web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 45
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 36
Total: 36

ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ 4 At The Beginning  (อ่าน 2156 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ สี่เมษา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
ตอนที่ 4 At The Beginning
« เมื่อ: 06 มกราคม 2014 เวลา 01:34:45 »
ตอนที่ 4  At The Beginning


นาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงวันพอดีเมื่อคินสิตาพามารดาและไอยดามาถึงร้านอาหารขนาดเล็กแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับคอนโดนั่นเอง เมื่อได้โต๊ะขนาดสี่ที่นั่งตั้งอยู่มุมในสุดติดกระจกมองออกไปเห็นบริเวณโดยรอบภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ได้ชัดเจน ทั้งหมดตกลงกันว่ามื้อเที่ยงนี้ขอเป็นอาหารแบบง่ายๆ และใช้เวลาทานไม่นานมากนัก เพราะรสสุคนธ์บอกว่าไม่ได้เดินห้างเสียนานจึงอยากใช้เวลาให้คุ้มเมื่อมีโอกาส อีกทั้งต้องการพาไอยดาไปเลือกซื้อของใช้จำเป็นทั้งของใช้ส่วนตัวและในการเรียน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จและทั้งสามคนก้าวออกมาจากร้านแล้ว รสสุคนธ์ก็แจ้งความประสงค์ว่าจะไปแวะร้านเครื่องประดับของเพื่อนเก่าที่เปิดหน้าร้านอยู่ที่ห้างนี้ และบอกให้คินสิตาพาไอยดาไปซื้อของกันตามลำพัง

"แม่แน่ใจเหรอว่ายังจำร้านได้ จริงๆ แล้วเราไปด้วยกันทั้งสามคนเลยก็ได้นี่แม่ แล้วค่อยไปซื้อของตอนหลัง"

"จำได้สิ ถึงจะแก่แต่ก็ยังไม่เลอะเลือนหรอกนะ...เราเถอะ ดูแลน้องดีๆ ด้วยล่ะ...ไอย์มีอะไรที่จะต้องซื้อเพิ่มก็บอกพี่เค้านะลูก" รสสุคนธ์กำชับกำชาทิ้งท้ายเอาไว้ แล้วแยกเดินออกไปทันที

ทิ้งให้สองสาวยืนมองตามหลังไปอย่างค่อนข้างงง คินสิตาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้ไอยดารวดเร็วอย่างนี้ จู่ๆ แม่ของเธอก็ปลีกตัวออกไปเสียอย่างนั้นทั้งที่เมื่อครู่ยังบอกว่าอยากจะใช้เวลาเดินเล่นในห้างด้วยกันอยู่เลย ส่วนไอยดาก็ยังทั้งเกรงใจและเกร็งกับการที่ต้องอยู่ตามลำพังกับคินสิตาเช่นนี้ เป็นครู่ใหญ่ที่ต่างคนก็ต่างเงียบด้วยไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไร และอะไรก่อนหลังดีในนาทีนี้

"แล้วเธอต้องซื้ออะไรบ้างล่ะ?" คินสิตาถามขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมายืนคว้างกันอยู่อย่างนั้น

"ไม่รู้สิคะ..."

"อ้าว..."

"คือ...อันที่จริงก็ยังไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องซื้อในตอนนี้หรอกค่ะ ของเก่าก็ยังใช้ได้อยู่ทั้งนั้น" ไอยดารีบอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายออกอาการงงและกลัวว่าคินสิตาจะรำคาญเธอขึ้นมาก็ได้ที่ต้องมาทำให้วุ่นวายเอาอย่างนี้

"แน่ใจนะ...ฉันเห็นเธอเอาของมานิดเดียวเอง ซื้อไปไว้เผื่อต้องใช้ก็ได้นี่ อีกอย่างเมื่อแม่ฉันบอกว่าให้ซื้อก็ต้องซื้อล่ะ เธอน่าจะรู้จักแม่ของฉันดี" จริงอย่างที่คินสิตาว่า รสสุคนธ์ถึงจะใจดีมีเมตตาแต่ก็ไม่ชอบที่จะให้ใครมาขัดคำสั่งหรือขัดใจแต่อย่างใด

"แต่ฉันยังคิดไม่ออกว่าต้องซื้ออะไรบ้างนี่คะ" เด็กสาวบอกไปตามจริงซึ่งคินสิตาก็ต้องเชื่อตามนั้นเพราะความลำบากใจของไอยดาแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างเปิดเผยจนน่าเห็นใจ

"อืมม...งั้นเอาเป็นว่าเราเดินดูกันไปเรื่อยๆ ก่อนดีมั้ยบางทีเธออาจจะนึกออกขึ้นมาเองก็ได้ว่าต้องซื้ออะไรบ้าง" คินสิตาเสนอแนะ

"ค่ะ...ฉันทำให้คุณยุ่งยากไปหรือเปล่าคะ?" สาวน้อยถามด้วยความเกรงใจอันเป็นนิสัยของเธอ

"ไม่หรอก...ไปกันเถอะ ฉันว่าเราไปดูทางโน้นกันดีกว่า" ตอบออกไปแล้วก็เดินนำไปยังแผนกเสื้อผ้าของห้างเพราะคิดว่าเด็กสาวอาจจะอยากซื้อชุดใหม่บ้างตามประสาของผู้หญิง เพราะส่วนมากแล้วสาวๆ ที่เธอเคยพามาเดินซื้อของก็หนีไม่พ้นที่จะสนใจของจำพวกเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์พวกนี้ล่ะ แต่ผิดไปถนัดไอยดาดูจะไม่สนใจอยากได้เสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางค์เลย อย่างวันนี้หล่อนก็ไม่ได้แต่งหน้าแต่อย่างใด ความสดใสเปล่งปรั่งที่เห็นก็เป็นไปตามธรรมชาติโดยแท้ เครื่องแต่งกายของหล่อนก็ดูง่ายสบายๆ ทว่าก็เหมาะสมดี คินสิตาคาดว่าเธอคงเตรียมเสื้อผ้ามาไม่กี่ชุด เมื่อไอยดายังไม่มีทีท่าว่าต้องการจะซื้อสิ่งใดเธอจึงแนะนำให้เด็กสาวซื้อเสื้อผ้าไปสักสองสามชุดอย่างน้อยก็ให้ได้อะไรติดมือไปบ้างประเดี๋ยวแม่ของเธอจะมาเขม่นเอากับเธอได้ว่าไม่ใส่ใจดูแลเด็กในปกครอง

"ราคาแพงๆ ทั้งนั้นเลย อย่างนี้ฉันซื้อไม่ลงหรอกค่ะ"

"ไม่เป็นไรมีแม่ฉันเป็นนายทุนใหญ่ซะอย่าง ที่เธอต้องกังวลก็คือเลือกซื้ออะไรไปบ้างแค่นั้นล่ะ โอเคมั้ย ฉันเห็นทางนั้นมีเสื้อผ้าวัยรุ่นทั้งนั้นเลยเธอน่าจะชอบนะ ลองไปเลือกดูสิ" เมื่อคินสิตาคะยั้นคะยออย่างนั้นสาวน้อยจึงต้องยอมทำตาม

โดยปกติแล้วนานๆ ทีเธอถึงจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เสียชุดนึงและส่วนมาก็จะซื้อตามตลาดนัดหรือเสื้อผ้าที่วางขายกันตามฟุตบาทที่ราคาไม่แพงแถมคุณภาพก็ไม่ด้อยไปกว่าซื้อในห้างอย่างนี้เลย ไอยดายังคงเดินดูไปเรื่อยๆ โดยมีคินสิตาเดินตามหลังมาเงียบๆ บ่อยครั้งที่พอเธอเหลือบไปมองก็จะต้องเจอกับสายตาจดจ้องของอีกฝ่ายอยู่เสมอแล้วก็เป็นเธอเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน

ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเสื้อผ้ามาได้สองชุด เมื่อคินสิตาจ่ายเงินและรับถุงใบสวยมาจากพนักงานขายมาถือเรียบร้อยแล้วจึงชักชวนให้ไอยดาเดินต่อไปอีกทางหนึ่ง เมื่อผ่านร้านหนังสือไอยดาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอาหนังสือสำหรับอ่านก่อนนอนมาจากหัวหินเลย เธอชอบอ่านหนังสือและอ่านได้ทุกประเภท เป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นของเธอเลยก็ว่าได้ ก่อนนอนทุกคืนอย่างน้อยก็ต้องให้ได้อ่านอะไรบ้าง มันช่วยให้เธอนอนหลับได้สนิทและที่สำคัญในบางคืนที่เธอฝันร้ายจนไม่อาจข่มตาให้หลับต่อได้หนังสือก็จะเป็นเพื่อนเธอ ช่วยให้ความหวาดกลัวที่เกิดจากฝันร้ายของเธอลดน้อยลงได้บ้าง

"คุณ...ฉันขอเข้าไปดูหนังสือหน่อยได้มั้ยคะ"

"เอาสิ..." คินสิตานำไอยดาเข้าไปในร้านหนังสือ  "เธอก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันเหรอ...จริงๆ ที่คอนโดมีห้องหนังสือด้วยนะ ถ้าเธออยากเข้าไปหาอะไรอ่านก็ตามสบายเลย"

"จริงหรือคะ...ฉันชอบอ่านหนังสือค่ะ อ่านได้ทุกประเภทเลยด้วย" สาวน้อยตอบแล้วยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่ว่าเธอเป็นพวกที่ช่างรู้ไปหมดเสียทุกเรื่องเพราะนิสัยอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้านี่เอง

"งั้นเธออยากได้เล่มไหนก็เลือกเอาเลยนะ...ฉันก็ว่าจะหาหนังสือไปอ่านอยู่เหมือนกัน" ต่างคนต่างก็หาเลือกหนังสือที่ต้องการตามชั้นหนังสือที่มีอยู่มากมายด้วยเพราะเป็นร้านหนังสือที่ค่อนข้างใหญ่ไอยดาหายเข้าไปในมุมหนังสือนิยายส่วนคินสิตาก็เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวหนังสือแนวจิตวิทยาและปรัชญาที่ตัวเองชื่นชอบ เมื่อหยิบได้หนังสือชีวประวัติของนักปรัชญาคนโปรดมาหนึ่งเล่มจึงถือติดมือไปอ่านที่โซฟาที่ทางร้านจัดไว้บริการลูกค้าที่ทางด้านหน้าของร้านเป็นการรอไอยดาไปพลาง ยังไม่ทันที่จะได้หย่อนตัวลงนั่งก็รู้สึกว่ามีอะไรวิ่งมาชนขาตัวเองจากด้านหลัง คินสิตาหันไปดูก็เจอกับหนุ่มน้อยอายุประมาณสามขวบหน้าตาน่ารักคนหนึ่งนอนหงายอยู่กับพื้นคงเกิดจากแรงปะทะเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง

"เป็นอะไรหรือเปล่า หนูเจ็บตรงไหนมั้ยคับ" คินสิตาถามหลังจากช่วยประครองให้เด็กน้อยลุกขึ้นยืนแล้ว เด็กชายส่ายหน้าแทนเป็นคำตอบ เธอมองไปรอบๆ เผื่อว่าจะมีใครที่รู้จักเด็กคนนี้ตามมาบ้างแต่ก็ไร้วี่แวว

"แล้วมากับใครนี่ คุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ไหนเหรอ" เด็กชายส่ายหน้าตอบอีกหน จนคินสิตาเองต้องเกาหัวแกรกเพราะดูเหมือนว่าเด็กจะพลัดหลงกับพ่อแม่เสียแล้วกระมัง

"โอเค...งั้นหนูชื่ออะไรคับ...เดี๋ยวจะได้พาไปหาพ่อกับแม่ได้ถูกนะ"

"ชื่อพีทค้าบ" เสียงเล็กๆ ตอบออกมาเป็นครั้งแรก "จาหาแม่..." เด็กน้อยทำหน้าเบ้จวนเจียนจะร้องไห้

"ชื่อน้องพีทเหรอคับ...ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวจะพาไปหาคุณแม่ ไม่ต้องร้องไห้นะคนเก่ง เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งนะคับโอเคมั้ย"

เธอพยายามจะปลอบเด็กชาย สังเกตุจากเสื้อผ้าเนื้อดีติดแบรนด์ที่เด็กคนนี้สวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่ลูกตาสียายสาหรอกแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่มัวไปอยู่ที่ไหนนะถึงได้ปล่อยให้ลูกชายมาเดินหลงอยู่กลางห้างอย่างนี้ได้ พาไปที่ประชาสัมพันธ์ของห้างให้ช่วยประกาศหาพ่อแม่ให้น่าจะได้ผลเพราะอย่างน้อยก็รู้จักชื่อเด็กแล้ว คินสิตาจูงมือเด็กชายพีทพาเดินตรงไปที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ที่อยู่ไม่ไกลเมื่อแจ้งกับเจ้าหน้าที่สาวสวยให้ประกาศตามที่เธอบอกแล้วจึงยืนคอยอยู่ตรงนั้น ส่วนหนูน้อยก็ยึดมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย เธอเข้าใจว่าเด็กคงจะกำลังกลัวนั่นเอง เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความดีใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาดึงตัวเด็กชายเข้าไปกอดไว้แนบแน่น

"ลูกพีท...รู้มั้ยว่าแม่ตกใจแค่ไหน  แม่เป็นห่วงหนูมากๆ เลยนะคะรู้มั้ย"

เป็นแม่ของเด็กนั่นเอง จากที่เห็นทางด้านหลังหล่อนกำลังย่อตัวลงกอดรัดเด็กชายพีทเอาไว้พร้อมทั้งละล่ำละลักถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วงตามประสาของคนเป็นแม่ หล่อนเป็นผู้หญิงแต่งตัวดีและคงจะยังอยู่ในวัยสาวอยู่มากเสียด้วย แต่หน้าตาท่าทางจะเป็นเช่นไรนั้นคินสิตาก็ยังไม่ทันได้เห็นถนัดดีเพราะตอนที่หล่อนวิ่งพรวดเข้ามานั้นก็เร็วปานจรวดเลยทีเดียว คินสิตาจึงเพียงแต่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ที่ด้านหลังของสองแม่ลูกนั่นเอง

"แม่บอกให้ยืนรอก่อน แม่ไปเข้าห้องน้ำแป๊ปเดียวไงคะลูก...ไหนบอกแม่สิคะว่าหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" เด็กชายตัวน้อยยิ้มหน้าบานให้ผู้เป็นแม่แล้วชี้นิ้วมายังคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แต่ครั้นพอคินสิตาเห็นหน้าแม่ของหนูน้อยที่ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาเผชิญหน้ากันในนาทีถัดมานั้นเข้าก็ทำเอาหัวใจชาไปในทันที

"แพท...!!!"

"คิน...!!!"

สองเสียงแผ่วเบาพอกันราวกับเสียงกระซิบ ต่างคนต่างตกตะลึงและยืนมองกันนิ่งงันไม่มีฝ่ายใดสามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ ช่างเป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ได้มาพบหล่อนอีกครั้งคินสิตาคิด เธอเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกเช่นไรจะดีใจเสียใจหรือว่าแบบไหนกันแต่ที่แน่ๆ คงเป็นความประหลาดใจเสียมากกว่า จากที่เคยคิดเอาไว้ว่าจะยังไม่ขอเจอพรรษมนต์ในระยะนี้ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วเมื่อเหตุการณ์นำพามาขนาดนี้ ทางฝ่ายของพรรษมนต์นั้นนอกประหลาดใจแล้วหล่อนก็ยังมีความตื่นเต้นและดีใจอยู่มากกับการที่ได้พบกับคินสิตาอีกครั้ง เพราะนี่มันช่างรวดเร็วกว่าที่เธอตั้งใจเอาไว้เสียอีกแถมเธอยังไม่ต้องคิดให้ปวดสมองอีกด้วยว่าจะหาเหตุผลใดมาอ้างในการที่จะทำให้เธอได้เจอกับคินสิตา นับว่าโชคเข้าข้างเธออยู่มากสำหรับเรื่องนี้

.................................

มีต่อในเม้นที่ 1 นะคะ




ออฟไลน์ สี่เมษา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
Re: ตอนที่ 4 At The Beginning
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06 มกราคม 2014 เวลา 01:37:12 »
ตอนที่ 4  At The Beginning (ต่อ)



"ขอบคุณมากจริงๆ นะคะ เรื่องลูก"  พรรษมนต์ยิ้มเยือนพร้อมกับกล่าวขอบคุณคินสิตาที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะตัวกลมสีขาวของร้านกาแฟเล็กๆ ในมุมหนึ่งของห้างแห่งนั้น เมื่อพรรษมนต์เสนอที่จะเลี้ยงกาแฟคินสิตาเพื่อเป็นการขอบคุณที่เธอช่วยเหลือเรื่องลูกชายที่พลัดหลงกันคินสิตาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ ถึงแม้ในส่วนลึกแล้วจะยังมึนงงที่ต้องมาพบกันในแบบที่ไม่ได้คาดฝันเช่นนี้ ยอมรับว่าวางตัวไม่ถูกจริงๆ

"ไม่เป็นไรหรอก เป็นใครก็คงจะต้องทำอย่างนี้ทำกันทั้งนั้นล่ะ" ตอบออกไปเสียงเรียบ

"คินยังดูเหมือนเดิมเลยนะคะ...ไม่เปลี่ยนไปเลย" พรรษมนต์พยายามชวนคุยต่อเมื่อเห็นว่าคินสิตาออกอาการนิ่งเงียบ เธออยากจะเข้าถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าได้เสียจริง อยากจะรู้เหลือเกินว่ารู้สึกเช่นไรที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง หากแต่เธอก็ยังไม่คิดที่จะถามไถ่ออกไปตรงๆ ในตอนนี้

"แพทเองก็เหมือนกัน" คินสิตาตอบออกไปอย่างนั้นทั้งที่ความจริงแล้วช่างตรงข้ามกัน

"แพทไม่เหมือนเดิมหรอกค่ะ...อย่างที่คินก็รู้ดีอยู่แล้ว" หญิงสาวยิ้มโรยๆ เมื่อตอบกกลับไป รู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องเมินมองไปทางอื่นเพื่อกระพริบตาไล่หยดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้พอดีกันนั้นเสียงเรียกเข้าจากมือถือของพรรษมนต์ก็ดังขึ้นมา "สวัสดีค่ะคุณพี่หมอ...ค่ะตอนนี้แกอาการดีขึ้นมากแล้วนะคะแต่แพทอยากให้พี่หมอเช็คดูอีกรอบ...ค่ะ...ขอบคุณมากเลยค่ะ แพทจะถึงคลีนิคในอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงนะคะ...ค่ะ สวัสดีค่ะ"

"ตาพีทแกเพิ่งจะหายจากไข้หวัดน่ะค่ะ...แล้ววันนี้แพทต้องพาแกไปหาหมอให้เช็คอาการดูอีกรอบ" เธอบอกหลังจากวางสายไปแล้ว

"แกน่ารักดีนะ" คินสิตาบอกในขณะที่มองดูเด็กชายตัวเล็กๆ ที่นั่งนิ่งอยู่ข้างผู้เป็นแม่

"ใช่ค่ะ...แกเป็นเด็กดี" บอกพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศรีษะลูกชายอย่างรักใคร่ "ตอนนี้ก็มีแต่ลูกเท่านั้นล่ะค่ะที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตแพท"

"มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น" เกิดความเงียบขึ้นมา

"คินคะ...เราจะเจอกันอีกบ้างได้ไหมคะ"  หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างแน่นในขณะที่รอฟังคำตอบ ในเมื่อโชคชะตานำให้เธอได้กลับมาพบกับคนที่หัวใจตัวเองคอยแต่เฝ้าคำนึงหาตลอดมาในวันนี้แล้ว เธอก็ไม่อยากที่จะปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดลอยไปโดยไม่ได้พยายามทำอะไรเลย

"...............คือ..."

"แพทยังมีเรื่องที่อยากจะพูดกับคินอีกหลายเรื่อง...แค่ได้ออกมาเจอกันบ้างเท่านั้นเอง...แต่ถ้ามันรบกวนคินมากไปก็ไม่เป็นไรค่ะ" สีหน้าแสดงความผิดหวังของผู้หญิงตรงหน้าทำให้คินสิตารู้สึกลำบากใจที่จะปฏิเสธ

"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก...เพียงแต่ตอนนี้งานที่ทำอยู่มันยุ่งมากจนแทบปลีกตัวไม่ได้เลยน่ะ" หวังว่าการยกเอาเรื่องงานมาอ้างคงพอจะฟังดูมีเหตุผลบ้างหรอกนะ

"แพทเข้าใจค่ะ...แพทรอได้จนกว่าคินจะสะดวกนะคะ"  คินสิตาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรต่อได้นอกจากพยักหน้ารับไปเท่านั้นเอง

"ถ้างั้นวันนี้แพทขอตัวก่อนนะคะคิน...ต้องพาลูกไปหาหมอแล้วค่ะ...ลูกพีทไหว้ลาคุณอาสิคะลูก" 

"สวัสดีค้าบ...คุณอา" เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย

"สวัสดีคับคนเก่ง...วันหลังอย่าไปหลงกับคุณแม่อีกนะ..." คินสิตารับไหว้แล้วยิ้มตอบให้เด็กชายตัวน้อย

"ไปก่อนนะคะคิน...คงได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้นะคะ" คินสิตาพยักหน้ารับอีกรอบ แต่ก่อนที่พรรษมนต์และลูกจะจากไปเธอก็ทิ้งคำถามหนึ่งเอาไว้ คำถามที่ทำให้คินสิตายังต้องนั่งนิ่งงันอยู่กับที่ในขณะนี้

'คินยังจำคำขอสุดท้ายของแพทที่บอกกับคินก่อนไปเรียนต่อเมืองนอกได้มั้ยคะ...ถึงตอนนี้...แพทก็ยังรอคำตอบจากคินอยู่นะ'

ทำไมคินสิตาจะจำไม่ได้ในเมื่อนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญและเป็นแรงผลักดันให้เธอตัดสินใจไปเรียนต่อที่เมืองนอกอย่างกระทันหันในตอนนั้น เธอเองก็ไม่คิดว่าพรรษมนต์จะรื้อฟื้นขึ้นมาอีกในตอนนี้ เพราะว่าเหตุการณ์ปัจจุบันมันผลิกผันไปมากเสียจนคินสิตาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำตามคำขอร้องของพรรษมนต์ได้แล้วอย่างแน่นอน ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอเองจะไม่แน่ใจ และไม่ไว้ใจในตัวเองจนต้องหาทางพาตัวเองออกไปไห้ไกลที่สุด แล้วนี่พรรษมนต์คิดอะไรอยู่กันหรือ หล่อนยังหวังว่าเธอจะตอบรับคำขอได้อีกอย่างนั้นหรือเปล่านะ...แต่สำหรับคินสิตาแล้วเธอแน่ใจได้ว่าไม่มีทาง ถึงแม้พรรษมนต์จะเป็นรักแรกที่เคยรักอย่างมากมาย หรือเธอจะเจ็บช้ำเจียนตายจนแทบหัวสลายมาแล้ว หรือที่ต้องกลายเป็นคนที่เข็ดขยาดกับความรักเช่นในวันนี้ แต่นับจากนี้คินสิตาเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า...ทว่าท่าทีของอีกฝ่ายนี่สิที่คินสิตาต้องหนักใจ...

.................................

ไอยดาใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก็เลือกได้หนังสือที่ถูกใจมาสองสามเล่มจากนั้นหญิงสาวก็มองหาคินสิตาคิดว่าจะชวนกันกลับไปหารสสุคนธ์เพราะไม่คิดว่าจะซื้ออะไรเพิ่มอีกแล้ว ไอยดาเดินหาที่ร้านหนังสืออยู่หลายรอบแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบคนที่มาด้วย เธอจึงตัดสินใจเดินไปจ่ายตังค์ค่าหนังสือที่เคาท์เตอร์แล้วเดินออกไปยืนรออยู่หน้าร้านหนังสือ

สาวน้อยรออยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมงคินสิตาก็ยังไม่กลับมา จนไอยดาเริ่มจะเป็นกังวลและรู้สึกกลัวขึ้นมาครามครัน เอายังไงดีนะจะออกไปเดินหาก็กลัวว่าจะคลาดกันให้เสียเวลาเปล่าครั้นจะให้รอต่อไปก็ยิ่งรู้สึกวิตกขึ้นทุกนาที คิดจะไปรอที่รถก็ไม่ได้อีกเพราะเธอจำไม่ได้แล้วว่ารถจอดไว้ที่ชั้นไหน จะกลับไปที่คอนโดเองก็ไปไม่ถูกเสียด้วย พาลให้นึกโมโหตัวเองที่ช่างไม่ได้เรื่องซักอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยซักเรื่อง นี่เธอจะโดนทิ้งอยู่กลางห้างอย่างนั้นหรือเปล่านะ คินสิตาทำกับเธออย่างนี้ได้ยังไง คิดแล้วทำให้อยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่รอแล้วดีกว่าขอเสี่ยงเดินไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะโชคดีไปเจอรสสุคนธ์เข้าก็ได้ ไอยดาตัดสินใจเดินไปจากร้านหนังสือ ผ่านร้านรวงต่างๆ ร้านแล้วร้านเล่า ทั้งขึ้นและลงชั้นแล้วชั่นเล่า...

เหนื่อยแล้วนะ แล้วก็กลัวมากด้วย ไอยดาบ่นอุบกับตัวเองในขณะที่เดินวนไปเวียนมาอยู่ภายในห้างได้พักใหญ่ จนรู้สึกสับสนและจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองได้ผ่านไปที่จุดไหนบ้างหรือได้เดินวนมาทางเก่าที่เคยผ่านมาแล้วเป็นรอบที่เท่าไหร่ และก็ไม่ทันรู้ตัวด้วยว่าตอนนี้ตัวเองกลับมายืนอยู่หน้าร้านหนังสือร้านเดิมเข้าอีกแล้ว...จนกระทั่งถูกใครบางคนยึดข้อศอกเอาไว้...เมื่อหันไปมองก็พบว่าประจันหน้าอยู่กับคนที่ตัวเองกำลังตามหาอยู่นั่นเอง

"ไปอยู่ที่ไหนมา...ให้ฉันตามหาเสียตั้งนาน" คินสิตากล่าวเสียงเครียด

ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะจัดลำดับเหตุการณ์ได้ไม่ถูกต้องนัก ก็ตัวเองเป็นฝ่ายหนีหายไปก่อนนี่นาแล้วยังมาทำเสียงเขียวใส่กันอย่างนี้อีก

"ก็ฉันไม่เห็นคุณอยู่ที่ร้านหนังสือนี่คะ " 

"เธอก็น่าจะรอ"

"ฉันออกมายืนรอหน้าร้านตั้งนานก็ยังไม่เห็นคุณกลับมาก็เลยเดินออกไปหา" ไอยดาพยายามให้เหตุผล

"แล้วรู้เหรอว่าจะไปหาฉันที่ไหนน่ะ"

"ไม่รู้หรอกค่ะ...แต่คุณจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะ" ไอยดาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในเมื่อชัดเจนแล้วว่าคินสิตาคงจะมองว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดของเธอ เธอก็ไม่อยากจะเสียเวลาถกเถียงให้มันยืดยาวไม่จบไม่สิ้น ข้างคินสิตาเมื่อเห็นอย่างนั้นก็เริ่มจะใจเย็นลงเช่นกัน เรื่องของพรรษมนต์ยังไม่ทันพ้นไปจากหัวก็กลับมาพบว่าไอยดาไม่ได้อยู่ที่ร้านหนังสือแล้ว แม่เธอได้เอาตายแน่ถ้ารู้เข้าว่าเธอดูแลเด็กในปกครองได้ไม่ดีพอ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเหตุผลที่ว่าเธอเป็นห่วงไอยดามากนั่นเองเกิดหลงทางไปไหนต่อไหน หรือเกิดเหตุมิดีมิร้ายกับหล่อนเข้าล่ะ ถึงไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วก็จริง แต่เด็กสาวหน้าตาสะสวยอย่างนี้ล่ะที่ต้องน่าเป็นห่วง คนกรุงเทพฯ ยิ่งไว้ใจใครไม่ได้อยู่ด้วย ใสซื่ออย่างไอยดาหรือจะไปตามทันเล่ห์กลของคนพวกนั้น คินสิตารู้ตัวอยู่หรอกว่าเธอเองที่ไปโดยไม่ได้บอกกล่าวไอยดาก่อนและสำนึกได้ว่าตัวเองใส่อารมณ์กับหล่อนมากไปจนเด็กสาวทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้วล่ะนั่น แต่ทำไมนะ...ทำไมหล่อนไม่คิดบ้างว่าทำให้เธอต้องเป็นห่วงมากขนาดไหน

"เอาล่ะ...ฉันขอโทษ...แล้วทำไมไม่โทรหาฉันล่ะ" คินสิตาอ่อนลงทั้งน้ำเสียงและแววตาที่จ้องมองไปยังร่างบางๆ ของไอยดา

"ก็ฉันไม่รู้เบอร์คุณนี่คะ" แล้วเธอจะไปมีเบอร์มือถือของคินสิตาได้ยังไงกัน เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ ตลกจริง...

"ส่งมือถือของเธอมาให้ฉันซิ"

"ฉันไม่มีมือถือหรอกค่ะ" หล่อนมองเมินไปเสียอีกทางด้วยไม่อยากจะมองหน้าคินสิตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น

"อืมม...งั้นมานี่..." คินสิตาคว้าข้อมือของหล่อนได้ก็พาเดินไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงประท้วงของไอยดาที่ต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อที่จะให้ทันคนที่ก้าวได้ยาวและเร็วกว่า ทั้งคู่ขึ้นบรรไดเลื่อนไปถึงชั้นสามซึ่งเต็มไปด้วยสินค้าประเภทมือถือ

"เลือกเอาสักเครื่องสิ อยากได้แบบไหนล่ะ" คินสิตาบอกเมื่อพาเธอเข้ามาหยุดยืนอยู่ในร้านร้านหนึ่ง

"เลือกทำไมคะ?" ไอยดายังไม่รู้ว่าคินสิตาอยากจะให้เธอซื้อมือถือไปทำไมกัน

"เถอะนะ...แล้วเธอจะรู้ว่ามันจำเป็น"

"ฉันเลือกไม่เป็นหรอกค่ะ ถ้าคุณอยากจะซื้อคุณก็เลือกเองแล้วกัน" ไอยดาตอบไปอย่างนั้น ก็เธอไม่รู้ว่าจะต้องเลือกยังไงจริงๆ นี่ สาวน้อยคิดอยู่ในใจ คินสิตามองหน้าเธอนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แล้วหันไปบอกกับคนขายที่มายืนรอพร้อมให้บริการอยู่หลังตู้โชว์ที่วางโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ เอาไว้เต็มตู้นั้นแทน

"เอาเครื่องนี้นะ...เปิดเบอร์แล้วใส่ซิมให้ด้วยเลย" คินสิตาชี้ไปที่โทรศัพท์สีขาวเครื่องกระทัดรัดเครื่องหนึ่ง ไอยดามองตามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ นี่เค้าตัดสินใจซื้อของกันแบบง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ เธอเห็นราคาที่ติดบอกไว้เป็นตัวเลขหลักหมื่นแล้วก็ให้นึกเสียดาย

"ไปกันเถอะ" คินสิตาหันมาบอกเมื่อจัดการจ่ายเงินและรับถุงกระดาษใบสวยที่คนขายยื่นส่งมาให้แล้วก็ส่งต่อมาให้ไอยดาซึ่งฝ่ายหลังก็รับมาถือไว้อย่างงงๆ แล้วเดินตามกันออกมาจากร้าน จังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์มือถือของคินสิตาดังขึ้น

"เสร็จแล้วค่ะแม่...แล้วตอนนี้แม่อยู่ที่ไหน...รออยู่ที่รถแล้วเหรอ...ได้ค่ะ จะลงไปเดี๋ยวนี้เลย..." คินสิตาวางสายแล้วหันมาบอกไอยดาว่าแม่ของเธอรออยู่ที่รถแล้วในตอนนี้ ดังนั้นทั้งคู่จึงลงลิฟท์ไปที่ชั้นที่จอดรถเอาไว้ เมื่อมาถึงก็พบว่ารสสุคนธ์นั่งอยู่ในรถเรียบร้อยแล้วโดยมีนายสนคนขับรถยืนเปิดประตูรอเธอทั้งสองคนอยู่ ทั้งหมดใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงคอนโดของคินสิตา

"ไอย์...มานั่งนี่สิลูก" ไอยดาเดินไปนั่งใกล้ๆ แล้วรอฟังว่ารสสุคนธ์จะพูดอะไรต่อ

"ยายจะบอกว่าเดี๋ยวยายจะกลับหัวหินเลย...เรื่องยายของเราทางโน้นน่ะก็ไม่ต้องเป็นห่วงยายจะคอยดูแลให้อย่างดี เรามีหน้าที่แค่เรียนหนังสือให้ดีที่สุด ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น...ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกพี่เค้าได้นะลูก"
 
"ขอบคุณค่ะคุณยายรส ไอย์จะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้คุณยายผิดหวังค่ะ" สาวน้อยกราบลงบนตักของผู้สูงวัยด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณที่ท่านมีให้แก่หล่อนเสมอมา รสสุคนธ์ยิ้มรับหน้าชื่นยกมือขึ้นลูบศรีษะหล่อนไปมาอย่างเอ็นดู

"คินด้วยนะลูก ดูแลน้องดีๆ ล่ะ มีเรื่องอีกหนึ่งที่แม่อยากขอร้องก็คือเราต้องไปรับไปส่งน้องทุกวัน ไอย์เค้ายังไม่คุ้นเคยกับกรุงเทพฯ และแม่ก็เป็นห่วงไม่อยากให้เดินทางไปเรียนเอง จะรับปากแม่ได้หรือเปล่า"

"ได้ค่ะแม่" คินสิตารับคำสั้นๆ สีหน้าเรียบเฉยทว่าแฝงความหนักแน่นในคำตอบรับนั้น

"ดีจ้ะ...ดีมาก" รสสุคนธ์ยิ้มแสดงถึงความพออกพอใจ "เอาล่ะ...เกือบห้าโมงเย็นแล้วได้เวลากลับเสียทีจะได้ถึงที่โน่นไม่ดึกมากนัก"

"คุณยายจะไม่ค้างที่นี่สักคืนจริงๆ เหรอคะ...เดินทางไปกลับอย่างนี้คงเหนื่อยแย่เลย" ใจจริงเธอยังไม่พร้อมที่จะอยู่ตามลำพังกับคินสิตาเพียงสองคนเสียมากกว่า แต่จะบอกกับรสสุคนธ์อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้

"นั่นสิแม่...นานๆ แม่จะมากรุงเทพฯ เสียทีนึง น่าจะอยู่ต่ออีกซักวันสองวันนะ...อีกอย่างไอยดาเค้าจะได้ไม่รู้สึกกลัวมากเกินไป เปลี่ยนที่เปลี่ยนทางอย่างนี้คงจะยังไม่ชินได้ในทันทีหรอก"  เหมือนคินสิตาจะรู้ทันว่าหล่อนกำลังกลัวจริงๆ อย่างนั้นล่ะ ไอยดาแอบค้อนให้ไปแว่บหนึ่งแต่คินสิตาคงไม่ทันได้สังเกตเห็น

"ไม่ล่ะ ก็รู้อยู่ว่าแม่ไม่ชอบนอนบนตึกสูงๆ อย่างนี้ จะขึ้นจะลงก็ต้องเสียเวลาขึ้นลิฟท์ อีกอย่างก็จะได้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนยายอของไอย์ด้วยไง อยู่ที่โน่นคนเดียวเดี๋ยวจะเหงาแย่" เมื่อผู้ใหญ่ให้เหตุผลมาอย่างนั้นทั้งคินสิตาและไอยดาจึงไม่ได้คัดค้านอะไรอีก

"แม่ไปล่ะ...ยายไปก่อนนะไอย์ ว่างๆ ก็โทรไปคุยกับยายบ้างล่ะ" ไอยดารับคำแล้วยกมือไหว้ลารสสุคนธ์อีกครั้ง

"ไม่ต้องไปส่งแม่หรอก ลงไปกับนายสนสองคนก็ได้ จะมามัวขึ้นๆ ลงๆ ทำไมให้เสียเวลา" รีบบอกเมื่อเห็นว่าคินสิตาทำท่าจะเดินตามไปด้วย

"น้าสนขับรถดีๆ ด้วยนะ" คินสิตากำชับคนขับรถอีกทีหลังจากที่เธอยกมือไหว้ลาผู้เป็นแม่แล้ว เมื่อคินสิตาปิดประตูและล็อคเรียบร้อยและเดินกลับเข้าห้องมา ก็เห็นว่าไอยดายืนคว้างทำหน้าเหรอหราอยู่กลางห้อง คินสิตาเห็นดังนั้นก็ยิ้มขำ

"ไม่ต้องเกร็งหรอก ทำตัวตามสบายนะ จะดูทีวี เล่นอินเตอร์เน็ต หรือว่าจะเข้าไปนอนพักผ่อนก็ได้...ส่วนฉันจะไปทำงานอยู่ในห้องหนังสือทางโน้น"

"ฉันไม่ได้เกร็งเสียหน่อย...แค่กำลังคิดว่าจะไปจัดห้องต่อดีมั้ย เพราะยังทำไว้ไม่เรียบร้อยเท่าไรนัก" ไอยดาแก้ต่างให้ตัวเองออกไปอย่างนั้นจะให้ยอมรับได้ยังไงว่าเธอทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับคินสิตา

คินสิตาเพียงแต่พยักหน้ารับทราบแล้วก็เดินหายเข้าไปยังห้องที่ชี้บอกหล่อนว่าเป็นห้องหนังสือ ไอยดาจึงเดินเข้าไปในห้องของตัวเองบ้าง หญิงสาววางถุงข้าวของที่เพิ่งซื้อมาไว้บนโต๊ะตัวเล็กข้างหัวเตียง เธอล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มและหลับตาพริ้มครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันนี้ เธอตื่นนอนแต่เช้าตรู่ตรวจดูกระเป๋าที่จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนอีกครั้งเผื่อว่าจะมีอะไรตกหล่นจะได้จัดเพิ่มได้ทัน จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ชายหาดโดยให้เหตุผลกับตัวเองว่าเป็นการไปบอกลาสถานที่โปรดปรานของเธอเพราะจากนี้ไปคงไม่มีโอกาสมาเดินเล่นได้บ่อยๆ อีกแล้ว แต่ก็อยู่ที่ชายหาดได้ไม่นานเพราะรสสุคนธ์ต้องการเดินทางแต่เช้า เมื่อร่ำลาผู้เป็นยายแท้ๆ อย่างอ้อยอิ่งแล้วจึงออกเดินทางกันทันที ระหว่างทางเธอนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองจะต้องมาพักด้วยคือใคร...

"เป็นลูกสาวของยายเองล่ะ...ชื่อคินสิตา ไอย์คงไม่รู้จักหรอกนะ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกน่ะ" หญิงสาวยังจำคำตอบของรสสุคนธ์ที่มีให้เธอเมื่อเธอถามออกไปตามที่สงสัย

ชื่อของคินสิตาทำให้เธอตกตะลึงไปเลยทีเดียว ชื่อแสนแปลกพิลึกพิสั่นอย่างนี้น่าจะใช่คนที่เธอได้รู้จักเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเป็นแน่แท้ เรื่องคงไม่บังเอิญถึงขนาดที่ว่าเธอจะได้รู้จักคนชื่อเดียวกันภายในสองอาทิตย์หรอกกระมัง และถ้าเป็นคนคนเดียวกันจริง อีกฝ่ายจะจำกันได้มั้ยนะ หลังจากนั้นไอยดาก็ใช้เวลาคิดถึงเรื่องนี้มาเกือบตลอดการเดินทาง แล้วมันก็จริงอย่างที่เธอคิดเอาไว้เมื่อลูกสาวของรสสุคนธ์ก็เป็นคินสิตาคนเดียวกันนั่นเอง

จากเมื่อครั้งแรกเจอกันในคราวก่อนไอยดาก็ยอมรับกับตัวเองอยู่แล้วว่าเธอประทับใจ ท่าทางนิ่งๆ สายตาคมแฝงแววโศกซึ้ง กับถ้อยคำปลุกปลอบอ่อนโยนที่มีมาให้ยังทำให้สาวน้อยแอบเอาไปคิดถึงอยู่หลายครั้ง และเมื่อได้กลับมาเจอกันอีกในวันนี้เธอก็ยังรู้สึกว่าหัวใจตัวเองวาบไหวแปลกๆ โดยเฉพาะเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ถึงแม้อีกฝ่ายออกจะมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้างเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ที่ห้างเมื่อตอนบ่ายนั่นประไร แต่ไอยดาก็พอจะเข้าใจว่าคงเป็นนิสัยของลูกคนเล็กที่ถูกเอาใจจนเคยตัวนั่นเอง

ชีวิตอีกแบบหนึ่งของเธอกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้จะรู้สึกผิดแปลกกับสถานที่ใหม่แห่งนี้ แม้จะไม่อาจจะรู้ถึงความเป็นไปในวันข้างหน้า และแม้จะยังไม่อาจรู้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผู้ปกครองคนใหม่ของเธอเป็นอย่างไร แต่การที่ได้รับรู้ว่าคนที่เธอต้องมาอยู่ด้วยคือคินสิตาก็ทำให้รู้สึกอุ่นในหัวใจ

.................................

จบตอนที่ 4



 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.