอยู่ลำพัง  ก่อนหน้านี้เธอไม่คิดว่ามันเหงาเลยที่ต้องอยู่ในบ้านหลังโตคนเดียว  แต่ถ้าเป็นตอนนี้เธอคงเหงามากแน่ๆ

"ฉันได้ยินเสียงไม้เท้าเธอ"  ดิ๊พซี่ชี้แจงทั้งที่ไม่จำเป็น  เธอไม่จำเป็นจะต้องทักคาเร็นด้วย  เราไม่ใช่เพื่อนกัน  คาเร็นก็แค่เคยเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้  แต่ก็นั่นแหละ  ยังไงคาเร็นก็เป็นแฟนจูน  แฟนคนปัจจุบัน  และกำลังจะเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในอีกไม่นาน  ที่สำคัญ  ห้องห้องนี้ยังเป็นห้องหนังสือของคาเร็น  คีแกนอยู่  จูนไม่เคยยึดมันไป  และยังคงใช้คำนี้ตอกย้ำเธอเสมอ  ห้ามไม่ให้เธอทำหนังสือทุกเล่มในนี้เสียหาย  ถ้าหยิบไปอ่านที่ไหนก็ให้เอากลับมาคืนที่ด้วย  เจ้าห่วยนั่นเดี๋ยวนี้เจ้าระเบียบจนเธอจำแทบไม่ได้แล้ว  "ฉันแค่มายืมหนังสืออ่านน่ะ"

"ตามสบายค่ะ"  คาเร็นบอก  ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง 

"น่าแปลกที่มันไม่ค่อยมีฝุ่น"

"จูนจ้างแม่บ้านมาช่วยทำให้ค่ะ  บ้านหลังใหญ่  ทำคนเดียวไม่ไหว  เมื่อก่อนฉันก็จ้างเหมือนกัน"

"ฉันขอโทษด้วย  เรื่องเมื่อวาน"  ดิ๊พซี่พูดขึ้นกะทันหัน  และเอ่ยตัดก่อนที่คาเร็นจะทันได้พูด  "ฉันก็แค่ไม่ชอบทุกคนที่จูนสนใจ  เธอไม่ผิดหรอก  ฉันโง่เองที่ยังคิดแบบนี้อยู่"

"จูนแคร์คุณมากนะ"  คาเร็นพูดจนได้  เธอตั้งใจอยู่แล้ว  "ฉันถึงไม่ค่อยชอบเวลาพวกคุณอยู่ใกล้กัน  เลยทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นไป  ฉันก็ต้องขอโทษคุณด้วยค่ะ  มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น"

ดิ๊พซี่ปิดหนังสือในมือลง  ส่ายหน้าไปมา  หลีกทางให้คาเร็นเดินมานั่งบนเก้าอี้นวมอ่านหนังสือตัวหนึ่งในจำนวนสองตัวภายในห้อง  อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไมมีสองตัวทั้งที่คาเร็นเคยอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว  มันดูเป็นของเก่าที่อยู่คู่ห้องมาก่อนที่จูนจะซื้อมันมาด้วย

"ที่บ้านฉัน  บ้านพ่อน่ะในลอนดอนก็มีห้องอ่านหนังสือแบบนี้  ฉันเลยขลุกอยู่กับมันตั้งแต่เด็ก  ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนน่ะ  แต่ไม่ต้องพูดนะว่าเพราะไม่มีใครคบฉัน  ฉันรู้จักตัวเองดี"  ดิ๊พซี่พูดแล้วยักไหล่  นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างๆ คาเร็น  แต่หันไปมองตู้หนังสือใหญ่โตแทนหน้าเจ้าของมัน 

"หนังสือในห้องนี้เยอะดี  มีของเก่าของใหม่ปนกัน  ที่บ้านพ่อฉันน่ะมีของเก่าเยอะกว่า  พวกวรรณกรรมคลาสสิคน่ะ  แรร์อิดิชั่นบ้าง  หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกบ้าง  อะไรทำนองนั้น  ไม่ค่อยมีใครอ่านมันหรอก  เหมือนมีไว้ประดับบ้านเฉยๆ  พ่อชอบซื้อแต่ไม่มีเวลาอ่าน  ฉันเลยได้ใช้มันอยู่คนเดียว  แต่ก็นานแล้วละที่ฉันไม่ได้เข้าไปขลุกกับมันเป็นวันๆ เหมือนก่อน"

"ตอนเด็กๆ ฉันอิจฉาคนที่บ้านมีห้องหนังสือ  พอมีบ้านตัวเอง  ฉันก็เลยทำมันขึ้นมา"  คาเร็นเล่า  สีหน้ามีความสุขพอกับคู่สนทนา

"ฉันอยากเปิดร้านหนังสือ  แต่จูนคิดว่าฉันเพี้ยน"  ดิ๊พซี่พูดเหมือนจะฟ้องคาเร็น  "เขาคงคิดว่าฉันแค่เบื่อ  แต่ฉันจริงจังนะ  รู้ไหม  ฉันอยากทำร้านหนังสือมาตลอด  ก็เหมือนเขาที่ชอบเล่นเปียโน  เขียนหนังสือนั่นแหละ  ฉันทำงานที่บริษัทพ่อเพราะพ่อขอให้ทำก่อนช่วงหนึ่งตอนที่ฉันยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรหลังเรียนจบ  แล้วฉันก็ทำมันเรื่อยมาจนกลายเป็นความเคยชิน  ขณะที่ในใจฉันคิดอยู่ตลอดว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้  เธอพอเข้าใจไหม"

"เข้าใจค่ะ  หลายๆ คนเป็นแบบนั้น  คนอ่านที่เคยคุยกับฉันเล่าให้ฟังอยู่เรื่อยๆ  แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยมีทางเลือกนักหรอกค่ะ  ส่วนใหญ่ก็ต้องทำไปเพราะต้องมีเงินเลี้ยงชีพ  ฉันก็แค่โชคดีกว่าพวกเขาหน่อยที่ได้ทำงานที่รัก  และเลี้ยงตัวเองได้จากมัน  ฉันก็ได้แต่ให้กำลังใจพวกเขาผ่านหนังสือที่ฉันเขียนขึ้นมา  ผ่านตัวละครของฉัน"

"ฉันมองออก  เธอน่าจะไปเป็นแม่ชี  แต่แม่ชีเขาต้องถือพรหมจรรย์ไม่ใช่เหรอ  เสียใจด้วยนะ" 

คาเร็นส่ายหน้า  ไม่ได้ถือสาดิ๊พซี่นัก  "คุณจะทำร้านที่ไหน  คิดไว้หรือยัง  ถ้าทำที่นี่  ฉันก็พอจะมีคนรู้จักให้คำแนะนำคุณได้นะ  คุณกะไว้ว่าจะทำร้านใหญ่แค่ไหนคะ"

"ตึกสักคูหาเดียวก็พอถ้าสามชั้นนะ  แต่สองคูหาก็ดี  ฉันอยากให้มีพื้นที่ไว้ทำกิจกรรมด้วย  ประเภทจัดงานเสวนาของนักเขียนน่ะ"  ดิ๊พซี่เล่า  ท่าทางรื่นเริงเหมือนเด็กๆ  "เธอคงไม่คิดว่าฉันเป็นบ้าไปอีกคนนะ"

"ไม่หรอกค่ะ  ฉันรักร้านหนังสือ  ฉันว่าที่นี่มีร้านน้อยเกินไป  และยังไม่ค่อยมีหนังสือที่ฉันอยากได้ด้วย  ฉันต้องสั่งจากที่อื่นมา  ส่วนใหญ่ก็ร้านในลอนดอน  ถ้ามีร้านที่ทุนเยอะสักหน่อย  กล้าสั่งหนังสือของนักเขียนไม่ดังแต่เขียนดีมาลงบ้างก็ดีค่ะ  พวกที่ดังๆ บางทีก็... ฉันไม่พูดดีกว่าเดี๋ยวเข้าตัว"

ดิ๊พซี่ยิ้ม  ค่อยๆ รู้สึกดีกับคาเร็นขึ้นมาทีละน้อย

"ถ้าเป็นไปได้  ฉันอยากไปร้านหนังสือเองมากกว่านะ  ได้หยิบจับเล่มขึ้นมาพลิกดูก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ  มันคนละอารมณ์กับเวลาเราเลือกจากจอคอมพิวเตอร์มากเลยละ"  คาเร็นเสริม  พอได้คุยเรื่องหนังสือ  เธอจะคุยได้นานและมีเรื่องพูดมากกว่าเรื่องอื่น  รู้สึกเหมือนดิ๊พซี่เป็นพวกเดียวกันกับตนไปแล้วด้วย  ดิ๊พซี่เองก็เริ่มชอบคาเร็นมากขึ้นเพราะความเห็นที่ตรงกันเรื่องหนังสือแบบนี้  เหมือนเวลาคุยกับจูนเรื่องเพลง

"ถ้างั้นเธอต้องช่วยฉันคุยกับจูน"  ดิ๊พซี่มัดมือชก  "เขาจะได้เลิกว่าฉันสักที  เจ้าบ้านั่น  งี่เง่า"

คาเร็นยิ้ม  รู้ว่าดิ๊พซี่พูดไปอย่างนั้นเอง  "งั้นคุณร่างโปรเจกต์ได้ไหม  จูนจะได้เห็นว่าคุณจริงจังจริงๆ  ฉันว่าเขาพร้อมจะช่วยคุณนะ  คุณสำคัญกับเขามากนะ  ถ้าคุณไม่รู้ตัว"

"เธอนี่ก็แปลก  มาพูดแบบนี้กับแฟนเก่าแฟนตัวเองเนี่ยนะ"

"ไม่เห็นเป็นอะไรเลยค่ะ  ฉันเชื่อใจจูน"

"เจ้านั่นนี่โชคดีจริงๆ เลยนะ"

"เขาโชคดีที่มีคุณด้วยค่ะ  ฉันก็โชคดีเหมือนกัน"

ดิ๊พซี่ส่ายหน้า  เธอจะต้องไม่หลงกลความแสนดีของคาเร็น

"แล้วทำไมเธอเขียนหนังสือ" 

คาเร็นมองหนังสือตัวเองในมือดิ๊พซี่  พยายามนึกคำตอบ  "เพราะชอบมั้งคะ  ไม่รู้สิ  อาจเพราะฉันไม่พอใจตอนจบของเรื่องที่ฉันอ่านเลยอยากได้ตอนจบเป็นของตัวเอง"

ดิ๊พซี่พยักหน้า  "ไม่เลวนี่  เพ้อฝันดี"

คาเร็นยิ้มรับ  คิดซะว่าเป็นคำชม  "ฉันชอบร้านหนังสือ  ฉันสามารถอยู่กับมันได้ทั้งวัน  ถ้ากินข้าวในนั้นได้ด้วยได้ก็ยิ่งดี"

"ไม่ต้องเอาใจกันขนาดนั้นหรอก  ยังไงฉันก็ไม่ชอบเธอ"

"ไม่มีปัญหาค่ะ"

ดิ๊พซี่กลอกตา  เริ่มขยับขาเดิน  "ฉันไปละ  ยืมหนังสือนี่ไปอ่านหน่อยนะ  แล้วจะเอามาคืน"

คาเร็นไหวไล่นิดๆ  มองอีกฝ่ายจากไปเงียบๆ  แล้วพยายามลุกขึ้นมาด้วยไม้เท้าเดินมายังตู้หนังสือ  กวาดตามองมันด้วยความภาคภูมิใจ  หวังว่าดิ๊พซี่คงไม่เผาหนังสือเธอทิ้งหรอกนะ

...............................................

จูนอยู่ในเมืองนี้นานพอที่ใครๆ จะรู้จักเธอแล้ว  และไม่ทักทายเธอด้วยคำว่า  "สวัสดี  สาวลอนดอน" แล้ว  คาเร็นเล่าให้ฟังว่าเจ้าตัวก็เคยถูกทักแบบนั้นเหมือนกันในช่วงแรกๆ  แต่ต่อมาพอเจอหน้ากันในตลาดบ่อยขึ้น  หรือไปร่วมงานของชุมชนบ้าง  เราก็จะค่อยๆ ลดความเป็นคนแปลกหน้าลง

เธอเริ่มจากการพูดคุยกับลุงร้านขายเนื้อ  คุณป้าร้านขายผัก  และป้าๆ ลุงๆ อีกหลายร้านที่พบปะกันเวลาเธอมาซื้อของกินเข้าบ้าน  หลวงพ่อที่โบสถ์แห่งนี้ที่เธอมาเสนอตัวเล่นเปียโนให้เด็กๆ ร้องประสานเสียง  เธอจึงมาโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ถ้าไม่ติดธุระอื่น  มาเล่นเปียโนให้เด็กๆ โรงเรียนคริสต์ฟังบ้างในวันธรรมดา  หากพอจะมีเวลาว่าง

"เธอป่วยหนักค่ะคุณพ่อ  และมีปัญหาส่วนตัวนิดหน่อย  แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะโอเคแล้วค่ะ  อีกไม่นานเธอคงมาโบสถ์ได้"  จูนเอ่ยกับบาทหลวงขณะมาบอกลากลับบ้าน

"พ่อยินดีด้วย"

จูนพยักหน้า  มีความสุขแค่ได้ประกาศให้ใครๆ ฟังว่าคาเร็นสบายดี  และจะกลับมาเป็นขวัญใจของนักอ่านกับใครๆ อีกหลายคนในเมืองนี้ด้วย

"คุณพ่อเคยเจอเธอไหมคะ  ก่อนหน้าที่เธอจะเป็น..."

บาทหลวงเฮนรี่พยักหน้า  ไม่รอให้จูนพูดสิ่งที่ไม่อยากพูดออกมา

"เธอไม่ได้มาบ่อยนัก  เธอไม่ใช่พวกที่มานั่งฟังเทศน์ทุกวันอาทิตย์  แต่ถ้ามีงานการกุศล  บริจาคสิ่งของอะไร  เราก็มักจะเห็นเธอเสมอ  ดูเหมือนเธอชอบงานเกี่ยวกับเด็กเป็นพิเศษ  เด็กกำพร้าน่ะครับ"

"เธอกำพร้าค่ะ  พ่อแม่เธอเสียชีวิตพร้อมกันในอุบัติเหตุ  ลูกคิดว่าคงมีส่วนค่ะ"  จูนพูดพร้อมกับนึกเป็นห่วงคาเร็นขึ้นมา  "ลูกกับเธอไม่ได้เป็นเพื่อนกันค่ะ  เราเป็น --"

"พ่อยินดีกับความรักทุกแบบ  และยินดีทำพิธีให้ถ้าลูกต้องการ"

"ขอบพระคุณมากค่ะ  คุณพ่อ"

บาทหลวงตอบรับคำขอบคุณเธอด้วยรอยยิ้มใจดี  จูนโล่งใจ  เธอรออยู่คุยกับท่านหลังจากคนอื่นๆ กลับไปแล้ว  ขอให้แม่นมกับฟลิคและฮารุนะรอก่อนเพราะคำตอบนี้  เธออยากให้คาเร็นยังเป็นที่รักของทุกคนเหมือนเดิม

"หากลูกมั่นใจในความรักของลูกกับเธอ  พ่อเชื่อว่าพระองค์จะทรงยินดีด้วยแน่นอน"

"ลูกไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ"  จูนตอบหนักแน่น  "งั้นลูกขอตัวก่อนนะคะวันนี้"

บาทหลวงพยักหน้า  แม้ใบหน้าจะนิ่งแต่ยังมีแววโอบอ้อมอารีแบบพ่อที่จูนฝันอยากจะมี  แต่ไม่มีทางเป็นไปได้

............................................

จูนได้ยินเสียงไม้เท้ากระทบพื้นไม้จึงละสายตาจากจอแล็ปท็อป  ลุกขึ้นไปรับเจ้าของเสียงนั้น  คาเร็นยิ้มให้เธออย่างเกรงใจ

"คุณยุ่งอยู่หรือเปล่า"

"ไม่เลยค่ะ  แล้วทำไมไม่เรียกล่ะ  เดินมาเองทำไม"

"ให้ฉันเดินบ้างเถอะ"  คาเร็นบอก  มองห้องทำงานใหม่ของจูนที่เพิ่งย้ายมาจากห้องเดิมได้ไม่นาน  จูนคืนห้องเก่าให้เธอแล้วทั้งที่เธอบอกว่าไม่จำเป็น  อยู่ห้องเดียวกันก็ได้  แต่จูนบอกว่ากลัวจะทำให้เราทั้งคู่ไม่มีสมาธิ  และงานก็คงไม่เสร็จกันสักคน  มันก็จริงของจูนแหละ

"คุณถนัดหรือเปล่า  ฉันมาอยู่ห้องนี้ก็ได้นะ"

จูนส่ายหน้า  ให้คาเร็นเกาะแขนและพาไปนั่งเก้าอี้บุนวมที่เธอมีไว้นั่งอ่านหนังสือ  "มีอะไรหรือเปล่าคะ  เหงาเหรอ"

คาเร็นหยิกแขนจูน  "ชอบล้อเลียน"

"โธ่  ก็คุณน่ารักดี"  จูนยิ้มแหย  ลูบแขนที่โดนหยิกป้อยๆ  พลางถกแขนสเวตเตอร์ขึ้นดู  "เขียวเลย"

"แฟนเก่าคุณอยากทำร้านหนังสือ"  คาเร็นเข้าเรื่อง  จูนเลิกคิ้ว  "ฉันว่าเป็นความคิดที่ดีนะ  ฉันต้องการร้านหนังสือใกล้ๆ บ้าน"

"แถวตลาดมีอยู่ร้านนึง"  จูนยิ้มแห้งๆ  "เอ่อ  แต่ฝุ่นเยอะไปหน่อย"

คาเร็นพยักหน้า  "ฉันแพ้ฝุ่นซะด้วยสิ  ฉันไม่ได้ไปร้านหนังสือมานานแล้ว  ก่อนที่ฉันจะตายรอบนั้นด้วยนะ"

"อย่าพูดคำว่า ตาย สิคุณ"  จูนส่ายหน้า  รับฟังไม่ได้  คาเร็นต้องดึงลงมากอดและบอกขอโทษ  มันเป็นประเด็นอ่อนไหวของเรา  จูนจึงได้โอกาสนั่งลงกับพื้นและหนุนตักคาเร็นซะเลย  ให้มือเล็กๆ นุ่มๆ ลูบศีรษะเธอเหมือนเด็กๆ  คาเร็นทำให้เธอนึกถึงแม่อีกแล้ว  ถึงความทรงจำนั้นจะเลือนรางเต็มที 

"รำคาญฉันไหม"

คาเร็นส่ายหน้า  ก้มลงหอมศีรษะจูน  "ถ้าคุณไม่เห็นด้วย  ฉันจะบอกเธอให้ค่ะ"

"ฉันจะคุยกับดิ๊พซี่เองค่ะ  ฉันคุยกับเธอง่ายกว่า  ถ้าคุณไม่ว่าอะไร"

"ฉันคิดว่าฉันก็มีดีพอตัวนะ"

"มากเกินไปด้วยซ้ำค่ะ"  จูนบอก  ผงกหัวขึ้นจากตักคาเร็นและจูบเจ้าของมัน  "คุณมีความสุขไหม"

"ไม่เคยดีเท่านี้มาก่อนเลย"  คาเร็นตอบ  "ฉันกลับไปทำงานนะ"

"ฉันไปส่ง"  จูนลุกขึ้นช่วยพยุงคาเร็นไปถึงหน้าประตูห้อง  ยืนมองแฟนสาวเดินจากไปจนถึงห้องทำงานอีกห้องที่อยู่ติดกัน  คาเร็นโบกมือให้เธอก่อนจะหายเข้าห้องไป  เธอก็เข้าห้องตัวเองบ้าง 

แล้วก็ตบแก้มตัวเองไปหนึ่งที

"โอ๊ย  เจ็บ!"  เธอร้องแล้วรีบปิดปาก  กลัวคาเร็นจะได้ยิน  เธอเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน  เปิดลิ้นชัก  หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาเปิดดู

แสงเพชรส่องเข้าตาเธอเลย

"โอเค  มันต้องเจ๋งสิ  ใจเย็นไว้จูน"  จูนปลอบใจตัวเอง  "คาเร็นต้องชอบมันอยู่แล้ว  ผู้หญิงทุกคนชอบเพชร  มันต้องโอเคน่า"

"ทำอะไรน่ะ  ตลกจัง"  แอลลี่ส่งเสียงมาจากบนโต๊ะทำงาน  จูนจ้องนางฟ้าตัวน้อยอย่างไม่พอใจ  "จะขอคาเร็นแต่งงานเหรอ"

"ไม่เกี่ยวกับเธอ"  จูนดุ  เก็บกล่องแหวนใส่ลิ้นชักและล็อกมัน  เก็บกุญแจใส่กระเป๋ากางเกงอย่างมิดชิด  แต่ลิ้นชักกลับเด้งเปิดออกมาใหม่เอง

"กล้าๆ หน่อยสิคุณ  รอเวลานี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ"

"ฉันยังไม่พร้อม  ฉันต้องการเวลา"

"คุณรู้เหรอว่าเธอมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่"

"เธอหมายความว่าไง  คาเร็นไม่ --  ไม่จริง  คาเร็นต้องอยู่กับฉัน  คาเร็นต้องอยู่  ไม่งั้น..."  จูนพูดไม่ออก  ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง  แล้วยกสองมือขึ้นกุมหัวตัวเอง  เธอจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีคาเร็นอยู่แล้วจริงๆ

"โอเค  ขอโทษ  ฉันแกล้งคุณน่ะ"  แอลลี่ยิ้มเกร็งๆ เมื่อจูนเงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอด้วยสายตาน่ากลัว  "ฉันพูดผิดตรงไหนล่ะ  ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะตายเมื่อไหร่  ขนาดแอชเชอร์ยังต้องมีสมุดบันทึกของเขาเลย  คุณก็ --"

"ไปให้ไกลๆ หน้าฉันเลย  แอลลี่"  จูนคำราม  ตาวาวน่ากลัว

"โกรธจริงๆ เหรอ  ฉันแค่ --"

"เธอไม่เคยรู้หรอกว่าการสูญเสียเป็นยังไง  เธอไม่มีทางเข้าใจ  เธอไม่ใช่มนุษย์  เธอไม่เคยเจอสิ่งที่มนุษย์อย่างฉันต้องเจอ  เธอไม่มีความรู้สึก  เพราะถ้าเธอมี  เธอจะไม่ล้อเล่นกับใครแบบนี้เด็ดขาด"

"ฉันอยากรู้สึก  ฉันอยากรู้"  แอลลี่พูดจริงจัง

จูนส่ายหน้า  "ขอร้องล่ะ  ฉันอยากอยู่คนเดียว  แล้วค่อยคุยกัน"

แอลลี่ทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่นั่งอยู่แบบนั้นจนกระทั่งจูนลุกขึ้นไปเปิดประตูให้เจ้าแบร์ที่เกาประตูอยู่นานแล้วเข้ามา  เธอมองจูนนั่งยองๆ กอดสุนัขสีขาวด้วยสีหน้าซึ่งเธอไม่เข้าใจ  แต่สัมผัสได้ว่ามันคือความเศร้า

และเจ็บปวด...

"ฉันรู้ดีว่าวันหนึ่งทุกๆ คนก็ต้องจากฉันไป  แม้แต่ตัวฉันเองก็ต้องจากร่างนี้ไปเหมือนกัน  แต่แค่ไม่ต้องพูด  ฉันทำใจอยู่ทุกวินาทีอยู่แล้ว  แค่ไม่ต้องพูด  ได้ไหม"

"ฉันขอโทษ"  แอลลี่กระซิบ  แล้วหายตัวไป 

..............................................

คาเร็นยืนอยู่ที่ผนังห้องฝั่งนี้  เธอได้ยินเสียงจูนพูด  แต่ไม่ใช่ทุกคำ  กระนั้นก็ยังพอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น  แอลลี่แกล้งจูนตามเคย  แต่คราวนี้คงหนักไปหน่อย  จูนโกรธจริงๆ  แล้วเวลาจูนโกรธจริงๆ ก็น่ากลัว  ไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งด้วยหรอก  แม้แต่ฟลิค

"งานเขียนที่เกิดจากความเจ็บปวด"  หญิงสาวพึมพำ  ค่อยๆ เกาะผนังกับตู้เดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน  เธอเองก็สูญเสียมาก่อน 

เธออายุสิบเจ็ดตอนที่พ่อแม่ตาย  กำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยมันเหมือนโลกทั้งโลกทลายลง  เสียใจแต่ร้องไห้ไม่ออก  เหมือนน้ำตามันหลบอยู่ข้างใน  รอบด้านมีแต่ความมืด  ไม่รู้จะไปทางไหนดี  ไม่รู้จะจัดการชีวิตตัวเองยังไง  ไม่รู้จะอยู่ยังไงหรือจะทำอะไรต่อไป  ในตอนนั้นป้าก็ยื่นมือมาช่วย  ป้าคนเดียวกันกับที่หักหลังเธอ  ทำไม?  มันเกิดอะไรขึ้นนะ

แต่มันก็ผ่านไปแล้วทั้งหมด  เธอเดินผ่านมันมาแล้ว  เป็นบทเรียนราคาสูงลิ่ว  มันเจ็บหรือเปล่าน่ะหรือ  ก็ไม่เชิงว่าเจ็บ  เสียใจมากกว่า  แม้แต่ตอนที่รู้ว่าป้าทำกับเธอแบบนั้น  แต่สำหรับจูน  คงมีเรื่องที่เธอไม่รู้อีกเยอะ

จะว่าไปเธอก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของจูนมากนัก  จูนรู้เรื่องเธอมากกว่า  ดิ๊พซี่คงรู้หลายๆ อย่างที่เธอไม่รู้  โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวจูน  จูนไม่ค่อยพูดถึงเรื่องที่บ้าน  ไม่เคยเล่า  ไม่เคยให้เธอเจอคนที่บ้านนอกจากฟลิคกับแม่นม  เธอเกือบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่จูนตายไปตั้งแต่จูนยังเล็กๆ อยู่เลย  แต่ก็พอรู้ว่า  เดวิสคนเล็กไม่ค่อยถูกกับพ่อเท่าไหร่  ข่าวซุบซิบของพวกไฮโซดังจะตาย

"ช่วยทำให้เขาหายโกรธฉันด้วยนะ"

คาเร็นเลิกคิ้ว  มองนางฟ้าในร่างเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ๆ ก็มานั่งบนโต๊ะทำงานเธอ  ท่าทางแอลลี่จะกลุ้มใจจริงๆ 

"เจ้างี่เง่านั่นไล่ฉันอย่างกับหมูกับหมา  น่าสาปเป็นกบชะมัด"

"ตกลงเป็นแม่มดเหรอคะ"

แอลลี่ถลึงตาใส่คาเร็น  แต่หญิงสาวกลับยังยิ้มให้อย่างไม่กลัวเกรง

"จูนโกรธไม่นานหรอกค่ะ  เดี๋ยวใจเย็นแล้วก็หายเอง"  คาเร็นปลอบ  แต่แอลลี่ยังเบะปากเหมือนจะร้องไห้  "โอเคค่ะ  เดี๋ยวฉันคุยให้"

"เขากลัวเธอตาย  ฉันแค่พูดเล่นนิดเดียวเองก็โกรธ"

"เมื่อกี้ฉันก็เกือบจะโดนเหมือนกัน"

"เจ้างี่เง่า  ไม่เห็นน่ารักตรงไหนเลย"  แอลลี่ตะโกนเหมือนจะให้จูนได้ยินด้วย  "คอยดูนะ  ต่อไปฉันจะไม่ช่วยอะไรเลย  ไม่ต้องมาเรียกหาด้วย  เธอก็เหมือนกัน  รีบๆ หายได้แล้ว  จะได้แต่งๆ กันซะที  หมดเรื่องหมดราว"

"เอ่อ  ฉัน..."  คาเร็นจะแย้งแต่ก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับคำ

"ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นมนุษย์มันทุกข์ยากยังไง  ฉันแค่อยากให้จูนมีความสุข  ไม่อยากเห็นเขาเศร้า  ก็ฉันเป็นเทวดาประจำตัวเขานี่นะ"  แอลลี่พูดแล้วยักไหล่  "บางครั้งจูนก็เป็นไอ้เซ่อถึงจะดูเชี่ยวชาญแบบนั้นก็เหอะ"

คาเร็นหน้าแดง  แค่นึกถึงความเชี่ยวชาญที่แอลลี่พูดถึง 

นางฟ้าตัวน้อยจากไปแล้วอย่างไม่บอกกล่าว  คาเร็นส่ายหน้าไปมา  หันมากางแล็ปท็อป  เปิดหาเว็บไซต์ที่จะซื้อของขวัญให้จูน




.......................

ปิดจองวันที่ 10 นี้นะจ๊ะ   :21: :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

07 กุมภาพันธ์ 2019 เวลา 21:37:32
จริงๆแล้วดิ๊พซี่นางน่ารักนะเนี่ย ไอ้จูนมันพลาดอย่างแรงนะ ฟลิคจะได้กินบ้างป่ะเนี่ย ไม่พยายามเอาเลย
แสดงความคิดเห็น