web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 148
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 146
Total: 146

ผู้เขียน หัวข้อ: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 12  (อ่าน 1726 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 12
« เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:43:58 »
ตอนที่ 12

   “พี่จรัส”
   แสงตะวันเดินลงมาจากชั้นบนในเวลาที่เข็มนาฬิกากำลังจะทาบทับกันที่เวลาหนึ่งนาฬิกา เวลานี้เป็นเวลาเข้านอนตามปกติของเธอ แต่ไม่น่าจะเป็นเวลาที่พี่สาวยังไม่เข้านอน
   “ว่าไงแสง” จรัสตะวันเอี้ยวตัวหันไปมองน้องสาวที่กำลังเดินมาหา หน้าตาของแสงตะวันแม้ในยามที่ปราศจากเครื่องสำอางก็ยังดูสวยสดใส และในความเป็นจริงน้องสาวคนนี้ก็เป็นดั่งแสงตะวันในชีวิตเธอจริง ๆ
   “ทำไมพี่ยังไม่นอน” แสงตะวันเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ว่าง มองกองเอกสารและหนังสือวิชาการที่วางเกลื่อนบนโต๊ะเอนกประสงค์แล้วทำหน้ายู่ เธอไม่สามารถอยู่กับตำราวิชาการได้นานเกินหนึ่งชั่วโมง ผิดกับจรัสตะวันที่อยู่กับมันได้ทั้งวันทั้งคืน
   “พี่จะทำเอกสารสอนเสริมพิเศษให้เด็กกลุ่มที่เรียนไม่ทันเพื่อน” จรัสตะวันวางปากกาลง เธอยังคงใช้วิธีการอ่านและเขียนสรุปด้วยลายมือก่อนแล้วค่อยพิมพ์เป็นเอกสารออกมา
   “พี่จะสอนพิเศษเหรอ” แสงตะวันทำหน้าสงสัย
   “สอนเสริมพิเศษ ไม่ใช่สอนพิเศษ” จรัสตะวันพูดให้แสงตะวันเห็นความแตกต่างของความหมายในภาษา
   “ก็ว่าแล้วเชียว พี่จรัสต่อต้านเรื่องการเรียนพิเศษจะตาย” แสงตะวันหยิบหนังสือมาเปิดดูเล่น ๆ แล้วก็วางลง
   “ก็ถ้าครูสอนเต็มที่จริง ๆ เด็กก็ไม่ต้องเรียนพิเศษหรอก” จรัสตะวันพูดพลางเก็บเอกสารมาจัดให้เป็นระเบียบไปด้วย
   “แต่เด็กบางคนหัวสมองก็ไม่ไปจริง ๆ นะ ดูอย่างแสงสิ อ่านเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เข้าใจ” แสงตะวันพูดเหมือนอย่างที่เธอเคยบอกให้จรัสตะวันตั้งใจเรียนให้เต็มที่ เธอขอทำงานหาเงินและดูแลแม่เองด้วยข้ออ้างว่าเธอเรียนไม่เก่ง จบมัธยมปลายได้ก็บุญแล้ว
   จรัสตะวันจัดเอกสารวางหนังสือทับไว้แล้วมองหน้าน้องสาวอย่างตั้งใจและรักใคร่
   “แสงอ้างเรื่องเรียนไม่เก่งเพื่อให้พี่ได้เรียนหรอก พี่รู้ ขอบใจนะที่เสียสละให้พี่มาตลอด”
   “เสียสละอะไรล่ะ แสงขี้เกียจเรียนมากกว่า พอไม่เรียนแม่ก็ด่า แสงก็เลยไปหางานทำ” คำพูดต้นประโยคของแสงตะวันนั้นฟังดูแข็งขันแต่ท้ายประโยคนั้นกลับแผ่วเบาเศร้าสร้อย
   “มันเป็นความผิดของพี่คนเดียว เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของพี่เอง”
   จรัสตะวันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้แต่สุดท้ายก็ไม่มีน้ำตาออกมาให้เห็น แสงตะวันเอื้อมมือไปจับมือพี่สาวมากุมไว้ เธอเข้าใจความรู้สึกลึก ๆ ของพี่สาวเป็นอย่างดี พี่สาวที่ตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม เมื่อมีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นในชีวิตก็เอาแต่จำฝังใจโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง
   “พี่จรัสผิด แสงก็ผิด แม่ก็ผิด เราทุกคนล้วนแต่ผิดทั้งนั้น แต่เรื่องมันจบไปแล้วก็ขอให้มันจบอยู่ในอดีตเถอะนะ อย่าเอามันมาทำร้ายปัจจุบันของเราเลย”
   น้องสาวพูดแบบนี้กับเธอมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในใจของจรัสตะวันแม้แต่น้อย
   “พี่จรัสให้อภัยตัวเองบ้างเถอะนะ ไม่มีใครไม่เคยทำผิดหรอก” แสงตะวันสงสารพี่สาวจับใจ คนที่ไม่ให้อภัยตัวเองก็คือคนที่ทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา เธอไม่อยากให้พี่สาวเป็นแบบนี้เลย
   “แต่ความผิดของพี่คือสิ่งที่ทำบาปกับแม่ ถ้าพี่ไม่เห็นแก่ตัว แม่ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
   แสงตะวันลอบถอนหายใจแผ่วเบา เธอเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่สาวถึงเอาแต่โทษตัวเองอยู่ร่ำไป ความจริงจรัสตะวันแทบจะไม่ได้มีส่วนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นเท่าไหร่นัก ทั้งเธอและแม่ต่างหากที่ผลักไสให้พี่สาวไปอยู่ที่อื่นด้วยเหตุผลความจำเป็น เธอเองต่างหากที่วู่วามเอาแต่ใจจนทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดนั้นส่งผลให้ชีวิตแม่ต้องพลิกผัน เพียงแต่เธอนั้นรู้จักให้อภัยตัวเองและพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อหาทางไถ่โทษนั้น
   “แสงไปเยี่ยมแม่มา หมอบอกว่าถ้ามีคนดูแล เราจะรับแม่มาดูแลเองก็ได้ แม่เหมือนอยู่ในโปรแกรมที่ตั้งไว้ได้แล้ว อาบน้ำ กินข้าว แต่งตัวเองได้ ให้กินยาตามเวลาก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่จะไม่สื่อสารกับใครเท่านั้นเอง”
   แสงตะวันเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่เป็นปัจจุบัน
   “ถ้างั้นพี่จะรับแม่มาอยู่ด้วยเลย” จรัสตะวันพูดต่อทันที
   “พี่จะเอามาอยู่อย่างไงในโรงเรียน แม่ช่วยตัวเองได้ก็จริงแต่ก็ต้องมีคนดูแล พี่จะขังแม่ไว้ในบ้านเหรอ” คำพูดของน้องสาวทำให้จรัสตะวันฉุกคิดได้ เธอแค่อยากให้แม่กลับมาอยู่ด้วยโดยลืมคิดไปว่าแม่ไม่เหมือนคนปกติแล้ว
   “แล้วจะทำอย่างไง พี่ไม่อยากให้แม่อยู่โรงพยาบาลตลอดชีวิต” ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าแสงตะวันเป็นคนที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้ดีกว่าเธอมาก หากแสงตะวันจะให้ทำอย่างไรเธอก็ยินดีจะทำตาม
   “แสงมาครั้งนี้ก็กะว่าจะมาหาซื้อที่ดินสักแปลงแล้วปลูกบ้าน ทำรั้วรอบขอบชิดให้ดี ตอนนี้แสงมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง แต่คงไม่พอ พี่จรัสพอมีทางหาเงินทุนเพิ่มไหม กู้สวัสดิการครูก็ได้แล้วค่อยผ่อนใช้เอา เราเป็นหนี้เพื่อให้แม่ได้กลับมาอยู่กับเรา พี่จรัสจะว่าอย่างไง”
   แสงตะวันรู้ว่าเงินเดือนพี่สาวนั้นไม่ได้มากมาย ถึงจะใช้อย่างประหยัดก็คงไม่มีเงินเก็บสักเท่าไหร่ ครั้งแรกเธอตั้งใจจะจัดการเองทั้งหมดเพื่อไถ่โทษตัวเอง แต่เมื่อเห็นว่าพี่สาวยังคงฝังใจในความคิดที่ว่าตัวเองผิด ดังนั้นการให้พี่สาวมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ก็คงจะทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
   จรัสตะวันเงียบไปครู่ก่อนจะพูดขึ้นมา
   “แสงเก็บเงินของแสงไว้ดีกว่า พี่ยังไม่เคยใช้สิทธิ์สวัสดิการกู้เงินอะไร พี่ว่าจะใช้สิทธิ์ของพี่กู้ก็น่าจะพอ”
   “พี่จรัสจะไหวเหรอ เราออกกันคนละครึ่งดีกว่า” แสงตะวันพูดกึ่งชั่งใจอะไรบางอย่าง
   “ไหวสิ อยู่ที่นี่พี่ใช้เงินวันละไม่กี่บาท กู้สวัสดิการดอกเบี้ยไม่แพง แสงดูแลแม่ ดูแลพี่มามากแล้ว ให้พี่ได้ทำอะไรให้แม่ให้แสงบ้างเถอะ แสงจะได้เก็บเงินไว้ทำอะไรที่แสงอยากทำบ้าง” จรัสตะวันพูดหนักแน่น แววตานั้นมีประกายความสุขออกมาบ้าง
   “เอางั้นก็ได้ พรุ่งนี้แสงว่าจะไปตะเวนดูแถว ๆ นี้แหละ ซื้อใกล้ ๆ โรงเรียน พี่จรัสจะได้มาทำงานสะดวกด้วย”
   แสงตะวันตกลงอย่าง่ายดายแต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงพี่สาว จรัสตะวันยิ้มออกมาได้เมื่อน้องสาวยอมทำตามความต้องการเธอโดยไม่ขัดข้อง
   “ขึ้นนอนกันดีกว่า พี่จรัสนอนดึกอย่างนี้ทุกคืนหรือเปล่า” แสงตะวันมองพี่สาวจัดปากกาดินสอลงกล่องให้เรียบร้อย
   ทุกอย่างในชีวิตของจรัสตะวันนั้นต้องอยู่ในระเบียบเสมอ ดังนั้นหากมีความผิดพลาดหรือเผอเรอเรื่องใดไปก็จะกลายเป็นความผิดติดใจตลอดเวลา และมันก็ถูกปิดบังไว้ด้วยความเฉยชาต่อทุกสิ่งทุกอย่าง และยังกลายเป็นความระวังตัวจนหวาดระแวง แสงตะวันสงสารพี่สาวนัก เธออยากจะให้พี่สาวมองโลกในมุมใหม่บ้าง
   “ไม่หรอก พอดีคืนนี้พี่นอนไม่หลับ เลยนั่งทำงานไปเรื่อย ๆ” จรัสตะวันจัดปากกาคนละสีและดินสอแยกใส่แต่ละช่องของใครของมัน แสงตะวันเห็นแล้วก็เหนื่อยใจแทน
   “นอนไม่หลับเรื่องอะไร เรื่องนักเรียน เรื่องสุภาหรือว่าเรื่องแม่” แสงตะวันถามเชิงชวนคุยระหว่างที่รอให้พี่สาวจัดนู่นจัดนี่ให้เข้าที่เข้าทางอีกเล็กน้อย
   “ก็คิดไปเรื่อยเปื่อยของพี่แหละ ไป ขึ้นนอน” จรัสตะวันแตะ ๆ มุมหนังสือให้เข้าที่
   แสงตะวันต้องแอบถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อไหร่กันหนาที่พี่สาวจะบอกเล่าความรู้สึกในใจออกมาบ้าง อย่างน้อยก็กับเธอที่เป็นน้องสาวเพียงคนเดียว แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้ยินพี่สาวพูดความรู้สึกออกมา หากจะมีบางครั้งเผลอแสดงออกด้วยท่าทางหรือกิริยาบางอย่างจรัสตะวันก็จะรีบวางท่าเงียบขรึมกลบเกลื่อนทันที
   จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แสงตะวันทั้งรักและสงสารพี่สาวเหลือเกิน


รัญรัมภาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะสียงเห่าของกอหญ้าซึ่งนอนอยู่ชั้นล่างของบ้าน หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลา ตีสองกว่าแล้ว กอหญ้าเห่าเพราะเสียงและแสงไฟจากรถจักรยานยนต์ของเจมส์สาดเข้ามา ได้ยินเสียงเรียกชื่อมันแว่วขึ้นมา พอรู้ว่าเป็นใครมันก็เงียบเสียงเห่า แต่รัญรัมภาที่นอนหลับสนิทเต็มอิ่มตั้งแต่หัวค่ำก็ไม่สามารถหลับต่อได้ นอนคิดถึงอะไรหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิตช่วงนี้และก็มีคนคนหนึ่งวนเวียนในห้วงความคิดเสมอ “จรัสตะวัน”
   ภาพวันแรกที่เธอเห็นจรัสตะวันลูบหัวเด็กน้อยตัวสกปรกมอมแมมด้วยความเมตตากลับมาชัดเจนอีกครั้ง ทั้งที่ตอนนั้นเธอคิดไปเป็นแม่ลูกกันด้วยซ้ำ เป็นเหมือนภาพความประทับใจที่ทำให้เธออยากใกล้ชิดผู้หญิงคนนี้มากขึ้นทุกวัน โดยที่ในความสัมพันธ์นั้นมีแต่เรื่องที่ช่วยกันคิดหาทางช่วยเหลือผู้อื่น
   แปลกใจตัวเองที่คิดถึงจรัสตะวัน แต่ไม่เคยต้องการความใส่ใจเหมือนที่เคยอยากได้จากทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่เคยคิดอยากจะให้โทรมาหา ไม่คิดอยากจะได้ยินวาจาออดอ้อนอ่อนหวาน ไม่เคยต้องการความเอื้ออาทรใด ๆ มากไปกว่าอาหารสักมื้อหรือเป็นธุระช่วยเลี้ยงกอหญ้าหากว่าเธอต้องไปประชุมอีกหลายครั้ง หากจะมีความหวังอย่างเดียวที่อยากได้คือได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขจากใบหน้าที่เหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบนั้นบ้าง ทางเดียวที่จะได้เห็นรอยยิ้มนั้นก็คือการที่เธอต้องช่วยเหลือสุภาและยายให้ได้อย่างที่รับปากไว้
   “เดี๋ยวแสงช่วยระดมทุนด้วยค่ะ”
   เมื่อรู้ว่าพี่สาวกำลังทำอะไร แสงตะวันก็กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเต็มที่
   “เรื่องทุนผ่าตัดไม่น่าหนักใจหรอก เขามีโครงการผ่าตัดต้อกระจกฟรี ส่วนเรื่องสุภา หมอจะปรึกษาอาจารย์ของหมอดูก่อน” รัญรัมภาพยายามคุยให้เป็นปกติที่สุด เพราะเธอรู้สึกว่าการร่วมทานอาหารมื้อเย็นโดยมีน้องสาวร่วมโต๊ะด้วยนั้น จรัสตะวันดูอึดอัดหรือเกร็ง ๆ ที่จะพูดคุยกับเธอ
   “แล้วปัญหาอยู่ที่อะไรล่ะคะ” แสงตะวันยังคุยต่อโดยไม่ได้สนใจท่าทีของพี่สาว
   “สุภาเขาไม่ยอมไปไหน ไม่ยอมให้ใครเห็นหน้า นอกจากยายกับครูจรัส หมอก็เลยยังทำอะไรไม่ได้ รวมทั้งที่จะพายายของเขาไปรักษาด้วย” รัญรัมภาอธิบายให้แสงตะวันฟัง โดยที่จรัสตะวันยังนั่งทานอาหารเงียบ ๆ
   “อย่างงี้ให้พี่จรัสกล่อมเรื่องให้ยายไปรักษาก่อนไม่ยากหรอก พี่จรัสเขามีความสามารถเรื่องทำให้คนไว้ใจ ใช่ไหมพี่จรัส”
   “พี่จรัส” แสงตะวันเรียกชื่อซ้ำอีกครั้ง จรัสตะวันจึงเงยหน้าขึ้นมาและแววตายังดูงุนงงอยู่   
   ถ้าหากแสงตะวันไม่หันไปถามก็คงไม่มีใครรู้ว่าตลอดเวลาที่เหมือนจรัสตะวันนั่งทานอาหารเงียบ ๆ นั้น ใจเธอล่องลอยคิดเรื่องอะไรอยู่ การตักอาหารทานนั้นเป็นเหมือนการทำโดยอัตโนมัติ
   “พี่จรัสใจลอยคิดถึงใครเนี่ย” แสงตะวันยังคงผูกขาดการพูดคุย โดยที่เธอเองเมื่อได้ยินคำถามกึ่งล้อเลียนนั้นต้องใจสั่นกลัวคำตอบของจรัสตะวัน
   “พี่ไม่ได้คิดถึงใครหรอก กำลังคิดเรื่องนักเรียนอยู่”
   แม้คำตอบนั้นจะไม่รู้ว่าเป็นเพียงคำตอบแก้ตัวหรือคำตอบส่งเดชไปแต่ก็ทำให้รัญรัมภาใจชื้นขึ้นมา และยิ่งดีใจมากกว่าเมื่อแสงตะวันพูดต่อ
   “จริงสินะ พี่จรัสจะคิดถึงใครได้ เกิดมาแฟนก็ไม่เคยมี ชีวิตนี้อุทิศเพื่อเด็กและเยาวชนแล้วใช่ไหม” แสงตะวันพูดไปตามอารมณ์คะนองปาก และหันไปทำหน้าตาล้อเลียนพี่สาวให้โดนดุ
   ตอนนั้นรัญรัมภาต้องรีบก้มหน้าก้มตาทานอาหารเพื่อปิดบังแววตาที่เธอรู้ตัวว่ามันจะแสดงออกถึงความรู้สึกข้างในอย่างไร แววตาที่เคยมองผู้หญิงคนไหนก็ใจอ่อนทุกราย แต่กับจรัสตะวันเธอกลับไม่กล้าให้เห็นแววตานั้น เพราะกลัวว่ามันจะทำลายมิตรภาพดี ๆ ที่พึ่งเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้
   และลึก ๆ ในใจเธอยังมองไม่เห็นทางที่จะเข้าใกล้จรัสตะวันได้มากกว่านี้  รวมทั้งยังมีชีวินเพื่อนรักเป็นอีกเหตุผลที่เธอสับสนว่าควรจะทำอย่างไร
   กอหญ้าเห่าขึ้นมาอีกครั้งที่ข้างรั้ว แต่เป็นเสียงเห่าด้วยความดีใจ ชีวินบอกให้เธอเลี้ยงกอหญ้าให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ให้มันนอนนอกบ้านบ้างเผื่อบางครั้งที่เธอไม่อยู่แล้วไม่มีใครสามารถรับไปดูแลได้ มันจะได้อยู่ตัวเดียวได้ ความจริงมันก็ไม่ถึงกับต้องอยู่ตัวเดียว บางวันเธอเห็นมันไปนอนติดรั้วหน้าบ้านแล้วมีบรรดาหมาในหมู่บ้านมานอนเล่นเป็นเพื่อนอยู่บ่อย ๆ
   กอหญ้าเงียบเสียงเห่า คืนนี้เธอไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เปิดประตูหน้าต่างแทน อากาศยิ่งดึกก็ยิ่งสบาย แถมยังได้ฟังเสียงนกกลางคืนบ้าง เสียงแมลงต่าง ๆ และเสียงกบเสียงเขียด หากวันใดทำท่าว่าฝนจะตก ซึ่งเธอชอบมากกว่าเสียงเครื่องปรับอากาศแน่นอน
   คืนนี้มีเสียงนกกลางคืนแว่วมาบ้างไกล ๆ เวลาในขณะนี้ใคร ๆ ก็คงหลับใหลกันอย่างมีความสุข แต่ที่ริมรั้วบ้านยายสายซึ่งติดกับบ้านเธอนั้นมีเสียงคนคุยกันเบา ๆ แต่เพราะความเงียบของกลางคืนทำให้เสียงคุยนั้นดังขึ้นมาถึงห้องนอนของเธอ
   กอหญ้าคงไปหาคนที่มานั่งคุยกันริมรั้ว แสดงว่าตอนกลางวันคนบ้านนั้นก็คงมาเล่นกับกอหญ้าที่ริมรั้วบ่อย ๆ จนมันคุ้นเคยดี รัญรัมภาพยายามจะข่มตาให้หลับโดยไม่สนใจว่าใครจะมาคุยอะไรกันในยามวิกาลขนาดนี้ แต่เสียงที่เหมือนดังขึ้นเรื่อย ๆ นั้นทำให้เธอไม่อาจข่มตาหลับได้ แสงไฟจากชั้นล่างของบ้านยายสายเปิดสว่างและมันก็สว่างมาจนถึงข้างรั้ว
   รัญรัมภาทนฟังเสียงคุยได้ไม่นาน เธอต้องการนอนหลับพักผ่อนจึงลุกไปปิดประตูไม้และหน้าต่างเพื่อกันไม่ให้เสียงดังเข้ามารบกวน โดยธรรมชาติของมนุษย์แม้จะไม่อยากสนใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ แทนที่จะแค่ปิดประตูเข้ามากลับเดินเลยไปถึงระเบียงเพียงเพื่อดูว่าใครมานั่งคุยกันในเวลานี้
   แสงไฟที่สาดสว่างนั้นทำให้เห็นคนที่นั่งคุยกันชัดเจน เจมส์กับเภตรา รัญรัมภาใจสั่นระรัวเมื่อเห็นภาพนั้นเพราะสมองสั่งการโดยอัตโนมัติเชื่อมโยงไปถึงจรัสตะวัน และมันก็เชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ระหว่างเจมส์กับเภตรา ซึ่งเธอได้มีส่วนรับรู้ด้วยเกือบทุกครั้ง และมันก็ตอกย้ำว่าจรัสตะวันพยายามกีดกันไม่ให้ลูกศิษย์มีความรักแบบนี้
   กอหญ้านอนแทะกระดูกอยู่ติดรั้ว เจมส์กับเภตรานั่งหยอกเย้าคุยกันตามประสาความรักในวัยรุ่น เธอเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ยายสายที่ไม่น่าจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติก็ยังไม่เคยตำหนิเด็กทั้งสองคน แต่คนที่ดูไม่พอใจมากที่สุดนอกจากพ่อของเภตราแล้วก็คือจรัสตะวัน
   รัญรัมภาเปลี่ยนใจไม่ปิดประตูไม้ แค่เดินกลับมาเลื่อนประตูเหล็กดัดติดมุ้งลวดลงกลอนอย่างแผ่วเบา เธอเข้าใจความรู้สึกของเด็กทั้งสองคนดี แต่จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจอย่างเธอ โดยเฉพาะจรัสตะวัน คนที่เธอต้องการให้เข้าใจมากที่สุด
   เสียงพูดคุยหยอกล้อกระหนุงกระหนิงดังขึ้นมาเป็นระยะ แต่ทว่าไม่ใช่สิ่งที่รบกวนทำให้เธอนอนไม่หลับ สิ่งที่รบกวนจริง ๆ คือความรู้สึกสับสนของเธอเอง ความคิดของรัญรัมภาในเวลานี้ไม่ต่างจากการหาทางออกจากเขาวงกตที่ไม่มีแสงสว่างใด ๆ

การไม่รับรู้บางครั้งก็เป็นหนทางหนึ่งของการตัดปัญหา รัญรัมภากำลังใช้วิธีนี้เพื่อที่จะไม่ให้ความสับสนมารบกวนจิตใจ แม้จะไม่มีคนไข้หนักมาให้รักษาตลอดทั้งสัปดาห์แต่เธอก็ต้องพยายามมีสมาธิในการดูแลรักษาคนไข้ เธอไม่หาเรื่องที่จะไปหาจรัสตะวันทั้งที่สามารถทำได้โดยใช้ข้ออ้างเรื่องสุภากับยาย ไม่รู้ว่าวันนั้นที่เภตราหนีออกจากบ้านมากับเจมส์อีกครั้งจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยเช้าวันนั้นเธอก็เห็นเภตราแต่งชุดนักเรียนออกจากบ้านไปแต่เช้าตรู่ เท่าที่รู้เภตราไม่ใช่เด็กเหลวไหลใจแตกสักนิด ความผิดพลาดเดียวที่เธอทำก็คือการมาคบหากับเจมส์ . . . มันเป็นความผิดมหันต์ในสายตาของพ่อและครูจรัส
   รัญรัมภาสลัดศีรษะไปมา พยายามไล่ความคิดที่วนเวียนในหัวออกไป
   “หมอเป็นอะไรคะ” ป้ามลถือแฟ้มประวัติคนไข้อีกสามสี่แฟ้มมาวางให้
   “ไม่สบายหรือเปล่าคะ” ป้ามลถามซ้ำ
   “มึน ๆ หัวนิดหน่อย หมอขอกาแฟดำสักแก้วสิคะ” รัญรัมภาเงยหน้าจากแฟ้มประวัติคนไข้ที่เธอจำไม่ได้ว่าดูมาถึงตรงไหนแล้ว
   “กาแฟดำหรือกาแฟเย็นคะ” ป้ามลถามทวนเพราะเวลาบ่าย ๆ แบบนี้รัญรัมภาชอบสั่งกาแฟเย็นมากกว่ากาแฟร้อน
   “กาแฟดำนั่นแหละค่ะ คนไข้รอผลเลือดอีกกี่รายคะ” รัญรัมภาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มคนไข้ที่ป้ามลพึ่งวางให้มาพลิกดูคร่าว ๆ
   “หมดแล้วค่ะ เหลือแค่สามคนนี่แหละค่ะ” ป้ามลตอบ
   ในเวลาทำงานตั้งแต่ยามหน้าประตูจนถึงผู้อำนวยการต่างรู้ดีว่าหมอรัญนั้นจะเอาจริงเอาจัง ไม่พูดล้อเล่นกับใคร แม้แต่กับป้ามลเธอก็ยังพูดคุยด้วยอีกแบบ แต่นอกเวลางานรัญรัมภาก็พร้อมที่จะหาเรื่องให้ป้ามลดุได้ตลอดเวลาเหมือนกัน พอคุยเรื่องงานเสร็จเธอก็ก้มหน้าดูแฟ้มประวัติคนไข้ต่อ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าป้ามลนั้นกำลังมองเธอด้วยความสงสัย ความปกติของเธอนั้นมันมีความไม่ปกติแฝงอยู่ และคนที่รู้ทันก็คงมีป้ามลคนเดียว
   ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานในโรงพยาบาลชุมชนในวันที่ไม่มีคนไข้หนักคือการที่มีเวลาซักประวัติคนไข้ได้เต็มที่ โดยเฉพาะคนไข้โรคเรื้อรังที่ต้องทำความเข้าใจในเรื่องการดูแลตัวเอง รัญรัมภายอมเสียเวลาซักคนไข้ดีกว่าปล่อยไปจนกลายเป็นโรคอื่นเพิ่มขึ้น
   คนไข้สามรายสุดท้ายที่พึ่งได้ผลเลือดมา รัญรัมภาจึงใช้เวลาซักเรื่องการรับประทานอาหารและการทานยาแต่ละรายอยู่นานพอสมควรเพื่อให้ได้ความจริงจากสิ่งที่แสดงออกมาในผลเลือดนั้น คนไข้รายสุดท้ายเดินออกจากห้องตรวจไป เธอเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตานิ่ง ๆ เพื่อผ่อนคลาย
   “กาแฟได้แล้วค่ะ” ป้ามลเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟที่มีควันกรุ่น ๆ
   รัญรัมภาลืมตาขมวดคิ้ว
   “หมอสั่งกาแฟเหรอคะ” เธอจำไม่ได้ว่าสั่งกาแฟไปตอนไหน
   “แล้วหมอคนไหนสั่งเนี่ย ป้าก็ลืม” ป้ามลวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ และดึงเก้าอี้คนไข้มานั่งลงต่อหน้าเธอ
   “ก็หมอรัญคนนี้แหละค่ะสั่ง หมอล้อเล่น” รัญรัมภารู้ทันว่าป้ามลแกล้งพูด เพราะป้ามลไม่เคยหลงลืมว่าใครสั่งอะไร แม้บางครั้งหมอหลายคนจะสั่งงานพร้อมกัน ป้ามลก็จัดการได้ไม่เคยผิดพลาด
   “แล้วสั่งกาแฟอะไรคะ” ป้ามลซักต่อโดยจ้องจับผิดเธออย่างเปิดเผย
   “กาแฟร้อนสิคะ ไม่งั้นป้าจะเอากาแฟร้อนมาให้หมอเหรอ” รัญรัมภาตอบแล้วหยิบแก้วกาแฟไปจิบ
   รสเฝื่อนขมของกาแฟดำทำให้เธอเผลอเบ้หน้าออกมา ธรรมดาเธอจะสั่งกาแฟดำในเวลาที่ยังไม่ตื่นดีจากอาการเมาค้างในตอนเช้า ซึ่งก็นาน ๆ ครั้งที่จะเป็นแบบนั้น หากยามบ่ายเธอชอบดื่มกาแฟเย็นมากกว่า
   “หมอสั่งกาแฟดำค่ะ ไม่ใช่กาแฟร้อน”
   “ก็เหมือนกันแหละค่ะ” รัญรัมภาเถียงทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีทางเอาชนะป้ามลได้ในเรื่องนี้
   “หมอเป็นอะไรมาหลายวันแล้ว” ป้ามลไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยแต่ถามตรง ๆ ตามนิสัยทันที โดยที่รัญรัมภายังไม่ทันจะคิดหาคำตอบแก้ตัวได้ทัน
   “เกี่ยวกับครูจรัสใช่ไหมคะ” ป้ามลถามต่อโดยไม่เกรงใจเมื่อไม่มีคำตอบจากเธอ
   “ครูจรัสเกี่ยวอะไรด้วย” รัญรัมภายังใช้การจิบกาแฟบังหน้า ไม่กล้าสบตากับป้ามลโดยตรง
   “หมอคิดว่าโรงเรียนกับโรงพยาบาลไกลกันนักเหรอคะ แล้วที่นี่มีเรื่องอะไรให้น่าสนใจนักเหรอคะถ้าไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำอะไรแปลก ๆ ไป” ป้ามลพูดโดยไม่สนใจว่ารัญรัมภาจะรู้สึกอย่างไร
   “หมอทำอะไรแปลก” รัญรัมภาวางแก้วกาแฟมาสบตากับป้ามลโดยตรง
   “ไม่แปลกสำหรับหมอ แต่แปลกสำหรับชาวบ้าน หมอไปไหนมาไหนกับครูจรัสกี่ครั้งแล้ว”
   “แปลกอย่างไง เมื่อก่อนหมอก็ไปกับแพทบ่อย ๆ” รัญรัมภาเริ่มระงับอารมณ์ไม่ได้ ทำไมทุกคนถึงพยายามกีดกันเธอกับจรัสตะวันนัก
   “มันเหมือนกันเสียที่ไหน ครูแพทไม่เคยออกไปหาชาวบ้าน สอนที่นี่มาตั้งนาน เขาก็รู้จักกันแต่ชื่อแต่แทบไม่รู้จักหน้าตา แต่ครูจรัสเป็นคนที่นี่ แล้วยังออกเยี่ยมบ้านนักเรียนแทบจะทุกคน ชาวบ้านก็ยิ่งรู้จักดี หมอจะทำอะไรก็ให้คิดถึงหน้าตาครูจรัสบ้างนะคะ”
   คำพูดของป้ามลนั้นไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงไปกองไฟที่กำลังคุกรุ่นจากการสะสมเชื้อไฟไว้หลายอย่าง
   “ป้าห่วงว่าหมอจะทำให้ครูจรัสเดือดร้อน แต่ชาวบ้านเขาบอกมาด้วยไหมว่าที่หมอไปกับครูจรัส หมอไปทำอะไรให้ครูจรัสเสียหายตรงไหน” รัมรัมภาเผลอเสียงดังกับป้ามลโดยไม่รู้ตัว
   “หมอรู้ไหมตอนนี้ชาวบ้านเขากำลังพูดนินทากันสนุกปากว่าครูคนไหนย้ายมา ถ้าไม่มีผัวก็เสร็จหมอรัญหมด” ป้ามลใช้คำพูดตามที่ชาวบ้านร้านตลาดพูดกัน และมองรัญรัมภาด้วยแววตาที่กึ่งโกรธกึ่งสงสาร จนคนที่ถูกมองก็แยกไม่ออก
   รัญรัมภาต้องระงับอารมณ์ความรู้สึกอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่จะพูดออกไป
   “ที่หมอไปกับครูจรัสบ่อย ๆ ก็มีที่ไปช่วยตามหาลูกศิษย์กับไปเยี่ยมสุภา หมอกำลังหาทางให้สุภาได้ผ่าตัดตกแต่งใบหน้า แล้วตอนนี้ยายของสุภาก็กำลังมีปัญหาที่ตา คงจะเป็นต้อกระจก หมอกำลังปรึกษากับครูจรัสว่าจะทำอย่างไงให้ยายของสุภาได้มาผ่าตัดรักษาให้เร็วที่สุดก่อน”
   แววตาป้ามลเชื่อในคำพูดของรัญรัมภาโดยที่ไม่ต้องเอ่ยออกมา แต่ในแววตานั้นก็มีความเคลือบแคลงสงสัยเจือปนอยู่ด้วย หลังจากรัญรัมภาพูดจบ ป้ามลก็เป็นฝ่ายเงียบแทน
   “ต่อไปนี้ถ้าจะไปเยี่ยมสุภา หรือไปไหนกับครูจรัส หมอจะหาคนไปด้วย ครูจรัสจะได้ไม่ต้องเสียหายเพราะว่าไปกับหมอ” รัญรัมภาพูดออกมาด้วยความน้อยใจ
   “มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ชาวบ้านจะนินทาแค่ไหนก็คงได้แค่นินทาถ้าหมอบริสุทธิ์ใจ”
   “หมอเลวร้ายมากเหรอคะป้า ถึงกับไม่สามารถเป็นเพื่อนกับครูจรัสได้” รัญรัมภาสงบสติอารมณ์ได้มากขึ้นแล้ว
   “ถ้าหมอคิดแค่จะเป็นเพื่อนกับครูจรัสก็ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากนี่คะ หมอรู้ไหมคะว่าเมื่อวันก่อนหมอสั่งยาให้คนไข้สลับกัน ดีที่พยาบาลเวรเขาจำได้ ที่เขาให้หมอมาเขียนสั่งยาใหม่ หมอก็เขียนใหม่โดยไม่ถามอะไรเลย จำได้ไหมคะ”
   รัญรัมภานิ่งอึ้งไป ทบทวนเหตุการณ์ตามคำบอกเล่าของป้ามลก็พอนึกได้ราง ๆ
   “ตอนนั้นหมอคงคิดเรื่องสุภาอยู่” รัญรัมภาพูดออกมาโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองใด ๆ สักแต่ว่าจะพูดเพื่อให้ได้พูดแก้ตัวออกมา
   “หมอคิดเรื่องสุภาตลอดเวลาเลยเหรอคะ วันนี้ตอนที่สั่งกาแฟกับป้า หมอก็ยังคิดถึงแต่สุภาเหรอคะ”
   รัญรัมภาไม่สามารถจะตอบคำถามป้ามลได้ และป้ามลก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเหมือนกัน คำถามนั้นเป็นเหมือนการบอกกลาย ๆ ว่าสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจนั้นมันไม่สามารถปิดบังป้ามลได้
   “ก็คิดหลายเรื่อง เรื่องโครงการที่จะต้องไปประชุมด้วย” เธอตอบออกมาเท่าที่คิดว่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
   “ส่งแก้วกาแฟมาเถอะค่ะ หมออย่าดื่มอีกเลย บ่ายแล้วเดี๋ยวคืนนี้จะนอนไม่หลับ” ป้ามลเปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นความห่วงใย รัญรัมภาส่งแก้วกาแฟที่เธอจิบไปเพียงเล็กน้อยคืนให้
   ป้ามลเดินออกไป ปล่อยให้เธออยู่ตามลำพัง เมื่อก่อนเธอจะชอบผู้หญิงคนไหน ไม่เคยที่จะต้องสนใจว่าชาวบ้านจะมองอย่างไร แม้แต่กับพัดชาเธอก็ไม่ได้สนใจสายตาชาวบ้านนัก หากที่ยอมทำตามที่พัดชาขอร้องก็เพื่อตัดความรำคาญเท่านั้น แต่กับจรัสตะวัน เธอไม่ต้องการให้ใครเอาครูจรัสไปพูดนินทาด้วยความสนุกปาก และไม่อยากให้ครูจรัสที่มีแต่ความดีงามต้องมามีรอยด่างพร้อยในชีวิตเพราะเธอ
   แต่จะทำอย่างไรในเมื่อรู้หัวใจตัวเองแล้วว่าปรารถนาที่จะได้ใกล้ชิดกับจรัสตะวันมากเพียงใด ผู้หญิงที่ทำให้เธอมีความสุขเมื่ออยู่ใกล้ ๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร . . . หรือนี่ใช่ไหมคือความรักที่แท้จริงซึ่งเป็นสิ่งที่เธอโหยหามานาน

“พี่จรัส” แสงตะวันเดินออกมาจากในบ้านในชุดที่พร้อมออกไปข้างนอก และถือขวดน้ำกับแก้วออกมาให้พี่สาวด้วย จรัสตะวันที่พึ่งกลับมาจากไปเยี่ยมสุภาและนั่งพักอยู่หน้าบ้านสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง
   “พี่ทำงานหนักไปหรือเปล่า” แสงตะวันเดินมานั่งลงข้าง ๆ เทน้ำใส่แก้วแล้วมองใบหน้าซีดเซียวของพี่สาว และยิ่งไม่มีเครื่องสำอางใด ๆ แต่งแต้มก็ยิ่งเห็นว่าใบหน้านั้นซูบลงมากนับจากเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่เธอมาอยู่ด้วย
   “เด็กใกล้จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พี่ต้องรีบทำชีทสรุปให้ครบทุกเนื้อหา”
   จรัสตะวันพูดแล้วยกน้ำที่น้องสาวเทให้ขึ้นดื่ม
   “แล้วสุภาเป็นอย่างไงบ้าง” แสงตะวันอาจจะดูห้าว ๆ ห่าม ๆ ไปบ้าง แต่อย่างหนึ่งที่เธอมีไม่ต่างจากพี่สาวก็คือความห่วงใยและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ลำบากกว่า
   “ก็ยังไม่ยอมไปผ่าตัดอยู่ท่าเดียว แต่ยอมให้ยายไปรักษาตาแล้วล่ะ” จรัสตะวันมีรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตลอดเวลาเกือบสองอาทิตย์ เธอเทียวไปเยี่ยมสุภาเกือบจะวันเว้นวัน ด้วยหวังว่าจะทำให้สุภายอมไปรักษาใบหน้า แม้ว่าจะยังเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยสุภาก็รักยาย กลัวยายตาบอดจึงยอมให้ยายไปผ่าตัดได้
   “อย่างนี้ก็ต้องรีบบอกหมอรัญสิ แต่หมอไม่พากอหญ้ามาเล่นด้วยเลยนะตั้งแต่วันนั้น” แสงตะวันพูดตามประสาซื่อ แต่จรัสตะวันกลับนิ่งเงียบไป
   “พี่จรัสเป็นอะไร มีปัญหากับหมอรัญหรือเปล่า” แสงตะวันเริ่มสงสัย จำได้ว่าหมอรัญบอกว่าจะไปเยี่ยมสุภาก็ให้บอกด้วย แต่ก็เห็นพี่สาวไปคนเดียวทุกครั้ง
   “เปล่า พี่จะมีปัญหาอะไรกับเขา แต่พี่กำลังคิดว่าจะบอกคุณหมอได้อย่างไง”
   “ก็โทรไปบอกไง หมอรัญจะได้ประสานเรื่องรักษา” แสงตะวันยิ่งไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่สาวพูด เรื่องแต่นี้ไม่เห็นจะน่าคิดมากตรงไหน ยิ่งบอกเร็วเท่าไหร่ ยายของสุภาก็ได้ผ่าตัดเร็วเท่านั้น
   “พี่ไม่มีเบอร์โทรคุณหมอ” จรัสตะวันพูดเสียงอ่อยลง เธอไม่เคยสนใจที่จะขอหมายเลขโทรศัพท์ไว้เพราะตั้งใจแล้วว่าจะไปเยี่ยมสุภาเพียงคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ยกเว้นว่ารัญรัมภาจะเผอิญมาตรงวันที่เธอจะไปจึงจะให้ไปด้วย
   “อ้าว งั้นก็โทรไปโรงพยาบาลสิ” แสงตะวันก็ยังไม่เห็นว่าปัญหานี้จะแก้ยากตรงไหน
   “พี่ไม่อยากโทรไปให้คนอื่นรู้”
   คราวนี้แสงตะวันมองหน้าพี่สาวด้วยความไม่เข้าใจจริง ๆ สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องน่ายินดีแต่พี่สาวกลับทำเหมือนว่ากำลังทำผิดจนต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้
   “พี่จรัส ทำไมจะให้ใครรู้ไม่ได้ เราทำความดีนะ ไม่ได้ไปฆ่าใครมา” บางเวลาแสงตะวันก็เหนื่อยใจกับการสร้างเงื่อนไขแปลก ๆ ในชีวิตของพี่สาว
   “แสงก็รู้ใช่ไหมว่าคุณหมอเขาเป็นอย่างไง แล้วแสงก็ได้ยินใช่ไหมว่าครูในโรงเรียนเขาพูดอะไรกันบ้าง”
   ในที่สุดจรัสตะวันก็เปิดเผยความกังวลใจที่แท้จริงออกมา ซึ่งถ้าไม่ใช่น้องสาวมาพักอยู่กับเธอแล้วได้รับรู้เรื่องราวของรัญรัมภาและรู้ว่าครูในโรงเรียนกำลังซุบซิบเรื่องพี่สาวอย่างไรจากการที่เป็นคนช่างคุยนั้น จรัสตะวันก็คงไม่มีวันพูดออกมาแบบนี้
   “แค่ปากคนเราจะไปแคร์ทำไม พวกมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ ถามจริงเถอะ ไอ้พวกที่นินทา ๆ อยู่เนี่ย เคยคิดจะช่วยเหลือคนอื่นบ้างไหม หรืออยู่แบบหายใจทิ้งไปวัน ๆ ทำงานก็เช้าชามเย็นชาม”
   “แสงจะตะโกนทำไม แค่นี้พี่ก็ไม่รู้จะคุยกับเพื่อนครูคนอื่นอย่างไงแล้ว” จรัสตะวันปรามน้องสาวเมื่อแสงตะวันเจตนาพูดจนเกือบจะเป็นตะโกนเผื่อใครที่นินทาพี่สาวจะได้ยินบ้าง
   “พี่จรัสคิดมากไปแล้วนะ ก็บอกเขาไปสิว่าไปเยี่ยมสุภา หมอรัญจะพาสุภาไปรักษาใบหน้า แต่ตอนนี้จะพายายไปรักษาดวงตาก่อน ก็แค่นี้ มีอะไรเสียหายตรงไหนไหม” แสงตะวันเริ่มพูดเสียงดังอีกครั้งตั้งแต่ประโยคที่ว่าหมอรัญจะพาสุภาไปรักษาใบหน้า
   “แสง พี่บอกให้เบา ๆ เข้าใจพี่บ้างสิ พี่เป็นครูนะ จะทำอะไรก็ต้องระวังตัว ถึงจะทำความดีก็เถอะ”
   “พี่จรัส พี่กับหมอรัญช่วยกันทำความดี มันยังจะมีเงื่อนไขอื่นอะไรอีก คนเราไม่ได้สำคัญที่การเป็นคนดีหรอกเหรอ พี่สอนแสงมาตั้งแต่เด็กว่าจะทำอะไรไม่สำคัญ แต่อย่าทำบาป อย่าทำความชั่ว อย่าทำผิดกฎหมาย”
   ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตนั้น แสงตะวันใช้ชีวิตค่อนข้างโลดโผน มีงานอะไรขอให้ได้เป็นเงินเธอทำทั้งนั้น จรัสตะวันเป็นห่วงน้องสาวกลัวหลงไปทางที่ผิดจึงพยายามสอนน้องสาวให้ยึดมั่นในความดี และบัดนี้น้องสาวก็ใช้สิ่งที่เธอเคยสอนนั้นกลับมาพูดให้เธอได้คิดบ้าง





ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 12(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:45:47 »
ตอนที่ 12(ต่อ)

   “พี่ไม่รู้จะอธิบายให้แสงเข้าใจได้อย่างไง”
   น้ำเสียงของจรัสตะวันเคร่งเครียดจริงจัง แต่คนที่เหนื่อยใจมากกว่ากลับเป็นน้องสาว เรื่องราวที่เธอได้ยินมาจากการที่เที่ยวไปคุยกับคนนั้นคนนี้ในโรงเรียน แม้กระทั่งกับลุงภารโรง ลุงยามหน้าประตูจึงรู้ว่าเรื่องของพี่สาวกับหมอรัญนั้นกำลังเป็นประเด็นที่หลายคนสนใจ และก็รู้ด้วยว่าต้นตอคนที่ใส่สีตีไข่จนทำให้เรื่องเลยเถิดไปก็เป็นเพื่อนครูที่อยู่ในหมวดวิชาเดียวกันและอยู่บ้านพักครูใกล้ ๆ นี้เอง
   พี่สาวได้แต่ใช้ความนิ่งเฉยอดทน เป็นเธอหน่อยไม่ได้จะจับมาถามเรียงตัวทีเดียวว่าสนุกมากไหมกับการพูดจาเรื่อยเปื่อยทำให้คนอื่นเสียหายแบบนี้ เสียแรงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์
   “แล้วนี่แสงจะไปไหน” จรัสตะวันพึ่งนึกได้ว่าแสงตะวันอยู่ในชุดที่จะออกไปข้างนอก
   “ไปดูหมาแมวที่วัดท้ายตลาด” แสงตะวันตอบพลางมองไปที่ประตูรั้ว
   “ไปกับหมอวินเหรอ” จรัสตะวันถามทั้งที่รู้คำตอบดี
   “อือ ผู้ช่วยเขายังมาทำงานไม่ได้ แต่หมอควายไม่อยากเลื่อนนัดเจ้าอาวาส”
   “เรียกเขาดี ๆ หน่อยสิ แสงไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปหรอก วันนั้นมันฉุกเฉินจริง ๆ พี่เลยให้แสงไปช่วยเขาก่อน”
   “ไม่เป็นไรหรอก สนุกดี ได้บุญด้วย”
   “แต่แสงมาเพื่อพักผ่อน กลับต้องตะลอน ๆ ไปทำหมันหมาแมวไปทั่ว” จรัสตะวันพูดด้วยความเกรงใจน้องสาว    ตั้งแต่วันที่ชีวินมาทำหมันให้หมาที่โรงเรียน แล้วเผอิญผู้ช่วยเกิดอุบัติเหตุโดนหมาตัวหนึ่งงับจนกระดูกข้อมือร้าว และก็มีแสงตะวันคนเดียวที่ว่างพอจะเป็นผู้ช่วยหมอได้ แสงตะวันเป็นคนปากร้ายแต่ไม่ใช่คนใจร้าย แม้จะยังเคืองใจกับชีวินแต่เธอก็เต็มใจไปช่วยโกนขนและส่งอุปกรณ์ให้หมอเพื่อทำหมันน้องหมาให้เสร็จในวันนั้น และไม่รู้ว่าชีวินพูดอย่างไรทำให้แสงตะวันยอมไปเป็นผู้ช่วยเขาในการทำหมันหมาแมวโรงเรียนอื่นอีกสองสามโรงเรียน รวมทั้งวัดที่กำลังจะไปกันนี้ด้วย
   ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะแสงตะวันเป็นคนใช้ชีวิตง่าย ๆ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ปากร้ายแต่ก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา จนบางครั้งเธอยังรู้สึกอิจฉาที่แสงตะวันสามารถลืมความทุกข์และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากในชีวิตมามากกว่าเธอ
   “สนุกดีออก ไม่เหงาด้วย แสงไปเห็นที่สวย ๆ หลายแปลงแล้วนะ กำลังให้หมอควายเป็นนายหน้าให้ เขาไปรักษาวัวรักษาควายให้ชาวบ้านจนรู้จักไปหมด” แสงตะวันพูดด้วยแววตาที่เปล่งประกายความสุข
   “เรียกเขาดี ๆ อย่าไปเผลอเรียกเขาแบบนี้ต่อหน้าชาวบ้านล่ะ” จรัสตะวันรู้สึกดีขึ้นเมื่อพูดถึงความหวังที่เธอกับน้องสาวกำลังช่วยกันทำ
   “นั่นไง มานั่นแล้ว แสงไปก่อนนะ แล้วจะขอเบอร์โทรหมอรัญมาให้” แสงตะวันลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อรถของชีวินแล่นผ่านหน้าบ้านเลยไปเพื่อกลับรถ
   “ไม่ต้อง” จรัสตะวันรีบบอก
   “ไม่ต้องแล้วจะบอกหมอรัญได้อย่างไง โทรศัพท์นี่แหละง่ายสุด คุยกันทางโทรศัพท์จะได้ไม่ต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านด้วย”
   แสงตะวันลุกเดินไปที่ประตูรั้ว จรัสตะวันจึงต้องลุกเดินตามไปด้วยเพื่อทักทายชีวินตามารยาท

   “เฮ้อ คนจะทำดีก็ต้องมีมารแบบนี้แหละ มันถึงจะได้บุญเยอะ ๆ”
   แสงตะวันไม่ฟังสิ่งที่จรัสตะวันห้าม แต่กลับพูดเสียงดังอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าว่าบ้านพักครูที่อยู่ถัดไปอีกหลังมีครูคนอื่นมาทำทีมายืนคุยกันอยู่หน้าบ้าน
   รถของชีวินแล่นมาจอด เขาเลื่อนกระจกลงมาทักทายจรัสตะวันในขณะที่แสงตะวันเดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง คำพูดที่ทักทายกันนั้นก็ยังเป็นคำพูดเดิม ๆ นับตั้งแต่เริ่มรู้จักกันมา ถ้าจรัสตะวันเป็นเหมือนแสงตะวันบ้างสักนิด ป่านนี้เขาคงรู้ถึงความคิดความรู้สึกข้างในได้ไม่ยาก
   “จีบพี่สาวฉันยากหน่อยนะ ไม่แน่อาจจะต้องกินแห้วตลอดชีวิตด้วย”  คำพูดของแสงตะวันตั้งแต่วันที่ไปช่วยทำหมันหมาวันแรกนั้นก็ยิ่งบั่นทอนกำลังใจ แต่ก็ยังไม่ถอดใจที่เข้าให้ถึงจรัสตะวัน


   จรัสตะวันยืนส่งจนรถของชีวินลับตา พร้อม ๆ กับที่รถยนต์อีกคันสวนเขามา แล้วก็เลี้ยวกับเข้าบ้านพักครูหลังหนึ่งไป เธอไปเยี่ยมสุภาเกือบจะทุกวัน แต่คนที่เคยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกลับไม่มาติดตามถามไถ่ หรือลืมไปแล้วว่าเคยพูดอะไรไว้
   “สเปคหมอรัญต้องเปรี้ยว ๆ สวย ๆ อย่างครูแพทนู่น อย่างครูจรัสจืด ๆ เชย ๆ แบบนี้หมอรัญไม่สนใจหรอก อย่างดีก็มาหลอกให้เลี้ยงหมาให้เท่านั้นแหละ”
   นี่คือหนึ่งในคำพูดสนุกปากที่เธอเผอิญได้ยินมา ยังมีคำพูดอื่น ๆ ที่ทำร้ายจิตใจเธอมากกว่านั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เธอบอกใครไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเจ็บปวดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เธอไม่ต้องการเป็นของเล่นหรือตัวแทนของใคร
   “ครูพัดชากลับมาเมื่อไหร่ เชื่อเถอะว่าหมอรัญอ้าแขนรับทันที”
   จรัสตะวันเดินเข้าบ้านไปเตรียมทำอาหารเย็น พยายามลืมทุกอย่างที่ได้ยินมา และคิดว่าหมดจากเรื่องของสุภาและยาย เธอก็คงไม่ต้องได้ยินคำพูดเหล่านั้นอีก

 :26: :26: :26:

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.