web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 178
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 166
Total: 166

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 8  (อ่าน 2429 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 8
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:28:24 »
Chapter 8

สองสาวเดินถ่ายรูปที่มุมนั้นที มุมนี้ทีตามจุดชมวิวบนดอยเสมอดาวเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับเต็นท์เพื่อหาอะไรกินกัน หลังจากนั้นพวกเธอก็ตั้งเป้าที่จะเที่ยวในสถานที่ต่อๆ ไป

“Where do you want to go? (คุณอยากจะไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า)” โยมิถาม

“I have no idea (ไม่รู้เลยค่ะ)”

สาวญี่ปุ่นขมวดคิ้ว “This is your country, why you don’t have any idea to go? (ที่นี่มันประเทศของคุณไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมคุณถึงไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ)” สาวร่างสูงแซว

ไอหัวเราะออกมาเล็กน้อย “I’m a good follower (ฉันเป็นผู้ตามที่ดีนี่นา)”

โยมิยิ้ม “Just pick a place you wanna go. I have no idea either (งั้นก็ลองเลือกมาสักที่ๆ คุณอยากไปให้หน่อยสิ ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนเหมือนกัน) พูดจบก็เลื่อนแผนที่ให้กับอีกฝ่ายดู

สาวตาหวานมองดูที่แผนที่อยู่พักใหญ่แล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “I have a place in my mind, but… (ฉันมีที่ๆ ฉันอยากไปอยู่นะ แต่ว่า...)

“But? (แต่ว่าอะไร)”

“I’m afraid you might get bored (ฉันกลัวว่าคุณจะเบื่อน่ะสิ)”

“Bored? Why? (เบื่อเหรอ... ทำไมล่ะ)”

“The places I wanna go have a lot of temples, so if we go I’m afraid you will get bored. (ที่ๆ ฉันอยากไปมีแต่วัด เพราะงั้นถ้าพวกเราไปที่นั้นฉันกลัวว่าคุณจะเบื่อน่ะสิ)”

สาวญี่ปุ่นพยักหน้าอย่างเข้าใจ “Let’s start with your roughly plan, I think it would be good if you wanna go in some place I also interest (คุณลองบอกแผนคร่าวๆ ของคุณมาได้มั้ยล่ะ ถ้ามันตรงกับที่ๆ ฉันอยากจะไปก็คงจะดี)”

คำพูดของสาวร่างสูงทำให้ไอขมวดคิ้ว กฎข้อที่ 2 ของอีกฝ่ายแวบขึ้นมาในหัวของเธอ ‘ถ้าคุณคิดจะแยกตัวไปเที่ยวที่อื่น ในสถานที่ๆ ฉันไม่อยากไปก็ขอให้คุณไปคนเดียว ฉันจะไม่ไปด้วย แล้วถ้าเกิดกรณีนั้นจริงๆ ถ้าเกิดคุณไม่ได้มาเจอฉันที่จุดนัดพบหรือเวลาที่พวกเรานัดกันเอาไว้ ฉันจะถือว่าคุณแยกตัว ฉันจะไม่รอคุณและจะไม่ตามหาคุณ’

‘คุณคิดจะแยกตัวจากฉันแล้วเหรอ... โยมิ’ สาวตาหวานคิดในใจ

“Why you make your face like that? Do you think I’ll leave you? (ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ คุณคิดว่าฉันจะทิ้งคุณงั้นเหรอ)”

ไอตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายแล้วรีบพูดกลับไปว่า “My face? (หน้าของฉันเหรอคะ)”

“Yeah, you made you face like this (ใช่ คุณทำหน้าแบบนี้ไง)” โยมิตอบแล้วทำคิ้วขมวดกับปากบึ้งๆ ให้อีกฝ่ายดู ซึ่งใบหน้าของเธอนั้นดูทั้งน่ารักและตลกในเวลาเดียวกันจนทำให้สาวตาหวานหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“Did I really make my face like that? (นี่ฉันทำหน้าแบบนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย)”
สาวญี่ปุ่นยิ้มแทนคำตอบของเธอ ทำเอาคนถามยิ้มตอบแบบเขินๆ ให้ หลังจากนั้นสาวร่างสูงก็พูดว่า

“I have no idea to go, right now. Many things happened after I met you, so I don’t have time to plan (ฉันไม่รู้ว่าจะไปไหนนะ เรื่องเยอะแยะมากมายเกิดขึ้นหลังจากที่พบกับคุณ ฉันก็เลยไมมีเวลาที่จะวางแผนเที่ยว)”

สาวตาหวานขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่าย

“You have to help me for planning (คุณต้องช่วยฉันวางแผนแล้วล่ะ)”

“Really? I think you felt uncomfortable about my plan… (จริงเหรอคะ ฉันคิดว่าคุณรู้สึกไม่สบายใจกับแผนของฉันซะอีก)”

เมื่อเห็นโยมิเลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม ไอจึงพูดต่อว่า “Yesterday, before we came here. You looked cold and angry when I told you about joining group with others. So I think you will act like that again if I propose my plan (ก็เมื่อวานก่อนที่เราจะมาถึงที่นี่ คุณดูเย็นชาแล้วก็โกรธๆ ตอนที่ฉันบอกว่าจะมากับคนอื่นๆ ฉันก็กลัวว่าคุณจะโกรธอีกถ้าฉันเสนอแผนของฉันไป)”

“Did I? (ฉันทำอย่างงั้นเหรอ)” สาวญี่ปุ่นถามกลับและพ่นลมหายใจแรงๆ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา หลังจากนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากคำว่า

“Forget it. Now, I’d like to ask you for making plan (ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันอยากจะให้คุณช่วยวางแผนให้หน่อยก็แล้วกัน)”

สาวตาหวานขมวดคิ้ว “What if you don’t like my plan… (ถ้าคุณไม่ชอบแผนของฉันล่ะ...)

“I’ll think about back up plan later (แล้วฉันค่อยคิดแผนสำรองทีหลังก็แล้วกัน)”

สองสาวเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นไอก็เลื่อนแผนที่ของจังหวัดสุโขทัยให้อีกฝ่ายดู หลังจากนั้นก็เปิดหนังสือแผนที่ไปที่จังหวัดพิษณุโลก

“I’d like to go these 2 provinces, both of them are full of temples and historical areas. That’s why I’m afraid you will get bored if follow my plan (ฉันอยากจะไปสองจังหวัดนี้ค่ะ แล้วทั้งสองที่ก็มีแต่วัด แล้วก็สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ฉันถึงบอกไงว่าฉันกลัวคุณจะเบื่อถ้าไปเที่ยวตามแผนของฉัน)”

สาวร่างสูงอ่านข้อมูลของทั้งสองจังหวัดคร่าวๆ “That’s fine. Where we will start? (ฉันว่าโอเคนะ แล้วเราจะเริ่มเที่ยวจากตรงไหนดี)”

“I think Srisatchanalai is the nearest from our current position. Shall we start will it? (ฉันคิดว่าศรีสัชนาลัยจะเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดจากตำแหน่งที่เราอยู่ตอนนี้ เราไปที่นั่นกันก่อนดีมั้ยคะ)”

โยมิยิ้ม “Fine (ค่ะ)” หลังจากนั้นก็ยกมือเท้าคางมองอีกฝ่ายที่กำลังเขียนข้อมูลการเดินทางคร่าวๆ ลงสมุดเล่มเล็กที่ติดตัวมาด้วย ดูเหมือนว่าสาวตาหวานกำลังเขียนตารางการเดินทางคร่าวๆ พร้อมสถานที่ๆ พวกเธอจะพักและท่องเที่ยว

เมื่อไอรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกมองอยู่ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมามองคนที่นั่งตรงข้ามแบบงงๆ เธอยิ้มตอบกลับไปแบบไม่เข้าใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ระบายอยู่บนใบหน้า และยิ่งมองรอยยิ้มนั้นก็ยิ้มทำให้เธอรู้สึกเขินขึ้นมาเสียดื้อๆ

“What? (อะไรเหรอคะ)” หลังจากนั่งเขียนสลับกับเงยหน้าขึ้นมามองสาวญี่ปุ่นอยู่หลายครั้ง สาวตาหวานก็เริ่มจะทนกับสายตาที่มองมาและรอยยิ้มที่เธอไม่เข้าใจไม่ได้

“Nothin’ (ไม่มีอะไรนี่คะ)”

“Nothin’? But why you stare at me and smile like that? (ไม่มีอะไรงั้นเหรอ แล้วทำไมคุณถึงจ้องฉันแล้วก็ยิ้มแบบนั้นล่ะ)”

“Sorry about that, but I’m thinking about your story… I think you’re difference from what I heard from your mother and what you were talking about yourself (ขอโทษนะที่ทำแบบนั้น แต่ฉันกำลังคิดถึงเรื่องของคุณอยู่น่ะ ฉันว่าคุณดูแตกต่างจากสิ่งที่ฉันได้ยินมาจากแม่ของคุณหรือจากสิ่งที่คุณเล่าเกี่ยวกับตัวเองนะ)”

“How? (ยังไงเหรอคะ)”

“Both of you said you scare and afraid of everything and may be you can be just a follower. From my point, you have more potential than you thought (คุณทั้งคู่บอกว่า คุณกลัวกับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วคงจะได้เป็นแค่ผู้ตาม แต่ฉันคิดว่าคุณมีอะไรดีมากกว่าคุณคิด)”

“Really? (จริงเหรอคะ)”

“At least, you convince me about this (อย่างน้อยๆ คุณก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าคุณอยากไปเที่ยวที่ไหน)” สาวร่างสูงชี้ไปที่แผนที่ “For the rest I think we will see, and I believe you can recover from your symptom (แต่อย่างอื่นค่อยดูกันทีหลังก็แล้วกัน แล้วฉันเชื่อว่าคุณจะหายจากโรคของคุณได้แน่นอน)”

“Thank you (ขอบคุณค่ะ)” ไอพูดแล้วก็ยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย และยิ้มมากขึ้นเมื่อโยมิยื่นมือมาลูบผมเธอ... สัมผัสนั้นเป็นสัมผัสเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกดีและหายฝันร้ายจากเมื่อคืนก่อนหน้านี้

...
เมื่อใช้เวลาอยู่บนดอยเสมอดาวได้สักพัก สองสาวก็เดินไปหาอาหารเช้าจริงๆ กินที่ผาชู้หลังจากนั้นก็กลับมาเก็บของเพื่อลงจากดอย โดยจุดหมายของพวกเธอคือท่ารถที่จะพาทั้งสองไปยังอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง

กว่าสองสาวจะหาที่พักได้ก็บ่ายคล้อย พวกเธอหาที่พักที่เป็นบ้านพักในพื้นที่สวนป่าสัก บรรยากาศธรรมชาติ ใกล้อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย ห้องที่พวกเธอได้เป็นห้องเตียงคู่ ไอมองอีกฝ่ายอย่างหารือว่าอยากจะย้ายไปนอนเตียงเดี่ยวหรือไม่ แต่เมื่อโยมิไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งคู่จึงเข้าพักในบ้านหลังนั้น หลังจากนั้นก็เช่ารถจักรยานขี่เข้าไปในตัวเมืองเพื่อหาซื้อของกิน

“Can you wait for a while? (ช่วยรอหน่อยได้มั้ยคะ)” สาวญี่ปุ่นถามอีกฝ่ายที่กำลังยืนซื้อน้ำดื่มจากร้านขายของชำอยู่

“Yes? Where do you go? (ค่ะ คุณจะไปไหนเหรอ)”

สาวร่างสูงบุ้ยใบ้ไปที่ร้านถ่ายรูป เธอยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าว่าอยากจะไปกับเธอด้วย

“Come (มาสิ)” โยมิยื่นมือให้สาวตาหวานที่ดูเหนื่อยๆ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า หลังจากนั้นก็จูงมืออีกฝ่ายเดินข้ามถนนไปที่ร้านถ่ายรูปที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

สาวตาหวานต้องกลายเป็นล่ามจำเป็นอีกครั้งเมื่อเจ้าของร้านฟังภาษาอังกฤษที่สาวญี่ปุ่นพูดไม่เข้าใจ เธอแปลภาษาพลางขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าต้องการล้างรูป 2 รูป และต้องการจะรอรับอีกด้วย

“Wow, that’s so awesome (ว้าว รูปคุณเจ๋งชะมัดเลย)” ไอร้องเมื่อเห็นรูปจากเม็มโมรี่การ์ดของอีกฝ่ายปรากฏขึ้นบนจอภาพด้านหน้า



“Thanks (ขอบคุณค่ะ)” สาวร่างสูงหันมาพูดแล้วจ้องที่หน้าจอเพื่อจะเลือกรูปที่ต้องการล้างออกมา

โยมิหันมาหาอีกฝ่ายแล้วถามว่า “Which one do you like? (คุณชอบรูปไหนเหรอ)”

“Can I choose? (ฉันเลือกได้ด้วยเหรอคะ)” สาวตาหวานถามกลับ

“Sure, but only one (แน่นอน แต่ได้แค่ใบเดียวนะ)”

ไอใช้เวลาเลือกรูปอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเธอก็เลือกรูปของดอยเสมอดาวในยามเช้า ภาพนั้นเป็นภาพของเวิ้งผาที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ เบื้องล่างของผาเป็นทิวเขาที่ทอดตัวยาวสอดรับกับท้องฟ้าสีฟ้าอมส้มที่มีพระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่ใต้เงาของปุยเมฆ

“I love this one (ฉันชอบรูปนี้ค่ะ)”

สาวญี่ปุ่นบอกให้เจ้าของร้านล้างรูปนี้ออกมา 2 ใบ เมื่อได้รูปทั้งสองใบเรียบร้อยแล้วเธอก็ชวนอีกฝ่ายกลับไปยังที่พัก

เมื่อไออาบน้ำเสร็จเธอก็เห็นสาวร่างสูงกำลังทำอะไรบางอย่างกับรูปที่ล้างออกมา บนพื้นห้องมีเศษกระดาษแข็ง กรรไกร และสเปรย์กระป๋องเล็กวางอยู่ ส่วนโยมิก็กำลังเอาหนังสือไกด์บุ๊คเล่มหนาของเธอวางทับรูปภาพ

“Bathroom is available (ห้องน้ำว่างแล้วค่ะ)” สาวตาหวานบอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันหน้ามาหาเธอ สาวญี่ปุ่นพยักหน้าน้อยๆ แล้วเก็บของบนพื้นลงกระเป๋าผ้าใบเล็ก เธอเก็บเศษกระดาษกำไว้ในมือแล้วเดินไปทิ้งที่ถังขยะก่อนที่จะเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำ

“What are you doing? (คุณทำอะไรอยู่เหรอคะ)” ไอถามขึ้นมาเบาๆ

“Postcard… to you (ก็โปสการ์ด... ให้คุณไง)” สาวร่างสูงตอบแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

สาวตาหวานทำหน้าตกใจ เธอมองตามอีกฝ่ายที่เดินเข้าห้องน้ำด้วยสายตางงๆ หลังจากนั้นก็เดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่มีหนังสือไกด์บุ๊ควางอยู่ ไอยื่นมือแตะที่หนังสือ แต่เธอก็ไม่กล้าเปิดดู... เธอกลัวว่าโยมิจะโกรธที่เธอแอบดูโปสการ์ดโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เธอจึงเดินกลับไปที่เตียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาแม่และพี่ชายของเธอ

หลังจากนั้นไม่นานนักสาวญี่ปุ่นก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดเสื้อยืดกับกางเกงนอน เธอเดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบหนังสือไกด์บุ๊คกับปากกา แล้วเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆ ไอที่กำลังดูการ์ตูนเรื่อง Lilo & Stitch จากช่องเคเบิ้ลท้องถิ่นอยู่

สาวร่างสูงยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นภาพบนจอโทรทัศน์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอดึงโปสการ์ดออกมาจากหนังสือไกด์บุ๊ค หลังจากเช็คดูความเรียบร้อยของโปสการ์ดแล้ว โยมิก็ลงมือเขียนชื่อและที่อยู่ของคนที่นั่งข้างๆ เธอเองลงไป

“Do you want to write something to yourself? (คุณอยากจะเขียนอะไรถึงตัวเองมั้ย)” สาวญี่ปุ่นพูดพลางยื่นโปสการ์ดและปากกาให้

สาวตาหวานรับของจากมืออีกฝ่ายมาแล้วมองดูอย่างไม่เข้าใจ เธอเห็นชื่อและที่อยู่ของตัวเองด้วยลายมือที่เธอจำได้ขึ้นใจ พร้อมกับข้อความที่เขียนว่า

‘Doi Sa Mer Dao, Nan (ดอยเสมอดาว น่าน)’

นอกจากนั้นยังมีข้อความอีกข้อความหนึ่งเขียนว่า ‘With Ai (กับไอ)’

หญิงสาวเจ้าของชื่ออมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นข้อความนั้น เธอหันมามองสาวญี่ปุ่นที่กำลังอ่านไกด์บุ๊คแล้วถามเบาๆ ว่า

“Why do you still send postcard to me since I’m here with you? (ทำไมคุณยังส่งโปสการ์ดถึงฉันอยู่ละคะ ทั้งๆ ที่ฉันก็อยู่กับคุณตรงนี้)”

“I made a promise to send postcards to you until I leave, I’m still here in Thailand. So with or without you, I’ll send them to you at your place (ฉันสัญญาว่าจะส่งโปสการ์ดจนกว่าจะออกจากประเทศไทย ตอนนี้ฉันยังอยู่ที่นี่ อยู่ในเมืองไทย เพราะงั้นถึงฉันจะเที่ยวหรือไม่เที่ยวกับคุณฉันก็จะส่งโปสการ์ดพวกนี้ไปให้คุณที่บ้านอยู่ดี)” สาวร่างสูงตอบ

ไอหัวเราะออกมาน้อยๆ “You’re a weirdo as you said so (คุณเป็นคนประหลาดอย่างที่คุณพูดจริงๆ ด้วย)”

โยมิหัวเราะออกมาเล็กน้อย “So… do you want to write something? (เหรอคะ... แล้วคุณอยากจะเขียนอะไรมั้ยละ)”

“Sure (แน่นอนค่ะ)”

สาวตาหวานทำท่าครุ่นคิดอยู่นานว่าเธอจะเขียนอะไรลงไปดี เธอยื่นโปสการ์ดคืนให้อีกฝ่ายหลังจากที่เขียนลงไปเรียบร้อยแล้ว สาวญี่ปุ่นมองดูข้อความพลางขมวดคิ้ว

“Can you translate? I think you wrote in Thai, right? (คุณเขียนเป็นภาษาไทยใช้มั้ยคะ ช่วยแปลให้ฟังหน่อยได้มั้ย)”

ไอยิ้มแล้วแปลข้อความที่เธอเขียนลงไปให้อีกฝ่ายฟัง

‘นี่เป็นการเดินทางด้วยตัวเองครั้งแรกของฉัน เดินทางร่วมกับคนที่ฉันไม่รู้จักมาก่อน แต่ฉันคุ้นเคยกับลายมือเค้าและโปสการ์ดของเค้ามานาน ฉันดีใจมากที่ได้เดินทางร่วมกับเค้า และดีใจมากที่ฉันได้เขียนโปสการ์ดส่งให้ตัวเอง’

“You’re strait person, I like it (คุณเป็นคนตรงไปตรงมาดีนะ ฉันชอบ)” สาวร่างสูงพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

“Thanks, so… can you tell me who hire you? (ขอบคุณค่ะ แล้ว... คุณจะบอกฉันได้หรือยังคะว่าใครเป็นคนจ้างคุณ)”

โยมิยิ้มพลางส่ายหน้า “Ara… there you go again. You know, you will get the same answer from me every time you ask me like this… (อ้า... คุณถามแบบนี้อีกแล้ว รู้มั้ยว่าไม่ว่าคุณจะถามฉันด้วยคำถามนี้กี่ครั้งก็ตาม คุณก็จะได้รับคำตอบเดิมๆ จากฉันตลอดนั่นแหละ)”

“Which is… (แล้วคำตอบนั้นคือ...)” สาวตาหวานพูดต่อ

“I don’t know (ฉันไม่รู้)” สาวญี่ปุ่นตอบออกมา แล้วคำตอบนี้ก็ทำให้ผู้ฟังถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

สาวร่างสูงหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วเธอก็เดินออกไปนอกห้อง ไอเห็นเงาของอีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ของระเบียงบ้านอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากที่ได้ยินเสียงหยดน้ำของฝนที่โปรยปรายกระทบกับหลังคาบ้านพักโยมิก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับเสียงบ่นเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่ 2 – 3 คำ

สองสาวนั่งดูการ์ตูนต่อไปเรื่อยๆ สำหรับสาวตาหวานแล้ว การ์ตูนเรื่องนี้สร้างความเพลิดเพลินให้กับเธอได้ไม่น้อย แต่สำหรับโยมิ ดูเหมือนว่าเธอจะอึดอัดใจกับคำพูดของตัวละครโดยเฉพาะตอนที่สติทช์กำลังจากหนีออกจากบ้านไป เมื่อหนูน้อยลิโล่พูดออกมาว่า

“Ohana means family. Family means nobody gets left behind.  But if you want to leave, you can. I'll remember you though… I remember everyone that leaves (โอฮาน่า หมายถึงครอบครัว ครอบครัว หมายถึง จะไม่มีใครทอดทิ้งกัน แต่ถ้าเธอจะไป เธอก็ไปได้ แต่ฉันจะจดจำเธอไว้ ฉันจำทุกคนที่จากไปได้เสมอ)”

สำหรับไอแล้ว คำพูดในการ์ตูนเป็นอะไรที่ธรรมดาสำหรับเธอมาก แต่สาวญี่ปุ่นกลับลุกขึ้นจากเตียงแล้วรีบเดินออกไปนอกห้องอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนร่วมทางที่แปลกไปก็ทำให้สาวตาหวานอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เธอเดินไปมองที่หน้าต่างก็ไม่เห็นร่างของสาวร่างสูงตรงเก้าอี้หน้าบ้าน เธอจึงเดินไปที่ประตู แต่เมื่อเธอจะดันประตูออกก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของร่างกายคนที่ยืนพิงประตูอีกฝั่งหนึ่งไว้

“Yomi… (โยมิ...)” ไอร้องเรียกอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีคำตอบออกมาจากคนที่อยู่อีกฝั่งประตู

สาวตาหวานร้องเรียกชื่อโยมิอีกหลายครั้ง และกว่าที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาก็ร่วมๆ 10 นาที เสียงของสาวญี่ปุ่นที่ตอบออกมาฟังดูแย่มาก

“Are you alright? (คุณโอเคนะ)”

“Um… Dijoubu (อื้อ... ไม่เป็นไร)” สาวร่างสูงตอบออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น “I wanna be alone for a while, I’m ok (ฉันขออยู่คนเดียวสักพักนะ ฉันโอเค)” โยมิพูดออกมาอีกครั้งหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่

“Ok… (ได้ค่ะ)” ไอตอบออกมาเบาๆ “Yomi… (โยมิ)” เธอร้องเรียกอีกฝ่ายอีกครั้ง

“Hai (คะ)”

“Even I can’t help you much but if you have something you want to release your stress, please do. (ถึงฉันจะช่วยอะไรคุณไม่ได้มากนักแต่ถ้าคุณมีอะไรอยากจะระบาย ก็บอกฉันได้นะคะ)”

และต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะได้ยินคำว่า “…Thank you (...ขอบคุณค่ะ)” ออกมาจากปากของสาวญี่ปุ่น

...

‘Yubikiri genman. Yakusoku wo yaburu hari senbon nomasu (เกี่ยวก้อยกันไว้ ใครผิดสัญญาต้องกลืนเข็มพันเล่ม)’

เสียงประสานของหญิงสาวสองคนดังขึ้นมาในห้วงความคิดของโยมิ

“Yakusoku wo yaburu hari senbon nomasu (ใครผิดสัญญาต้องกลืนเข็มพันเล่ม)”

สาวญี่ปุ่นพูดพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับหยดน้ำตาร้อนๆ ที่ไหลลงมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย เธอพยายามเงยหน้าขึ้นมาเพื่อให้น้ำตานั้นไหลย้อนกลับไปแต่ทว่าไม่ได้ผล

“Mou! Gamandekinai! (ทะ... ทนไม่ไหวแล้วนะ)” สาวร่างสูงพูดออกมาอีกครั้งก่อนที่น้ำตาที่เธอพยามกลั้นเอาไว้จะไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกพร้อมๆ กับร่างกายที่ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหน้าประตูบ้าน

โยมิยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้า แล้วภาพที่ทำให้เธอต้องร้องไห้แบบนี้ก็เข้ามาในโสตประสาทของเธอ ภาพ Flash back ที่เหมือนกับอาการของไอ ภาพที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่น้องชายและคนอื่นๆ ในครอบครัวเรียกเธอว่านีท…

เสียงไซเรนของรถตำรวจหยุดจอดที่หน้าบ้านครอบครัวอุปถัมภ์ของสาวญี่ปุ่นในย่านชานเมืองแห่งหนึ่งของนครชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วพีท ชายร่างใหญ่ผมและเคราสีเงิน พ่ออุปถัมภ์ของเธอเปิดประตูต้อนรับเจ้าหน้าที่ตำรวจชายผิวขาวและหญิงผิวสีเข้ามาในบ้าน

“โยมิ มินาโมโตะ” ตำรวจชายผิวขาวร้องเรียกชื่อของเธอ

“ค่ะ” สาวร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาที่เธอนั่งอยู่ทันที

“เธอเป็นอะไรกับผู้หญิงที่ชื่อ ยูคาริ มินาโมโตะ” ตำรวจหนุ่มถามอีกครั้ง

“เธอเป็นพี่สาวของฉันค่ะ... ม... มีอะไรหรือเปล่าคะ... ก... เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า”

ตำรวจสาวผิวสีเดินเข้ามาใกล้เด็กสาวชาวเอเชียแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่ามันไม่น่าดูเท่าไหร่ แต่เธอควรจะรู้ไว้ในฐานะญาติของผู้ตาย”

“ผ... ผู้ตาย... คุณหมายความว่ายังไง” โยมิถามเสียงสั่น

“ทำใจดีๆ ไว้นะ” ตำรวจหญิงบอกแล้วโชว์รูปภาพให้อีกฝ่ายดู 2 ภาพ

สาวญี่ปุ่นเม้มริมฝีปากเมื่อได้เห็นรูปภาพนั้น มันเป็นภาพจากกล้องโพราลอยด์ ในภาพนั้นมีหญิงสาวที่แต่งชุดคล้ายกับยูคาริในวันที่เธอหายไป แต่จากภาพที่เห็นทำเอาเคท แม่อุปถัมภ์ของเธอถึงกับเบือนหน้าหนี เพราะเป็นภาพที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก หญิงสาวในภาพถูกมัดมือและเท้า เสื้อผ้าฉีกขาด ใบหน้ามีรอยช้ำและบิดเบี้ยวจากการถูกทำร้าย

“เราพบตัวเธอใกล้กับบึงในสวนสาธารณะ ห่างจากที่นี่ 20 ไมล์” ตำรวจหนุ่มบอก “เสียชีวิตแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง”

“เธอจะพอรู้บ้างหรือเปล่าว่าพี่สาวของเธอไปกับใครก่อนที่จะหายตัวไป” ตำรวจหญิงถาม

สาวร่างสูงไม่ตอบ สิ่งที่เธอให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคนในตอนนั้นได้มีแค่เพียงน้ำตาร้อนๆ กับเสียงสะอื้นในลำคอ... แค่เพียงเท่านั้นเอง

วันต่อมาโยมิไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่และนักสืบถึงการหายตัวไปของพี่สาวของเธอ หลังจากนั้นเธอก็เดินทางไปที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลเพื่อพบกับยูคาริ... พี่สาวของเธอที่ไร้ลมหายใจ

ร่างกายที่เย็นเฉียบจากการแช่แข็ง ผิวสีขาวราวกับหิมะที่เห็นอยู่ตลอดถูกทดแทนด้วยสีฟ้าปนเขียวจากเส้นเลือดแข็งตัว ใบหน้าที่งดงามเปลี่ยนไปเพราะการถูกทุบตี เส้นผมที่ยาวสลวยกระเซอะกระเซิง ยูคาริในตอนนี้ไม่เหมือนกับยูคาริตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แม้แต่น้อย...

สาวญี่ปุ่นเดินร้องไห้ออกมาเงียบๆ จากห้องเก็บศพ เธอไม่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนกับแม่ของเธอ เธอไม่ร้องไห้แล้วโวยวายปาข้าวของพร้อมเสียงตะโกนด่าว่า “ทำไมต้องเป็นยูคาริ!” เหมือนกับพ่อของเธอ เธอไม่ร้องไห้แล้วเข้าไปกอดทั้งพ่อและแม่เหมือนกับโยชิอากิ น้องชายของเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือการนั่งกอดเข่าเงียบๆ ในห้องทำงานของตำรวจหญิงผิวสี เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่เจ้าของเรื่องมาสอบปากคำของเธอด้วยหัวใจที่แหลกสลาย

สาวร่างสูงถูกส่งตัวกลับประเทศทันทีหลังจากที่ตำรวจอนุญาตให้เธอกลับได้เมื่อพวกเขารวบรวมหลักฐานเพื่อทำการสอบสวนต่อได้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ใช้เวลาอีกประมาณ 1 เดือนหลังจากที่พวกเขาเดินมาบอกว่าพี่สาวของเธอเสียชีวิตแล้ว ช่วงระหว่างนั้นเธอไปเข้าชั้นเรียนในโรงเรียนสอนภาษาของมหาวิทยาลัยดังเช่นปกติ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพ่อแม่อุปถัมภ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยเหตุที่ว่ายังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ และเรียนจบคอร์สก่อนที่เธอจะถูกส่งกลับเพียง 3 วันเท่านั้น

หลังจากกลับมาถึงญี่ปุ่น โยมิได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ทันเวลาเปิดเทอมใหม่พอดี เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ได้และเรียนไปได้ประมาณ 1 ปีแล้วก่อนที่พ่อของเธอจะยอมให้เธอและยูคาริไปเรียนภาษาเพื่อฝึกฝนก่อนที่จะเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ เธอคิดว่าจะขอพ่อให้โอนหน่วยกิตหรือไม่ก็ลาออกเพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยที่นั่นกับยูคาริ แต่ตอนนี้ไม่มีพี่สาวของเธอแล้ว... เธอจำเป็นต้องทนอยู่แบบนี้ต่อไป… เรียนและใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย...

เสียงของพ่อที่ห้องเก็บศพยังคงดังอยู่ในห้วงความคิด

“ทำไมต้องเป็นยูคาริด้วย! ทำไม!”

...
เมื่อโยมิเดินกลับเข้ามาในห้องก็เห็นว่าไอหลับไปแล้ว เธอล้มตัวลงนอนหันหลังให้กับอีกฝ่าย แล้วหลับตาลง

“พี่มันเห็นแก่ตัว... เราสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ถึงโกหกฉัน” เสียงของสาวญี่ปุ่นดังขึ้นมาในฝัน ภาพที่เห็นคือตัวของเธอเองที่กำลังเถียงกับยูคาริ

“พูดให้มันดีๆ นะโยมิ พี่ไม่ได้โกหกเธอ แค่พี่พูดไม่หมดต่างหาก” เสียงของพี่สาวตอบกลับมา ในขณะที่กำลังสวมเสื้อคลุมตัวโปรดเพื่อที่จะเตรียมตัวออกจากบ้าน

“พูดไม่หมดเหรอ... ไหนพี่เคยบอกว่ามีอะไรจะบอกฉันทุกอย่างไง!” สาวร่างสูงพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“นี่! อย่ามาขึ้นเสียงใส่พี่นะโยมิ” ยูคาริส่งเสียงดังตอกกลับน้องสาว “ทุกวันนี้เราสองคนก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่แล้ว ขอเวลาส่วนตัวให้พี่หน่อยไม่ได้หรือยังไง”

“แล้วคนพวกนั้นพี่คิดว่าไว้ใจได้งั้นเหรอ” โยมิพูดต่อ “พี่เองก็เพิ่งรู้จักพวกเค้า แล้วนี่จะออกไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ขออนุญาตพ่อกับแม่ด้วย”

“แล้วไงล่ะ... แหกกฎซะบ้างเถอะน่าโยมิ นะ...” ยูคาริเดินเข้ามาพยายามจะอ้อนน้องสาวด้วยการบีบแก้ม แต่ก็โดนอีกฝ่ายเดินหนี

“ก็ได้... ไม่ว่าเธอจะพูดว่าพี่ยังไงก็ตาม พี่ก็จะไป แล้วเธอก็อย่าคิดว่าเธอจะห้ามพี่ได้”

“พี่มันเห็นแก่ตัว” สาวร่างสูงพูดอีกครั้ง

ผู้ฟังพ่นลมหายใจออกมาเสียงดังแล้วพูดออกมาว่า “ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว พี่... หรือว่าเธอกันแน่... พี่แค่ทำให้สิ่งที่พี่อยากจะทำ แต่เธอ... โยมิ... เธอทำตามพี่ทุกอย่าง แย่งทุกอย่างไปจากพี่... เธออยากได้อะไรเธอก็ได้แค่เธออ้อนพี่ ขอให้พี่พูดกับพ่อให้ แล้วไงล่ะ ได้อะไรมาเธอถ้าไม่ชอบในเธอก็ไม่สนใจ ไม่แยแสมัน คนที่รับผิดชอบก็เป็นพี่ตลอด”

สาวญี่ปุ่นเงียบกับคำพูดของพี่สาว เมื่อเธอมองตาอีกฝ่ายเธอก็เห็นแววตาที่ไม่พอใจและแฝงไปด้วยความสะใจเล็กๆ ของยูคาริที่ต่อว่าน้องสาวของตัวเองได้

“คราวนี้ล่ะ ถึงเวลาที่เธอต้องรับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง แล้วเธอก็จะรู้ว่าตัวของเธอเองน่ะเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน”

ยูคาริพูดจบก็ปิดประตูห้องแล้วเดินจากไป สาวร่างสูงเดินไปมองที่หน้าต่าง เธอเห็นพี่สาวของตัวเองขึ้นรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ตรงข้ามกับบ้านของครอบครัวอุปถัมภ์ หลังจากนั้นก็ขับออกไปด้วยความรวดเร็ว…

“Kegarekitta kono michi wa. Mou kawannai yo (ถนนเปรอะเปื้อนที่ฉันเดินมา มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว)”

สาวตาหวานตื่นขึ้นมาเพราะตกใจกับเสียงฟ้าร้อง แต่เธอก็ยินดีที่ได้ตื่นขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้เธอฝัน... ฝันถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพ่อของเธออีกแล้ว ไอมองไปรอบๆ ตัวก็เห็นโยมินอนหันหลังให้เธออยู่ เธอมองแผ่นหลังนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็นึกแปลกใจ เพราะเธอเห็นว่าร่างกายของคนที่อยู่ตรงหน้านั้นสั่นเล็กน้อย และเมื่อเธอตัดสินใจขยับตัวเข้าไปใกล้ เธอก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังออกมาจากอีกฝ่าย

“Yomi… Yomi… (โยมิ... โยมิ...)” สาวตาหวานแตะตัวอีกฝ่ายเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าสาวร่างสูงจะไม่รู้สึกตัว

ไอนอนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เป็นกังวลพลางคิดถึงคำพูดของโยมิที่เคยพูดกับเธอครั้งหนึ่งว่า

‘Everyone has somethin’ bad in the life and will causes bad dream. You have bad dreams and so do I (ทุกคนมีเรื่องแย่ๆ ในชีวิตนั้นแหละ เรื่องพวกนั้นก็ทำให้เกิดฝันร้ายได้ คุณฝันร้ายได้ ฉันเองก็ฝันร้ายได้เหมือนกัน)’

เมื่อคิดได้ดังนั้นสาวตาหวานก็มองไปที่สาวญี่ปุ่นอีกครั้งแล้วค่อยๆ ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด เวลาที่เธอฝันร้ายเธอแม่มักจะเดินเข้ามากอดเธอเสมอ และเธอคิดว่าวิธีการนี้น่าจะใช้กับสาวร่างสูงได้เช่นกัน

“It’s alright… I’m be right here with you (ไม่เป็นไรนะคะ ฉันอยู่ที่นี่กับคุณนะ)”

ไอกระซิบที่ข้างหูของโยมิเบาๆ และสิ่งที่เธอได้รับกลับมาจากอีกฝ่ายคืออ้อมแขนที่โอบล้อมตัวของเธอแน่นขึ้นและเสียงสะอื้นที่เบาบางลงจนกระทั่งหายไป

-----------------

ลงนิยายแก้เซ็ง หมองตัน เขียนอะไรไม่ออกแล้วว

งานเยอะ โดนด่าแบบทั้งๆ ที่ไม่ผิดอะไร โดนแทงข้างหลังเลือดโชก นี่ตรูเป็นนังช้อยหรืออย่างไร หลังลาย หลังพรุนไปหมดแล้ว

F************CK  ~:Emo10:~




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.