web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 382
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 359
Total: 359

ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ ๒๙ : เกิดชาติหน้าฉันท์ใด...ไม่ขอร่วมวงศ์วานเดียวกัน  (อ่าน 1031 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทอถักอักษรา

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 73

Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
         บทที่  ๒๙  : เกิดชาติหน้าฉันท์ใด...ไม่ขอร่วมวงศ์วานเดียวกัน

พระอาทิตย์ตกดินไปเนิ่นนาน แต่เจ้าหญิงมณีจันทร์ยังทรงประทับทอดสายพระเนตรฝ่าความมืดออกไปภายนอกเฉลียงของพระตำหนักที่ประทับ เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมเป็นดั่งเสียงดนตรีที่ขับกล่อมมิให้ทรงรู้สึกหวาดกลัวยามแสงตะวันโรยรา
ยามรัตติกาลที่ความมืดเงื้อมเงาเข้าครอบคลุมทุกอาณาบริเวณ ริ้วเมฆลอยคล้อยจนเข้าบดบังแสงแห่งดวงจันทราไว้สิ้น พระนางเหม่อมองดวงเดือนก่อนที่พระอัสสุชลจะไหลอาบพระพักตร์
“น้องหญิงเป็นอันใด ร้องไห้ด้วยเหตุใดฤๅ” เจ้าหญิงนลินยุพาตรัสถามอย่างร้อนพระทัยเมื่อเห็นน้ำพระเนตรของพระน้องนาง ทรงไล้พระดัชนีแผ่วเบาทั่วพระพักตร์นวลเพื่อซับพระอัสสุชล
“น้องคิดถึงเสด็จพ่อ เสด็จแม่เพคะเจ้าพี่ ป่านนี้คงเป็นห่วงน้องจนมิเป็นอันบรรทมอันเสวยเป็นแน่เพคะ” ตรัสพร้อมซบพระพักตร์ที่พระอุระอบอุ่นของพระพี่นางอย่างแสนรัก
“พี่ก็คิดถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่และเสด็จพี่ธราเทพเยี่ยงเดียวกัน แต่ถ้าเราไม่หนีมาแบบนี้ เราก็ต้องพรากจากกันชั่วชีวิตน้องจะยอมฤๅ” พระนางทรงกระชับวงพระกรโอบรอบพระวรกายอวบอิ่มของนางอันเป็นที่รัก
“น้องมิยอมเพคะ หากต้องแยกจากกับพระองค์ ชีวิตของน้องคงมิต่างจากคนตายที่ยังหายใจ” เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงกระชับวงพระกรให้แน่นขึ้นเพื่อยืนยันพระดำรัสของพระนางเอง
“สักวันพี่จักพาน้องกลับบ้านเมือง แต่มิใช่เพลานี้” 
“น้องทราบเพคะ เพลานี้เสด็จพี่อติรัณณ์ยังเต็มไปด้วยเพลิงโทสะในพระทัย ซึ่งมิมีทางดับได้โดยง่าย”
“เวลาจะช่วยเยียวยารักษาทุกสิ่งได้เอง เพลิงโทสะในพระทัยของเสด็จพี่อติรัณณ์ก็เยี่ยงเดียวกัน”
“น้องก็หวังเช่นนั้นเพคะ”
“พระธิดาทั้งสององค์เป็นอันใดเพคะ สีพระพักตร์ไม่ค่อยจะสู้ดีเลยเพคะ” เสียงหวานของภัทรวดีดังขึ้น ก่อนที่นางและเหล่านางกำนัลจะได้อัญเชิญพระสุพรรณภาชน์บรรจุพระเครื่องเสวยนานาชนิดพร้อมด้วยถาดผลไม้ซึ่งแกะสลักอย่างวิจิตรประณีตงดงามส่งกลิ่นหอมขจรขจายน่าเสวยมาวางไว้ที่โต๊ะเบื้องพระพักตร์
“นั่นสิ ท่านทั้งสองเป็นอันใด หรือว่าผู้ใดทำอันใดให้ขัดเคืองพระทัยก๊บอกเรามาเถิด เราจะจัดการมันผู้นั้นให้” เจ้าหญิงวิรัลยุพินที่เพิ่งจะเสด็จพระดำเนินมาถึงตำหนักตรัสถามอย่างทรงห่วงใยพระราชฺธิดาทั้งสอง โดยเฉพาะเจ้าหญิงนลินยุพาซึ่งพระนางรักเหมือนพี่น้องร่วมพระอุทร
“ไม่มีอันใดหรอกหญิงวิรัล,ภัทราวดี เรากับน้องหญิงเพียงแต่คิดถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่ แลพระนครที่จากมาเท่านั้นดอก”
“เยี่ยงนั้นฤๅ มิต้องทุกข์ร้อนพระทัยไปดอกอยู่ที่นี่ให้สำราญพระทัยเถิด เพลานี้ก็ย่ำรัตติกาลมานานเนิ่นแล้ว เรามาเสวยพระเครื่องกันเถิด ภัทราวดีชายาแห่งเราลงโรงพระเครื่องเองหนาวันนี้” ตรัสพร้อมชี้ชวนให้เจ้าหญิงทั้งสองทรงเสวยพระเครื่องที่ ภัทราวดีปรุงถวายพระราชธิดาทั้งสาม
“รับประทานด้วยกันสิจ๊ะภัทราวดี” เจ้าหญิงมณีจันทร์ตรัสด้วยพระสุรเสียงหวานเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา
“มิบังควรเพคะ กระหม่อมเป็นเพียงนางข้าบาท จะร่วมเสวยกับพระธิดาทั้งสามมิได้เพคะผิดกฎมลเฑียรบาล” ภัทรวดีที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่แทบบาทของเจ้าหญิงวิรัลยุพินกราบทูลด้วยสีหน้าตระหนก นางรู้อยู่แก่ใจว่าเพียงแค่นางบังอาจพึงใจเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ โทษทัณฑ์ของนางก็มหันต์แล้ว
“มิบังควรเยี่ยงไร ท่านเป็นถึงชายาแห่งเจ้าหญิงวิรัลยุพิน จะมีอันใดมิบังควร” เจ้าหญิงมณีจันทร์รับสั่ง สีพระพักตร์แช่มชื่นขึ้น
“น้องหญิงมณีจันทร์ตรัสถูกแล้ว เจ้าเป็นชายาแห่งเราจะมีอันใดมิบังควร ลุกขึ้นเถิด มานั่งข้างๆเราเถิด ผู้เป็นที่รักของเรา” เจ้าหญิงวิรัลยุพินทรงตรัสพร้อมกับทรงจูงมือภัทรวดีให้นั่งเคียงข้างพระองค์
อิสสตรีทั้งสี่นางเสวยพระกระยาหารร่วมกันอย่างปิติสุข พระกระยาหารเลิศรสมิทำให้สุขพระทัยเท่าได้เสวยร่วมกับนางอันเป็นที่รัก...
.................................................................
   
แสงทองแรกแห่งวันส่องผ่านม่านหมอกบางสีเทา บ่งบอกสรรพสิ่งทั้งหลายให้แจ้งชัดว่าราตรีได้พ้นผ่านแล้ว แสงอาทิตย์ทอจับพื้นดินหน้าท้องพระโรงที่พราวพร่างด้วยละอองน้ำค้างกลายเป็นสีทองอร่ามดุจพรมชั้นดี
ท้องพระโรงกว้างขวาง เสาไม้สักทองเนื้อดีถูกสลักเสลาลวดลายงดงาม ลวดลายนั้นถูกแต่งแต้มสีทองและประดับเกล็ดเพชรพลอยสีระยิบระยับ เมื่อแสงทองของดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจับเกล็ดอัญมณีและสีทองแต่งแต้มทั่วท้องพระโรง ก็ราวกับว่าผู้ที่อยู่ภายในคือเหล่าทวยเทพบนสวรรค์ชั้นฟ้า
บนพระราชบัลลังก์ทองคำสุกปลั่งพระเจ้าชัยวรเมธประทับเคียงข้างกับพระนางสวรินทร์เทวี เจ้าชายธราเทพทรงประทับที่พระราชบัลลังก์ทองคำใกล้เคียงกัน ใกล้กันนั้นพระเจ้าชัยวรรธนะประทับเคียงข้างกับพระมเหสีศุภาวลัย พร้อมด้วยเจ้าชายอติรัณณ์
“กระหม่อม พระมเหสีศุภาวลัย แลลูกอติรัณณ์ขอกราบทูลลาเสด็จพี่ทั้งสองนิวัติพระนครเสียที รบกวนพระองค์มาหลายเพลาแล้ว” พระเจ้าชัยวรรธนะกราบทูลต่อพระเชษฐา
“มิต้องถือเป็นการรบกวนดอกน้องพี่ เรามีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น เจ้าอยากมาพำนักนานเท่าใดก็ย่อมได้” พระเจ้าชัยวรเมธตรัสต่อพระอนุชาด้วยพระสุรเสียงเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“กระหม่อมทราบพระเจ้าค่ะ แต่เพลานี้ทางกระหม่อมได้ละทิ้งพระนครนานแล้ว ถึงเพลาขอทูลลาพระนครแล้วพะยะค่ะ หากพี่ท่านทราบความเรื่องของหลานนลินยุพาแลลูกหญิงมณีจันทร์ ขอพระองค์ทรงโปรดส่งพระสาส์นแจ้งแก่กระหม่อมด้วยพระเจ้าค่ะ”
“ไปเถิด ขอให้น้องพี่ พระมเหสีศุภาวลัย แลหลานอติรัณณ์เดินทางโดยสวัสดิภาพ มิต้องห่วงทางนี้ พี่จะออกติดตามค้นหาลูกหญิงนลินยุพาแลหลานมณีจันทร์ให้เอง”
“ถ้าเยี่ยงนั้น กระหม่อมกับพระมเหสีขอทูลลาพระเจ้าค่ะ อติรัณณ์ทูลลาเสด็จลุงเสด็จป้าเสียลูก”
“พระเจ้าค่ะ หลานขอทูลลาเสด็จลุงเสด็จป้าพระเจ้าค่ะ”
‘ขอให้ชาติภพนี้เป็นชาติภพสุดท้าย ที่จะเกิดมาร่วมวงศ์วานเดียวกัน’ เจ้าชายอติรัณณ์หันมามองนครพินทุปุระเป็นคราสุดท้ายพร้อมตั้งจิตอธิษฐานต่อองค์พระปฏิมาศักดิ์สิทธิ์คู่พระนครแห่งนี้ ขบวนเสด็จอันสมพระเกียรติแห่งนครบุปผาลัยค่อยๆเคลื่อนพลออกไป พระเจ้าชัยวรเมธกับพระนางสวรินทร์เทวีทรงมาส่งที่รั้วประตูพระราชวังด้วยความโล่งพระทัยที่เจ้าชายอติรัณณ์ทรงยอมตัดพระทัยกลับพระนครไปแต่โดยดี...
“หมดเรื่องของหลานอติรัณณ์เสียที พี่ไม่นึกว่าเขาจะยอมตัดใจโดยง่ายถึงเพียงนี้ แต่ก็ดีแล้วลูกหญิงนลินยุพากับหลานมณีจันทร์จักได้ปลอดภัย” พระเจ้าชัยวรเมธทรงถอนพระทัยด้วยความปิติ
“เสด็จพี่ทรงแน่พระทัยฤๅว่าลูกของเราจักปลอดภัย หากพระนางภวรัตน์ราชเทวีทรงทราบว่าหญิงนลินเป็นลูกของเรา หม่อมฉันเกรงว่าพระนางจักลงทัณฑ์ลูกหญิงให้สาสมกับความคับแค้นในพระทัยของพระนาง” พระนางรับส่งด้วยความวิตก พระพักตร์งามเต็มไปริ้วรอยแห่งความกังวล
“สวรินทร์ น้องกับน้องหญิงภวรัตน์ราชเทวีเป็นสหายกันมาแต่เยาว์วัย จะมิทราบเชียวหรือว่าพระนางเป็นคนเช่นไร” ตรัสพร้อมเสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าพระนคร
“เพราะน้องทราบอย่างไรเล่าเพคะเสด็จพี่ น้องถึงได้กลัว” รับส่งด้วยพระสุรเสียงแผ่ว ในพระทัยดำดิ่งถึงความหลังครั้งกระนั้น...
            ....................................................................................





 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.