web stats

ข่าว

 


Immortals 4 (Sparkle 7) - บทที่ 7 Hot As Hell (2)

โพสต์โดย: anhann วันที่: 04 กรกฎาคม 2019 เวลา 22:40:42 อ่าน: 92



บทที่ 7 Hot As Hell (2)






แคลร์พยักหน้าให้คนขับที่หันมาถามเธอด้วยสายตา  เขาจึงก้าวลงจากรถ  เธอรีบตามลงไป  กลัวจะคลาดกันเพราะขาเขายาวกว่าเธอมาก

"ป๊า  ป๊าจำกลิ่นเดนท์ได้เหรอ"  เธอร้องถามเขาอย่างกังขา  เขาดูมั่นใจเกินไปคล้ายการมีเธอมาด้วยไม่ได้จำเป็นนัก 

"ป๊า --"

"ชู่วว" 

แคลร์หุบปากฉับเมื่อพ่อหันมาจุ๊ปากให้  เธอพยักหน้าให้เขาและเดินตามไปเงียบๆ  เดินให้เบาที่สุดแบบที่พีบีเคยสอนไว้  แต่ก็พลาดเหยียบกิ่งไม้หักจนได้  พ่อหันมามอง  เธอยิ้มแห้งๆ ให้เขา  เขาคงคิดว่าไม่น่ายอมให้เธอมาด้วยเลยแน่ๆ 

"เราไม่รู้ว่ามีใครอยู่ที่นี่บ้าง  ดังนั้นเราต้องเงียบเข้าไว้"  พ่ออธิบาย  แคลร์ดีใจมาก  นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อยอมให้เธอออกภาคสนามด้วย  ไม่ใช่ให้ไปแต่บริษัทหรือช่วยทดลองเล่นเกมให้  "และตอบคำถามเรื่องเดนนิส  เธอมีกลิ่นคล้ายเราสองคน  แต่มีจุดเล็กๆ ที่แตกต่าง"

"เฮลฮาวดน์"  แคลร์พูดเบาๆ  พ่อพยักหน้า 

"โอเค  งั้นตอนนี้ลูกชี้จุดที่เจอเธอครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายไป"

แคลร์นิ่งคิดแล้วเดินลุยดงหญ้าออกไปหยุดยืนตรงที่เธอเห็นเดนนิส ก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไปและกลับมาด้วยสภาพเหมือนคนหลุดออกมาจากกองเพลิง  แต่ไม่เป็นอะไรเลย

"ตรงนี้"

คริสตัลนั่งยองๆ ลง  ยื่นมือออกไป  ทำท่าเหมือนจะแตะยอดหญ้า  แต่ไม่ได้สัมผัสมัน  เขาหลับตาลงราวกับจะตั้งใจฟังเสียงต้นหญ้าคุยกัน  แคลร์ยืนรอเขาอย่างกระสับกระส่าย  ความอยากรู้กำลังจะฆ่าเธอ  ถ้าไม่ได้อยากรู้ขนาดนี้  เธอคงไม่ไปบอกพ่อตามที่พีบีแนะนำแน่ๆ 

"แคลร์"

แคลร์เดินตามเสียงเรียกของพ่อไป  พยายามไม่ส่งเสียงหรือบ่น  และพยายามตามเขาให้ทัน  แต่อยู่ๆ เขาก็เอาแขนมากั้นเธอไม่ให้เดินต่อ  ยกนิ้วชี้ขึ้นทาบปาก  ใช้สายตาสั่งให้อยู่นิ่งๆ  ส่วนตัวเขาก็ก้มลงหยิบเศษหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมา  ปาไปยังทางข้างหน้าเธอ  แคลร์สะดุ้งเฮือกเมื่อเหล็กสนิมเกรอะและมีฟันหยักๆ ดีดตัวขึ้นมาอย่างเต็มแรง

กับดักสัตว์

"มีพรานอยู่แถวนี้"  เธอกระซิบเบาๆ  ยังเสียวขาไม่หายเลย  "แต่ป๊า  ซีแอตเทิลมีสัตว์ป่านอกจากในสวนสัตว์ด้วยเหรอ"

"ไม่มี"

แคลร์แทบจะรู้ทันทีว่ามันแปลว่าอะไร  ไม่จำเป็นต้องให้พ่อสอน  กับดักพวกนี้มีไว้ให้พวกเธอ  ไลเคน  แวร์วูล์ฟ  และคนดวงซวยบางคน

"พวกเขากลับมาล่าอีก"  เธอพูด  ดูจากสีหน้าพ่อ  คำตอบก็คือใช่  "นึกว่าไม่มีใครรู้ว่าเรามีอยู่จริงๆ แล้วซะอีก"

"บางคนรู้"  เขาตอบ

"บางคนเช่น... ผู้หญิงคนนั้น"

"ไม่ใช่  หล่อนไม่เกี่ยว"  เขารีบพูดจนแคลร์ไม่ชอบใจ  รู้สึกเหมือนเขาปกป้องหล่อนอยู่  และเธอเกลียดความรู้สึกนี้มาก  "ป๊ารู้ว่าลูกคิดอะไร  แต่มันไม่ใช่แบบนั้น"

แคลร์สั่นศีรษะ  ไม่อยากฟังเขาพูดอีก  ยังไงเธอก็คิดว่าเขาพยายามจะแก้ตัวอยู่ดี  "จะไปต่อกันไหมคะ  หรือจะกลับ"

เขาตอบเธอด้วยการยื่นมือมาหา  แต่เธอส่ายหัวปฏิเสธ  เรื่องอะไรจะยอมให้เขาจูงมือเดินเป็นเด็กเล็กๆ ในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ

"โอเค  งั้นก็หัดสังเกตว่าตรงไหนจะเป็นกับดักได้"  เขาพูดปลงๆ

แคลร์ทำคอแข็ง  แม้ไร้ประสบการณ์ในการฝ่าดงกับดักโดยสิ้นเชิง  ใช้ดวงกับการเดินตามหลังพ่อล้วนๆ ในการผ่านมาจนกระทั่งได้กลิ่นคล้ายเนื้อไหม้  เราสบตากัน  และแน่นอนว่าเป็นพ่อที่เดินเข้าไปก่อน

มันเป็นรถคาราวานซึ่งหน้าตาคล้ายรถบ้านธรรมดาของชาวบ้านธรรมดา  และกลิ่นเนื้อไหม้ก็คล้ายคนย่างเนื้อแล้วลืมยกขึ้นจากเตา  ยกเว้น  เธอพอจะแยกออกว่ามันเป็นกลิ่นเนื้อคนไหม้  ไม่ใช่กลิ่นหมูหรือเนื้อสัตว์อื่น  แถมรถคาราวานคันนี้ก็เหมือนจะโดนเผาไปครึ่งคันด้วย 

"ลูกอยู่ข้างนอก  แคลร์  ป๊าขอร้อง"

แคลร์จำใจทำตามพ่อบอก  ไม่อย่างนั้นคราวหน้าเธอคงไม่ได้มากับเขาด้วยแน่ๆ  พ่ออาจจะบอกแม่  และแม่ก็จะขอร้องแกมบังคับไม่ให้เธอทำแบบนี้อีก  ไม่มีทางซะล่ะ  เธอจะไม่ยอมอยู่แบบคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยอีกแล้ว

"หนึ่งนาที  แค่หนึ่งนาที"  พ่อย้ำด้วยสีหน้าหนักใจ 

แคลร์รู้สึกผิดที่ทำให้เขาเครียด  แต่พ่อก็ควรทำใจให้ชินได้แล้ว  เหมือนตอนที่ยอมให้เธอไปเรียนต่ออังกฤษลำพังกับพีบี  หรือที่เขายอมให้เธอไปเพราะจะกันเธอออกจากเรื่องนี้กันแน่นะ

ไม่ถึงหนึ่งนาทีพ่อก็กลับออกมาพร้อมกับปืนกลและหน้าไม้ 

"พวกเขาเป็นนักล่า"  เขาพูด  โยนปืนกลกับหน้าไม้ลงพื้นตรงหน้าแคลร์  เธอไม่เคยเห็นอาวุธใกล้ขนาดนี้จึงตกใจนิดหน่อย  มันไม่เหมือนปืนกับธนูที่ใช้ในโรงเรียน  ของพวกนี้มันของจริง  ทำให้เจ็บตายได้จริง

"ลูกเข้าไปดูบนนั้นได้  แต่ระวังนิดนะ  มันน่าหวาดเสียว"

"ป๊าไม่ต้องมาแกล้งให้แคลร์กลัว" 

"งั้นเชิญครับลูก  เชิญ"

แคลร์ทำหน้าหงิกใส่พ่อก่อนจะก้าวขึ้นบันไดรถคาราวาน  เขาไม่ได้ตามเธอขึ้นมา  เธอจึงต้องปิดปากตัวเองไม่ให้ร้องกรี๊ดออกไปให้อายเขา

คนตายนับสิบถูกซ่อนอยู่ในนี้  กองทับกันเหมือนซากใบไม้ตาย  แต่มันไม่ใช่ใบไม้  มันคือมนุษย์  ทุกร่างถูกเผาจนเกรียมจนไม่น่าจะบอกได้ว่าเป็นใคร  นอกจากใช้วิธีพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลแบบที่ตำรวจใช้  หากกรณีนี้จะยังเหลือกระดูกที่สมบูรณ์ไว้ให้ตรวจสอบหรือเปล่า

แคลร์ลงจากรถในสภาพชาทั้งตัว  หวาดกลัวจนพูดไม่ออก  พ่อยืนกอดอกรออยู่  หันมาเห็นเธอก็เข้ามาดึงไปกอด  ตบหลังเบาๆ  ท่าทางเธอคงจะหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมแน่ๆ  น่าอายที่สุด

"เดนท์ฆ่าพวกเขาเหรอ  ป๊า"

"ป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน"  คริสตัลตอบ  พอลูกเงยหน้าขึ้นจ้องเขาด้วยสายตาเหมือนไม่เชื่อ  ระแวงว่าเขาจะโกหก  เขาจึงคิดว่าควรต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจ  "เราไม่ควรปักใจเชื่อว่าใครเป็นคนทำ  จนกว่าจะพิสูจน์ได้แล้ว"

"แต่ศพพวกนั้นไหม้เกรียมขนาดนั้น  ใครจะทำได้ล่ะ  ถ้าไม่ใช่เขา"

"แล้วลูกจำได้ไหมว่า  เดนนิสหายไปนานแค่ไหน"

แคลร์ขมวดคิ้ว  ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง  ทบทวนเหตุการณ์ตอนนั้น  "ประมาณสิบหรือสิบห้านาที  ไม่น่าจะเกินกว่านั้น"

"ลูกคิดว่าเดนนิสทำร้ายพวกเขาทั้งหมดนั่นได้ในเวลาเท่านั้นไหม"

"ได้  ถ้าพวกเขาอยู่ด้วยกัน"

"นั่นสินะ"  คริสตัลพูด  แคลร์จ้องหน้าเขาตาขุ่น  ลูกคงจะคิดว่าเขาล้อเลียน  "โอเค  งั้นป๊าถามใหม่  ลูกได้ยินเสียงคนกรีดร้องไหม  คนร้องขอความช่วยเหลือ  หรือเสียงอื่นๆ ที่บ่งบอกว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่นอกจากพวกลูกกับเดนนิส"

แคลร์ส่ายหน้า  เธอไม่ได้ยินเสียงใครเลยในตอนนั้น  ไม่ได้ยินจริงๆ

"งั้นแปลว่าอะไร"

"พวกเขาตายก่อนที่เดนท์จะมา"  แคลร์พูดอย่างโล่งใจ

"โอเค  นี่ก็ยังเป็นแค่ข้อสันนิษฐานนะ  ยังไงเราก็ต้องพิสูจน์ก่อนถึงจะยืนยันได้"

"เราจะเอาพวกเขากลับบ้านเหรอ"

"ไม่หรอก  น้องกลัว"  คริสตัลตอบ  กดปุ่มบนสมาร์ทวอชของตัวเอง  ไม่ถึงห้านาที  คนในชุดดำกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในพื้นที่  เขาพยักพเยิดไปทางรถคาราวาว  พลางชวนลูกให้ถอยออกมา

"กลับบ้านกัน  หมดหน้าที่เราแล้ว" 

แคลร์ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อพ่อได้แค่ไหน  แต่เธอก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว  โดยเฉพาะเมื่อมีศพถูกจับใส่ถุงห่อศพสีดำถูกลำเลียงออกมาจากรถ

"แล้วเราจะทำอะไรต่อไปคะ"  เธอถามพ่อขณะเข้ามานั่งในรถ  และเขาจะพาเธอกลับบ้าน  ซึ่งคงเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ  เป็นกรงทอง

"รอ"  เขาตอบสั้นๆ และออกรถ

.......................................

ไอรีนขมวดคิ้วเมื่อเดินเข้ามาในห้องเดนนิสแล้วเจออีกคนนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา  ขณะที่เจ้าของห้องนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง  เธอจะเดินกลับออกไป  แต่ทำไมต้องเป็นเธอที่ไป  เธอมีสิทธิจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน

"เขาเป็นอะไร"  เธอถาม  พีบีเหลือบตาขึ้นจากหนังสือ  ไอรีนต้องทำใจอย่างหนักที่จะไม่กลัวสายตานี้  ต่อให้นานแค่ไหนก็ไม่มีทางชิน

"เปล่า  แค่พักผ่อน"  พีบีตอบ  หลุบตาลงอ่านหนังสือต่อ  ยังไม่คิดจะลุกขึ้นและออกไปจากห้องตอนนี้ 

"ทำไม  ปกติเขาไม่เคยต้องพักนี่นา"

"เธอถามฉัน  หรือพูดกับตัวเอง"

ไอรีนชักสีหน้า  ทำไมเธอถึงเคยชอบคนแบบนี้ไปได้นะ  หรือมันจะเป็นความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด  พีบีมีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้รู้สึกแบบนั้นได้

"ที่จริงฉันก็อยากให้เธออยู่กับเขาตามลำพังอยู่หรอกนะ  แต่ตอนนี้ไม่ได้  เสียใจด้วยนะ  ไอรีน"  พีบีพูดต่อ  เหลือบตาสีฟ้าขึ้นมองไอรีนจนผงะถอยไปครึ่งก้าว  "อยากจะสำรวจเขาก็ตามสบาย  ไม่ต้องอายฉันหรอก  ฉันจะปิดปากให้สนิท  ไม่บอกใคร  แม้แต่แคลร์"

"ใครจะไปทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น"  ไอรีนงึมงำ  กดหัวคิ้วมองรอยยิ้มกวนๆ บนริมฝีปากคนนั่งอ่านหนังสือ 

นี่แหละ  ร้ายแบบนี้ไง  เป็นเสน่ห์บ้าๆ ที่ทำให้ใครๆ หลงชอบ  มันดูฮอตแบบเดียวกับพวกแบดบอย  นี่คงต้องเรียกแบดเกิร์ล  หรือ bitchy ละมัง  ตอนแรกเธอยังแปลกใจเลยว่า  ทำไมแคลร์ถึงชอบคนแบบนี้  พี่เธอออกจะแสนดี  อ่อนโยน  โลกสวย

"โอเค  งั้นฉันให้เวลาเธอห้านาที  เป็นไปได้อย่าปลุกเขา  ฉันไว้ใจเธอได้ใช่ไหม"  พีบีพูด  ปิดหนังสือและลุกขึ้นยืน  มองไอรีนด้วยสายตาชวนให้ขนหัวลุกก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ไอรีนเผลอเอามือทาบอกตัวเอง  โล่งอกที่พีบีกับบรรยายหลอนๆ หายไปจากห้องนอนเดนนิสได้สักที  เมื่อแน่ใจว่าพีบีไม่กลับเข้ามาแน่ๆ  เธอจึงเดินเข้ามาใกล้เตียงเดนนิส  มองดูคนหลับใกล้ๆ  เดนนิสก็ดูปกติดี  ดูเป็นคนหลับเฉยๆ  ไม่น่าจะมีอะไรน่าห่วงจริงๆ อย่างที่พีบีบอก  แต่เธอก็ไม่กล้าจะแตะตัว  กลัวเดนนิสจะตื่นขึ้นมา  มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้พีบีต้องสั่งห้ามแบบนั้น

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

"ไอรีน..."

เด็กสาวกะพริบตา  ตกใจที่ได้ยินเสียงเรียก  เธอยังไม่ทันได้ทำอะไรสักหน่อย  แค่คิดอยากจะแตะแก้มเท่านั้นเอง  ไอรีนไม่กล้าขานรับ  กลัวว่าถ้าเดนนิสตื่นแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา  พีบีจะโทษว่าเป็นความผิดของเธอ

"ไอรีน..."

ไอรีนกัดปากตัวเอง  ทำไมเดนนิสจะต้องเรียกเธอด้วย  หรือกำลังฝันถึงเธออยู่  เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว  เดนนิสจะฝันถึงเธอทำไม  เราก็ไม่ได้...

ทำไมจะไม่ได้เป็นอะไรกันล่ะ  ก็เรา...

"ไอรีน..."

พอกันที!  ไอรีนยื่นมือไปจับมือเดนนิสที่ดูเหมือนกำลังจะคว้าอะไรบางอย่างอยู่  เธอรู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมทั้งที่เมื่อกี้ยังรู้สึกเย็นสบาย  ไม่เท่านั้น  เดนนิสยังบีบมือเธอแรงมากด้วย  แรงจนน่ากลัวว่ากระดูกจะแตกหัก  แต่ก็ไม่กล้าจะเรียกหรือร้องให้เดนนิสหยุดหักแขนเธอได้  ได้แต่เอาอีกมือไปช่วยแกะมือเดนนิสออก  มันไม่สำเร็จ  เธอเหมือนถูกล็อกเอาไว้ให้อยู่แบบนั้น

จนกระทั่งรู้สึกคล้ายมีอะไรพันที่แขนทั้งสอง  มันร้อนระอุเหมือนไฟ  เลื้อยขึ้นมาตามแขน  เคลื่อนไหวคล้ายงูแต่แข็งเหมือนเหล็ก  ในที่สุดเธอก็เห็นว่ามันคืออะไร

โซ่ 

โซ่เส้นใหญ่ที่มีไฟลามเลียทั้งเส้น  ไอรีนนึกถึงรอยไหม้บนแขนเธอวันนั้นขึ้นมาทันที  หรือนี่จะคือคำตอบ

เด็กสาวกัดฟัน  พยายามจะไม่ร้องออกมา  แต่เธอทนไม่ไหวแล้ว  มันทั้งร้อนทั้งเจ็บ  แสบไปหมด  หากอยู่ๆ โซ่นั้นก็เลื้อยกลับลงไป  และหายวับไปกับตาเธอ  เหลือแค่พีบีที่ยืนเอามือแตะหน้าผากเดนนิสอยู่  ครู่หนึ่งมือเดนนิสก็คลายออกจากแขนเธอ  ทิ้งตัวลงข้างตัวเจ้าของที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง

ไอรีนใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ  และพีบีก็กลับไปนั่งอ่านหนังสือตามเดิมแล้ว  ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เมื่อ... เมื่อกี้มันอะไร"  เธอถามพีบี  ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าทุกอย่างมันปกติดี  แต่พี่สะใภ้กลับนิ่งเฉยคล้ายไม่ได้ยินที่เธอถาม

"โอเค  พีปส์  ฉันกลัว"  ไอรีนยอมรับความจริง  เหลียวมองเดนนิสและหันมามองพีบีอีก  "พีปส์  ได้โปรด..."

พีบีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในที่สุด  แต่แทนที่จะตอบคำถามกลับส่งหนังสือในมือให้ไอรีน  เด็กสาวงง  กระนั้นก็ก้มหน้าลงอ่านข้อความในหน้าที่พีบีอ่านอยู่เมื่อกี้

ไอรีนอ่านมันด้วยสีหน้าตกตะลึง  ก่อนจะพูดออกมาพร้อมกับมองหน้าพีบี  "เฮลฮาวนด์"

"นั่นคือคำตอบที่ถูกต้อง"  พีบีตอบ  ดูชอบใจยังไงไม่รู้           



.........................


ใครน่ากลัวที่สุดในเรื่องนี้  คุณคิดว่าไง?   :27: :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

04 กรกฎาคม 2019 เวลา 23:01:46
ใครจะน่ากลัวเท่าพีบีอีกเหรอเรื่องนี้
แสดงความคิดเห็น