web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 110
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 89
Total: 89

ผู้เขียน หัวข้อ: What a Coincidence! Chapter 12  (อ่าน 1754 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
What a Coincidence! Chapter 12
« เมื่อ: 19 มกราคม 2014 เวลา 00:00:16 »
Chapter 12

สัปดาห์ต่อมาหลังจากที่กลับถึงบ้านแล้วฉันก็ได้รับ SMS จากหยกว่าอีก 5 นาทีเธอจะมาถึงที่บ้านฉัน ข้อความที่ได้มานั้นทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากร้อยวันพันปีโอตาคุสาวไม่เคยมาที่บ้านฉัน ถึงแม้ว่าเราทั้งสองคนจะรู้ที่อยู่ของกันและกันก็ตาม

“อะไรวะ” ฉันบ่นกับตัวเองเบาๆ

เคียวที่เดินเข้าบ้านมาเห็นหน้าฉันก็ถามขึ้น “เป็นไร”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“เห็นทำคิ้วขมวด นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วซะอีก... แล้วฟางอ่ะ” ไอ้หน้าเกือบหล่อถาม รู้สึกว่าพวกเราปรับตัวกับสมาชิกใหม่ของบ้านนี้ได้ดีพอสมควร อันที่จริงเราสองคนพี่น้องเคยชินกับการที่มีคนเข้าๆ ออกๆ บ้านของเรา เนื่องจากพ่อที่เป็นทหารเรือนั้นไม่ค่อยจะอยู่บ้านเท่าไหร่นัก ดังนั้นก็จะมีญาติๆ ทหารรับใช้เข้ามาดูแลบ้าน ทำกับข้าว หรือทำอะไรต่อมิอะไรในบ้านให้ออกบ่อย ก็ทำให้เราสองคนเกิดความเคยชินไปโดยปริยาย

“อยู่ข้างบน สงสัยกำลังจะอาบน้ำ”

“เหรอ เอ้อ... ว่าจะไปดูชุดไปงานแต่งพี่ไหมหน่อย จะไปด้วยกันมะ” เคียวถามฉัน

“ก็โอ... แต่พายัยคุณนายนั่นไปคนเดียวก็แล้วกัน เพราะถึงกูไปซื้อก็คงเปลี่ยนชุดไม่ทันอ่ะ” ฉันพูด

“ทำไมวะ”

“วันแต่งพี่ไหมเป็นวันประชุมใหญ่พอดี ต้องแต่งชุดใหญ่ไปประชุมอ่ะดิ” ชุดใหญ่ที่ฉันพูดถึงก็คือชุดสูทกระโปรงที่ฉันมักจะใส่ไปงานประชุมสำคัญๆ เสมอ พ่อมักพูดอยู่เสมอว่าเวลาฉันใส่ชุดนี้แล้วดูหรูและเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา (อ้าวไหงงั้นละพ่อ) ก็เลยเรียกชุดนี้ว่าชุดใหญ่

“อ้าวเหรอ งั้นไปกะฟางก็ได้... เอ้ย รถใครมาจอดหน้าบ้านวะ” ไอ้หน้าเกือบหล่อเลิกคิ้วเมื่อเห็นรถที่ไม่รู้จักเข้ามาเทียบจอดหน้าบ้าน

“สงสัยเพื่อนกูเอง เห็นว่าจะมาหาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เดี๋ยวออกไปดูก่อน” ฉันพูดแล้วลุกขึ้นยืน

“กูไปด้วย” เคียวเดินตามฉันมา

เมื่อฉันเดินไปที่ประตูบ้าน หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินลงมาจากรถฝั่งคนขับ เธอคนนั้นคือหยกนั่นเอง

“หวัดดีเรียว”

“อื้อ หวัดดีหยก เป็นไงมาไงล่ะมาถึงที่นี่ได้”

“ว่าจะเอาของมาให้สักหน่อย วันก่อนลืม แล้วก็เงินค่าของด้วยวันนั้นเราคุยเพลินไปหน่อยก็เลยลืมจ่ายเรียว”

“อ้าวเหรอ... โอนมาก็ได้นี่ แล้วของ... ของอะไรอ่ะ” ฉันถามแบบงงๆ

ก่อนที่โอคาตุสาวจะพูดอะไรออกไป เธอมองไปที่ด้านหลังฉันแบบแปลกๆ ฉันหันไปมองตามเธอก็พบกับบักเคียว พี่ชายฉันนั่นเอง

“เอ้อ... ลืมเลย นี่เคียว พี่ชายเราเอง นี่หยกเพื่อนกูเอง” ฉันแนะนำพี่ชายและเพื่อน

“หวัดดีครับ คมเคียวครับ”

“ค่ะ หยกค่ะ” โอคาตุสาวยิ้มให้แล้วก็คุยกับฉันต่อเหมือนไม่มีไอ้หน้าเกือบหล่อยืนอยู่ข้างฉัน ทำเอาเคียวเสียเซล์ฟพอสมควร มันเองก็ค่อนข้างจะมั่นใจตัวเองอยู่นิดๆ เรื่องรูปร่างหน้าตาที่หล่อและดูดี (อ้วก) ไปไหนมาไหนก็มีแต่สาวๆ กรี๊ด แต่ดูเหมือนเพื่อนของฉันคนนี้จะไม่มีทีท่าที่จะสนใจมันเลยแม้แต่น้อย

หยกยื่นซองเงินให้ฉันพร้อมกับถุงผ้าขนาดย่อมใบหนึ่งให้กับฉัน “อ้ะ เอาไว้อ่านเล่นๆ”

“ขอบใจนะ เรื่องอะไรอ่ะ” ถุงขนาดย่อม แต่ภายในมันหนักไม่ใช่น้อยนะเนี่ย ใส่มากี่เล่มวะ

“ไม่บอก ลองอ่านก่อนก็แล้วกัน รับรองจะติดใจ” โอคาตุสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย

ฉันมองหน้าเพื่อนแล้วก็รับถุงผ้ามาอย่างงงๆ “แล้ว... ของที่ฝากซื้อเป็นไง ตรงกับที่สั่งไว้มั้ย” ฉันถามต่อ

“อื้อ... เจ๋งมากเลยอ่ะ นี่ๆๆๆเดี๋ยวเราจะเอาให้ดู” หยกพูดอย่างดีใจแล้วรีบหยิบมือถือออกมาเปิดให้ดูรูป

“เดี๋ยวๆๆๆ ไอ้เรียว นี่มึงจะไม่เชิญเพื่อนมึงเข้าบ้านก่อนเหรอ” เคียวพูดขัดคอขึ้น เพราะเห็นว่าการสนทนาของฉันกับโอตาคุสาวเริ่มจะยาวนานมากขึ้น

“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราก็จะกลับแล้ว” หยกรีบปฏิเสธขณะที่กำลังกดที่โทรศัพท์โดยไม่สนใจไอ้หน้าเกือบหล่อแม้แต่น้อย เคียวรู้สึกเสียเซล์ฟอีกครั้ง พลังความมั่นใจหดหายไปอีก 1 จุด จึงได้แต่ยืนมองเงียบๆ อยู่ด้านหลังของฉัน

“นี่ไงๆๆ น่ารักมั้ย เก็บมาครบชุดเลยนะเนี่ยทั้ง Figure กับ Nendoroid แล้วก็ Petite Nendoroid ด้วย”

ว่าแล้วเธอก็โชว์รูปหุ่นตัวละครในการ์ตูนซึ่งมีอยู่ 5 ตัวในชุดนักเรียนพร้อมเครื่องดนตรีที่เป็นกลอง คีย์บอร์ด กีต้าร์ 2 ตัว และเบส ในท่าทางต่างๆ มีทั้งในชุดนักเรียนและชุดว่ายน้ำ อีกเซ็ตหนึ่งเป็นตัวละครตัวเดียวกันแต่มีขนาดเล็กลงมาจากหุ่น Figure เป็นลักษณะหัวโตๆ หน้าตาน่ารัก และอีกเซ็ตหนึ่งก็ยังคงเป็นตัวละครชนิดเดียวกัน แต่ก็มีขนาดเล็กลงมาอีก

“ไอ้เคียว... ไอ้ Nendoroid กับ Petite Nendoroid นี่มันตัวอะไรวะ กูรู้จักแต่ Figure” ฉันกระซิบถามพี่ชาย ในฐานะที่ในเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นมาก่อน มันก็น่าจะรู้ศัพท์พวกนี้ดี

“Nendoroid มันก็คือฟิกเกอร์ที่ไซส์เล็กเน้นหัวโตๆ น่ารักๆ ส่วน Petite Nendoroid ก็ย่อขนาดจากNendoroid อีกทีนึง... เพื่อนมึงโอตาคุนี่หว่า”

“เออดิ ไม่งั้นมันจะสั่งของพวกนี้จากคนที่ทำงานกูที่มีลูกสาวทำงานอยู่ในวงการการ์ตูนญี่ปุ่นได้ยังไงละวะ แต่ว่ามึงรู้เรื่องพวกนี้ด้วยแสดงว่ามึงก็โอตาคุเหมือนกันนี่หว่า”

“อย่ามาโบ้ยเลย กูแค่รู้มานิดๆ หน่อยๆ เว้ย”

“จริงอ่ะ กูอ่านการ์ตูนมาก็เยอะไม่เห็นจะรู้คำพวกนี้เลย มึงไม่ค่อยอ่านแต่ทำไมรู้เยอะจังวะ”

“เรื่องของกู”

“นี่ๆๆๆ น่ารักมั้ย เซ็ตนี้อ่ะเราจัดเองเลยนะ” หยกลากตัวเข้าไปดูรูปอีกครั้ง คราวนี้ดึงตัวเคียวเข้ามาดูด้วย

ไม่น่าไปสะกิดต่อมโอตาคุมันเล้ย รั่วเกินขีดจำกัดไปซะแล้วเพื่อนกู เฮ้อ... แล้วสรุปแกจะมาหาฉันด้วยเรื่องแค่นี้เองเหรอวะไอ้หยก!

“ทำอะไรกันอ่ะ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาฉัน เคียว และโอตาคุสาวสะดุ้งโหยง

ฟางที่อยู่ในชุดนอนเดินเข้ามาหา สีหน้าของเธอดูงงๆ ปนความไม่พอใจเล็กน้อยที่ไม่มีคนสนใจเธอ สายตาของฉัน ไอ้หน้าเกือบหล่อและหยกมองไปที่สาวหน้าแรงอย่างไม่วางตา เพราะชุดนอนผ้าพริ้วสีชมพูอ่อนของเพื่อนสาวนั้นมันช่างบางเบาจนเห็นชุดชั้นใน ซึ่งมันยั่วกิเลสได้ดีโคตรๆ

“ว่าไง ทำไมไม่มีใครตอบเลยว่าทำอะไรกัน” สาวหน้าแรงพูดขึ้นมาอีก จนพวกเราสะดุ้งกันอีกรอบ

“อะ... อ๋อ... พอดีหยกมาหาน่ะเอาของมาให้ นี่ไง” ฉันที่ได้สติก่อนคนแรกก็พูดออกมาแก้เขินแล้วก็ยื่นถุงผ้าที่รับมาจากหยกให้เพื่อนสาว สาวหน้าแรงรับถึงผ้าจากฉันไปแล้วถือเอาไว้ แต่เธอยังคงจ้องมองฉันและเคียวราวกับจะคาดโทษจากลูกๆ ที่ทำผิด

“แล้วก็มาคุยกันนิดหน่อย เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว... ใช่มะมึง” ฉันกระแทกศอกเข้าไปที่ไหล่ของพี่ชายที่ยืนอ้าปากค้างมองฟางอยู่ให้รู้สึกตัว เช็ดน้ำลายหน่อยสิเว้ยบักเคียว

“ฮะ... เออใช่ๆ หยกมา เอาของมาให้ พอดีเราออกมาด้วย ก็เลยคุยกันนิดหน่อย”

“เหรอ” สาวหน้าแรงมองอย่างไม่เชื่อนัก เอ่อ... อยากรู้จังเลยนี่มันบ้านใครกันแน่วะ ทำไมพวกเราต้องกลัวมันด้วยเนี่ย

โอตาคุสาวเห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบพูด “หวัดดีจ้าฟาง วันนี้นอนบ้านเรียวเหรอ อุ้ย... ชุดนอนสวยจังเลยเนอะ สีสวยดี หุ่นคนใสก็ดี แต่ชุดบางไปหน่อยนะเราว่า ฟางไม่หนาวเหรอ”

ฟางได้ยินเสียงของหยกก็ชะงักแล้วก้มมองดูชุดล่อเสือล่อจระเข้ของตัวเองก็ตกใจ หน้าแดงด้วยความเขินและความอาย “อ้ะ... หวะ... หวัดดีจ้าหยก ข... ขอบใจนะที่เอาของมาให้ ร... เราเข้าไปก่อนนะ” ว่าแล้วก็รีบเดินจ้ำเข้าไปในบ้าน

“จ้า... แล้วเจอกันน้า...” โอตาคุสาวโบกมือลาแล้วหันมาหัวเราะคิกคัก “ฟางนี่น่ารักดีเนอะ สวยๆ โก๊ะๆ น่ารักๆ ใครได้ไปเป็นแฟนก็คงจะมีความสุข”

“มีความทุกข์อ่ะดิไม่ว่า เรื่องมากจะตายเอาแต่ใจตัวเองซะขนาดนั้น อยู่ด้วยแล้วเหนื่อย ต้องคอยเอาใจ แถมยังปากคอเราะร้าย ดุอย่างกะหมาแหนะ” ฉันพูด

ไอ้หน้าเกือบหล่อเถียงทันที “ไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลยนี่ ฟางน่ารักออก ทั้งอ่อนหวาน มีเสน่ห์ เอาใจเก่งจะตายไป”

“นั่นมันหน้ากาก ฉากหน้าเว้ย มึงไม่ได้อยู่หลังฉากคอยตามเช็ดถูอย่างกูนี่หว่า ไม่รู้แล้วอย่ามาพูดเลย” ฉันพูดกลับ

“ฟางไมได้เป็นคนแบบนั้นนะเว้ย”

“เคยอยู่ด้วยกันข้ามวันกะมันป่ะล่ะ” ฉันถามกลับ

“ไม่เคย”

“ไม่เคย ไม่รู้ก็อย่ามาพูด กูรู้ดีว่าฟางมันเป็นไง”

จู่ๆ หยกพูดแทรกขึ้นมาว่า “ในเมื่อเรียวรู้ว่าฟางเป็นยังไง แสดงว่าคนที่รู้ใจฟาง และสนิทกับฟางที่สุดก็คงจะเป็นเรียวสินะ”

ฉันกับเคียวหันไปมองโอตาคุสาวอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าของหยกยิ้มอยู่ในที

“หมายความว่ายังไง” ไอ้หน้าเกือบหล่อถาม

“ก็หมายความว่า เรียวรู้ว่าฟางเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อยากได้อะไร ชอบคนแบบไหน และอยากได้แฟนแบบไหนไง”

“เรื่องนั้นเราไม่รู้หรอก” ฉันตอบ

“เราว่าเรียวรู้ แต่เรียวแกล้งทำเป็นไม่รู้มากกว่า”

“เราไม่เข้าใจ หยกกำลังจะบอกอะไรเรา”

โอตาคุสาวเก็บมือถือลงกระเป๋า “เราหมายถึงเรียวรู้ใจฟางว่าฟางเป็นอะไร แต่เรียวแกล้งที่จะไม่สนใจมัน กลับกันเราว่าฟางก็น่าจะรู้ใจเรียวด้วยเหมือนกัน ระวังน้า... สิ่งที่เรียวคิดว่าไม่ใช่มันอาจจะใช่ และสิ่งที่เรียวคิดว่าใช่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจนะหยก” เคียวพูดซึ่งฉันก็เห็นด้วย

“เหรอ... เอาเป็นว่า บางสิ่งบางอย่างที่เรียวคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าหากว่า... มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เรียวจะทำยังไง”

“เราก็... ไม่รู้สิ”

“งั้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกของเรียวก็แล้วกัน รู้สึกยังไงก็แสดงออกไปอย่างนั้น ไม่ต้องไปแคร์อะไร แล้วเรียวก็จะรู้เองแหละว่าสิ่งที่เราพูดมันหมายความว่ายังไง”

โอ้ยยย งง พูดอะไรวะเนี่ย กูไม่เข้าจายยยยยย

“งั้นเรากลับก่อนนะ แล้วเจอกัน” หยกลากลับ เธอขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฉันกับไอ้หน้าเกือบหล่อยืนงงอยู่หน้าบ้านตัวเอง

เคียวเกาหัวแกรกๆ “เพื่อนมึงคนนี้แปลกๆ ว่ะ”

“กูก็ว่างั้น”

“หน้าตาก็น่ารัก แต่นิสัยแปลกๆ รวมๆ กันก็น่ารักแบบแปลกๆ”

“เหรอ... มึงชอบของแปลกหรือเปล่าล่ะกูจะได้แนะนำให้”

“แนวเกิน ไม่เอาอ่ะ” เคียวไม่ตอบ แต่มันลากตัวฉันกลับเข้าไปในบ้านด้วย
...

ฉันเดินกลับเข้าห้องก็เห็นเพื่อนสาวนอนอ่านการ์ตูนที่หยกให้มาอยู่บนเตียง อ่านไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปโดยที่ไม่สนใจฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันมองฟางพร้อมๆ กับประมวลคำพูดของเพื่อนๆ แล้วก็รู้สึกแปลกๆ แต่ก็นะ ช่างมันก่อนก็แล้วกัน ไปอาบน้ำดีกว่า

‘ถ้ามึงคิดจะคงความสัมพันธ์กับพวกนั้นแค่เป็นเพื่อน มึงก็ทำตัวเหมือนเดิม แต่เมื่อไหร่มึงเริ่มชิน เริ่มชอบ และเริ่มทำตัวตามอย่างเพื่อนเบี้ยนของมึงทั้งสองคน ไม่ว่าเพื่อนมึงคนนั้นจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นหรือไม่ก็ตาม มันก็เท่ากับมึงเปิดช่องที่จะทำให้มึงรู้สึกชอบ หรือรักพวกนั้นขึ้นมาจริงๆ’ คำพูดของโต้งดังก้องอยู่ในหัวฉัน

‘ถ้าทำอะไรแล้วมันขัดกับความรู้สึกน่ะ อย่าเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ ถ้าชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ’ เสียงของหยกดังตามมา

‘ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบอ่ะนะ แต่ถามว่าชอบมั้ย... ก็น่าจะ’ ฉันตอบตัวเองอยู่ในใจขณะที่กำลังอาบน้ำ พลางนึกถึงใบหน้าของฟางเวลายิ้ม เวลางอน เวลาโกรธ ถึงแม้ว่าจะรำคาญมันยังไงก็ตาม แต่ก็รู้สึกดี... รู้สึก... ชอบ...

ใบหน้าฉันเริ่มร้อนขึ้นมา ด้วยความที่กลัวว่าเลือดกำเดาจะไหล ฉันรีบเปิดน้ำฝักบัวราดหัว

‘แล้วถ้าคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญล่ะ พวกนั้นอาจแค่อยากให้ฉันเข้าใจความรู้สึกว่าผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยกันรักกัน ชอบกันนั้นรู้สึกยังไง’ ฉันทวนคำพูดของตัวเองในใจอีกครั้ง

‘ระวังน้า... สิ่งที่เรียวคิดว่าไม่ใช่มันอาจจะใช่ และสิ่งที่เรียวคิดว่าใช่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้... ถ้าหากว่า... มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เรียวจะทำยังไง’ เสียงของโอตาคุสาวที่พูดมาเมื่อครู่ก็ดังแทรกขึ้นมา

จะทำยังไงดีเว้ย... กูจะไปรู้ได้ยังไงละวะ!

ฉันยืนปล่อยให้น้ำอุ่นๆ จากฝักบัวรดลงบนหัวอยู่นานเพื่อระงับความคิดฟุ้งซ่านเรื่องฟาง หยางและคำพูดของเพื่อนๆ ให้หายไป จนกระทั่งรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงเช็ดตัว แต่งตัวและเดินออกมาจากห้องน้ำ

“กะว่าจะเรียกอยู่พอดีเลย วันนี้ทำไมตัวอาบน้ำนานจัง” เสียงของเพื่อนสาวดังขึ้น

“เหรอ พอดีทำเก็บนู่นเก็บนี่ในห้องน้ำอยู่น่ะก็เลยนาน”

“อื้อๆ สระผมด้วยเหรอ”

ฉันเช็ดผมของตัวเอง “ใช่ แล้วแกทำอะไรอยู่อ่ะ”

“อ่านการ์ตูนที่หยกเอามาให้อ่ะ ลายเส้นสวยมากเลยนะตัว น่ารักมากเลยอ่ะ” ฟางพูดพลางโชว์หน้าปกให้ดู

เรื่อง Girl Friend ชื่อภาษาไทยชื่อเพื่อนหญิง นี่มันการ์ตูนยูริอีกแล้วนี่หว่า! ไอ้หยก! นี่มึงแกล้งกูใช่ม้ายยยยย

“ร... เหรอ” ฉันพึมพำเบาๆ พลางก่นด่าโอตาคุสาวอยู่ในใจ ปากก็บอกให้กูไม่ให้คิดอะไรมาก แต่มึงมายุ มาเสี้ยมไอ้ฟางกันนี่หว่า

“นี่ๆๆๆ ถ้าตัวเช็ดผมแห้งแล้ว ตัวอ่านให้เค้าฟังได้มั้ยอ่ะ” สาวหน้าแรงถามด้วยน้ำเสียงอ้อนนิดๆ

“อ้าว อ่านเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องให้ฉันอ่านด้วยล่ะ”

“ก็... เค้าอยากให้ตัวอ่านด้วยกันกะเค้านี่นา... นะๆๆๆๆๆๆ” ว่าแล้วก็เข้ามาเขย่าตัว

เฮ้ออออ จะเอาอะไรกับกูอีกวะเนี่ย ทำให้ก็ได้วะจะได้เงียบๆ “ก็ได้ๆ เดี๋ยวเช็ดผมเสร็จ กินยาแล้วจะอ่านให้ฟัง”

“เย้ๆๆๆ คุณเพื่อนน่าร้ากกกกกก” ว่าแล้วก็กลับไปที่เตียงนอนดูหน้าปกการ์ตูนต่อไป

ฉันส่ายหน้าอย่างระอาใจกับเพื่อนสาว หลังจากนั้นก็หยิบยาขึ้นมาพ่นจมูกและกิน ฉันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นห้องแล้วเปิดพัดลมตัวเล็กเพื่อเป่าผมให้แห้ง เมื่อเป่าผมเสร็จก็เดินไปที่เตียง เตียงของฉันที่ถูกไอ้ฟางยึดด้วยเรือนร่างอันเซ็กซี่และกองหนังสือการ์ตูน

“อ่านให้เค้าฟังเลย อ่านเลยๆๆๆ” ว่าแล้วก็ยื่นการ์ตูนให้

“เออๆๆๆ” ฉันนั่งลงข้างๆ เพื่อนสาวแล้วก็เริ่มอ่านการ์ตูนให้สาวหน้าแรงฟัง

การ์ตูนแนว School Girl เรื่องนี้มันมีอยู่ว่า สาวน้อยที่เป็นเด็กเรียนชื่อมาริ ที่มีชีวิตประจำวันเป็นแบบเด็กเรียนทั่วไป จู่ๆ มาวันหนึ่งเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่ออั๊กโกะก็เข้ามาตีสนิท หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกันและก็สนิทกันเรื่อยๆ จนกลายเป็นเพื่อนสนิท พอมาถึงจุดๆ หนึ่งมาริก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองหลงรักอั๊กโกะเข้าให้แล้ว เรื่องมันมีเท่านี้จริงๆ เดาทางได้ออก อ่านแล้วมันก็เพลินดีนะตัวละครก็น่ารักดี เนื้อเรื่องดำเนินไปแบบชีวิตวันรุ่นญี่ปุ่นทั่วๆ ไป แบบว่าสองสาวไม่ได้เป็นวายแต่กำเนิด... แต่... แต่... อ้ากกกกก... ไอ้หยก มึงจะเอาเรื่องนี้มาให้กูอ่านเพื่อเพิ่มความคิดมากให้กูอีกทำไมวะ!

อ่านไปอ่านมาสักพักหนึ่งตาของฉันก็เริ่มหนักอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่กินเข้าไป ทำให้เสียงเริ่มงึมงำๆ คอเริ่มพับเริ่มอ่อนจนทำให้ฟางต้องประคองให้ฉันลงไปนอน

“ตัวง่วงแล้วเหรอ”

“อื้อ คงเพราะกินยาเข้าไปอ่ะ”

“เหรอๆ งั้นนอนนะๆ พรุ่งนี้ค่อยอ่านต่อก็ได้นะ”

“อื้อ”

“แต่ต้องจบภายในอาทิตย์นี้นะ เพราะอาทิตย์หน้าเค้าไม่อยู่ เค้าต้องไปสัมมนาเรื่อง KM (Knowledge Management: การจัดการความรู้) ต่างจังหวัดอ่ะ ถ้าอ่านไม่จบมีหวังเค้าลงแดงตายแน่ๆ เลย”

“อื้อๆ”

“นี่... เค้าร้องเพลงกล่อมตัวนอนเอามะๆ เสียงเค้าเพราะน้า”

ร้องเพลงกล่อมกูทำไมวะ ไม่ใช่เด็กๆ นะเว้ย “เสียงดีป่าว ถ้าเสียงเหมือนควายออกลูกฉันไม่ฟังนะ”

“เสียงเค้าดีน้า... ร้องเกะทีไรเค้าได้คะแนนเกิน 80 ทุกทีเลยน้า” เอ่อ คุณคะ คะแนนของคาราโอเกะมันไม่ได้วัดกันที่เสียงไม่ใช่เหรอคะ

“จะร้องก็ร้องไป เอาให้ฟังได้นะ ฉันไม่มีแรงจะเอามือขึ้นมาอุดหู”

“บ้า... เตรียมตัวฟังน้า...” ว่าแล้วก็เริ่มเทสเสียง

“ฟังน้า....” มึงจะร้องก็ร้องสิเว้ย

“นอนหลับเสียงอ่อนเพลียทั้งวัน หลับแล้วฝันเห็นเทวดา มาร่ายมารำงามขำโสภา มาร่ายมารำงามขำโสภา พอตื่นขึ้นมาเทวดาไม่มี…”

“นี่มันเพลงอะไรของแกอ่ะ ตลกจัง”

ฟางยิ้ม “เพลงที่ครูแป๊ดสอนในวิชานาฏศิลป์ไง ตอนเค้าไปซ้อมรำ ครูแป๊ดร้องให้เค้าฟัง”

“ยังอุตส่าห์จำได้อีกเนอะ เก่งจังเลยยัยตัวแสบ” ฉันยกมือขึ้นมาขยี้ผมเพื่อนสาว ทำให้สาวหน้าแรงยิ้มอย่างดีใจเป็นการใหญ่

“ตัวชอบเหรอ นี่ๆๆๆ เค้ามีเวอร์ชั่นใหม่มาด้วยแหละ เดี๋ยวเค้าจะร้องให้ตัวฟังนะ”

“เหรอ เวอร์ชั่นอะไรอ่ะ”

“เตรียมตัวฟังละกัน 3 2 1… นอนหลับเสียอ่อนเพลียทั้งวัน หลับแล้วฝันเห็น ฟาง... ฟาง...”

เฮ้ย เวอร์ชั่นไหนของมันวะเนี่ย หลับแล้วฝันเห็นฟาง ฟาง “หลับเห็นแกเลยเหรอ... ไม่เอาน่า... อย่าทำให้อ้วกเลย ฝันเห็นแก ฝันร้ายแน่ๆ”

สาวหน้าแรงตีมือฉัน “คนเค้าจะร้องเพลงให้ฟังก็อย่าขัดสิ จะฟังต่อมั้ย”

“ได้ๆ แต่ไม่ฝันเห็นแกได้มั้ยอ่ะ เอาเป็นคนอื่นได้มั้ย”

“ไม่ได้นะ ตัวอยู่กับเค้า ตัวต้องฝันถึงเค้านะ”

“งั้นเหรอ...” ฉันตอบด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม

“ร้องต่อนะ”

“อื้อ”

“นอนหลับเสียอ่อนเพลียทั้งวัน หลับแล้วฝันเห็น ฟาง... ฟาง... มาร่ายมารำงามขำโสภา มาร่ายมารำงามขำโสภา พอตื่นขึ้นมาฟาง ฟางไม่มี”

ฉันพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ฟางฟางไม่มีแล้วฟางฟางอยู่ไหนล่ะ”

“ฟางฟางก็อยู่ในใจของเรียวเรียวไง” โอ้ยย ฟังแล้วขนลุก แต่ฉันไม่มีแรงจะขึ้นมาด่ามันแล้วล่ะ ได้แต่ขำกับความน้ำเน่าของมัน

“เปลี่ยนชื่อตัวเองยังไม่พอ ยังจะมาเปลี่ยนชื่อให้ฉันอีกนะ” ฉันหัวเราะ

“ชื่อน่ารักมั้ยละเรียวเรียว”

“ไม่อ่ะ ฉันไม่ชอบ ฟังแล้วมันหน่อมแน้มจังเลย แถมยังจั๊กจี้หูอีกด้วย”

“แล้วจะให้เค้าเรียกว่าอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เรียวเรียว”

สาวหน้าแรงนั่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วถามว่า “ตอนที่ตัวอยู่เมืองนอก คนที่นั่นเรียกตัวว่าอะไรเหรอ”

“อ๋อ... พวกเค้าเรียกฉันว่าริโอ”

“ริโอ... ชื่อเหมือนผู้ชายเลย”

“เหรอ... จะว่าไงดีล่ะ พวกเค้าออกเสียงว่าเรียวจันทร์ไม่ได้นี่นา เรียกฉันที่ไรก็เลี่ยวชั้น เลี่ยวชั้นทุกที ฉันก็เลยต้องหาวิธีออกเสียงให้พวกเค้าใหม่”

“เหรอ แล้วตัวให้เค้าออกเสียงว่าอะไรล่ะ”

“ก็แยกตามตัวให้อ่านง่ายๆ มันก็เลยออกมาเป็น ริ โอ ซัน หลังจากนั้นพวกเค้าก็เรียกฉันว่า ริโอ เป็นชื่อเล่น”

“แล้วมันมีความหมายมั้ย”

“ริโอซันไม่มีความหมาย แต่คำว่าริโอ แปลว่าแม่น้ำ”

“เพราะจังเลย แต่เค้าว่าเค้าชอบชื่อเรียวเรียวมากกว่านะ”

ฉันหัวเราะเบาๆ “บอกแล้วไงว่าไม่เอาชื่อนั้น”

“ก็อยากเรียกแบบนั้นนี่นา... ถ้าตัวไม่ชอบเค้าก็จะเรียกตัวว่าเรียวเหมือนเดิมก็ได้ หรือตัวอยากให้เค้าเรียกตัวว่าริโอกันล่ะ”

“เรียกฉันว่าเรียวเหมือนเดิมเถอะ เพราะยังไงฉันก็ยังเป็นเรียวคนเดิม คนเดิมตลอด ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนอื่น” เสียงของฉันเริ่มป้อแป้เสียแล้ว เริ่มออกเสียงยากขึ้นทุกที

“นอนเถอะ นอนนะ เรียวของเค้า”

สติของฉันเริ่มจะเลือนหายไป “อื้อ...”

“เรียว...” ฉันได้ยินเสียงฟางเรียกชื่อฉัน เสียงของเธอฟังดูแผ่วเบาและไกลเหลือเกิน

“หือ...”

“เรียว... เค้าขอมีตัวอยู่ข้างๆ ตลอดไปได้มั้ย”

“อื้อออออ”

“เค้าขออยู่กับตัวตลอดไป เค้าอยากอยู่กับตัวนะ”

ฉันได้ยินเพียงเท่านี้ แล้วสติของฉันก็หายไป
...

เย็นวันถัดมาฉันกับฟางก็มาอยู่กันที่เซ็นทรัลเวิร์ดเพื่อมาดูชุดไปงานแต่งของพี่ไหม รุ่นพี่ของเคียว สาวหน้าแรงและไอ้หน้าเกือบหล่อดูจะมีความสุขกับการเดินเข้าเดินออกร้านนั้น ร้านนี้อยู่ตลอด ส่วนฉันที่ไม่ค่อยจะชอบช้อปปิ้งเท่าไหร่นักก็ได้แต่เดินตามอย่างเซ็งๆ

“ชุดนี้โอมั้ยอ่ะ” ฟางถามพลางเอาชุดเดรสสีส้มอ่อนๆ ทาบตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ของร้าน

“ก็สวยดี” ฉันตอบสั้นๆ

สาวหน้าแรงหันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกอยู่นานก็เอาชุดไปแขวนไว้ที่ราวตามเดิมแล้วก็ดึงมือฉันออกไปจากร้าน

“อ้าว... ไม่เอาชุดนั้นเหรอ”

“ไม่อ่ะ รู้สึกว่าใส่แล้วดำ”

อ่ะโห... มึงจะห่วงอะไรเนี่ย สวยอยู่แล้ว จะกลัวอะไร ดงดำที่ไหนกัน เบื่อจริงพวกคิดมาก

“ฟางครับ ฟางว่าชุดนี้เป็นยังไงครับ” เคียวหยิบเสื้อเชิ้ตที่ครีมมาให้ฟางดู

สาวหน้าแรงเดินเข้าไปหาพลางเลือกสีเสื้อให้ใหม่ บอกให้ไอ้หน้าเกือบหล่อลองใส่เสื้อ ช่วยเลือกเสื้อสูท รวมถึงแนะนำทรงผมประหนึ่งสไตลิสต์ส่วนตัวกำลังเลือกเครื่องแต่งกายให้ดารา

ฉันมองภาพเพื่อนสาวและพี่ชายตัวเองยืนอยู่คู่กัน มันก็ดูเหมาะสมดีไม่น้อย แต่เมื่อคิดถึงพฤติกรรมบ่งบอกถึงความวายของฟางแล้ว ภาพของเคียวก็หายไปจากความคิด แล้วกลายเป็นหยางที่เข้ามาแทนที่ สาวหน้าแรงกับสาวจีนยืนอยู่คู่กัน หัวเราะต่อกระซิกกัน จับมือประคองกัน... กอดกัน... จูบกัน... มันไหลผ่านเข้ามาในสมอง ภาพเหล่านี้ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงและปวดหัวจี๊ด มันรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ตัวเป็นอะไรรึเปล่า... หน้าแดงๆ” ฟางที่เดินเข้ามาใกล้ถามฉันอย่างเป็นห่วง เธอรีบเอามือมาทาบที่หน้าผากของฉันทันที

ฉันสะดุ้ง “อ้ะ... ไม่เป็นไร”

“จริงเหรอ... ตัวอยากนั่งพักก่อนมั้ย”

“ไม่เป็นไร ไปดูชุดต่อเถอะ” ฉันส่ายหน้าพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อนเพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ พร้อมๆ กับรู้สึกซาบซึ้งกับความเป็นห่วงของเพื่อนสาว

สาวหน้าแรงเดินไปที่ร้านเสื้อผ้าต่อพลางหันมาหาฉันบ่อยๆ ใบหน้าของเธอดูเป็นห่วงฉันมาก ฉันได้แต่ยิ้มให้ แล้วบอกไปว่าไม่เป็นไร แต่ทำแบบนั้นก็ได้แป๊บเดียว เพราะฟางหันมามองฉันบ่อยมากจนต้องเดินเข้าไปหา

“ตัวมาหาเค้าทำไม ไปหาที่นั่งพักสิ”

“ก็แกมองฉันอยู่แบบนี้ ฉันกลัวคอแกจะเคล็ดน่ะสิ มายืนอยู่ใกล้ๆ แกน่าจะดีกว่า แกจะได้เลือกชุดให้เสร็จๆ แล้วจะได้ไปนั่งพักทีเดียว”

ฟางยิ้ม “งั้นตัวรอเค้าแป๊บนึงน้า... เค้าว่าเค้าได้ชุดแล้วแหละ”

สาวหน้าแรงหยิบเสื้อผ้าจากราว 2 ตัวแล้วเข้าไปที่ห้องลองชุด สักพักหนึ่งเธอก็เปิดประตูออกมา ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาฉันกับเคียวอึ้งไปเลยทีเดียว เพราะเพื่อนสาวของฉันสวยมากกกกกกกก

ฟางอยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีชมพูกลีบดอกบัว ชุดราตรียาวครึ่งแข้งที่มีจีบรอบตัวขับผิวของเธอให้ขาวขึ้น ขาแลดูยาวขึ้น ไหล่และแผ่นหลังที่ขาวเนียนทำเอาไอ้หน้าเกือบหล่อกลืนน้ำลายดีงเอื๊อกเลยทีเดียว นี่ขนาดแต่งหน้าบางๆ แบบไปทำงานยังทำให้คนอึ้งขนาดนี้ แล้วถ้าแต่งแบบ full course สวยสังหารนี่จะขนาดไหนวะเนี่ย

“เป็นไงอ่ะ” เพื่อนสาวถามอย่างเขินๆ เมื่อเห็นสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เธอ

“สวยครับ สวยมากๆ เลย” ไอ้พี่ชายของฉันรีบพูดอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณค่ะ”

“ไปงานแต่งพี่ไหมนี่ เห็นทีเราคงจะต้องเป็นบอดี้การ์ดฟางมากกว่านะเนี่ย เหมือนเจ้าหญิงเลยครับ”เอ้า ปากหวานกันเข้าไป กูจะอ้วก

ฉันแอบมองเพื่อนสาวที่ยืนดูตัวเองอยู่หน้ากระจก หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ อยู่บนใบหน้าของฟาง มันน่ารักมาก! จะน่ารักไปไหนเนี่ย! ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋า ปรับเป็นโหมดถ่ายรูป แล้วถ่ายในมุมที่คิดว่าสวยที่สุด

“แชะ” เสียงชัตเตอร์ดังเบาๆ จากมือถือของฉัน โดยที่นางแบบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

สาวหน้าแรงหันมาหาฉันหลังจากที่ฉันเก็บมือถือเข้ากระเป๋าไปแล้ว “เค้าดูเป็นไงมั่งอ่ะเรียว”

“สวยดี... ดูเป็นคนขึ้นมานิดนึง”

“บ้า... ตอบมาดีๆ สิว่าเค้าดูเป็นไงมั่ง”

“ก็ดูเป็นคนขึ้นมาไง...” ฉันพูดเว้นจังหวะ แล้วเดินเข้าไปใกล้เพื่อนสาวมากขึ้น “ดูเป็นคน... สวย ขึ้นมากเลย”

ใบหน้าของฟางแดงขึ้น... ฉันรู้สึกว่าหน้าของฉันก็ร้อนขึ้นเหมือนกัน ฉันรีบเอามือกุมจมูกทันทีกลัวว่าเลือดกำเดาจะไหลอีก สาวหน้าแรงดึงมือฉันออกแล้วเอามือของเธอมาปิดที่จมูกของฉันแทน

“เลือดไม่ไหลๆๆๆๆๆ เพี้ยงๆๆๆๆ”

“อื้อ...” ฉันรับคำในลำคอ ฉันเผลอสูดกลิ่นหอมๆ จากครีมทามือของเพื่อนสาวที่ปิดจมูกอยู่ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนๆ ที่เตือนไม่ให้ฉันทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่านี้ขึ้นได้ก็ค่อยๆ ดึงมือเพื่อนสาวออก

“ค... คงไม่ไหลแล้วล่ะ” ฉันค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลังเพื่อถอยห่างจากสาวหน้าแรง

“เออช่าย...” ฟางพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเอองออกจากกระเป๋าถือ “ตัวถ่ายรูปให้เค้าหน่อยสิ”

ฉันรับโทรศัพท์เพื่อนสาวมาแบบงงๆ แต่ก็ปรับเป็นโหมดถ่ายรูปอย่างโดยดี ส่วนตัวเจ้าของโทรศัพท์ก็แอ๊คท่าน่ารักๆ ให้ฉันถ่าย 2 – 3 รูป เมื่อเสร็จแล้วฉันก็คืนโทรศัพท์ให้

“เค้าจะส่งไปให้เซรินดูล่ะ อยากรู้ความเห็นว่าเป็นไง” ว่าแล้วก็ส่งรูปไปให้สาวจีนดู

อีกไม่กี่อึดใจต่อมาเสียง SMS ของสาวหน้าแรงก็ดังขึ้นมา ฟางกดอ่านข้อความแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วยื่นให้ฉันอ่าน

“ดูสิเซรินส่งมาให้เค้าดูล่ะ”

ข้อความของหยาง อ่านแล้วได้ใจความดังนี้

“Wow… You look great, very very beautiful like princess. Oh no! not princess but angel. I love to see you in this dress. Fang, you’re pretty, I love you (ว้าว คุณดูดีมากเลย สวยมากๆๆๆ อย่างกับเจ้าหญิงแหนะ ไม่สิ ไม่ใช่เจ้าหญิงแต่เป็นนางฟ้าต่างหาก ฉันอยากพบคุณตอนใส่ชุดนี้จังเลย ฟางคุณน่ารักมากๆ ฉันรักคุณ)”

ฉันอ่านแล้วรู้สึกเอียน เลี่ยน... น้ำเน่าใช้ได้เลยนะหยาง ไม่คิดว่าจะทำอะไรได้ถึงขนาดนี้ แต่มาคิดอีกทีก็ดีนะ รู้สึกว่าสองคนนี้ดูแล้วเข้ากันได้ดี ฉันจะได้ปลีกตัวออกมา และกลับเข้าสู่โลกแห่งความสงบสุขของฉันเองได้เสียที
...

สองวันผ่านไปก็ถึงเวลาที่ฟางต้องไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด แต่ก่อนที่เพื่อนสาวจะเดินทางไปต่างจังหวัดนั้น เธอต้องกลับเป็นเก็บเสื้อผ้าที่บ้านก่อน

“ตัวไปส่งเค้าที่บ้านได้มั้ย แล้วตัวจะเอารถไปใช้ก็ได้นะ” ฟางพูดขึ้นมาระหว่างนั่งรถไปทำงาน ฉันยังคงรับหน้าที่พลขับเหมือนเดิม

“ไม่ดีกว่ามั้ง เพราะว่าถ้าเอารถแกมาใช้ฉันต้องทำเรื่องขอป้าย แล้วก็ต้องแจ้งทะเบียนรถกับฝ่ายรักษาความปลอดภัย ขั้นตอนมันเยอะ ช่วงนี้งานก็เยอะด้วยคงไม่ว่างไปทำ”

“งั้นเหรอ... แต่เค้าอยากให้ตัวไปทำงานแบบสบายๆ นี่นา เอารถเค้าไปใช้ตอนที่เค้าไม่อยู่ก็ได้ ไปจอดที่กระทรวงก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปเองได้ ว่าแต่พรุ่งนี้แกไปยังไงล่ะ”

“พรุ่งนี้เหรอ ที่ทำงานเค้านัดออกจากกระทรวงก่อน 7 โมงน่ะ เค้ากะว่าจะให้พี่สาวเค้ามาส่งอ่ะ”

“อ่าฮะ”

หลังจากนั้นเราสองคนนั่งเงียบจนกระทั่งใกล้ถึงที่ทำงาน

“ฟาง”

“จ๋า”

“เดี๋ยวเย็นนี้ฉันไปส่งแกที่บ้านก็แล้วกัน”

“จะดีเหรอ... แล้วตัวจะกลับบ้านยังไง”

“ก็รถเมล์ไง แท็กซี่ก็ได้”

“อื้อ... เอาสิ... ดีใจจัง ตัวเซอร์วิสเค้าแล้ว น่ารักจังเลย”

เมื่อถึงที่ทำงาน เราสองคนก็แยกย้ายกันเข้าออฟฟิศ บอกตรงๆ ว่าฉันเองตอนนี้รู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูกเหมือนกับว่าอะไรๆ จะอยู่ผิดที่ผิดทาง มันช่างคล้ายคลึงกับตอนที่ไปอยู่กัวเตมาลาใหม่ๆ เหลือเกิน ที่อะไรๆ มันดูแปลกไปหมด ใหม่ไปหมด ทั้งผู้คน สถานที่ ตึกรามบ้านช่อง วิถีปฏิบัติ ซึ่งสิ่งนั้นมีคนสันนิษฐานว่าฉันอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “Culture Shock (ความรู้สึกสับสนต่อวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย)” ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหานี้คือการทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจ และทำตามน้ำไปเท่านั้น เข้าทำนองเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ตอนนี้ฉันคงจะอยู่ในภาวะ Culture Shock อีกครั้งแล้วสินะเนี่ย แต่... จะให้ฉันต้องตามน้ำในเรื่องแบบนี้มันก็ยังไงๆ อยู่

“Ryo… Are you ok? You look not cheerful (เรียว คุณเป็นอะไรหรือเปล่า คุณดูไม่ร่าเริงเลย)”

“Oh… I’m ok (อ๋า ไม่มีอะไรหรอก)”

“I’m go home now, please tell Fang save trip (งั้นฉันกลับบ้านก่อนนะ ฝากบอกฟางด้วยว่าเดินทางปลอดภัย)”

“Alright (ได้ๆ)”

ฉันเดินข้ามคลองไปกระทรวงศึกษาธิการหลังเลิกงานอีกเช่นเคย เมื่อไปถึงลานจอดรถฉันก็เห็นฟางนั่งยิ้มอยู่ในรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับอีกเช่นเคย ฉันยิ้มให้เพื่อนสาวแล้วขึ้นรถเพื่อขับกลับบ้านของสาวหน้าแรง





ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
What a Coincidence! Chapter 12 (continued...)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 19 มกราคม 2014 เวลา 00:01:47 »
Chapter 12 (continued...)

ฟางอ้อนขอให้ฉันพาเธอไปกินข้าวซึ่งฉันก็ตามใจเธอ เราสองคนพูดคุยกันอย่างที่เคยแต่ส่วนใหญ่แล้วฉันจะนั่งฟังเธอคุยเสียมากกว่า วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนสาวเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเหนื่อยจากการทำงานและเหนื่อยจากการคิดตามในสิ่งที่เพื่อนๆ แนะนำ รวมทั้งเหนื่อยกับเรื่องสาวหน้าแรงสาวจีน หรือว่าร่างกายฉันไม่ปกติเพราะโรคเยื่อโพรงจมูกอักเสบ หรือว่าประจำเดือนใกล้จะมายังไงก็ไม่รู้

“ตัวเป็นอะไรไป ดูวันนี้ตัวซึมๆ นะ”

“เปล่าๆ ไม่เป็นอะไร วันนี้งานเยอะไปหน่อยเลยเหนื่อยๆ”

“รักษาสุขภาพมั้งน้า กินยาครบหรือเปล่า”

“ครบน่า ยังไม่แก่สักหน่อย ทำไมชอบทำตัวเป็นแม่คนอื่นอยู่ได้”

“ชิ อย่างตัวน่ะต้องมีคนคอยดูแล ถึงจะดี”

“ดีตรงไหน”

“ดีตรงที่มีเค้าคอยอยู่เป็นเพื่อนยังไง”

“ช่วยยุ่งน่ะสิไม่ว่า”

“บ้า ไม่มีเค้าอยู่แล้วตัวจะรู้สึก”

“รู้สึกโล่งหูใช่มั้ย”

ฟางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทำเป็นปากดีไปเถอะ ตัวอ่ะต้องคิดถึงเค้าแน่เลย”

“โห... เข้าข้างตัวเองเนอะ”

“แน่นอน... เพราะเค้าเป็นคนเดียวแหละที่ป่วนตัวได้ คนอื่นทำให้ตัวคิดถึงไม่ได้หรอกนอกจากเค้า”

พูดมาได้ไม่อายปาก แต่... ในใจฉันกลัวว่าจะเป็นจริงอย่างที่มันพูดน่ะสิ กลัวจะคิดถึงเวลาที่ไม่อยู่ ไม่เอาน่าไอ้เรียว อย่าคิดมากเลย มึงคงจะรู้สึกโล่งหู สบายใจเหมือนตอนที่แยกตัวจากยัยคุณนายนี่ตอนไปทำงานนั่นแหละ ไม่ต้องมาเอาใจ ต่อล้อต่อเถียง ไม่ต้องมาฟังเรื่องต๊องๆ จากยัยนี่...

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของสาวหน้าแรงดังขึ้น ดูท่าทางแม่ของเพื่อนสาวโทรมา ฉันเงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้ฟางคุยโทรศัพท์ไป แล้วนั่งเงียบๆ คุยโทรศัพท์ได้ไม่นานเพื่อนสาววางหูแล้วเล่าให้ฟังว่าเธอคุยอะไรกับแม่บ้าง หลังจากนั้นก็เงียบแล้วถามฉันขึ้นมาคำหนึ่งว่า

“เรียว... คนอย่างเค้าจะมีคนมารักบ้างมั้ย จะมีคนมาขอเค้าแต่งงานบ้างหรือเปล่า”

“ถามทำไมอ่ะ”

“ก็อยากถาม”

“แม่แกโทรมาเรื่องนี้เหรอ”

“ก็...ทำนองนั้น แม่บอกว่ากลับจากสัมมนาแล้วจะให้เค้าไปดูตัว”

“เหรอ... กับใครล่ะ”

“ลูกชายเพื่อนแม่... เค้าไม่อยากไปเลย ทำไมแม่ต้องเร่งรัดเค้าขนาดนั้นด้วย”

“บอกไปหรือยังว่าไม่พร้อม”

“บอกไปแล้ว แต่แม่ก็บอกว่ารู้จักกันก่อนก็ได้... นี่จะเป็นไรมั้ยถ้าให้เคียวบอกว่าเคียวเป็นแฟนเค้า”

“ไม่รู้สิ... แต่แกแน่ใจแล้วจริงๆ เหรอ ว่าอยากให้เคียวเป็นแฟนแก”

“เค้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

เราสองคนปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำจนกระทั่งขึ้นรถกลับบ้าน ระหว่างทางนั้นสาวหน้าแรงก็พูดขึ้นมาว่า

“เรียว... ตัวจะรู้สึกยังไงถ้าเค้าจะบอกว่าเค้ารู้สึกดีๆ กับเซริน รู้สึกดีๆ กับเคียว แต่ความรู้สึกเค้ามันเทไปที่เซรินมากกว่า”

คำพูดนี้ทำเอาหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ “ก็ดีแล้วนี่ที่รู้สึกดีๆ ด้วย แต่ฉันว่าแกควรจะชั่งน้ำหนักว่าชอบใครมากกว่า และก็ควรคิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ ด้วย เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อน มันยาก ถ้าแกตัดสินใจไม่ดี มันก็จะมีผลกับคนที่อยู่รอบๆ แก ทั้งหยาง และทั้งเคียว”

“เหรอ... งั้นเค้าก็ต้องคิดดีๆ ใช่มั้ยก่อนที่จะทำอะไรลงไป หรือก่อนที่จะเลือกใคร”

“ใช่...

“แต่... เค้าจะบอกว่าเค้าก็รู้สึกดีๆ กับตัวด้วยนะ เหมือนตัวเป็นทุกอย่างของเค้าเลย อยู่ใกล้ตัวแล้วเค้ารู้สึกอบอุ่น รู้สึกว่าเค้าวางอะไรๆ ที่เค้าแบกอยู่ออกไปได้เลยล่ะ”

ฉันนิ่ง แล้วตอบสั้นๆ ว่า “อ่าฮะ...”

“แล้ว... ตัวรู้สึกยังไงกับเค้าล่ะ”

“....................” ฉันไม่ตอบ ได้แต่นั่งเงียบ เมื่อฟางเห็นฉันไม่ตอบเธอก็เงียบไม่พูดอะไรเหมือนกัน

ความเงียบแผ่ขยายในรถจนฉันรู้สึกอึดอัด ฉันเลยกดเปิดวิทยุเพื่อให้ในรถมีเสียงอะไรขึ้นมาบ้าง เพื่อเบี่ยงเบนความคิด และคำถามของเพื่อนสาวเมื่อครู่

แต่... เพลงที่ดังขึ้นมามันทำให้ฉันคิดเลยเถิดไปไกลอีกหลายกิโล เพราะเพลงที่ดังขึ้นมานั้นมันคือเพลง Take my breath away โอ้ยยยย ทำไมบิ๊วกูจังเลยเนี่ย มึงมาถูกจังหวะเกินไปหรือเปล่า
เสียงเพลงคลออยู่ขณะที่ฉันจอดรถที่หน้าบ้านของสาวหน้าแรง ฉันถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปหาเพื่อนสาวที่ตอนนี้มองดูฉันอยู่ ดวงตาเธอเต็มไปด้วยคำถามที่ต้องการคำตอบ ฉันไม่ตอบคำถามเธอได้แต่พูดขึ้นมาว่า

“เดินทางดีๆ ล่ะ อ้อ... หยางฝากมาบอกด้วยว่าขอให้เดินทางปลอดภัย”

“ค่ะ” ฟางรับคำด้วยคำพูดเบาๆ เธอขยับตัวเข้ามาใกล้ฉัน

“อย่ามัวแต่เล่นนะ ตั้งใจประชุมด้วยล่ะ”

“ค่ะ” เพื่อนสาวขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันอีก

ฉันเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนเบาะหลังรถ ซึ่งทำให้ตัวของฉันขยับเข้าไปใกล้สาวหน้าแรงมากขึ้น

“งั้นฉันกลับก่อนนะ ส่วนเรื่องนั้นก็เก็บไปคิดให้ดีๆ ก็แล้วกัน”

“ค่ะ”

เสียงของฟางดูใกล้เหลือเกิน และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเมื่อฉันหันหน้ามาอีกครั้ง ใบหน้าของเราสองคนก็อยู่ห่างกันนิดเดียว ดวงตาของเราสองคนสบกัน ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าของฟาง กลิ่นหอมๆ จากน้ำหอมที่ต้นคอลอยขึ้นมาทำให้ใจสั่น

“ตาของตัวสวยจัง” สาวหน้าแรงพูดขึ้นมาเบาๆ

ฉันมองเข้าไปในดวงตาหวานฉ่ำของเพื่อนสาว จมูกโด่งสวย และริมฝีปากอวบอิ่ม ดูแล้วสวยน่าสัมผัสเหลือเกิน ลมหายใจอุ่นๆ ที่แตะอยู่ที่ปลายจมูกทำให้ฉันหายใจขัด และหัวใจเต้นแรง

“เรียว...” เสียงเรียกชื่อของเบาๆ ลอยเข้ามา

“หือ...”

“ตัวยังไม่ได้บอกเลยว่าตัวคิดกับเค้ายังไง”

ฉัน... พูดอะไรไม่ออกเพราะหัวมันโล่งไปหมด ได้แต่พูดออกมาว่า “ไม่บอกได้มั้ย”

“ไม่ได้นะ... เค้าอยากรู้ว่าตัวรู้สึกยังไงกับเค้า”

“ก็... รู้สึกดี”

“ดี... ยังไง” ใบหน้าของเพื่อนสาวขยับเข้ามาใกล้อีกนิด

“ก็ดี...”

“เหรอ...”

ฉันไม่รู้ตัวหรอกนะว่าอะไรเกิดขึ้นกับฉันและฟาง รู้แต่ว่าริมฝีปากของเพื่อนสาวนั้นมันทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น ทำเอาใจละลาย ลมหายใจร้อนๆ ของเพื่อนสาวที่เคลียคลออยู่ที่แก้มของฉันทำให้ฉันหายใจขัด เสียงหัวใจของเราสองคนที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ฉันรู้สึกได้จากการกอดประคองของเราสองคน มันรู้สึกดี... รู้สึกดีมากๆ... รู้สึกดีจนไม่อยากถอนจูบจากคนที่อยู่ตรงหน้าได้เลย

บนรถแท็กซี่สีฟ้าแดงจากบางแคจนถึงสนามบินน้ำ ฉันนั่งเอามือแตะริมฝีปากของตัวเองที่ยังมีร่องรอยของไออุ่นจากสัมผัสเมื่อครู่อยู่พลางตะโกนบอกตัวเองในใจว่า

‘นี่ฉันหลงรักไอ้ฟางเข้าแล้วหรือยังไง!’

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.