web stats

ข่าว

 


Capital Letters - ตอนที่ 1 Hero

โพสต์โดย: anhann วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2018 เวลา 22:24:47 อ่าน: 215



ตอนที่ 1 Hero





รีสไม่ได้ใช้บริการขนส่งสาธารณะมาพักใหญ่ตอนที่เธอไม่ใช่เธอในปัจจุบันนี้  หากเธอก็พยายามจะทำให้ได้เหมือนคนลอนดอนคนอื่นๆ ซึ่งใช้รถไฟเดินทางเป็นส่วนใหญ่  ตอนแรกเธอกะจะใช้จักรยานเป็นพาหนะพาไปโรงเรียน  เพราะบ้านกับโรงเรียนไม่ได้ไกลมากนัก  หากแม่กลับแย้งว่า  ถ้าแบบนั้นเดินไปยังดีกว่าอีก  ลอนดอนไม่ใช่ฮอลลีวูด 

ถ้าอย่างนั้นทำไมเด็กบางคนถึงไถสเก็ตบอร์ดมาโรงเรียนได้ล่ะ

รีสเบี่ยงหลบกลุ่มเด็กหนุ่มที่เดินคุยเฮฮากันเข้ามาในถนนโรงเรียน  ทั้งยังต้องระวังพวกที่วิ่งเข้ามาพร้อมสเก็ตบอร์ดด้วย  พวกหลังนี้อาจน่ากลัวกว่าพวกแรก  เพราะของเล่นอันใหญ่ของพวกเขาอาจสะบัดมาโดนหน้าเธอจนสลบเหมือดได้

เด็กไฮสกูล...เธอคิดถึงตัวเองตอนอยู่ไฮสกูล

รีสหวนกลับมาเดินต่อ  เธออมยิ้มน้อยๆ กับความทรงจำครั้งเก่าซึ่งโรงเรียนแห่งนี้นำมันกลับมา  ที่นี่เป็นโรงเรียนเก่าของเธอ  ผู้อำนวยการชราคนเดิมจึงภาคภูมิใจรับเธอเข้ามาเป็นครูภาษาอังกฤษที่ตำแหน่งว่างอยู่พอดี  ความจริงแล้วเธออยากเป็นครูศิลปะมากกว่า  แต่นั่นคงต้องไปตบตีแย่งกับมิสเคนต์  แม้เจ้าตัวมักจะปล่อยให้ห้องศิลปะนั้นว่างและเงียบเหงาอยู่เสมอ

"อาจารย์รีส  อาจารย์รีสครับ" 

อาจารย์สาวชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงขานชื่อ

"มาแต่เช้าเลยนะครับ"  อาจารย์หนุ่มทักทาย  เขาจูงจักรยานแบบเดียวกับที่พนักงานกูเกิลในเมาท์เทนวิวใช้ปั่นในบริษัท  จักรยานที่รีสอยากจะได้ไว้ใช้สักคัน  แต่แม่ไม่ยอม  พ่อก็หัวเราะขำเธอด้วย  เขาว่าชายกระโปรงยาวเหยียดของเธอจะต้องเข้าไปขัดในโซ่แน่นอน 

"สวัสดีค่ะ  ครูแฮมป์ตัน"

"เรียกผมว่า  จอร์จ  ก็ได้ครับ"  อาจารย์จอร์จบอก  เขายิ้มอายๆ อย่างกับเด็กผู้ชายเพิ่งหัดคุยกับผู้หญิงครั้งแรก 

รีสพยายามจะไม่ขำ  อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เอาแต่จ้องหน้าอกเธอ  หรือทำตัวหยาบคาย  และก็ไม่ได้มองเธอด้วยสายตาดูถูกแบบคนอื่นๆ ด้วย  เขาจะตลกไปหน่อยก็ช่างเขาเถอะ

"อากาศดีนะครับ  วันนี้"  จอร์จพูดต่อ  พยายามชวนคุย 

"ค่ะ  อุ่นกว่าเมื่อวานนิดนึง"  รีสตอบตามมารยาท  ใจภาวนาให้ใครสักคนมาชวนจอร์จไปที่อื่น  หรือมีนักเรียนสักคนสร้างความวุ่นวาย  เราจะได้ไปสนใจเด็กมากกว่าสนใจกันเอง  เธอยังไม่พร้อมจะสนิทกับใครตอนนี้  หลังจากที่อะไรๆ เพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน

"เอ่อ  ปกติแล้วคุณกินมื้อเที่ยงที่ไหนครับ"

"ก็กินที่ --"

"มิสโอ' คอนเนอร์คะ  ฉันมีเรื่องอยากจะถามค่ะ" 

ทั้งรีสและจอร์จหันไปมองเจ้าของเสียงพร้อมกัน  เด็กสาวร่างสูง  ผมดำขลับ  เชื้อสายเอเชียกึ่งหนึ่ง  เดินหนีบสเก็ตบอร์ดมาด้วยท่าทางมุ่งมั่น

"เกี่ยวกับ... เอ่อ  งานของเชกสเปียร์"  ดีแลนจบประโยคจนได้  เธอพยายามส่งสายตาให้อาจารย์สาว  นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายรับรู้  และรีสก็หันไปขอตัวกับอาจารย์หนุ่มซึ่งดูผิดหวังทันที  เพราะเขาต้องเดินต่อไปลำพัง

"เพิ่งรู้ว่า  เราเรียนกันถึงเชกสเปียร์แล้ว"  รีสพูด  หน้าตาเฉยเมย  แต่นัยน์ตามีรอยยิ้มปรากฏ  ช่วยให้ผู้ช่วยเหลือของเธอพอใจชื้นขึ้นได้บ้าง

ดีแลนยิ้มประหม่า  เธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะโผล่พรวดมาเกะกะคนกำลังจีบกันหรอก  แต่เธอเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของรีสแล้วมันหงุดหงิดจนต้องทำตัวเป็นฮีโร่มาช่วยหญิงสาวแบบนี้

"เอาเถอะ  ยังไงก็ขอบใจนะ"  รีสบอก  สำนึกบุญคุณดีแลนที่เข้ามาช่วยได้ถูกจังหวะราวกับฮีโร่สักคนจากจักรวาลมาร์เวลหรือดีซี  เพราะลำพังเธอก็คงไม่รู้จะเลี่ยงอีตาจอร์จนั่นยังไงเหมือนกัน 

คำว่า "มารยาท" มันค้ำคออยู่

"ไม่เป็นไรค่ะ  ว่างอยู่พอดี"  ดีแลนตอบ  หัวเราะแก้เก้อเมื่อรีสหรี่ตามองเธอเหมือนเห็นเป็นเด็กไร้สาระ  "เอ่อ  ช่วยถือไหมคะ  หนังสือเยอะนะ"

"งั้นแลกกับสเก็ตบอร์ดของเธอได้ไหม"  รีสพูดทีเล่นทีจริง  "ล้อเล่น  ไม่เป็นไรหรอก  ครูถือไหว  รีบไปเตรียมตัวเข้าเรียนเถอะ  อย่าโดดอีกนะ"

"ไม่หรอกค่ะ  คาบแรกของอาจารย์นี่"  ดีแลนพูด  ยิ้มร่าเริง  "รีบๆ เข้าห้องสอนนะคะ  ฉันจะรอ"

ปลายผมสีดำขลับสะบัดพลิ้วไประหว่างร่างสูงเพรียวเดินลิ่วๆ นำเธอไปบนถนนในโรงเรียน  รีสรู้สึกได้ถึงอาการปวดตรงสองแก้ม  เพราะเธอต้องบังคับตัวเองไม่ให้ยิ้มตามหลังเด็กสาวคนนั้น

.......................................................

เสียงเอะอะในห้องเรียนเบาบางลงทันทีที่ประตูห้องเปิด  และรีสเดินเข้ามา  เธอรู้สึกได้ถึงอำนาจน้อยนิดแต่น่าภาคภูมิใจกับปฏิกิริยาที่ได้รับจากเด็กๆ ในชั้นเรียน  พวกเขายังให้ความเคารพเธอในฐานะครูเมื่ออยู่ที่นี่  แม้ว่าเวลาออกไปแล้วจะซุบซิบนินทาบ้างก็ตาม  เป็นธรรมดาของมนุษย์

รีสรู้สึกดีที่ได้กลับมาทำอาชีพที่ฝันไว้ตั้งแต่เด็ก  ชีวิตของเธอเป๋ไปมากกับการลองผิดลองถูก  หากตอนนี้เธอดีใจที่หันหัวเรือกลับมาได้สำเร็จ  หวังแค่เพียงว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดอีก  แต่ตอนนี้เธอทำได้แค่อดทนเท่านั้น

เธอเริ่มการสอนตามแบบของตัวเอง  ดัดแปลงมาจากที่เคยเห็นครูคนอื่นทำ(บางคนที่เธอชอบเป็นพิเศษ) จากที่เรียนมาตอนมหาวิทยาลัย  และตอนเข้าคอร์สฟื้นฟูสั้นๆ ก่อนเข้ามาสอนจริง  จริงๆ คือการทดลองสอน  ผู้อำนวยการโรงเรียนผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อข้อเสนอให้เธอทดลองสอนสามเดือน  ระยะเวลาเท่ากันกับเวลาไปทำงานสำนักงานอื่นๆ  และเธอยินดีตอบตกลง  เธอต้องการหลักอะไรสักอย่างให้กับชีวิตได้ยึดเหนี่ยวไว้  อะไรที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่าในเวลาซึ่งใครๆ ก็ดูถูกเธอ

หวังให้ตัวเองไม่คิดผิดเถอะนะ

รีสเขียนหัวข้อเรื่องบนไวท์บอร์ดให้นักเรียนไปหาอ่านมาเพื่อเขียนรายงานส่งในคาบต่อไป  แต่เมื่อยังไม่หมดเวลาเรียน  เธอจึงให้พวกเขาอ่านตำราไปก่อน  อนุญาตให้พูดคุยปรึกษากันเรื่องงานได้  ดังนั้นเสียงในห้องจึงดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องกระแอมปรามเป็นระยะ  หากท่ามกลางเสียงเอะอะภายในห้องก็ยังมีใครคนหนึ่งนั่งเงียบอยู่คนเดียวกับสมุดบันทึกที่ถูกขีดเขียนอย่างแคล่วคล่อง  เจ้าตัวแลดูมีสมาธิมากอย่างที่เพื่อนสนิท (เธอคิดเอาเอง  เพราะเห็นเดินกันสองคนตลอด) ซึ่งนั่งโต๊ะติดกันยังต้องหันไปคุยกับคนอื่น

เธอสะกดใจไม่ให้เดินไปมองว่านักเรียนคนนั้นทำอะไรอยู่  แต่ที่สุดเธอก็เลียบๆ เคียงๆ ไปใกล้โต๊ะของฮีโร่คนเมื่อเช้าของเธอจนได้  และสิ่งที่เจอก็ไม่ได้ทำให้แปลกใจนัก  นอกจากรู้สึกเสียมารยาทนิดหน่อยที่แอบดู

ตัวอักษรเต็มพรืดบนหน้ากระดาษของสมุดบันทึกซึ่งคลับคล้ายว่าจะเป็นเล่มเดียวกันกับที่เธอเห็นเด็กคนนี้ชอบพกติดตัวไปด้วยประจำ  แม้แต่เมื่อวันเสาร์ที่เราบังเอิญเจอกันในคาเฟ  เธอมองไม่ชัดว่าดีแลนเขียนว่าอะไร  ขอบคุณความสายตาสั้นและโรคขี้เกียจใส่แว่นของตัวเอง

รีสชะงักเมื่อนัยน์ตาเรียวเหลือบขึ้นสบตากับเธอกะทันหัน  จะหลบมันก็ใช่ที่  ยังไงเธอก็มีสิทธิ์จะดูสิ่งที่เธอนักเรียนทำในระหว่างชั่วโมงเรียนของเธอไม่ใช่หรือ 

"ความลับนะคะ  คุณครู"  ดีแลนพูด  เสียงขรึม  แต่นัยน์ตามีแววสนุกสนาน  มุมปากสวยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อคุณครูทำหน้าตาหงุดหงิด

"โอเค  ความลับ"  รีสพูด  เสียงไม่พอใจ  "ถ้าอย่างนั้นก็ทำอย่าลืมเรียงความของครูล่ะ"

ดีแลนยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์  ยิ้มร่าเริง  รีสหมดปัญญาจะต่อกรกับเด็กตัวแสบจึงหมุนตัวเดินจากไป  แต่หันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโห่ตามหลัง  เสียงนั้นเงียบไปทันทีเหมือนเครื่องเสียงปลั๊กหลุด  นักเรียนทุกคนหันกลับไปทำอะไรของตัวเอง  รวมทั้งดีแลนด้วย  ถึงอย่างนั้นเธอก็แน่ใจว่า  เห็นยิ้มที่กลั้นไว้บนใบหน้าของเจ้าเด็กหัวดำนั่น

...........................................

นอกจากห้องสมุดกับห้องพยาบาลแล้ว  ดีแลนก็ยังมีอีกที่สำหรับหลบจากเสียงรบกวนหรือโดดเรียน  มันคือโรงยิมเก่าที่มีตำนานว่ามีผีสิงอยู่  มันถูกปล่อยให้ร้างมาเป็นสิบๆ ปีแล้วก่อนเธอจะเข้ามาเรียนซะอีก  อันที่จริงโรงเรียนแห่งนี้ก็มีตำนานอยู่หลายเรื่องที่หลอกให้เรากลัวจนหัวหดไม่กล้าเดินไปไหนตามลำพัง  อย่างเช่น  ห้องศิลปะก็มีข่าวว่ามีนักเรียนหญิงแขวนคอตายหลังเลิกเรียน  เพราะอกหักหรือทะเลาะกับครอบครัวอะไรทำนองนั้น  จากนั้นไม่นานก็มีนักเรียนคนหนึ่งลืมของไว้ในห้องนั้นก็เลยกลับไปเอาตอนเลิกเรียน  แล้วเจอกับคนแขวนคอตาย  เขาแจ้นมาบอกกับครูเวร  พอกลับไปที่ห้องนั้นพร้อมกับครูก็ไม่เจอใครเลย  มีแต่ห้องเปล่าๆ กับอุปกรณ์งานศิลปะ  และรูปปั้นจำลองส่วนหัวของเดวิด  หลังจากนั้นก็มีข่าวแพร่สะพัดถึงเรื่องผีในห้องนั้นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปคนเดียว  และไม่มีใครเดินผ่านหลังเลิกเรียนอีกเลย  นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่มีใครชอบเรียนวิชาศิลปะยกเว้นเธอ

เธอไม่ใช่พวกชอบลองของอะไรหรอกนะ  แค่ไม่ชอบเชื่ออะไรที่ยังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองมากกว่า  แต่ชาร์ลีคงไม่เห็นด้วย  เวลาเธอมานั่งที่นี่  เพื่อนจึงไม่เคยมาด้วยเลยสักครั้ง  หากเธอก็ไม่ต้องห่วงเพื่อนหรอก  ชาร์ลีมีเพื่อนเยอะแยะเต็มโรงเรียน  ที่เลือกมาเดินกับเธอก็อาจจะสงสารเธอก็ได้

เธอกินแซนด์วิชไก่เย็นชืดกับนมกล่องจากห้องอาหารมาแล้วก่อนจะหอบข้าวของมานั่งเล่นที่นี่  สถานที่แห่งตำนานสยองขวัญอีกแห่งของโรงเรียน  แต่เป็นที่ที่เธอชอบมากเพราะไม่มีใครกล้าแม้แต่พวกผู้ชายห้าวๆเข้ามานี่แหละ  มันเลยสงบสุขที่สุด

ดีแลนมีมุมประจำสำหรับนอนหลับกับเขียนหนังสืออยู่ตรงใต้บันไดเหล็กเก่าๆ ของโรงยิม  บันไดที่จะขึ้นไปอัฒจรรย์  ด้านหน้าห้องเก็บของที่มีพวกอุปกรณ์กีฬาเยินๆ ที่ไม่มีใครต้องการกับเก้าอี้สำรองซึ่งไม่ค่อยได้ใช้งาน  ที่จริงมันก็ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่สำหรับผู้หญิง  อาจมีคนไม่ดีมาซ่อนตัวอยู่ก็ได้  แต่เธอก็มีของป้องกันตัวอยู่ในกระเป๋า  สเปรย์พริกไทย  ที่ช็อตไฟฟ้าสนับสนุนมาจากไฮเม  พี่ชายของเธอเอง  แถมเธอยังต่อยมวยได้นิดหน่อยด้วย  เพราะเจ้าพี่ชายตัวดีนี่แหละ  ชอบพาเธอไปด้วยตลอด  เขาบังคับให้เธอฝึกไว้เผื่อใช้ป้องกันตัวเองเวลาเขาไม่อยู่ข้างๆ  ไฮเมเพิ่งจบจากโรงเรียนนี้ไปได้แค่สองปีเท่านั้น  ถ้วยรางวัลนักเทควันโดระดับโรงเรียนของเขายังตั้งอยู่ในตู้โชว์หน้าห้องผู้อำนวยการอยู่เลย  ไม่ใช่ถ้วยเดียวด้วยนะ  เธอจึงมักจะถูกเอาไปเปรียบเทียบกับพี่ชายเสมอเวลาโดนเรียกเข้าห้องปกครอง

ดีแลนกางสมุดบันทึกที่หน้าปกมีคำตัวพิมพ์ใหญ่และเน้นตัวหนาๆ ว่า "ดีไดอารี่"  หรือชื่อเต็มว่า  "ไดอารี่ของดีแลน"  มันเป็นเล่มที่สิบแล้วละมัง  ถ้าเธอจำไม่ผิด  เธอเริ่มหัดขีดๆ เขียนๆ มาตั้งแต่เจ็ดหรือแปดขวบ  เริ่มต้นจากที่อาจารย์ในสมัยนั้นสั่งการบ้านเป็นการเขียนสมุดบันทึกประจำวัน  เธอรู้สึกว่ามันสนุกและได้ปลดปล่อย  เลยเขียนมาตลอดจนวันนี้  แต่ทุกวันนี้มันไม่ได้มีแค่เรื่องประจำวันเท่านั้น  มันมีพล็อตนิยาย  แบบร่างนิยายอยู่ด้วย  บางครั้งก็เป็นบทกวีหรือเนื้อเพลง  --  อา  เธอเล่นกีต้าร์ด้วยนะ  ยังไม่ได้เล่าเลยใช่ไหม  บางวันที่ครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาถึงจะเล่น  เพราะไฮเมอีกเหมือนกัน  เขาชอบเล่นมัน  และเธอหนวกหูจนทะเลาะกัน  แล้วพ่อก็เลยแก้ปัญหาให้พวกเราด้วยการให้เขาสอนเธอเล่นด้วยไปเสียเลย 

เจ๋งสุดๆ เลยใช่ไหม  ซุปเปอร์แด๊ดของเธอ!

เธอกำลังเขียนอะไรสักอย่างแต่ไม่ใช่นิยายตอนใหม่ที่ยังมืดมนจนหาหนทางไปไม่เจอนั้น  มันเป็นข้อความสั้นๆ ซึ่งเหมือนการให้กำลังใจตัวเองในช่วงที่ถึงทางตัน (ชั่วคราว) ในอาชีพ  เสียงกุกกักจากประตูโรงยิมก็ชะงักมือของเธอไว้  จินตนาการชั่วร้ายผุดขึ้นในสมองเป็นฉากๆ ไม่ต่างจากหนังสยองขวัญที่ชอบดูเพื่อบิ้วอารมณ์ให้กับงานเขียนของตน  กระนั้นดีแลนยังพยายามคิดในแง่ดี  ถึงมันจะมีน้อยนิดเหลือเกิน 

มันอาจจะเป็นลมพัดเฉยๆ  อย่าเพิ่งหลอน  เจ้าดี  --  เธอกดปากกาลงเขียนต่อ  หากหูยังคอยเงี่ยฟังเสียงแปลกปลอมนั้นอยู่  อย่างไรก็ควรระวังเอาไว้  เผื่อมีอะไรจะได้แก้ไขทัน  และมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง  เธอจึงวางปากกาอย่างหมดความอดทน  ล้วงกระเป๋าหาที่ช็อตไฟฟ้ากับสเปรย์พริกไทยพกไปด้วยระหว่างเดินไปดูประตู  แล้วเธอก็เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คงมาจากฝั่งจูเนียร์ไฮกำลังพยายามเก็บลูกบอลที่ไปค้างเติ่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ข้างโรงยิม

"เฮ้  เดี๋ยวฉันเก็บให้"  ดีแลนบอก  แน่ใจว่าเสียงสุภาพพอแล้ว  แต่เด็กชายตัวเล็กก็ยังร้องกรี๊ดลั่นราวกับสลับเพศไปเป็นผู้หญิง  แล้ววิ่งหนีเธอไปทันที  ตามด้วยเด็กชายตัวเท่าๆ กันอีกสองคนซึ่งแอบซ่อนอยู่หลังตาข่ายกั้นระหว่างฝั่งไฮสกูลกับจูเนียร์ไฮ  เด็กคนแรกมุดตาข่ายออกไปสมทบกับอีกสองคน  พวกเขาวิ่งไม่คิดชีวิตเลย  คนหนึ่งหกล้มหน้าทิ่ม  เขากรีดร้องให้เพื่อนได้ยิน  เพื่อนอีกสองคนของเขาก็หวนกลับมาช่วยลากกันไปอย่างทุลักทุเล  ช่างเป็นความน่าประทับใจปนขบขันเหลือเกิน  พวกเขาคงคิดว่าเธอเป็นผีในตำนานนั่นแหละ  ไม่ใช่เรื่องอื่นหรอก  ขนาดอยู่ฝั่งนู้นก็ยังจะมีเรื่องหลอนๆ ของฝั่งนี้ไปให้ได้ยินอีกสินะ

ดีแลนส่ายหน้า  รอยขำขันยังอยู่ในเสียงหัวเราะและน้ำตาที่เล็ดออกมาจากปลายตา  เธอใช้ปลายนิ้วปาดมันออก  เธอตะโกนบอกพวกเขาว่าเธอไม่ใช่ผี  หากพวกเขาก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นอีก  และยิ่งตลกมากขึ้น  วิ่งหัวซุกหัวซุนไปเสียขนาดนั้น

"เจ้าพวกเปี๊ยกเอ๊ย"  เธอพึมพำ  หันไปหาลูกฟุตบอลที่ค้างติดแหง็กตรงระหว่างกิ่งไม้  มันอยู่ในระดับที่เธอเอื้อมถึงโดยไม่ต้องเขย่งมากไป  เธอถือมันเล่นขณะคิดว่าจะทำอะไรกับมันดี  จะเอาไปคืนให้เด็กพวกนั้นดีไหม  สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเก็บมันไว้ก่อน  ล็อกเกอร์เธอยังมีที่ว่างอยู่นิดหน่อย  แต่ถ้าโชคดีได้เจอกับเจ้าพวกเปี๊ยกนั้นอีก  เธอคงได้คืนพวกเขา

"ไม่มีอะไรแล้วนะ  ไปทำงานก่อนละ"  ดีแลนพูดขึ้นเหมือนจะบอกใครสักคนแถวๆ นี้ทั้งที่ไม่มีใครเลย  เธอยักไหล่ให้ตัวเอง  หันหลังเดินกลับเข้าไปในโรงยิมอันเงียบสงบ  ขณะที่ในอีกฝั่งของโรงเรียน  เด็กชายทั้งสามคุยโม้เป็นคุ้งเป็นแควว่าไปเจอผีมาจากฝั่งไฮสกูลตรงโรงยิมในตำนาน

.............................................

"ดี  ช่วยด้วย  ฉันลืมของ"  ชาร์ลีหันขวับมาหน้าตาตื่น  กระตุกเสื้อดีแลนที่ปิดปากหาวอยู่  "หยุดก่อน  ไม่ต้องทำหน้าตาเบื่อหน่ายฉันเลยนะ"

"อะไรคะ  คุณนาย  จะใช้งานอะไรก็ว่ามาเลย  ฟังอยู่"  ดีแลนพูด  อ้าปากหาวอีกทีจนมือบอบบางของเพื่อนมาตีป้าบเข้าให้ตรงไหล่พร้อมกับใบหน้างอนๆ  "เอ้า  อะไรเนี่ย  แฟนก็ไม่ใช่  เอาแต่ใจจังเลย"

"ฉันเพื่อนเธอนะ  เพื่อนคนเดียวของเธอ  ดีแลน"  ชาร์ลีพูดขึงขัง  หากดีแลนก็ทำเพียงพยักหน้าหงึกหงักไร้ความกระตือรือร้นจนชาร์ลียอมแพ้ไปเอง  "โอเค  ก็ได้  ฉันลืมของไว้ที่ห้องศิลปะ"

"ก็กลับไปเอาสิ"  ดีแลนตอบง่ายๆ  ขณะก้มหน้าเลือกรายการเพลงในไอพอด  พลางทำท่าจะเสียบหูฟัง  แต่มันก็ถูกกระชากไป

"ชาร์ --"

"ไปด้วยกันหน่อย" 

เสียงอ้อนๆ ของชาร์ลีกับท่าทางที่เข้ามากระแซะเธอทำให้ดีแลนต้องรีบรับปากก่อนจะขนลุกไปมากกว่านี้  ใช่ว่าชาร์ลีไม่น่ารักหรอกนะ  แต่เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ  เรียนอนุบาลมาด้วยกัน  แทบจะกินนอนด้วยกันเลยด้วยซ้ำ  เวลาเพื่อนมาทำแบบนี้มันจึงทำให้เธอจั๊กจี้แปลกๆ

"นะๆ  ดี  นะดี..."

"เออๆ ไปด้วยก็ได้  แล้วเวลาฉันชวนเธอไปไหนด้วยก็ช่วยตอบรับด้วยล่ะ  อย่าเอาแต่เห็นผู้ชายดีกว่า"

"มีด้วยเหรอ  เมื่อไหร่"  ชาร์ลีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  ดีแลนกลอกตามองเพดาน  แต่เธอทำเป็นไม่เห็น  "ไปกันเหอะ  เร็วเข้า  เดี๋ยวภารโรงมาไล่"

"เออใช่  มันเลิกเรียนแล้วนี่นา" 

"ก็ใช่น่ะสิ" 

ดีแลนมองหน้าเพื่อนอย่างเข้าใจความหมาย  ห้องศิลปะเป็นหนึ่งตำนานความเฮี้ยนของผีโรงเรียน  นักเรียนส่วนใหญ่ที่ลืมของไว้ที่นั่นก็มักจะปล่อยมันไว้แบบนั้นจนกว่าจะมีเพื่อนไปด้วย  หรือขอร้องให้พ่อเฒ่าภารโรงช่วยไปเก็บมาให้  แต่ก็ไม่มีใครค่อยอยากไปไหว้วานอะไรพ่อเฒ่าหรอก  เขาก็น่ากลัวไม่ต่างจากห้องนั้นเท่าไหร่

"ครูเคนต์อยู่ที่นั่นได้ยังไงไม่รู้นะ"  ชาร์ลีวิจารณ์ขณะเดินตัวลีบข้างดีแลนซึ่งอึดอัดจนต้องอดใจไม่ดันเพื่อนออกไปไกลๆ  เธอหายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว 

"ชินแล้วมั้ง"  ดีแลนเดา  นึกไปว่าถ้าชาร์ลีเจอแบบเธอเมื่อกลางวันคงจะฉี่ราดรดกระโปรงแน่ๆ  แต่คงไม่  เพราะชาร์ลีไม่ไปที่โรงยิมนั้นอยู่แล้ว

"แต่ฉันรู้มาว่า  ครูเคนต์ก็ไม่ค่อยอยู่หลังเลิกเรียนหรอก  บางวันก็ไม่เจอด้วยซ้ำ  เวลามีคนไปหาที่ห้องนั้น"

"คงนั่งเม้าท์กับครูคนอื่นอยู่ในห้องพักครูมั้ง"

"เป็นไปได้"  ชาร์ลีเห็นด้วย  หากเป็นเวลาปกติเธอคงหัวเราะ  แต่ตอนนี้ความตึงเครียดที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวทำให้อารมณ์ขันหายไป

"เธอไม่ต้องไปก็ได้มั้ง  ชาร์  เดี๋ยวฉันเข้าไปเอาให้"  ดีแลนว่า  เห็นหน้าซีดขาวของเพื่อนสาวแล้วก็นึกเห็นใจขึ้นมา  คนบางคนที่กลัวก็กลัวจนถูกเรียกว่า  'ปอดแหก' ก็คงไม่สนใจ 

"ลืมอะไรล่ะ"

"โทรศัพท์"

"โอเค"

"เดี๋ยว  เธอไม่กลัวเหรอ  ดีแลน"  ชาร์ลีรั้งเพื่อนเอาไว้  ดีแลนแค่ยิ้มและแกะมือเธอออก  เธอมองตามหลังเพื่อนตัวสูงไปด้วยความเป็นห่วง  แต่ไม่กล้าแม้จะเฉียดเข้าไปใกล้ประตูห้อง  และลืมไปเลยว่าอันที่จริงการยืนอยู่ตรงโถงทางเดินนี่ก็น่ากลัวไม่ต่างกัน

ดีแลนผลักประตูห้องศิลปะเข้ามาตามปกติเหมือนเวลาอื่นๆ ที่เธอต้องมาเรียนในห้องนี้  แสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างห้องซึ่งม่านไม่ได้ปิด  เหมือนมันจะไม่เคยปิดเลยด้วยซ้ำ  คงมีใครบางคนกลัวว่าจะมีอะไรที่ไม่ควรมีซ่อนอยู่หลังผ้าม่าน  มันจึงถูกเปิดไว้ตลอดเวลา  แล้วทำไมผู้อำนวยการถึงไม่ปิดตายห้องนี้ไปเสียเลยล่ะ  ถ้ามันทำให้คนกลัวได้มากขนาดนี้  หรือผู้อำนวยการชราจะเห็นว่ามันไร้สาระแบบเดียวกับเธอ  โลกนี้มีผีที่ไหนกันล่ะ

เธอมองหาโทรศัพท์มือถือของชาร์ลีในโต๊ะที่เพื่อนใช้ทำงานระหว่างเข้าเรียนด้วยกัน (คาบศิลปะเป็นคาบที่เธอไม่เคยขาดเรียนเหมือนอังกฤษ)  หากอะไรบางอย่างกลับดลใจให้เธอเดินไปตรงหน้าต่างก่อน  แต่เธอไม่ได้ไปหามุมที่นักเรียนหญิงคนนั้นผูกคอตายหรอกนะ  ถึงไม่ได้กลัวก็ไม่ได้อยากจะลองของใคร  ยิ่งเป็นเรื่องลึกลับแบบนี้ด้วย  และตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าตัวเองมองหาอะไรอยู่

ครูรีสกำลังเดินกลับบ้านอยู่บนถนนในโรงเรียน  โดยมีครูจอร์จเข็นจักรยานตามไปข้างๆ  ดูเหมือนพยายามจะชวนคุยเหมือนเมื่อเช้าตอนที่เธอเข้าไปขัด  ช่างมีความพยายามเหลือเกิน 

ใจหนึ่งก็อยากรีบเอาของไปให้เพื่อนแล้วรีบกลับบ้านด้วยกัน  แต่อีกใจก็อยากรู้ว่ารีสจะทำยังไง  จะมีใครไปช่วยแบบเธอทำเมื่อเช้าหรือเปล่า  ดูเหมือนตอนนี้ฮีโร่จะยังหลับอยู่จึงไม่มีใครทำอะไรเลย  เด็กนักเรียนคนอื่นก็ได้แต่มอง  เด็กสาวๆ บางคนก็จับกลุ่มซุบซิบกัน  พวกผู้ชายก็มองตามก้นครู  แล้วหัวเราะกัน  ครูบางคนก็พอกับเด็ก  โรงเรียนนี้มันช่างเลวร้ายจริงๆ

เธออยากช่วยรีสทั้งที่ไม่เคยคิดจะอยากเป็นฮีโร่มาก่อน  ขนาดว่าเขียนนิยาย  เธอยังไม่ชอบเปิดเผยตัวเองเลย  แต่เห็นแบบนี้แล้วมันหงุดหงิด

ในที่สุดเธอก็ทำมันลงไปแล้ว  เธอเปิดหน้าต่างกระจกบานหนึ่งออก  มันเปิดยากสักหน่อยคงเพราะไม่มีใครเปิดมานานมากๆ  เธอเกือบทำมันพัง  แต่มันก็สำเร็จ  แล้วเธอก็ปาอะไรสักอย่างที่หาได้จากห้องนั้นลงไปข้างล่าง  กะให้โดนหัวหรือตรงไหนสักที่ของอีตาจอร์จหน้าม่อซึ่งความจริงมีเมียแล้ว  อยู่ด้วยกันแบบไม่ได้แต่งงาน  เขามักจะจีบครูใหม่ทุกคนที่เข้ามา  ยกเว้นครูผู้ชาย  จริงๆ ก็น่าจะมีใครสักคนหวังดีไปบอกเมียเขาบ้างนะ  หรือคงไม่มีใครอยากจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่น 

ใช่  เวลาจะช่วยใคร  มันก็กลายเป็น 'เรื่องของคนอื่น' ไปทันที  แต่เวลาจะนินทา  ทำไมไม่คิดว่า 'เรื่องของคนอื่น' บ้างล่ะ

ไม้บรรทัดไม้ (มั้ง) ลอยไปโดนหัวมิสเตอร์แฮมป์ตันหรืออีตาจอร์จ พอดีเป๊ะ  เขาร้องลั่นตกใจ  และคงมองหาคนทำ  แต่ไม่มีทางเห็นเธอหรอก  เธอหลบลงนั่งแล้ว  คนด้านล่างจะเห็นก็แค่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเท่านั้น  เธอรอจนคิดว่าเขาคงไม่สนใจแล้ว  จึงยืนขึ้นและเห็นว่าเขาปั่นจักรยานลิ่วๆ จากไปแล้ว  เหลือแค่รีสยืนงงๆ อยู่คนเดียว

ตาสีเทาแสนสวยสบกับเธอพอดิบพอดีเลยเชียว

"ดีแลน  ออกมาได้แล้ว  เป็นอะไรหรือเปล่า!" 

ดีแลนสะดุ้งเฮือก  เสียงตะโกนของชาร์ลีทำเอาเธอตกใจ  หันไปก็เห็นเพื่อนหน้าตาตื่นถลาเข้ามาเกาะแขนเธอตัวสั่น  เธอต้องลูบหลังปลอบ  ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ชะเง้อมองกลับไปข้างล่างอีกรอบ  เธอยิ้มกว้างทั้งที่ชาร์ลีครวญครางเล่าให้ฟังว่าข้างนอกมันน่ากลัวแค่ไหน  มีเสียงแปลกๆ ตรงทางเดินด้วย  มิหนำซ้ำยังตัดพ้อเธอที่ชักช้ายกใหญ่

"นี่มองอะไรอยู่น่ะ"  ชาร์ลีถามอย่างหวาดระแวง  ดีแลนละสายตาจากรอยยิ้มขอบคุณของอาจารย์ภาษาอังกฤษมาทันที 

"ไม่มีอะไร  ฉันหาของไม่เจอน่ะ  มันอยู่ไหน"  เธอว่า  ชาร์ลีจึงเดินไปหยิบเอง  แต่ลากเธอไปด้วยกันอย่างหวาดๆ  แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าลืมทำอะไรบางอย่าง  "เดี๋ยว  แป๊บนึงนะ" 

เธอเดินย้อนกลับไปที่หน้าต่างและปิดมัน  ตอนนี้เห็นแค่ด้านหลังของรีสแล้ว  กำลังจะพ้นจากประตูรั้วโรงเรียนไป

"ดี  ไปเร็ว!  ฉันกลัวจริงๆ นะเนี่ย!"  ชาร์ลีร้องเรียกเสียงสั่น  ดีแลนจึงต้องรีบออกมาจากห้องกับเพื่อน  พลางคิดในใจว่าถ้าออกจากโรงเรียนตอนนี้ก็อาจจะไปทันรีสระหว่างทางก็ได้

"ดี  ฉันเหมือนได้ยินเสียงคนร้องแหละ" 

ดีแลนมองหน้าเพื่อน  สงสัย  "เมื่อไหร่  ตอนไหนเหรอ"

"ก็ตอนฉันยืนรอเธออยู่ข้างนอก  เสียงผู้ชาย"  ชาร์ลีเล่า  "แต่คนที่ตายในห้องนั้น  เป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ  นักเรียนผู้หญิง"

ดีแลนยิ้ม  นึกได้แล้วว่าชาร์ลีพูดถึงอะไร  เสียงตาจอร์จหน้าม่อตอนโดนไม้บรรทัดของเธอ  --  ไม้บรรทัดของใครไม่รู้ในห้องศิลปะ

"เราน่าจะร้องเรียนให้ผู้อำนวยการปิดห้องนั้นนะ  ว่าไหม"

"เอาสิ"  เธอเออออไปกับเพื่อน  พลางฟังเสียงเล็กๆ ของชาร์ลีพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย  รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง  ใจเธอมันพานจะลอยไปหาอาจารย์ภาษาอังกฤษคนสวยอยู่เรื่อยเลย  ไม่รู้เพราะอะไร       


..................


เอาตอนแรกไปชิมกันเลยจ้า...   :61: :27: :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

27 กุมภาพันธ์ 2018 เวลา 20:26:24
นี่เป็นฮีโร่รึว่าเป็นพวกก้างขวางคอกันแน่
แสดงความคิดเห็น