web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 178
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 173
Total: 173

ผู้เขียน หัวข้อ: Hidden Agenda Chapter 6  (อ่าน 2179 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Hidden Agenda Chapter 6
« เมื่อ: 25 มกราคม 2014 เวลา 08:33:39 »
Chapter 6

“คุณจะพาฉันไปไหนน่ะ” วีนัสตะโกนแข่งกับลมที่พัดตีใบหน้าของเธอ

“คลองหลอด” กี้ตะโกนกลับมา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเพราะดาราสาวตะโกนออกมาว่า

“อะไรนะ!”

“เกาะแน่นๆ เถอะน่า เดี๋ยวถึงแล้วก็รู้เอง” สาวเซอร์ตะโกนตอบแล้วบิดคันเร่ง

หลังจากที่ช่วยกันเก็บผ้าเข้าไปพักไว้ที่ชั้น 2 และแยกผ้าของลูกค้าแต่ละรายให้อยู่ในกองเดียวกันเรียบร้อยแล้ว กี้ก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อและเดินออกมาจากบ้านพร้อมสะพายกระเป๋า เธอปฏิเสธที่จะขึ้นรถคันหรูของดาราหน้าหวาน แต่กลับดึงมืออีกฝ่ายไปที่ข้างบ้านแทน

“แต่น แต้น... ขอแนะนำให้รู้จักมิสเตอร์ลุงเชย... ลุงเชยนี่ดาว ดาวนี่ลุงเชย” สาวเซอร์ผายมือไปที่มอเตอร์ไซด์รุ่นเก่าสีน้ำตาลดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างตึก

“ลุงเชยเหรอ...”

“อื้อ นี่แหละลุงเชย แล้วลุงเชยก็จะพาพวกเราไปข้างนอกในวันนี้ มาเถอะ อย่าปล่อยให้ลุงแกรอนาน เดี๋ยวแกจะงอแง” กี้ยื่นหมวกกันน็อคให้กับอีกฝ่ายแล้วรีบเดินไปไขกุญแจแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที 

“เร็วสิคุณ” สาวเซอร์ที่กำลังสวมหมวกกันน็อคเร่งอีกฝ่ายที่กำลังยืนทำหน้างง

“อ... อื้อ” วีนัสรีบสวมหมวกแล้วเดินไปซ้อนท้ายรถ

...

และแล้วลุงเชย ซึ่งก็คือมอเตอร์ไซด์รุ่นเก่ายี่ห้อฮอนด้า C70 ของกี้ก็ออกตัวไปตามถนนในซอย หลังจากนั้นก็แล่นเข้าสู่ถนนใหญ่มุ่งเข้าสู่ใจกลางเมือง ดาราหน้าหวานไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหน เธอรู้แต่ว่าเธอได้แต่กอดเอวคนที่อยู่ข้างหน้าแน่นเพราะกลัวตก จนกระทั่ง 40 นาทีต่อมาสาวเซอร์ก็เทียบรถเข้าจอดที่ด้านข้างของโรมแรมรอยัลรัตนโกสินทร์ เมื่อลงจากรถวีนัสก็กลับหลังหัน ภาพที่เธอเห็นนั้นก็คือท้องสนามหลวงยามหัวค่ำ

“คุณๆ ขอหมวกด้วย” กี้ร้องบอกอีกฝ่าย

“อ้ะ... อื้อ” ดาราสาวยื่นหมวกกันน็อคคืนให้

สาวเซอร์เดินเข้ามายืนข้างๆ อีกฝ่าย “อะไรกันทำหน้าตาแบบนั้น ไม่เคยมาสนามหลวงเหรอ”

“เคยแต่นั่งรถผ่าน แล้วก็เคยแต่เข้าไปในวัดพระแก้ว”

“อ่าฮะ... คุณอยากจะเดินก่อนหรืออยากจะหาอะไรกินก่อนล่ะ”

“เดินเหรอ...” วีนัสถามด้วยความไม่เข้าใจ

“อื้อ... หรือว่าหิวแล้ว”

“ฉันยังไม่หิว เดินก่อนก็ได้”

“โอเคงั้นไปกัน”

กี้เดินจูงมือดาราสาวข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีผู้คนหนาตา เมื่อเดินไปถึงแล้วเธอก็เปิดกระเป๋าหยิบไฟฉายกระบอกเล็กออกมา 2 กระบอก แล้วยื่นกระบอกหนึ่งให้กับวีนัส

“อ้ะ เผื่อสนใจอยากจะซื้ออะไร”

ดาราหน้าหวานรับไฟฉายมาแบบงงๆ แล้วก็ออกเดินตามอีกฝ่ายไป

สถานที่ๆ สาวเซอร์พาวีนัสมานั้นคือตลาดนัดคลองหลอด ตลาดนัดที่เกิดขึ้นหลังจากที่กรุงเทพมหานคร มีนโยบายปรับปรุงภูมิทัศน์สนามหลวง ทางกรุงเทพฯ จึงเปิดตลาดเพื่อรองรับและเยียวยาพ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดสนามหลวงที่ได้รับผลกระทบ ตลาดนัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนที่ขนานไปกับคลองคูเมืองเดิมตลอดทั้งสาย วีนัสสังเกตว่าของที่ขายที่ตลาดนัดแห่งนี้เกือบทั้งหมดจะเป็นของมือสองที่มีตั้งแต่หนังสือ พระเครื่อง รองเท้า เสื้อผ้าแนวเร็กเก้ เครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เกมส์เก่า กระเป๋า ของเล่น ของแต่งบ้าน โปสเตอร์หนังมากมายนับไม่ถ้วนและที่ไม่สามารถระบุประเภทได้อีกเป็นกระตั๊ก

“คุณจะมาซื้ออะไรเหรอ” ดาราสาวถาม

“เรื่อยๆ ยังไม่ได้คิด เดินๆ ดูไปก่อน”

“คุณชอบของเก่า ของมือสองเหรอ”

“ก็ไม่เชิงหรอกแต่ก็แค่มีความหลังกับที่นี่... หมายถึงเคยเอาของมาขายที่สนามหลวงน่ะ อีกอย่างของที่นี่ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร เลือกดีๆ ก็จะได้ของดีไปเลยแถมของบางอย่างที่คุณไม่คิดว่าจะเจอ คุณก็อาจจะเจอมันที่นี่ก็ได้”

“เหรอ... น่าสนใจแฮะ เหมือนเลือกของใน Flea Market (ตลาดนัดขายของเก่า) หรือ Yard Sale (การขายของมือสองโดยวางสินค้าขายที่สนามหน้าบ้าน) เลย”

“ก็ประมาณนั้นแหละ อ้ะ... คุณว่าอันนี้ดีมั้ย” กี้หยิบกระเป๋าสะพายข้างหนังแท้โชว์ให้วีนัสดู ราคาที่ติดไว้ถูกมากทั้งๆ ที่เป็นหนังแท้ นั่นคือ 100 บาท

“สวยดี”

“ไหนขอดูหน่อยซิ” สาวเซอร์เปิดกระเป๋าแล้วเอาไฟฉายส่องดูด้านใน หลังจากนั้นก็วางแล้วบอกกับคนขายว่า “ขอบคุณค่ะ”

ดาราหน้าหวานเดินตามอีกฝ่ายออกจากหน้าร้านขายกระเป๋าแล้วถามว่า “ไม่ซื้อเหรอ”

“ข้างในมันมีรูน่ะ ดูอย่างอื่นดีกว่า”

สองสาวเดินต่อไปได้สักพักหนึ่งกี้ก็ตรงปรี่ไปที่แผงขายของแผงหนึ่งที่มีคุณลุงแก่ๆ เป็นเจ้าของร้าน

“โว้ว เจอแล้วมือถือในตำนาน” สาวเซอร์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา มันคือโนเกีย 3310

เมื่อเห็นของในมืออีกฝ่ายดาราสาวถึงกับหัวเราะออกมาทันที “คุณจะซื้อไปทำอะไรน่ะ มือถือคุณก็มีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่นะ... แต่ก็อยากได้” กี้พูดเสียงอ่อยพลางพลิกโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นไปมา แต่แล้วก็วางลง

“อ้าว ไม่เอาแล้วเหรอ”

“ไม่เอาแล้ว มันก็จริงอย่างที่คุณว่า ฉันมีของฉันอยู่แล้วจะซื้อทำไม ไปเถอะ”

เดินต่อไปได้อีกสักพัก สิ่งที่สะดุดตาของสองสาวให้ยืนเลือกและยืนดูอยู่นานคือร้านขายหนังสือมือสองและร้านขายซีดีเก่า วีนัสยืนส่องไฟฉายเลือกหนังสือภาษาอังกฤษมือสองอยู่นานส่วนสาวเซอร์ก็ยืนเลือกซีดีเพลงเก่าที่ตั้งร้านอยู่ข้างๆ ร้านขายหนังสืออยู่นานเช่นเดียวกัน

“ได้มาหลายเล่มเหมือนกันนะเนี่ย” กี้แซวดาราสาวที่กำลังจ่ายเงินซื้อหนังสือภาษาอังกฤษทั้งหมด 5 เล่มด้วยกัน

“จริงอย่างที่คุณพูดเลย ของบางอย่างที่ไม่คิดว่าจะเจอ อาจจะเจอที่นี่ก็ได้... ฉันหาหนังสือพวกนี้มานานแล้วตั้งแต่อยู่อเมริกา ไม่คิดว่าจะมาเจอที่นี่”

“เหรอ... ดีใจด้วยนะ”

“แล้วคุณได้อะไรมาล่ะ”

“ก็ซีดีเพลง แต่ก็แค่แผ่นเดียว”

สองสาวเดินไปเรื่อยๆ ซึ่งวีนัสก็ได้เสื้อยืดลายเรทโทรมาอีก 1 ตัว ส่วนสาวเซอร์ก็ยืนจ้องกีต้าร์โปร่งไฟฟ้ามือสองตัวหนึ่งอยู่นานมาก นานจนอีกฝ่ายทำท่าสงสัย

“อยากได้เหรอ”

“อื้อ”

“แล้วมันราคาเท่าไหร่ล่ะ”

“แพงอยู่ แพงพอๆ กับมือหนึ่งเลย คนขายบอกว่ามันเป็นตัวสุดท้ายที่ทำออกมาในซีรี่ย์นี้ ราคามันก็เลยแพงหูฉี่ ลดให้ไม่ได้” 

ดาราสาวจ้องไปที่กีต้าร์ตัวนั้นอยู่พักหนึ่ง แต่ก่อนที่เธอจะเปิดปากพูดอะไรออกมาเธอก็ถูกอีกฝ่ายดึงมือออกจากหน้าร้านไปแล้ว

“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

กี้จูงมือวีนัสเดินเบียดเสียดผู้คนที่เข้ามาเดินจับจ่ายและเลือกของกันอย่างหนาตามากขึ้น เธอพาดาราสาวตรงไปที่ร้านอาหารตามสั่ง สั่งอาหารแล้วก็นั่งกินข้าวด้วยกัน หลังจากนั้นก็ซื้อของกินเล่นพร้อมน้ำดื่มแล้วข้ามถนนไปที่สนามหลวง

“โอ้ย เมื่อยๆๆ” สาวเซอร์บ่นหลังจากทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าของสนามหลวงโดยมีดาราหน้าหวานนั่งลงข้างๆ เธอ

วีนัสหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เปิดโหมดกล้องถ่ายรูปแล้วกดชัตเตอร์ ภาพที่เธอถ่ายและภาพที่เธอเห็นเบื้องหน้าคือวัดพระแก้วและพระบรมหาราชวังยามค่ำคืนที่สวยงามด้วยไฟสีเหลืองนวล หลังคาของอาคารภายในวัดและวังที่ต้องแสงไฟนั้นส่องประกายระยิบระยับตัดกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

“เพิ่งเคยมาที่นี่ตอนกลางคืนเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย... คุณนี่ช่างสรรหาที่ปลอบใจฉันจังเลย” ดาราหน้าหวานพูด

“ใครบอกว่าฉันหาที่ปลอบใจคุณ ก็แค่อยากหาเพื่อนมาเดินดูของก็เท่านั้นเองแหละ”

“เหรอ... แต่ก็ขอบคุณนะ”

กี้พูดขึ้นมาทันทีว่า “ขอบคุณทำไม...”

“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้คุณสักหน่อย” วีนัสประสานเสียงพูดพร้อมกับคนที่นั่งข้างๆ “ฉันรู้อยู่หรอกน่าว่าคุณจะต้องพูดแบบนี้... ถึงคุณจะคิดว่าคุณไม่ได้ทำอะไรให้ฉัน แต่ฉันก็รู้สึกว่าคุณก็ช่วยฉันไว้หลายครั้งอยู่นะ”

“เหรอ... ตอนไหนล่ะ ไม่เห็นจะจำได้เลย” สาวเซอร์พูดพลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มมุมปาก

ดาราสาวยิ้มตอบ “ก็หลายครั้งอยู่แหละน่า... อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ฉันได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก”

“พูดถึงครั้งแรก” กี้ขยับตัวเข้าใกล้อีกฝ่าย “จะว่าไป... ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันคุณพูดคำว่าครั้งแรกหลายครั้งมากเลยนะ”

“เหรอ... เช่นอะไรบ้างล่ะ” ดาราหน้าหวานขยับตัวเข้าหาสาวเซอร์เช่นเดียวกัน

“ก็อย่างเช่นกินจิ้มจุ่ม... มาตลาดนัด มาสนามหลวงตอนกลางคืน แล้วก็ร้องไห้ให้คนอื่นเห็น... แปลกอยู่นะเนี่ย”

“อะไรแปลกเหรอ”

“ก็ร้องไห้ให้คนอื่นเห็นนี่ไง ถามจริงๆ เถอะคุณไม่เคยร้องไห้ให้พ่อกับแม่ของคุณเห็นหรือร้องไห้ให้แฟนของคุณเห็นบ้างเหรอ” กี้ถามพลางมองหน้าอีกฝ่าย เธอยิ้มเล็กน้อยให้กับดาราสาว

วีนัสหลบสายตาของคนที่นั่งข้างๆ แล้วยกมือเอาผมขึ้นทัดหู “จริงๆ แล้วฉันเป็นคนร้องไห้ยากนะ”

“ร้องไห้ยากเหรอ... ไม่น่าเชื่อ คุณได้ฉายาว่าสาวเจ้าน้ำตาไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่มันก็แค่งานนั่นแหละที่ร้องไห้ได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนั้นก็เพราะเรียนการแสดงเอาน่ะ ตอนเล่นละครแรกๆ น่ะนะทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ความรู้สึกของตัวละครก็ไม่อิน จำได้ว่าโดนผู้กำกับดุหลายรอบมาก เล่นก็แข็งด้วยเพราะไม่รู้จะขยับตัวยังไง กลัวขยับผิดขยับถูกเดี๋ยวจะผิดคิวอีกเลยไม่กล้าขยับตัวมากแต่พอไม่ขยับก็ยิ่งแสดงแข็งไปกันใหญ่เลย แต่ก็ค่อยๆ เรียนรู้เอาน่ะว่าควรจะต้องทำยังไง เป็นยังไง”

“อ่าฮะ... แล้วไงต่อ”

“ส่วนเรื่องที่คุณถาม เรื่องร้องไห้... ฉันเป็นคนที่มีอะไรแล้วชอบเก็บไว้กับตัวเองนะ ไม่ค่อยบอกใคร เพราะถึงที่บ้านฉันจะสนิทกันแต่ก็แค่ระดับนึงเท่านั้น ถึงจะสนิทกับพ่อกับแม่แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรมาก เพราะมันมีช่องว่างอยู่ ประมาณว่ายังไงซะเค้าก็เป็นพ่อเป็นแม่ ฉันเป็นลูกก็ต้องเชื่อฟังพวกเค้า ฉันเองก็ทำแบบนั้นกับน้องเหมือนกัน”

“คุณมีน้องด้วยเหรอ”

“อื้อ น้องสาวน่ะ ตอนนี้ก็ยังอยู่อเมริกา ยังเรียนไม่จบ”

ดาราหน้าหวานถอนหายใจ “ตอนที่ฉันเรียน High school ด้วยความที่ว่าเพิ่งย้ายเข้าไปใหม่ ต้องไปปรับความรู้ใหม่ทั้งหมด ภาษาที่เคยได้ก็ฝืดๆ เลยโดนแกล้งเยอะ แถมยังเป็นเด็กเอเชียคนเดียวในคลาสด้วยก็เลยถูกแกล้ง แต่ก็ไม่หนักมากหรอกนะพอทนได้ ช่วงนั้นพ่อกับแม่ทำงานหนักก็เลยมีเวลาคุยกันน้อย ฉันก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเอง ที่สูบบุหรี่เป็นก็เพราะอยู่คนเดียวนี่แหละไม่มีอะไรทำก็เลยลองหัดสูบดู... ตอนนั้นฉันหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน อยู่โรงเรียนก็ไปนั่งแอบอยู่ตามมุมห้อง ห้องสมุด โรงยิม เวลาดีใจก็ดีใจกับตัวเอง ร้องไห้ก็ร้องไห้กับตัวเอง เป็นแบบนี้มาตลอด ฉันถึงกล้าพูดยังไงล่ะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันร้องไห้ให้คนอื่นเห็น”

“อื้อ... เข้าใจแล้ว”

สองสาวนั่งเงียบกันไปอีกพักหนึ่งแล้ววีนัสก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันถามอะไรคุณหน่อยได้มั้ย”

“เอาสิ... ว่ามา”

“ทำไมคุณถึงชื่อกี้ล่ะ”

สาวเซอร์ยิ้ม “เปลี่ยนคำถามได้มั้ย อันนี้ไม่เอาอ่ะ พูดแล้วคุณก็จะหัวเราะ”

“เล่าสิ เล่าหน่อยน้า... นะคะ น้า...” ดาราหน้าหวานพูดด้วยเสียงอ่อนหวานพร้อมทำสายตาอ้อนๆ ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่า

“ก็ได้ๆ... ก็ง่ายๆ เหมือนชื่อคุณนั่นแหละ พี่ชายฉันชื่อป๊อก”

“ป๊อกเหรอ...” วีนัสพูดทวนพลางทำท่าคิด “ป๊อกกับกี้... เอ้ะ! ป๊อกกี้!”

กี้หัวเราะ “ใช่ ป๊อกกี้”

“แม่คุณชอบกินป๊อกกี้หรือยังไง ถึงตั้งชื่อลูกออกมาเป็นแบบนี้”

“ไม่รู้สิ ไม่เคยถาม แต่น้าเล่าให้ฟังว่าตอนแม่ท้องฉัน แม่ชอบกินป๊อกกี้ พอคลอดฉันออกมาตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะให้ชื่ออะไรพอหันไปเจอพี่ชายฉันที่ชื่อป๊อกก็เลยตั้งชื่อฉันว่ากี้”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากอีกฝ่ายดาราสาวหัวเราะร่วน เธอซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายแล้วหัวเราะออกมา เสียงคิกคักของคนข้างๆ ทำให้สาวเซอร์ใช้มือตีหัวของอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“แล้วทำไมพี่ชายคุณถึงบวชล่ะ... ที่คุณพูดตอนที่อยู่ในห้องหมายถึงพี่ชายคุณบวชตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ” ดาราหน้าหวานถามต่อหลังจากพักเหนื่อยจากการหัวเราะเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เคยถามนะ แต่ก็คงจะเป็นแบบนั้นมั้ง... บวชตลอดชีวิต” กี้ตอบพลางมองตรงไปที่วัดพระแก้ว “ถ้าจะถามเหตุผลที่เค้าบวชก็คงเป็นเพราะรู้สึกผิดละมั้ง”

“รู้สึกผิด... ทำไมล่ะ”

“เค้าคงคิดว่าเค้าเป็นคนที่ทำให้พ่อกับแม่ตาย”

คำตอบของสาวเซอร์ทำเอาอีกฝ่ายอึ้งไปเลย วีนัสอ้าปากค้างเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น กี้หันมามองเธอแล้วใช้มือดันคางของเธอขึ้น

“อ้าปากแบบนั้นเดี๋ยวยุงก็เข้าหรอก” กี้พูดแบบไม่สนปฏิกิริยาของคนข้างๆ “ประมาณว่าเค้าเป็นคนขับรถพาพ่อกับแม่กลับจากบ้านญาติน่ะ ดูเหมือนว่าจะเมานิดๆ ง่วงด้วย ขับไปขับมาอีท่าไหนก็ไม่รู้เอารถลงข้างทาง พอมารู้สึกตัวอีกทีพ่อกับแม่ก็ไปแล้ว”

“เสียใจด้วยนะ ช่วงนั้นคุณคงรู้สึกแย่มาก”

“ก็ไม่แย่เท่ากันช่วงที่จัดงานศพหรอก... คุณคงคิดว่ามีคนมาทวงหนี้ในงานศพมันเป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ในหนังหรือละคร ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันเกิดขึ้นจริง เจ้าหนี้ที่ไหนก็ไม่รู้มากันให้เต็มไปหมด ทั้งที่รู้จัก ไม่รู้จัก เป็นญาติกันก็มี”

“แล้วตอนนั้นคุณทำยังไงล่ะ ญาติของคุณช่วยหรือเปล่า”

สาวเซอร์ส่ายหน้า “ไม่มีใครช่วยเลยสักคน มีแค่พี่ชายฉัน ฉัน แล้วก็น้ากานที่ทำทุกอย่าง พูดง่ายๆ เลยว่าพวกเราต้องขายบ้าน ขายรถ ขายที่ๆ ต่างจังหวัดใช้หนี้แทนพ่อกับแม่ ไม่เว้นแม้แต่เงินประกันชีวิตที่ได้มาก็ต้องให้เขาไปหมด พูดง่ายๆ ก็คือหมดตัว สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่ร้านซักรีดของแม่ที่ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมขายกับลุงเชยที่เป็นของพี่เท่านั้นแหละ”

“ทำไมไม่มีใครช่วยคุณเลยล่ะ” ดาราหน้าหวานถามด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ “ทำไมพวกญาติๆ คุณถึงไม่ช่วยล่ะ”

“พวกญาติๆ น่ะตัวดีเลย มาถึงยังไม่ทันจะจุดธูปไหว้ศพก็ถามหาเรื่องเงินที่พ่อกับแม่เคยยืมไป พอบอกว่าไม่รู้เรื่องก็ไปรื้อของที่บ้าน จนน้ากานต้องแจ้งความถึงจะยอมถอย... ตอนนั้นฉันยังเรียนไม่จบ เด็กอย่างฉันจะไปทำอะไรได้นอกจากรอให้งานเผากับเก็บกระดูกเสร็จก่อนแล้วค่อยมาคิดหาวิธีดิ้นรนกันเอาทีหลัง แต่ก็โชคดีที่กู้เงินรัฐบาลเรียนก็เลยไม่ต้องกังวลกับค่าหน่วยกิจกับค่าใช้จ่ายในการเรียน ตอนนั้นฉันทำงานพิเศษทุกอย่าง ทั้งยืนแจกใบปลิวตามสะพานลอย ยืนถือป้ายโฆษณาคอนโดตามข้างทาง เดินแจกโบชัวร์ลดราคาของห้างฯ ตามหมู่บ้าน แล้วก็เอาของเก่าๆ ที่ค้นๆ เจอในบ้านมาขายที่นี่... ตรงนั้นที่ประจำของฉันเลย...” กี้ชี้ไปที่มุมด้านหนึ่งของสนามหลวงด้านที่มองเห็นรูปปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม

“ทั้งเรียนทั้งทำงานไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ รับจ้างเพื่อนทำรายงานก็ยังเอาเลยจนพอมีเงินเก็บได้บ้าง แล้วก็ใช้เงินส่วนนี้ช่วยน้ากานเรื่องทำร้านกับสมัครงานหลังเรียนจบ”

วีนัสมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ทั้งทึ่งและทั้งประทับใจ

“ส่วนพี่ป๊อก... หลังจากงานศพ เขาก็ทำงานเก็บเงินช่วยฉันอยู่พักนึงแล้วก็โดนเกณฑ์ทหาร พอปลดประจำการออกมาก็ขอบวชแล้วก็ไม่สึกอีกเลย” สาวเซอร์เล่าถึงพี่ชายของตัวเองเพียงเท่านี้

“แล้วคุณผ่านช่วงแย่ๆ แบบนั้นมาได้ยังไง ฉันว่ามันเลวร้ายมากเลยนะ คุณยังยิ้มยังหัวเราะอยู่แบบนี้ได้ยังไงกันเหรอ” ดาราสาวถาม

“ก็แค่คำๆ เดียว ช่างแม่ง”

“แค่นั้นเองเหรอ” วีนัสถามต่อ

“อื้อ... แค่นั้น... มันก็แค่ปล่อยวางนั่นแหละ ปล่อยมันไป ถ้าไปยึดติดอะไรมันมากมันก็จะทำให้เครียด ทำให้เสียใจ เพราะงั้นฉันถึงไม่คาดหวังกับอะไร ไม่ได้สนใจอะไร อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ได้เงินหรือไม่ได้เงินถ้าฉันอยากทำฉันก็จะทำ”

“งั้นแสดงว่าตอนนี้คุณเห็นว่าเงินไม่ใช่อะไรที่สำคัญงั้นเหรอ”

สาวเซอร์ยิ้ม “เงินเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิต ถ้าไม่มีมันฉันก็คงไม่มีอะไรกิน ฉันสิ่งที่ฉันพูดหมายถึงความสุขของฉันไม่ได้วัดจากเงิน ความสุขฉันคือการได้ทำสิ่งที่รัก ฉันชอบงานแบบนี้นะ ไปพบปะเจอะเจอผู้คน ไปในที่ๆ คนอื่นๆ เค้าไม่ไปกันถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เรียนจบมาตรงสายก็ตามที”

“บางทีคุณก็พูดอะไรที่อาร์ตๆ ติสต์ๆ เข้าใจยากเหมือนกันนะ ฟังดูแล้วมันแตกต่าง ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เลย” ดาราหน้าหวานพูดยิ้มๆ “คุณเรียนจบอะไรมาเหรอ”

กี้หัวเราะ “เชื่อมั้ยว่าจบฟู้ดไซน์...”

“ไม่เชื่อ... ไม่มีเค้าเลยสักนิด” วีนัสพูดพลางหัวเราะตามไปด้วย

“แล้วฉันบอกตรงๆ เลยนะว่าฉันไม่ได้อาร์ต ไม่ได้ติสต์อะไรขนาดนั้น ฉันเป็นแค่คนธรรมดา... แต่ที่คุณเห็นว่าฉันแตกต่างอาจเป็นเพราะคุณ หรือคนอื่นๆ ต่างหากที่มองหาสิ่งพิเศษมากเกินไป... ก็เลยคิดว่าฉันต่างจากพวกคุณ”

“ก็คงจะอย่างงั้นมั้ง พูดแบบนี้ก็หมายถึงแล้วคนเรามีหลักเกณฑ์ในการใช้ชีวิตไม่เหมือนกันใช่มั้ย”

“ใช่... คุณก็อาจเป็นแบบนึง ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ คนเราหาความสุขใส่ตัวได้ไม่เหมือนกัน”

“แล้วความสุขของคุณคืออะไรเหรอ” ดาราหน้าหวานถาม

“ก็แบบนี้แหละ เพราะฉันเอาตัว พ. พาน กับ อ. อ่างมาเจอกันแล้ว”

วีนัสเลิกคิ้ว “พ. พาน กับ อ. อ่าง มันคืออะไรเหรอ”

“ก็คำว่า ‘พอ’ ไง... สำหรับฉันเท่านี้ก็พอแล้วล่ะ”

“พอเหรอ... งั้นขอถามหน่อยสิ... คุณไม่คิดที่จะมีคนรักหรือมีแฟนกับเค้าบ้างเลยเหรอ”

“ก็อย่างที่บอก เห็นคนอื่นมีแล้วก็ปวดหัว อยู่คนเดียวดีกว่า”

ดาราสาวเท้าคางมอง “ไม่เคยมีด้วยเหรอ”

“เคย แต่ไม่ไหว”

“ทำไมล่ะ”

“คุณนี่เป็นเจ้าหนูจำไมเหมือนกันนะ” สาวเซอร์แซว “ก็เคยมี เคยคบกันตอนสมัยเรียน... ก็ถึงขั้นจริงจังพอสมควรนะ แต่พอคบกันไปได้พักนึงลายก็เริ่มออก”

“แบบไหนล่ะ เจ้าชู้ หรืออย่างอื่น”

“เรื่องเจ้าชู้ไม่กลัวหรอก แต่อย่างอื่นมากกว่า... มารู้ทีหลังว่าเป็นแอลกอฮอลิค ติดเหล้างอมแงม ติดพนันด้วย คนแบบนี้อยู่ด้วยกัน คบกันก็มีแต่ล่มจม ไปกันไม่รอดแน่ๆ ก็เลยเลิก”

“แล้วตอนนั้นเสียใจมั้ย”

“ไม่เลย... ถ้าเรื่องเสียใจที่บอกเลิกน่ะไม่เลย แต่เสียใจที่ทำไมไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้ ไม่ให้ติดเหล้าหรือถลำลึกมากไปกว่านี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้”

“แล้วตอนนี้รู้มั้ยว่าเค้าอยู่ที่ไหน คนที่คุณเคยคบน่ะ”

“รู้... ไปอยู่เป็นเพื่อนคุยพ่อกับแม่ฉันแล้วไง ตายไปเมื่อปีที่แล้ว... ตับแข็งกับมะเร็งลำไส้ใหญ่”

วีนัสยิ้มแล้วเอนตัวพิงอีกฝ่าย “คุยกับคุณแล้วทำไมรู้สึกว่าคุยเรื่องเครียดๆ แล้วมันกลายเป็นไม่เครียดไปได้ล่ะเนี่ย”

“อาจเป็นเพราะพื้นฐานฉันเป็นคนไม่คิดอะไรมากมั้ง โอเคกับทุกอย่างที่เข้ามา”

“งั้นก็คงผิดกับฉันที่เก็บกด เครียดง่ายละสิเนี่ย ยิ่งมาทำงานในวงการยิ่งปรับตัวแทบไม่ทัน ชีวิตมันตรงข้ามกับที่เคยอยู่ที่อเมริกามากๆ ดูวุ่นวาย เยอะแยะไปหมดเลย รู้มั้ยว่า... จากปกติฉันเป็นคนไม่แต่งตัวเยอะนะ พอมาทำงานแบบนี้ก็ต้องแต่งตัวแต่งหน้าออกจากบ้านตลอด ทุกอย่างเข้ามารวดเร็วมากจนบางทีก็รับไม่ได้ปรับตัวไม่ทัน”

“เฮ้อ... มันก็พูดยากนะเรื่องแบบนี้ แต่ละคนก็มีปัญหาของตัวเอง”

“ใช่ ยิ่งตอนนี้นะ อะไรก็ไม่รู้ Hidden agenda เยอะไปหมด โดนห้ามทุกอย่างไปหมด ต้องอย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้นบางอย่างที่เคยทำได้แต่พอมาตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว บางทีก็โมโหนะแบบว่า... แล้วจะให้ฉันทำยังไง” ดาราหน้าหวานพูดเน้นเสียงในประโยคสุดท้าย ซึ่งก็ทำให้ผู้ฟังยิ้มออกมา

“รู้มั้ย... ที่ฉันบอกคุณว่าฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าฉันเป็นดาราก็เพราะว่าฉันเคยนัดเพื่อนที่เป็นผู้ชายออกไปกินข้าวข้างนอก พอมีคนจำได้ก็เข้ามาขอถ่ายรูป พอจะคุยอะไรกันก็เลยต้องคอยระวัง พอกลับถึงคอนโด ก็ต้องจอดรถคุยกับเพื่อนหน้าคอนโดเพราะโดนสั่งห้ามไม่ให้เพื่อนผู้ชายขึ้นไปบนห้อง พอคุยนานยามก็มาเคาะประตูแล้วก็มองฉันแบบจับผิด พอแม่มาหาฉันเค้าก็ไปฟ้องแม่ว่าฉันมีผู้ชายมาส่งตลอดเลยไม่ซ้ำหน้าด้วย ฉันก็... เฮ้อ...”

ดาราสาวเงียบไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “บางทีฉันก็มานั่งถามตัวเองว่าฉันต้องหยุดทุกอย่างที่เคยทำให้มีความสุขเพื่องานขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก... ฟังไปฟังมาคุณนี่ดูจะกลายเป็นนางร้ายมากกว่านางเอกแล้วนะเนี่ย”

วีนัสหัวเราะร่า “นี่แหละวีนัสตัวจริงล่ะ ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้นี่แหละ ก็คิดว่าถ้ามันยุ่งยากนักฉันก็คงจะอยู่แค่ถึงจบสัญญา มันก็แค่ 5 ปีอีกแค่ปีครึ่งก็จะหมดแล้ว จากนั้นก็จบกัน... แล้วฉันก็จะไปหาอะไรทำที่รู้สึกมีความสุขอย่างที่คุณว่าก็เป็นได้”

“งั้นก็ดีนะ... เพราะคนเรามันก็เท่านี้แหละ ถ้าไม่ใช่ชีวิตให้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วต้องนั่งทนทุกข์ต่อไปก็ไม่ไหว” กี้หันมายิ้มให้

“อื้อ... แต่ตอนนี้ฉันก็คิดว่าฉันจะทำตามแบบคุณบ้างแล้วแหละ... โดยเฉพาะกับเรื่องของจอม” ดาราหน้าหวานพูดแล้วส่งยิ้มหวานๆ ให้อีกฝ่าย

“ว่าอะไรเหรอ”

“ก็... ช่างแม่ง” วีนัสพูดแล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน



วันนี้เป็นวันเปิดกล้องของภาพยนตร์เรื่อง ‘สะดุดหลุม... มาเจอรัก’ หนังโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องใหม่ของบริษัท GNN โดยมีนางเอกคือเอ ดาราสาวหน้าเกาหลี ส่วนพระเอกคือเบส นักร้องหนุ่มคิ้วเข้มของค่ายที่เพิ่งจะมาเล่นหนังเป็นเรื่องแรกเช่นเดียวกับวีนัส ฉากที่ถ่ายในวันนี้คือฉากที่พระเอกและนางเอกได้พบกันครั้งแรก โดยคนที่เข้าฉากนั้นนอกจากพระเอกและนางเอกแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทของนางเอกและนักแสดงประกอบอีกหลายคน

“เอาๆ จะเริ่มถ่ายกันแล้วนะครับ เงียบด้วยนะค้าบบบบ” ชาญ ผู้ช่วยผู้กำกับตะโกนบอกทุกคน

“เทป...” ผู้ช่วยผู้กำกับ ว. ถามทีมงานที่คุมเครื่องเสียง

“Speed”

“กล้อง...” ชาญ ว. ถามทีมกล้อง

“Speed” ตากล้องตอบ

“ซีน 7 คัท 1 เทค 1” ทีมงานหญิงที่ถือเสลทบอกกับทุกคน

“แอ๊คชั่น” อ๊อดตะโกนบอก

ฉากนี้เริ่มขึ้นด้วยพริม ซึ่งรับบทโดยเอ และกี้ ซึ่งรับบทโดยวีนัสกำลังเดินคุยกันระหว่างที่กำลังจะเดินกลับออฟฟิศ ซึ่งระหว่างที่สองสาวคุยกันอยู่นั้นนางเอกของเรื่องก็สะดุดกับหลุมที่อยู่บนทางเท้าอันเกิดมาจากการปูอิฐตัวหนอนที่ไม่เสมอกันของผู้รับเหมาที่กรุงเทพฯ จ้างมา จนทำให้เธอเซและกำลังจะล้มลงไปกับพื้น (ตัดเป็นภาพสโลว์) แต่แล้วก็มีมืออันแข็งแรงของผู้ชายคนหนึ่งมารับเอาไว้ทัน

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เบสในบทของพล พระเอกของเรื่องพูดพลางส่งตาหวาน

และแล้วสองหนุ่มสาวก็หยุดนิ่งและสบสายตาปิ๊งๆ ให้แก่กันและกัน เป็นจุดเริ่มต้นของความรัก (เสียงเพลงประกอบแบบโรแมนติกดังขึ้น) แต่แล้วก็มีเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาว่า

“ถึงจะมองตากันอยู่นานเหมือนฉากในละครน้ำเน่าหลังข่าวแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมถึงขนาดจิกหมอนเหมือนตอนดูละครหรอกนะ” ดาราหน้าหวานที่รับบทเป็นกี้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ

“เอ่อ... ขอบคุณค่ะ” พริมรีบดันตัวขึ้นมาแล้วหันไปกล่าวของคุณกับชายหนุ่มที่เข้ามาช่วย

“ยินดีครับ” พลยังคงส่งสายตาหวานๆ ให้กับอีกฝ่ายอยู่

กี้เดินนำหน้าเพื่อนขึ้นบันไดแล้วหันมาพูดว่า “ไปได้แล้วแก ได้เวลาเข้างานแล้ว”

“อื้อ...” นางเอกยังยืนนิ่ง แล้วส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ค่อยๆ เดินจากไป

“เอ๋า... ยังจะยืนอยู่อีก ไม่เดินสะกดรอยตามเค้าไปเลยล่ะ” เพื่อนสาวพูด

“แกอ่ะ... แกคิดว่าเค้าชอบฉันมั้ย”

“ไม่รู้ดิ... รู้แต่ว่าถ้าแกยังจะมัวยืนอยู่ตรงนี้ก็ยืนคนเดียวก็แล้วกัน ไปล่ะ” ดาราหน้าหวานเดินขึ้นบันไดไป

พริมรีบวิ่งตามขึ้นไปทันที “เฮ้ยกี้! รอก่อนดิ”

เมื่อถึงตัวเพื่อนสาวแล้ว นางเอกของเรื่องก็รีบกระซิบถามทันที “เฮ้ยแก เมื่อกี้ที่ฉันอ่อยอ่ะ คิดว่าได้ผลมั้ย”

เพื่อนสนิททำหน้าเบื่อๆ “อ่อยแบบนี้มากี่ครั้งแล้วล่ะ เห็นชวดทุกราย ฉันว่าแทนที่แกจะคิดหาวิธีมีแฟนด้วยวิธีการนี้ต่อไปละก็ อีกหน่อยแกคงเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันแน่ๆ”

“โหย... อย่าพูดแบบนั้นสิเพื่อนร้ากกกก ฉันคิดว่าคนนี้น่าจะติดกับหลุมที่ฉันขุดเอาไว้แล้วล่ะ”

“ให้มันแน่เหอะ ถ้าติดขึ้นมาจริงๆ ฉันก็จะไปอุดหลุมนั่นเอง เดินสะดุดอยู่ได้ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือยังไง” กี้พูด

“คัททททททททททท” เสียงของอ๊อดดังขึ้น “โอเคครับ ผ่าน”

ดาราทุกคนปรบมือ ซีนนี้เทคเดียวผ่าน คำพูดของผู้กำกับทำเอาวีนัสเอ๋อไปเลยทีเดียว เพราะเธอไม่คิดว่าจะผ่านได้ง่ายๆ ถึงขนาดนี้

“น้องนัสเล่นโอเคเลยนะ แบบนี้เลยที่พี่อยากได้” อ๊อดบอกกับดาราหน้าหวานระหว่างที่กำลังดูเทปที่อัดไว้เมื่อครู่

“ขอบคุณค่ะ” วีนัสยิ้มกว้าง

ระหว่างที่กำลังเตรียมถ่ายในซีนต่อไปนั้น ดาราสาวก็ได้ยินเสียงคนเรียก “น้องนัสๆ”

“คะ...” เมื่อวีนัสหันไปก็พบกับสายป่านที่แอบวิ่งมานั่งข้างๆ เธอ “พี่ป่านมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“พี่แค่จะมาบอกว่า Good Job” สาวแว่นตอบพลางยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองมือ “เล่นได้เหมือนแบบที่พี่คิดเลย... สุดยอดดดดดด”

“ขอบคุณค่ะ... จริงๆ แล้วนัสต้องขอบคุณพี่ป่านมากกว่านะคะที่ทำให้นัสได้เจอกับต้นแบบ เพราะนัสคิดว่าขานั้นน่ะสุดยอดกว่าที่คิดมากเลย”

“จริงเหรอ... คุณกี้ตัวจริงน่ะนะ” นักเขียนบทพูดด้วยน้ำเสียงไม่น่าเชื่อ “กวนๆ แบบนั้นน่ากลัวออก พี่ยังไม่กล้าเข้าไปคุยด้วยเลย”

ดาราหน้าหวานหัวเราะ “ไม่หรอกค่ะ ถึงเค้าจะกวน แต่ก็คุยกันรู้เรื่องนะคะ ไม่ได้น่ากลัวด้วย”

“เหรอ... ถ้างั้นอ่ะดีแล้ว น้องนัสก็คุยกับคุณกี้ไปก็แล้วกัน พี่อ่ะบอกตรงๆ เลยว่าไม่กล้า พี่ไม่ค่อยชอบคนกวนๆ แบบนั้น หมายถึงคนลักษณะแบบคุณกี้น่ะก็เลยไม่กล้าคุย เอ้อ... วันนั้น หมายถึงวันก่อนโน้นด้วยนะที่พี่ทิ้งน้องนัสไว้คนเดียว พี่กลัว”

วีนัสยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ แต่พี่ป่านนี่ก็สุดยอดเลยนะคะ ขนาดไม่กล้าคุยแต่ก็เขียนบทออกมาได้ซะเกือบเหมือนตัวจริงเลย”

สาวแว่นยิ้มแหยๆ “ก็ จินตนาการเอาด้วยแหละ... ว่าแต่น้องนัสมีคิวที่จะต้องไปกับสถาบันฯ เมื่อไหร่อ่ะคะ พี่อยากจะฝากของไปให้ทีมงานซะหน่อย”

“ช่วงนี้ยังค่ะ นัสต้องรอถามพี่จ๋าอีกทีนึง”

“จ้า ไม่เป็นไร งั้นพี่ลองถามคนอื่นๆ ก็ได้ว่าใครไปบ้าง”

“ค่ะ”

อยู่ๆ ก็มีเสียงเป่าปากวี้ดวิ้วดังขึ้นที่หน้ากองถ่ายทำให้สองสาวที่นั่งคุยกันอยู่ต้องหันไปมอง แล้ววีนัสก็พบกับพีท ดาราหน้าตี๋เดินตรงเข้ามาหาเธอพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่

“ได้ข่าวว่าวันนี้เป็นวันเปิดกล้อง ผมเลยเอาดอกไม้มาฝาก... เผื่อจะได้เป็นกำลังใจให้คุณนัสครับ” พีทนั่งคุกเข่าต่อหน้าดาราหน้าหวานแล้วก็ยื่นช่อดอกไม้ให้

“เอ่อ... ขอบคุณค่ะ” วีนัสรับมาพลางยิ้มน้อยๆ ท่ามกลางเสียงแซวของคนในกองถ่ายและเสียงชัตเตอร์ของหนังสือ Gossip

ดาราสาวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ขอตัวก่อนนะคะ พอดีว่าจะไปห้องน้ำ” แล้วเธอก็เดินออกไปพร้อมกับช่อดอกไม้นั้น

ดาราหน้าตี๋ยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ เขาคิดว่าดาราสาวคงจะอายเพราะได้รับดอกไม้ต่อหน้าคนอื่น แต่ความเป็นจริงแล้วที่วีนัสเดินเข้าห้องน้ำ เพราะเธอกลัวว่าเธอจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่น่ะสิ!

‘คนอะไรจีบหญิงได้เชยแล้วก็โบราณมากๆ เป็นดาราแท้ๆ ไม่สร้างสรรค์มุกใหม่ๆ บ้างเลย’ ดาราหน้าหวานคิดถึงคำพูดของกี้ตอนที่พาดพิงเรื่องที่เธอถูกดาราหน้าตี๋จีบก่อนหน้านี้ และเธอก็เห็นด้วยอย่างมาก

วีนัสถ่ายรูปตัวเองคู่กับช่อดอกไม้ ซึ่งในรูปนั้นเป็นรูปที่เธอทำหน้าขยะแขยงกับดอกไม้ช่อนี้เป็นที่สุด แล้วเธอก็เขียนข้อความลงไปที่ใต้ภาพว่า

“Got it from a banality idol, I think u can guess who he is (ได้เจ้านี่มาจากดาราที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์ ฉันคิดว่าคุณคงเดาออกว่าเขาเป็นใคร)”

หลังจากนั้นเธอก็ส่งภาพนี้ไปให้ปลายทางแล้วกลับไปทำงานต่อ เมื่อเธอกลับมาดูที่โทรศัพท์มือถืออีกครั้งเธอก็เห็นข้อความถูกส่งตอบกลับมาว่า

“I know who he is, now can’t stop laugh my ass off (ฉันรู้ว่าเขาเป็นใคร ตอนนี้ฉันกำลังขำขี้แตกขี้แตนจนหยุดไม่อยู่เลยล่ะ)”

ดาราหน้าหวานหัวเราะกับข้อความนั้นแล้วกลับไปทำงานต่อ

To be continued




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.