web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 108
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 95
Total: 95

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 1  (อ่าน 2174 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 1
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:10:43 »
Chapter 1

เสียงจอแจดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องบรรยายที่เปิดกว้างเพื่อให้บรรดานักศึกษาที่อยู่ในห้องกรูกันออกไปหลังจากที่ชั่วโมงเรียนสุดท้ายจบลง กลุ่มนักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่งนั่งรอจนกระทั่งคนออกกันไปเกือบหมดแล้วจึงลุกขึ้นจากโต๊ะเล็กเชอร์เพื่อเดินออกจากห้องบรรยาย

“วันนี้กลับบ้านเลยเหรอเปล่าไอ” สาวห้าวผมสั้นที่เดินนำหน้าหันไปถามเพื่อน

หญิงสาวที่มีคิ้วเข้มได้รูปรับกับดวงตากลมโตอ่อนหวาน ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูที่กำลังพูดพลางเปิดสมุดเล็กเชอร์เพื่อดูโน้ตที่จดเมื่อครู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งก็หยุดแล้วหันหน้าไปตามเสียงของคนถาม หลังจากนั้นเธอก็ตอบเพื่อนไปว่า “วันนี้นัดคุณหมอเอาไว้น่ะ ป้อมไม่ต้องห่วงนะ พี่อาร์ทเพิ่งส่งแมสเสจมาบอกว่ามาถึงแล้ว”

“เหรอ... งั้นวันนี้เราจะได้แวะซื้อของก่อน” สาวห้าวที่มีชื่อว่าป้อมตอบกลับมาอีกครั้ง

“จ้ะ ขอโทษนะ เราต้องรบกวนป้อมตลอดเลย ขอโทษจริงๆ” ไอพูดอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไร เราช่วยได้เท่าที่เราช่วยนั่นแหละ” ป้อมตอบ

เมื่อกลุ่มนักศึกษาสาวเดินมาถึงหน้าอาคารบรรยายสาวตาหวานก็โบกมือลาเพื่อนๆ เมื่อเห็นรถพี่ชายของตัวเองจอดอยู่ด้านหน้า เธอเดินตรงไปขึ้นรถเพื่อไปหาหมอตามที่ได้บอกเพื่อนเอาไว้

“น่าสงสารว่ะ” สาวแว่นผมยาวประบ่าพูดขึ้นมาเบาๆ

“เออว่ะ... กว่าจะกลับมาเรียนได้ แล้วนี่ยังต้องไปหาหมอทุกเดือนอีก เราจำได้เลยตอนที่ไปเยี่ยมไอที่โรง’บาล เห็นแล้วแบบอึ้งเลยอ่ะ น้ำตาไหลเลย แกก็ร้องไห้ไปกะเราด้วยนี่นา... ใช่ป่ะแพร” สาวผมแดงที่อยู่ในชุดนักศึกษาพูดเสริม

“ใช่... วันนั้นเราเพิ่งจะเคยเห็นแกร้องไห้ครั้งแรกแหละ ไม่คิดเลยว่า เจ้าแม่มิน ดาวคณะสุดแรงจะมานั่งปล่อยโฮข้างเตียงคนไข้แบบไม่อายใครได้ถึงขนาดนั้น... ว่าไงอ่ะป้อม วันนี้ไม่ต้องไปส่งไอแล้วสินะ ไปกินข้าวกะพวกเราป่าว” แพรหันไปถามสาวห้าว

“อื้อ ไปดิ ไม่ได้กินข้าวแบบสบายๆ ชิลๆ มานานแล้ว วันนี้ขอแวะซื้อของด้วยนะ วันนี้โชคดีแฮะที่เรียนวิชาเดียวกันแถมพี่อาร์ทมารับ ไม่อย่างงั้น... ไม่เราก็ไอที่ต้องมายืนรอตอนเลิกเรียน” ป้อมตอบพลางถอนหายใจ “ไม่ได้งั้นงี้นะ แต่เราเริ่มเหนื่อยแล้วอ่ะ”

“เข้าใจเว้ย... แล้วแกมีทางแก้มั้ยล่ะ” มินถาม “ในเมื่อไอยังไม่หายดี แถมบ้านแกอยู่ใกล้กับบ้านไอด้วย”

“รู้... เรารับปากแม่ของไอเอาไว้ว่าจะดูแล เราก็พยายามนะ แต่แบบ... โลกส่วนตัวมันหายไปอ่ะ บางทีอาการของไอก็ทำให้เราเครียดเอาง่ายๆ ด้วย” สาวห้าวตอบ

“เข้าใจเลยว่ะ เห็นตอนนั้นแล้วแบบทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน” สาวแว่นตบไหล่เพื่อน “นี่ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเราก็คงเชียร์ให้แกเป็นแฟนกับไอไปนานแล้ว แต่ดูท่าทางตอนนี้คงยังไม่ได้ว่ะ”

“ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว” ป้อมพูดขึ้นมาเบาๆ “ไอไม่ใช่สเปคเรา ไอไม่ได้ชอบเรา และเราก็ไม่ได้ชอบไอแบบนั้นด้วย”

สาวผมแดงมองเพื่อนด้วยสายตาเศร้าๆ “เอาเว้ย พอเถอะ ไปกินข้าวกัน วันนี้แกได้พักแล้วป้อม พรุ่งนี้ค่อยคิดกันใหม่”

“อื้อ... พรุ่งนี้ค่อยคิดกันใหม่”

แล้วสามสาวก็เดินตรงไปที่รถของสาวห้าวแล้วขับออกจากมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว

...

ไอนั่งรอพบจิตแพทย์ประจำตัวของเธออยู่หน้าห้องตรวจภายในสถาบันประสาทวิทยา เธอต้องมาพบกับจิตแพทย์ทุกๆ เดือนหลังจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอและพ่อของเธอเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว นอกจากบาดแผลทางร่างกายที่ไม่หนักเท่ากับพ่อที่จากไป เธอยังมีบาดแผลทางจิตใจที่เรียกว่า ภาวะผิดปกติทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง (Post Traumatic Stress Disorder – PTSD) ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชและส่งผลให้เธอมีปัญหาพฤติกรรมและกระทบกับการใช้ชีวิตของเธอ

สาวตาหวานหันไปมองพี่ชายตัวเองที่นั่งอ่านอะไรบางอย่างจาก iPad ที่อยู่ในมือ อาร์ทยังอยู่ในชุดเครื่องแบบช้อปสีม่วงของบริษัท ผมสั้นรองทรงยุ่งเล็กน้อยแต่ก็เรียกความสนใจจากสาวใหญ่ สาวน้อย และนางพยาบาลและนางสาวพยาบาลได้อันเนื่องมาจากหน้าตาที่ค่อนข้างดี เขาเป็นช่างซ่อมเครื่องบินให้กับสายการบินหลักของประเทศและวันนี้เขาต้องลางานเพื่อพาเธอมาหาหมอโดยเฉพาะ

“มีอะไรเหรอ” ช่างซ่อมเครื่องบินเงยหน้าหันมาหาน้องสาว

“เปล่า... ไม่มีอะไร” ไอตอบสั้นๆ แล้วหันหน้ากลับไปทางเดิม

อาร์ทขมวดคิ้วเข้มๆ แล้วมองน้องสาวด้วยสายตากังวล หลังจากอุบัติเหตุที่พรากชีวิตพ่อของเขาแล้วยังทำให้น้องสาวของเขาป่วยหนักโดยเฉพาะจิตใจจนเขากับแม่แทบจะทนไมได้ ตอนแรกๆ เขากับแม่ไม่รู้เลยว่าทำไมน้องสาวถึงไม่แจ่มใสร่าเริงเหมือนแต่ก่อนหลังจากที่เหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไป และเริ่มมีอาการตกใจหรือหวาดกลัวเอาง่ายๆ บางครั้งถึงกับร้องไห้ออกมาจนแม้กระทั่งตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ หลังจากนั้นก็ซึมเศร้า เก็บตัวจนกระทั่งถึงกับหยุดเรียน แม่ของเขาตัดสินใจพาน้องสาวมาพบจิตแพทย์หลังจากสาวตาหวานพูดว่า ‘ไอจะไปเจอพ่อที่สวรรค์มั้ย’ อยู่บ่อยครั้ง

การรักษาช่วงแรกๆ เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะอาการของน้องสาวค่อนข้างจะเรื้อรัง (อาการมากกว่า 3 เดือน) แถมยังมีอาการซึมเศร้าและปัญหาพฤติกรรมที่เริ่มจะแยกตัวออกจากคนอื่นร่วมด้วย การรักษาด้วยจิตบำบัดตลอด 6 เดือนทำให้ไอมีอาการดีขึ้นและยอมกลับไปเรียนต่อหลังจากที่หยุดมานาน ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆ ทำให้สาวตาหวานมีอาการดีขึ้น

“เชิญคุณไอลดาค่ะ” เสียงนางพยาบาลเรียกชื่อคนไข้ที่นั่งรอดังขึ้น ทำเอาช่างซ่อมเครื่องบินตื่นขึ้นมาจากภวังค์

“ไอเข้าไปก่อนนะพี่อาร์ท”

“อื้อ” อาร์ทรับคำ เขามองตามน้องสาวที่กำลังเดินเข้าห้อง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาพักนี้สาวตาหวานเริ่มจะกลับไปมีอาการเหมือนเดิมอีกครั้ง เขากับแม่เห็นว่าพักหลังมานี้ไอเริ่มจะเก็บตัว ซึมมากขึ้น และร้องไห้บ่อยมากขึ้น

“ขอให้ไอดีขึ้นด้วยเถอะ” ช่างซ่อมเครื่องบินพูดขึ้นมาเบาๆ

“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ไอยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่นั่งยิ้มรอเธออยู่

“เป็นไงบ้างจะหนูไอ สบายดีมั้ย”

“ก็... ดีค่ะ”

จิตแพทย์เลิกคิ้ว “เหรอจ้ะ... วันนี้ไปเรียนมาใช่มั้ย”

“ค่ะ... วันนี้โชคดีได้เรียนวิชาเดียวกับเพื่อนๆ ไม่ได้เรียนกับรุ่นน้องเหมือนวันอื่นๆ” สาวตาหวานตอบเบาๆ

“ทำไมละจ้ะ ไม่ชอบเรียนกับรุ่นน้องเหรอ อย่างหนูไอน่ะหมอยังคิดว่าเพิ่งจะเป็นเฟรชชี่ได้อยู่เลยนะ”

“ก็... ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่รู้สึกว่ามีแต่คนมองแล้วก็ซุบซิบตลอดเวลาเลยค่ะ ก็เลย...”

“แล้วเค้ามองหนูจริงๆ มั้ยล่ะ” คุณหมอถาม

“ไม่รู้สิคะ หนูไม่ได้เงยหน้ามองใครเลย ก้มหน้ามองที่หนังสือกับสมุดอย่างเดียว” ไอตอบ เสียงของเธอค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ

จิตแพทย์จดพฤติกรรมของคนไข้ลงชาร์จ “มีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่าจ้ะ... หนูไอกลับไปเรียนได้เกือบเทอมนึงแล้วนี่นา ใกล้สอบแล้วด้วย กังวลเรื่องสอบหรือเปล่า”

“ก็นิดหน่อยค่ะ... แต่ก็... คือว่า...”

“หนูไอบอกหมอได้ทุกอย่างนะคะ เราคุยกันแล้วตั้งแต่ต้นแล้ว... ใช่มั้ยจ้ะ”

“ค่ะ... คือหนูรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเวลาเห็นหน้าเพื่อนๆ น่ะค่ะ”

“เพื่อนๆ เหรอจ้ะ” คุณหมอทวนคำพูดของอีกฝ่าย

สาวตาหวานถอนหายใจแล้วก้มหน้าลง “เวลามองหน้าเพื่อนแต่ละคนเหมือนกับพวกเค้า... พวกเค้ามองหนูไม่เหมือนเดิม หนูบอกไม่ถูกแต่สายตาของพวกเค้ามันดูแปลก... มันรู้สึกเศร้า รู้สึกแย่...”

จิตแพทย์พูดหลังจากที่คำตอบของคนไข้เงียบลงและไม่พูดอะไรต่ออีก “ก็เพราะพวกเค้าเป็นห่วงหนูยังไงละจ้ะ คนเราเวลาเป็นห่วงใครสักคนก็จะมอง ก็จะอยากช่วย แล้วมีอะไรเกี่ยวกับเพื่อนอีกมั้ยจ้ะ”

“ก็... หนูรู้สึกเกรงใจเพื่อนของหนูที่คอยมารับมาส่งหนูทุกวัน” ไอพูด “หนูดูออกว่าเค้าอึดอัดที่ต้องมาคอยดูแลหนู ถึงพวกเราจะสนิทกันแต่หนูเข้าใจว่าหนูเป็นภาระให้เค้า หนูได้แต่ถ่วงเค้าทุกอย่าง แต่ป้อมก็ใจดีมากที่ช่วยหนูอยู่ตลอดทั้งๆ ที่ในใจเค้าไม่พอใจ”

“แล้วหนูรู้ได้ยังไงละจ้ะว่าเค้าไม่พอใจ”

สาวตาหวานเหลือบตาขึ้นมามองอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า

“เอางี้มั้ย ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันจริง หมอว่าเค้าน่าจะตอบคำถามหนูทุกอย่าง คนเป็นเพื่อนกันน่ะต้องกล้าพูดทุกอย่างทั้งที่พอใจและไม่พอใจ”

“เหรอคะ แต่หนูกลัวว่าถ้าหนูถามแล้วเค้าจะไม่พอใจ”

“แล้วหนูคิดว่าหนูรับคำตอบของเค้าที่บอกมาว่า ‘เธอเป็นตัวถ่วง เป็นเป็นภาระ’ จากปากของเพื่อนหนูได้มั้ยละจ้ะ” คุณหมอถาม

“หนูก็... ไม่รู้เหมือนกัน... ตอนนี้รู้สึกไม่อยากไปไหนเลยละค่ะ” จู่ๆ ไอก็เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาเสียดื้อๆ

จิตแพทย์เลิกคิ้วแล้วถามต่อว่า “แล้วทำไมถึงไม่อยากไปไหนละจ้ะ”

“มันรู้สึก...” สาวตาหวานพูดแล้วหยุดไปนาน “ภาพๆ นั้นมันกลับมาอีกแล้ว... กลับมาในฝัน กลับมาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ไม่อยากนอน เวลานั่งรถไปไหนมันก็เริ่มมาให้เห็น ...ก็เลยอยากอยู่บ้าน ไม่อยากออกไปไหนน่ะค่ะ”

คุณหมอเหลือบมองดูปฏิทินตั้งโต๊ะแล้วมองดูชาร์จคนไข้ที่อยู่ในมืออีกครั้ง เธอพอจะวินิจฉัยได้แล้วว่าอาการที่ย้อนกลับมาของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วเขียนลงไปในชาร์จว่า ‘Phobic avoidance (อาการหลบเลี่ยงหลีกเลี่ยงไม่เผชิญสิ่งที่กลัว)’ ‘อารมณ์เศร้า’ ‘ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า’ ‘นอนไม่หลับ’ และ ‘Flash Back (เหตุการณ์ซ้ำ)’

“จ้ะ... หมอว่าน้า... อย่างหนูไอเนี่ยมันเป็นอาการของเด็กที่ไม่อยากไปโรงเรียน” จิตแพทย์พูดติดตลกทำเอาอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองแบบงงๆ

“อาการเหมือนหลานของหมอเลยตอนที่หยุดเรียนไปเพราะเป็นไข้เลือดออก พอกลับไปโรงเรียนอีกทีก็มีอาการงอแงไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนหนูเลยล่ะ”

ไอหัวเราะน้อยๆ “จริงเหรอคะ”

“จริงสิจ้ะ หนูต้องตั้งใจเรียนนะ อุตส่าห์ได้กลับไปเรียนแล้วทั้งทีก็ต้องตั้งใจเรียน พยายามให้ถึงที่สุด แล้วทำความฝันของคุณพ่อให้เป็นจริงนะ หนูไออยากเป็นผู้พิพากษาเหมือนคุณพ่อไม่ใช่เหรอ”

“ค่ะ... หนูจะพยายาม หนูจะไม่เกเร” สาวตาหวานพูดพลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เวลามีคนพูดถึงพ่อทีไรเธอจะร้องไห้ออกมาทุกครั้ง

“ส่วนเรื่องเพื่อน... อย่างที่หมอบอกนั่นแหละถ้าเป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกัน แต่ถ้ามีอะไรที่หนูติดใจก็ต้องถามเค้าออกไปตรงๆ เพื่อนจะโกรธ หรือไม่โกรธ ยังไงพวกเค้าก็เพื่อนหนูไม่ใช่เหรอจ้ะ ไม่ต้องกังวลนะว่าผลมันจะเป็นยังไง เพราะยังไงหนูกับพวกเค้าก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี”

“ค่ะคุณหมอ”

“จ้ะ... งั้นเดี๋ยวหนูไอไปตามพี่อาร์ทมาคุยกับหมอหน่อยนะจ้ะ แล้วเดือนหน้าเราเจอกันใหม่นะ”

“ค่ะ... ขอบคุณนะคะคุณหมอ” ไอพูดพลางยกมือไหว้จิตแพทย์ประจำตัวแล้วเดินออกไปนอกห้อง

เมื่อคนไข้เดินออกจากห้องไปคุณหมอก็ขมวดคิ้ว และเริ่มปรึกษากับอาร์ททันทีที่เขาเข้ามาในห้อง ทั้งสองคุยกันพร้อมกับพัชรินทร์ แม่ของคนไข้และญาติคนไข้ทางโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ ช่างซ่อมเครื่องบินพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเดินออกมาจากห้องตรวจแล้วชวนน้องสาวกลับบ้าน

...

สามสัปดาห์ต่อมา…

หลังจากพบกับจิตแพทย์ท่าทางของไอกับเพื่อนนั้นยังคงเหมือนเดิมเพราะว่าต่างคนก็ต่างยุ่งกับการเรียนและการทำรายงานของตัวเอง เนื่องจากจะใกล้สอบปลายภาคมากขึ้นทุกที สาวตาหวานที่หยุดเรียนไปต้องเรียนวิชาเดียวกับรุ่นน้อง เธอยังปรับตัวเองให้เข้ากับกลุ่มของรุ่นน้องไม่ได้ และไม่ค่อยได้เจอเพื่อนมากนัก แม้แต่ป้อมที่คอยมารับ มาส่งและดูแลเธออยู่แทบจะทุกวันที่ไปเรียน ถึงแม้เธออยากจะถามสาวห้าวว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องคอยดูแลเธอ แต่ปากกลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาและท่าทางเฉยๆ ของอีกฝ่าย ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเริ่มแยกตัว อยู่คนเดียวมากขึ้น เธอเริ่มโดดเรียนไปแอบหลบมุมอยู่ตามห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ หนักเข้าก็เริ่มมีอาการไม่อยากไปเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ

วันธรรมดาวันนี้เป็นวันที่ไอไม่มีเรียน สาวตาหวานจึงนอนอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน พัชรินทร์ แม่ของเธอและอาร์ทต่างก็ไปทำงานกันหมด เธอไม่ได้เป็นกังวลอะไรเรื่องนั้น สิ่งที่เธอกังวลคือความฝัน... ฝันถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเสียพ่อ และต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนานเกือบ 6 เดือน

“ปวดหัวจัง” ไอบ่นกับตัวเอง พักหลังนี้เธอเริ่มจะปวดหัวข้างเดียวมากขึ้น

สาวตาหวานชันตัวขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินตรงไปที่ตู้ยาที่อยู่ตรงชานพักบันได เธอหยิบยาแก้ปวดขึ้นมากินสองเม็ดแล้วเดินกลับไปที่โซฟาอีกครั้ง แต่ก็หยุดเมื่อเธอเหลือบเห็นบุรุษไปรษณีย์ที่เพิ่งจะขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากหน้าบ้านของเธอไป

ไอเดินออกจากบ้านตรงไปที่ประตูรั้ว เปิดกล่องรับจดหมายแล้วหยิบซองต่างๆ ออกมา เธอเดินอ่านหน้าซองแต่ละซองขณะที่เดินเข้าบ้าน

“ของแม่... ของแม่... ของพี่... ของแม่...” ซองจดหมายแต่ละซองจ่าหน้าถึงแม่และพี่ชายของเธอ มีทั้งใบแจ้งหนี้ แผ่นพับลดราคาจากห้างค้าส่ง โบชัวร์ต่างๆ จดหมายจากเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ

“อันนี้ก็ของแม่... นี่ของพี่...” สาวตาหวานแยกซองจดหมายตามชื่อผู้รับบนโต๊ะรับแขก เธอพูดชื่อของผู้รับไปด้วยจนกระทั่งถึงจดหมายฉบับสุดท้าย

“เอ๊ะ... รูปนี้... สวยจัง...” ไอพูดขึ้นมาเบาๆ

สิ่งที่อยู่ในมือของสาวตาหวานคือรูปที่มีขนาดเท่ากับโปสการ์ด เป็นรูปของห้องสมุดแห่งหนึ่งที่เหมือนกับห้องสมุดที่เธอเคยเห็นในหนังฝรั่ง ตู้ไม้สูงแบบเก่าตัดกับหลังคาโค้งทรงกลมซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปสมัยก่อน สีเหลืองอ่อนๆ ของไฟตัดกับสีน้ำตาลเข้มของตู้และโต๊ะไม้ และผนังสีขาวได้อย่างสวยงาม ดูเหมือนว่าคนถ่ายรูปนี้พยายามรอจังหวะที่แสงสวยที่สุดก่อนที่จะกดชัตเตอร์ และรูปๆ นี้ก็ออกมาสวยและโดดเด่นเพราะสีของรูป ไอพลิกด้านหลังของโปสการ์ดเพื่อดูว่าเป็นของใครก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชื่อของตัวเองถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษอยู่ทางด้านขวาของโปสการ์ด ส่วนอีกด้านหนึ่งเขียนข้อความไว้ว่า

‘Neilson Hays Library, Bangkok (ห้องสมุดเนลสัน เฮย์ กรุงเทพฯ)’*



*Dr. T. Heyward Hays ได้สร้างห้องสมุดแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักให้แก่ภรรยา Jennie Neilson Hays ที่ได้อุทิศตนเองเป็นกรรมการดำเนินงานในห้องสมุดนานถึง 25 ปี โดยการก่อสร้างอาคารชั้นเดียวแบบนีโอคลาสสิค ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ใช้สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อ นายมาริโอ ตามานโญ (Mr. Mario Tamagno) และสถาปนิกผู้ช่วยชื่อนายจีโอวานี แฟร์เรโร (Mr. Giovanni Gerreo) ตั้งอยู่ที่ถนนสุรวงศ์

ห้องสมุดเนลสัน เฮย์ แบ่งเป็นหนังสือ (ภาษาอังกฤษ) เป็น 2 หมวด คือ Fiction (เรื่องแต่ง เช่น นิยาย วรรณกรรม) และ Non-fiction (เรื่องจริง เช่น ประวัติศาสตร์) และมีส่วนของแกลอรี่ที่ศิลปินจะมาแสดงผลงานศิลปะหมุนเวียนไปทุกเดือน

เปิดบริการ: วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 9.30 - 16.00 น. ค่าบริการ: 50 บาทต่อ 1 ครั้ง (อ่านอย่างเดียว)

“ของเรา... แล้วใครส่งมา...”

สาวตาหวานพยายามพลิกหาชื่อผู้ส่งจากโปสการ์ดใบนั้นอยู่นานแต่ก็ไม่มี เธอไม่พบข้อความอย่างอื่นอีกเลยนอกจากสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโปสการ์ดใบนั้นนั่นคือ ชื่อ ที่อยู่ของเธอ สถานที่ของรูปนี้ แสตมป์ และตราประทับของไปรษณีย์ที่อ่านไม่ออกว่าที่ไหน แต่อยู่ในกรุงเทพฯ เพียงเท่านั้นเอง

ไอทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาพลางพลิกโปสการ์ดในมือไปมาอยู่นาน เธอกำลังใช้ความคิดว่าเพื่อนคนไหนของเธอที่ส่งมาให้ แต่ที่แน่ๆ เธอเพิ่งรู้ว่ามีห้องสมุดสวยๆ ที่ชื่อเนลสัน เฮย์ อยู่ในกรุงเทพฯ

แม่ของสาวตาหวานกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. เธอหอบงานกลับมาทำงานที่บ้านเหมือนอย่างเคย กระเป๋าผ้าดิบใบใหญ่เต็มไปด้วยสมุดการบ้านของนักเรียนที่เธอสอน หญิงสาววัยกลางคนผมสั้นคนนี้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษระดับประถมที่โรงเรียนเอกชนไม่ไกลจากบ้านมากนัก เมื่อเธอมาถึงบ้านก็พบลูกสาวคนเล็กที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องนั่งเล่น

“กลับมาแล้วเหรอคะแม่” ไอร้องทักแล้วรีบเดินไปช่วยหิ้วกระเป๋าผ้าไปวางบนโต๊ะกินข้าวที่ส่วนใหญ่จะใช้เป็นที่ทำงานของสมาชิกในครอบครัว

“จ้ะ หนูกินอะไรหรือยังลูก”

“ยังค่ะ... ยังไม่ค่อยหิว เมื่อกี้พี่อาร์ทโทรมาบอกว่าเพื่อนมาขอแลกกะ ก็เลยจะอยู่ต่อค่ะ”

“เหรอ... งั้นแม่ทำกับข้าวให้ก็แล้วกันนะ ไอช่วยเอาสมุดมาเรียงบนโต๊ะให้แม่หน่อยก็แล้วกัน จะได้ตรวจงานเลย”

“ค่ะ”

พัชรินทร์แอบมองลูกสาวระหว่างที่กำลังเตรียมอาหาร เธอรู้สึกหนักใจกับอาการป่วยทางจิตใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก วันนี้ดูท่าทางสาวตาหวานไม่ได้ออกไปไหนเหมือนเดิม ไอเป็นแบบนี้เกือบปีแล้วหลังจากออกจากโรงพยาบาล ตอนนี้คุณครูประถมยิ่งหนักใจมากขึ้นหลังจากที่อาการของลูกสาวนั้นถดถอยลงหลังจากที่ก่อนหน้านี้ดีขึ้น เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับอาการของหญิงสาวที่กำลังเรียงสมุดการบ้านให้กับเธอ

“วันนี้ทำอะไรบ้างเหรอ” พัชรินทร์ถามลูกสาวขึ้นมา

“วันนี้ก็อ่านหนังสือค่ะ ใกล้สอบแล้ว”

“ออกไปไหนบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ได้ออกไปไหนค่ะ หนูไม่อยากไปไหน อ่านหนังสือ แล้วก็นอน แล้วก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือ” สาวตาหวานตอบแล้วทำท่าคิด “อื้อ มีจดหมายมาด้วยค่ะ เดี๋ยวหนูไปเอามาให้นะคะ”

“จ้ะ”

อาหารเย็นถูกนำมาวางบนโต๊ะเมื่อร่างของไอเดินไปหยิบจดหมายที่อีกห้องหนึ่ง คุณครูประถมถอนหายใจกับคำตอบของลูกสาวที่เธอได้ยินเมื่อครู่ คำว่า ‘หนูไม่อยากไปไหน’ กลายเป็นคำพูดติดปากของสาวตาหวานไปเสียแล้ว

“มาแล้วค่ะ” ไอเดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายของแม่และพี่ชาย เมื่อวางจดหมายลงเธอก็เดินลงมานั่งฝั่งตรงข้ามกับแม่ของเธอ

“แม่คะ... แม่รู้จักห้องสมุดเนลสัน เฮย์มั้ยคะ”

พัชรินทร์เงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้า “ไม่รู้จักหรอกลูก... ทำไมเหรอ... มีอะไรหรือเปล่า”

“นี่ค่ะ” สาวตาหวานยื่นโปสการ์ดให้แม่ตัวเองดู

“สวยดีนี่... ห้องสมุดของที่ประเทศอะไรล่ะ”

“อยู่ที่เมืองไทยนี่แหละค่ะ อยู่ในกรุงเทพฯ ด้วย” ไอพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “หนูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีห้องสมุดแบบนี้อยู่ด้วย... มันสวยมากเลยค่ะแม่ เห็นแล้วอยากอ่านหนังสือที่นี่จัง”

คุณครูประถมยิ้ม “เหรอจ้ะ” เธอมองดูที่ด้านหลังของภาพที่อยู่ในมืออีกฝ่ายแล้วถามต่อว่า “เพื่อนหนูส่งมาเหรอ”

“ไม่รู้ว่าใครส่งมาให้ค่ะ ไม่รู้เลยจริงๆ”

พัชรินทร์ขมวดคิ้ว “ไหนขอแม่ดูหน่อยสิ”

สาวตาหวานยื่นโปสการ์ดให้กับอีกฝ่าย เธอเห็นแม่มองดูรูปแล้วพลิกอ่านที่ด้านหลัง เธอเห็นรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยผุดขึ้นมาบนใบหน้าของคนฝั่งตรงข้ามอยู่แวบเดียว

“อาจจะเป็นเพื่อนหนูส่งมาก็ได้มั้ง” คุณครูประถมพูดแล้วยื่นโปสการ์ดคืนให้ลูกสาวแล้วยิ้มให้

“หนูนึกไม่ออกจริงๆ นี่คะว่าใคร” ไอพูดแล้วจ้องมองดูที่รูปอีกครั้งหนึ่ง “ส่งมาเพราะอะไร แล้วทำไมไม่เขียนอะไรบ้างเลย”

“คงอาจจะเป็นเพราะ... เค้าอยากให้หนูประหลาดใจละมั้ง”

“เหรอคะ...”

ความเงียบเข้าปกคลุมสองแม่ลูกหลังจากอาหารเย็นจบลง พัชรินทร์นั่งทำงานของตัวเองไปเงียบๆ ส่วนสาวตาหวานก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาเหมือนเดิม เมื่อใกล้ถึงเวลาเกือบๆ 5 ทุ่มไอก็เก็บของแล้วเดินไปหาแม่

“หนูไปนอนก่อนนะคะ”

“จ้ะ... อีกแป๊บนึงแม่ก็จะขึ้นเหมือนกัน”

“ค่ะ”

คุณครูประถมร้องเรียกลูกสาวอีกครั้ง “ไอ”

“คะ...”

“มีอะไรเรียกแม่ได้นะลูก”

“ค่ะ”

สาวตาหวานสอดโปสการ์ดจากคนแปลกหน้าเอาไว้กับหนังสือที่เธออ่านค้างเอาไว้แล้วล้มตัวลงนอน แต่หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็ต้องดึงมันขึ้นมาดูอีกครั้ง เนื่องจากไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้เพราะเธอฝันเห็นภาพเหตุการณ์เลวร้ายอีกแล้ว ไอนอนจ้องภาพห้องสมุดเนลสัน เฮย์อยู่นานพลางคิดชื่อคนที่น่าจะส่งโปสการ์ดใบนี้มาหาเธอจนกระทั่งไม่รู้ตัวเลยว่าเธอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอรู้สึกตัวอีกทีก็ใกล้จะ 6 โมงเช้าแล้ว

“ตายล่ะ สายแล้ว ป้อมต้องออกมารับแล้วแน่เลย” สาวตาหวานรีบลุกจากเตียงแล้วเข้าห้องน้ำ

ขณะที่กำลังแต่งตัวสายตาของไอก็มองไปที่โปสการ์ดอีกครั้ง มันยังคงวางอยู่บนเตียง มีรอยยับเล็กน้อยตรงมุมเพราะแรงกดเนื่องจากเธอนอนทับ เธอเดินไปหยิบมันขึ้นมาแล้วสอดเข้าไปในหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วรีบเดินออกไปนอกห้องเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สาวห้าวมารอรับเธอไปเรียนแล้ว

เมื่อไอกลับมาที่บ้านอีกครั้งในช่วงหัวค่ำ

“แม่ล่ะพี่อาร์ท”

“อาบน้ำอยู่ กินข้าวมาแล้วใช่มั้ยเห็นแม่บอกเมื่อกี้”

“อื้อ... พอดีป้อมหิวก็เลยแวะกินข้าวก่อนกลับน่ะ” สาวตาหวานตอบแล้วไล่สายตามองไปที่โต๊ะกินข้าวที่มีเอกสารวางระเกะระกะ เธอจึงวางกระเป๋าแล้วเก็บเอกสารให้เข้าที่ แต่แล้วเธอก็พบโปสการ์ดใบใหม่วางปะปนกับจดหมายอีก 2 – 3 ฉบับของพี่ชาย

“อันนี้ของใครเหรอพี่อาร์ท”

“อ๋อ... อันนี้อ่ะเหรอ ของไอไง”

“จากใครเหรอ”

“ไม่รู้แฮะ ไม่มีชื่อคนส่ง”

ไอรีบหยิบโปสการ์ดใบนั้นขึ้นมาดูทันที ภาพที่อยู่ด้านหน้าเป็นภาพบ่อน้ำพุ ส่วนอาคารด้านหลังเป็นอาคารแบบตะวันตกที่มีหอคอยสูงหลังคายอดแหลมสีอิฐ เคียงคู่กับอาคารทรงโบราณที่มีหน้าต่างโดยรอบด้านข้าง สีอิฐของหลังคาตัดกับสีหม่นๆ ของท้องฟ้า ทำให้ตัวอาคารดูเด่นขึ้นมา เมื่อพลิกไปด้านหลังเธอก็พบกับข้อความเดิมเหมือนกับโปสการ์ดฉบับที่แล้ว นั่นก็คือชื่อกับที่อยู่ของเธอที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ และสถานที่ของรูปภาพที่เขียนว่า

‘Phyathai Palace, Bangkok (พระราชวังพญาไท กรุงเทพฯ)’*



*พระราชวังพญาไท ตั้งอยู่ในเขตโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากพื้นที่โรงนาหลวงกลายเป็นพระตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวงและเจ้านายใกล้ชิดหลายพระองค์ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพื้นที่ของดุสิตธานีเพื่อทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งชื่อ Phya Thai Palace Hotel หรือโฮเต็ลพญาไท ที่เป็นโรงแรมที่หรูหราและได้รับการยกย่องว่า ยอดเยี่ยมที่สุดในภาคพื้นตะวันออกไกลใน พ.ศ. 2468 และต่อมาได้เป็นที่ทำการของกองทัพบกในการรักษาพยาบาล จนเป็นจุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งอำนวยประโยชน์เป็นอย่างมากแก่ทหารและประชาชนที่ป่วย สถาปัตยกรรมของพระราชวังพญาไทเป็นรูปแบบที่พัฒนาจากตะวันตกยุคฟื้นฟู เน้นความเรียบง่ายแต่สง่างาม และมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับภูมิอากาศของเมืองไทยได้อย่างลงตัว เห็นได้จากพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานและพระที่นั่งพิมานจักรีซึ่งมีหน้าต่างเปิดกว้างรับลมได้ทุกด้าน จากด้านหน้าจะมองเห็นได้ชัดว่าเป็นหมู่พระที่นั่ง 4 องค์ เชื่อมต่อกันทั้งหมด เป็นแบบก่ออิฐฉาบปูนมีความสูงเพียง 2 ชั้น นอกจากพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานซึ่งได้ต่อเติมชั้นที่ 3 ภายหลังเป็นห้องพระบรรทมและห้องสรงส่วนพระองค์

ภายในพระราชวังแห่งนี้ มีพระที่นั่งสำคัญอยู่ 5 แห่ง โดยตั้งชื่อให้คล้องจองกันคือ ไวกูณฐเทพยสถาน พิมานจักรี ศรีสุทธนิวาส เทวราชสภารมย์ อุดมวนาภรณ์ และยังมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจอื่นๆ เช่นพระตำหนักเมขขลารูจี สวนโรมัน และอาคารเทียบรถพระที่นั่งซึ่งปัจจุบันเปิดเป็นร้านกาแฟนรสิงห์

“ส่งมาอีกแล้ว” สาวตาหวานพูดขึ้นมาเบาๆ

“อะไรเหรอ”

“ก็... เมื่อวานนี้ไอก็ได้โปสการ์ดแบบนี้ฉบับนึง เป็นรูปห้องสมุด คนที่ส่งมาก็เขียนแบบนี้เหมือนกัน” ว่าแล้วไอก็โชว์ด้านหลังของโปสการ์ดให้พี่ชายดู

“ไม่มีข้อความอะไรนอกจากบอกว่ารูปภาพนี้คือที่ไหนกับชื่อที่อยู่” สาวตาหวานพูดต่อ

“เพื่อนหรือเปล่า” ช่างซ่อมเครื่องบินถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน...” ไอพูดแล้วทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้

อาร์ทมองหน้าน้องสาว “แล้วคิดยังไงกับโปสการ์ดที่ส่งมาล่ะ”

“ก็... ไม่รู้สิ”

“ดีใจหรือเปล่า”

สาวตาหวานเงียบไปพักหนึ่ง “อื้อ... แต่ก็สงสัยด้วยว่าใครส่งมา แล้วส่งมาทำไม”

“เดี๋ยวเค้าอาจจะเขียนมาบอกอีกทีก็ได้มั้ง” ช่างซ่อมเครื่องบินพูด “ว่าแต่... อยากไปที่นี่มั้ยล่ะ” เขาชี้ไปที่รูปของพระราชวังพญาไท วันเสาร์นี้พี่ว่าง ถ้าอยากไปพี่จะพาไปนะ”

ไอเงียบ “ก็... ไม่รู้สิ”

“อ้าว... ตอบแบบนี้จะได้เรื่องมั้ยเนี่ย”

“ก็ยังไม่อยากออกไปไหนนี่นา”

“แล้วเมื่อกี้ยังดีใจอยู่เลยที่ได้โปสการ์ด... นึกว่าอยากจะออกไปเที่ยวซะอีก”

“ดีใจแต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าอยากจะออกไปเที่ยวนี่นา” สาวตาหวานเถียงพี่ชาย

“ซะงั้นอ่ะ เฮ้อ... นึกว่าจะได้พาแม่กะน้องไปเที่ยวซะหน่อย อดเลยแฮะ นานๆ จะได้วันหยุดตรงกับคนอื่นเค้าซะที นี่ก็หน้าฝนแล้วมีเครื่องมาให้ซ่อมบานเลยไม่รู้ว่าจะได้หยุดแบบนี้อีกเมื่อไหร่” อาร์ทพูดขึ้นมาเพื่อกระทุ้งน้องสาว

ไอเงียบไปอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน “ไอขึ้นไปนอนก่อนนะพี่อาร์ท” แล้วเธอก็รีบเดินขึ้นบันไดไป

“ถ้าจะไปก็บอกพี่นะ” ช่างซ่อมเครื่องบินตะโกนสำทับไปอีกครั้งแล้วนั่งกินข้าวต่อไป

เมื่อสาวตาหวานถึงห้องนอนของตัวเองเธอก็รีบเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบโปสการ์ดที่เธอได้รับเมื่อวานขึ้นมาดู แล้ววางโปสการ์ดทั้งสองใบด้านที่มีลายมือของคนส่งมาคู่กัน

“ลายมือเหมือนกันเลย” ไอพูดขึ้นมาเบาๆ

สาวตาหวานวางโปสการ์ดทั้งสองใบไว้ที่หน้ากระจกก่อนที่เธอจะไปอาบน้ำ เธอหันไปมองพวกมันอีกครั้งแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ กับตัวเองว่า

“วันเสาร์ขอให้พี่อาร์ทพาไปห้องสมุดกับวังดีกว่า”

...

เรื่องใหม่มาแล้วค่ะ

ลงมาให้ก่อนวันจริง 1 วัน (เหมือนโฆษณาหนังที่ชอบบอกว่าฉายก่อนอเมริกา) เรื่องนี้จะไม่ขำ ฮาขี้แตก เหมือนไอ้ลิงกี้นะคะ แต่มันดราม่า เตรียมหม้อ ชาม ตะเกียบเอาไว้ได้เลย

ที่เอามาลงให้ใหม่เพราะตอนนี้ Dart Vader ยังไม่ออกจากตัวค่ะ พลังด้านมืดของ Dark side of the force ยังคงอยู่ในตัว อันเนื่องมาจากหลายๆ สาเหตุนะคะ ยังไม่รู้ว่าจะหายเมื่อไหร่ด้วย เฮ้อ หงุดหงิดตัวเอง

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ (อัพรายสะดวกเน้อ) 




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.