web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 440
Most Online Ever: 440
(วันนี้ เวลา 03:05:22)
Users Online
Members: 0
Guests: 149
Total: 149

ผู้เขียน หัวข้อ: Book Review: เมฆาสัญจร (Cloud Atlas)  (อ่าน 1679 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • นักเขียน
  • ขาจร
  • ****
  • กระทู้: 93
Book Review: เมฆาสัญจร (Cloud Atlas)
« เมื่อ: 15 เมษายน 2015 เวลา 13:02:33 »

Book Review
ชื่อเรื่อง: Cloud Atlas ชื่อไทย: เมฆาสัญจร
เขียน: David Mitchell สนพ.มติชน

เรื่องย่อ:
Cloud Atlas บอกเล่าเรื่องราวของ 6 ชีวิต ที่มีช่วงเวลาต่างกัน ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ลัทธิล่าอาณานิคมและความโหดเหี้ยมในหมู่เกาะแปซิฟิก เรื่อยมาจนถึงยุคมืดในอนาคต ที่อารยธรรมล่มสลาย ที่สอดแทรกเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ดนตรี การสืบสวน การเมือง เทคโนโลยี และความเป็นอยู่ของคนในโลกอนาคตหลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายด้วยน้ำมือของบรรพบุรุษก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งทั้ง 6 เรื่องราวมีความเกี่ยวพันกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ทั้ง 6 เรื่องนั้นแบ่งออกได้คือ
1.   บันทึกท่องแปซิฟิกของอดัม อีวิง: ทนายความชาวอเมริกันที่ได้เดินทางมายังหมู่เกาะในทะเลแปซิฟิกตามคำสั่งของพ่อตาเพื่อทำสัญญาการซื้อขายทาสที่มีเชื้อชาติอะบอริจิ้น อดัมได้ช่วยเหลือชาวโมริโอริคนสุดท้ายที่เหลืออยู่บนเกาะโดยให้โดยสารเรือที่เขาเดินทางมา และระหว่างทางเขาล้มป่วยลง และ นพ. เฮ็นรี่ กูส หมอชาวลอนดอนบอกกับเขาว่าเขาล้มป่วยด้วยโรคพยาธิแปซิฟิก และต้องกินยาของเขาจนกว่าจะหายดี แต่แล้วหมอใจบุญก็เผยโฉม เขาโกหกและวางยาอดัมเพื่อต้องการทอง

2.   จดหมายจากเซเดลเกม: บอกเล่าเรื่องราวของโรเบิร์ต โฟรบิเชอร์ ผ่านจดหมายที่เขียนถึงเพื่อนรักของเขา รูฟัส ซิกซ์สมิธ โรเบิร์ตเป็นหนุ่มชาวอังกฤษ เป็นนักดนตรี แต่ถูกครอบครัวตัดออกจากกองมรดกทำให้ถังแตก และเขาได้เดินทางไปเบลเยี่ยม ไปถึงปราสาทเซเดลเกมเพื่อขอให้วีฟเวียน แอร์ส คีตกวีผู้มีชื่อเสียงรับเขาเป็นเสมียนอารักษ์ แอร์สเป็นชายแก่ที่มีอัตตาสูงเรื่องดนตรี แต่ทว่าสุขภาพทรุดโทรมเพราะการติดเชื้อโรคซิฟิลิสในช่วงหนุ่ม โรเบิร์ตอาศัยอยู่ในปราสาทแห่งนี้ ช่วยแอร์สแต่งเพลง พร้อมกับแต่งเพลงของตัวเองไปด้วย นอกจากนี้โรเบิร์ตยังแอบเป็นชู้รักกับภรรยาของแอร์สอีกด้วย

3.   ครึ่งชีวิต – เรื่องลึกลับครั้งแรกของหลุยซา เรย์: หลุยซา เรย์ ลูกสาวของนักข่าวสายสงครามผู้โด่งดังในอดีต เป็นนักข่าวสาวของนิตยสารสปายกลาส นิตยสารที่ส่วนใหญ่นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องซุบซิบนินทาหาสาระไม่ได้ เธอได้พบกับรูฟัส ซิกซ์สมิธ นักวิทยาศาสตร์ปรมาณูโดยบังเอิญในลิฟต์ที่ทั้งสองติดอยู่ด้วยกัน ซิกซ์สมิธมีข้อมูลอะไรบางอย่างที่เป็นความลับสุดยอดของสถานีพลังงานนิวเคลียร์สวอนเนกก์ที่เขาเคยทำงานด้วย และข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่จะล้มสถานีพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาได้ ก่อนที่ซิกซ์สมิธจะให้ข้อมูลกับหลุยซา เขาก็ถูกฆ่าตาย และหลุยซาเป็นรายต่อไป

4.   วิบากกรรมสยองของทิโมธี คาเวนดิช: เรื่องราวของชายแก่วัย 70 กว่าๆ ทิมโมธี คาเวนดิช ที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เล็กๆ วิบากกรรมเริ่มขึ้นเมื่อนักเขียนเจ้าอารมณ์ในสังกัดของเขาได้รับคำวิจารณ์ที่โหดร้ายเกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่จากท่านเซอร์ที่ไม่มีความรู้ด้านวรรณกรรม นักเขียนคนนั้นก็เลยจับท่านเซอร์ทุ่มลงจากตึก หลังจากนั้นหนังสือเล่มที่ไม่เคยจะขายออกก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เงินทองไหลมาเทมา แต่แล้วความสุขก็มีแค่เพียงครู่เดียวเมื่อพี่น้องของนักเขียนเข้ามาไถ่เงินจำนวนมากจากทิโมธี เขาจึงต้องหันไปพึ่งน้องชาย (ที่ทิโมธี แอบเป็นชู้กับเมียของเขา) เพื่อขอเงิน แต่น้องชายของเขาเสนอสถานที่ให้เขากบดาน ทิโมธีตอบตกลงในทันที แต่แล้วเขาก็พบว่าสถานที่กบดานนั้นก็คือบ้านพักคนชรา ออโรร่า เฮ้าส์ ที่มีพยาบาลโนแอคจอมโหดเป็นผู้ดูแล

5.   คำให้การของซอนมี – 451: ซอนมี – 451 เป็นมนุษย์สังเคราะห์ที่ถูกจับดำเนินคดีในฐานะกบฏของบรรษัทของอาณาจักรเนอาโซคอโปรส์ ซอนมีเคยเป็นบริกรในร้านอาหารปาปา ซอง มีชีวิตประจำวันเหมือนกับมนุษย์สังเคราะห์โดยทั่วไปคือ ตื่น ทำงาน กินโซป (อาหารของมนุษย์สังเคราะห์) และเฝ้ารอเวลาให้ดาวบนปลอกคอครบ 12 ดวงเพื่อรอเวลาขึ้นเรือไปฮาวายที่จำพวกเธอไปสู่โลกหรรษา ซอนมี – 451 เริ่มมีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนไปหลังจากได้พบกับ ยูนา – 939 ที่เป็นมนุษย์สังเคราะห์ที่เริ่มจะมีอารมณ์ความรู้สึก มีความคิดของตัวเอง และคิดว่าชีวิตของมนุษย์สังเคราะห์ควรจะมีชีวิตเหมือนมนุษย์พันธุ์แท้ ภายหลังจากตายของยูนา ซอนมีก็ได้รับความช่วยเหลือจากพรรคเอกฉันท์โดยแฮจู-อิม และเริ่มพัฒนาตัวเองขึ้นจนกลายเป็นผู้ปลดแอกของมนุษย์สังเคราะห์

6.   ช่องสลูชาและเรื่องต่อมาหลังจากนั้น: เป็นเรื่องราวของผู้คนในหุบเขา หลังจากการล่มสลายของมนุษย์ชาติในสงครามล้างโลกที่ทำให้มนุษย์ล่มสลาย โดยมีแซคารี่ในวัยชราเป็นผู้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์รุ่นต่อๆ มาที่อาศัยอยู่ในหมู่เกาะแปซิฟิก ชาวหุบเขานับถือซอนมีเป็นพระเจ้า ในขณะที่เผ่าอื่นๆ มีความแตกต่างกัน และเผ่าที่ร้ายร้ายที่สุดคือเผ่าโคนา ซึ่งเป็นมนุษย์กินคน แซคคารี่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการมาเยือนของเมโรนิม หญิงจากเผ่าผู้หยั่งรู้ – มนุษย์ผิวเข้มผู้สามารถใช้เทคโนโลยีที่เหลืออยู่จากการล่มสลายได้ เมโรนิมเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวหุบเขา และต้องการขึ้นไปยังบนยอดเขาต้องห้ามเพื่อสำรวจหอดูดาวที่เคยตั้งอยู่บนนั้น

ทั้ง 6 เรื่อง 11 บท มี “ช่องสลูชาและเรื่องต่อมาหลังจากนั้น” เป็นเรื่องตรงกลางและจบในบท ส่วนที่เหลือจะมีครึ่งหลัง

อ่านจบแล้วขอ Review ดังนี้:
ได้รับคำเตือนมาก่อนแล้วก่อนอ่านว่ามันจะงง ถึงกับไปหาหนังมาดูก่อนเลยทีเดียว หนังเรื่องเดียวกันกับชื่อฉายในปี 2012 โดยมีดาราดังแสดงมากมาย ทอม แฮงค์, เฮลลี เบอรี, ฮิวจ์ แกรนท์, ฮิวโก้ วีฟวิ่ง, จิม สเตอร์เกส, เบน วิสชอว์ , จิม บรอดเบนท์ และ ดูนา เบย์ กำกับโดย 2 พี่น้องตระกูลวาชาวสกี้ จาก The Matrix และทอม ทิคเกอร์ ผู้กำกับชาวเยอรมันสุดแนวจากหนังเก๋ไก๋เรื่อง Run Lora Run หนังเรื่องนี้ล้มเหลวในด้านรายได้เมื่อต้องมาฉายชนกับ Argo ของเบน แอฟเฟล็ค และ Twilight

ในหนังสือ แต่ละเรื่องราวจะมียุคสมัยที่แตกต่างกัน ตั้งแต่บันทึกของชาวอเมริกันบนเรือเดินทะเลในช่วงศตวรรษที่ 19 ตามด้วยจดหมายของนักดนตรีหนุ่มชาวอังกฤษที่เดินทางไปเสี่ยงโชคในเบลเยี่ยมหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นักข่าวสาวชาวอเมริกันในยุคที่โลกกำลังรุ่มร้อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยการผจญภัยของชีวิตบรรณาธิการชราที่หนีการไล่ล่าของแก๊งค์มาเฟีย คำสารภาพว่าด้วยปลดแอกจากการเป็นทาสของมนุษย์สังเคราะห์ชาวเกาหลีในโลกอนาคต และเรื่องเล่าข้างกองไฟว่าด้วยเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในโลกยุคหลังการล่มสลายของอารยธรรมจากปากผู้เฒ่าชาวเกาะ โดยการดำเนินเรื่องของหนังสือตัดสลับกับไปมาเรียงตามลำดับได้ดังนี้

อดัม -> โรเบิร์ต -> หลุยซา -> ทิมโมธี -> ซอนมี -> แซคารี่ -> ซอนมี -> ทิมโมธี -> หลุยซา -> โรเบิร์ต ->อดัม

สิ่งที่เชื่อมต่อกันของแต่ละเรื่องราวคือปานรูปดาวหางที่มีอยู่ในตัวละครเอกของแต่ละตอน และความเชื่อมต่อของเรื่องราว (ยกเว้นของอดัมซึ่งเป็นต้นเรื่อง) โดยที่โรเบิร์ตพบบันทึกของอดัมในปราสาทเซเดลเกม หลุยซาอ่านจดหมายที่โรเบิร์ตเขียนถึงซิกซ์สมิธ ทิมโมธีอ่านต้นฉบับของนักเขียนคนหนึ่งที่ส่งมาให้เขา และต้นฉบับนั้นเป็นเรื่องของหลุยซา ซอนมีได้ดูหนังที่สร้างมาจากชีวิตของทิมโมธี และแซคารี่นับถือซอนมีเป็นพระเจ้า

ความเห็นส่วนตัว:
เรื่องที่อ่านแล้วให้ความบันเทิงที่สุดคือวิบากกรรมสยองของทิโมธี คาเวนดิช มันช่างเสียดสี ประชดประชัน และฮามาก ไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือสมเพชปู่แกดี เพราะวิบากกรรมแต่ละอย่างนั้นเกิดขึ้นจากตัวแกเองล้วนๆ รองมาคือเรื่องของหลุยซา เรย์ ที่เป็นแนวสืบสวนและเปิดโปงความลับ การไล่ล่าจากนักฆ่าของฝ่ายการเมือง และคำให้การของซอนมี – 451 ที่เขียนในแนวถามตอบ แต่เขียนได้เห็นภาพและวิวัฒนาการของซอนมีได้เป็นอย่างดี

เรื่องที่คิดว่าน่าเบื่อ: เรื่องของอดัม -> โรเบิร์ต -> แซคารี่ อ่านแล้วง่วง

David Mitchell โคตรเก่งอ่ะ เขียนเรื่องแต่ละเรื่องออกมาได้ไม่เหมือนกัน ภาษาที่ใช้ก็ต่างกันตามแต่ละยุค เชิงอรรถนี่ละเอียดยิบน้องๆ งานวิจัย แถมยังมีลูกเล่นที่อ่านแบบเพลินๆ อยู่ดีๆ แล้วตัดฉับไปเรื่องอื่นเฉยเลยซะงั้น เป็นเทคนิคการเขียนที่ทั้งชวนให้ด่าและชวนให้ทึ่ง

ข้อแตกต่างจากในหนัง:
หนังนำเสนออย่างชัดเจนถึงประเด็นกลับชาติมาเกิดของตัวละครแต่ละตัว ซึ่งจะเห็นว่านักแสดงแต่ละคนจะได้รับบททั้งหมด 6 แบบ พวกเขาต้องเล่นเป็นหลากหลายตัวละคร ในแต่ละชาติภพ นักแสดงชาย ต้องแสดงเป็น ตัวละครหญิง หรือแม้แต่ นักแสดงหญิง ก็ต้องเล่นเป็น ตัวละครชาย ทั้ง 6 เรื่องในหนังดัดแปลงและไม่ได้จบแบบในหนังสือ โดยแปลงให้ออกมาจบแบบ Happy Ending

-    อดัม: ตอนจบกลับไปหาเมีย เป็นศัตรูกับพ่อตา และเข้าร่วมการปลดแอกทาสผิวดำ -> ในหนังสือพูดเรื่องนี้แค่นิดเดียว และไม่ได้มีสาระอะไรมากมาย

-    โรเบิร์ต: หนังบอกว่าเป็นไบเซ็กช่วลและเป็นคนรักของซิกซ์สมิธ -> หนังสือไม่ได้บอกอะไรเลย เป็นเพื่อนรักกันเฉยๆ แถมโรเบิร์ตยังแอบเข้าใจผิดคิดว่าลูกสาวของแอร์สหลงรักตัวเองอีกด้วย

-    หลุยซา: ตอนจบได้รายงานของซิกซ์สมิธมาจากหลานสาวที่ชื่อเมแกนมาแบบง่ายๆ -> ในหนังสือนางถูกตามฆ่าหลายรอบมาก กว่าจะได้รายงานมาเลือดตาแทบกระเด็น ยิงกันตายโป้งป้าง

-    ทิโมธี: ตอนจบกลับไปอยู่กับคนรักเก่าแบบ Happy -> ในหนังสือปู่แกก็ยังนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานต่อไป แต่น้องชายที่ส่งแกเข้าบ้านพักคนชราตายแล้ว

-    ซอนมี: มีฉากซ้อนมอเตอร์ไซด์ไล่ล่า ยิ่งดูยิ่งนึกถึง The Matrix Reloaded ตอนที่ทรินิตี้เอาช่างทำกุญแจซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์แล้วขี่ไปหามอเฟียสบนทางด่วน ฉากในเรือหรรษาทำได้สยองดี ตอนจบซอนมีตาย –> ในหนังสือไม่มีฉากไล่ล่า ซอนมีตายเหมือนเดิม แถมในหนังสือยังทำให้เงิบกว่าเพราะซอนมีไม่ได้รักแฮจู-อิม (ในหนังเป็นแฮจู-ชาง) แถมยังรู้ด้วยว่าตัวเองถูกหลอกใช้ – หลอกให้มาตาย

-    แซคารี่: ตอนจบแต่งงานกับเมโรนิม มีลูกหลานหลานคน -> ในหนังสือแซคารี่ไม่ได้แต่งงานกับเมโรนิม (เพราะนางอายุ 50 แล้ว) แถมเรื่องราวที่เล่านั้นลูกหลานแกคิดกว่าแกหลงซะด้วยซ้ำ

ถ้าอยากรู้เรื่องราวในหนังเพิ่มเติม ลองดูได้ที่เว็บนี้ มีคนวิเคราะห์เอาไว้
http://2g.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A13009015/A13009015.html

โหลดหนังได้ที่นี่
http://www.yuriread.com/index.php?topic=1355.msg2012;topicseen#new

เพลง The Cloud Atlas Sextet นี่เพราะจริงๆ นะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 เมษายน 2015 เวลา 17:38:44 nuffy »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.