web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 148
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 159
Total: 159

ผู้เขียน หัวข้อ: เกินห้ามใจ ตอนที่ 7  (อ่าน 1659 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
เกินห้ามใจ ตอนที่ 7
« เมื่อ: 22 มกราคม 2014 เวลา 07:31:46 »
ตอนที่ 7

อันนาหมุนพวงมาลัยพารถเข้าจอดในโรงจอดรถข้างตัวบ้าน เรียวปากเผยรอยยิ้มเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรถยนต์คันคุ้นตาที่จอดอยู่ข้างกัน หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายแล้วลงจากรถ ก่อนจะไขกุญแจเข้าบ้านไปอย่างไม่รีบร้อน

“แม่คะ อันกลับมาแล้ว” อันนาเอ่ย พลางเดินไปยังห้องรับประทานอาหาร เห็นผู้เป็นแม่กำลังยกกับข้าวมาจากห้องครัว จึงเดินเข้าไปช่วยอีกแรง

เมื่อจัดวางทุกอย่างบนโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว อันนาจึงเดินไปล้างมือก่อนรับประทานด้วยความเคยชิน

“เหนื่อยมั้ยอัน” เปรมจิตถามหลังเหนสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรงของลูกสาว

“ทุกอาชีพก็เหนื่อยเหมือนกันหมดแหละค่ะ ไม่ใช่เฉพาะหมอ” อันนาเงยหน้าขึ้นมายิ้มบาง “แต่ที่คนอาชีพอย่างอันต้องทำงานทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ยอมทนรับความกดดัน ก็เพราะต้องช่วยเหลือและรับผิดชอบชีวิตผู้คน แล้วไหนจะสังคมที่คาดหวังในตัวพวกเราอีก ถึงเหนื่อยยังไงก็สู้ค่ะแม่”

เปรมจิตรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวเหลือเกิน ด้วยความสามีที่เสียชีวิตไปตั้งแต่อันนายังเด็ก เธอจึงจำเป็นต้องเป็นเวิร์คกิ้งวูแมน เลี้ยงลูกสาวมาด้วยตัวคนเดียวตลอด จึงกังวลว่าลูกสาวจะมีปัญหา หรือเป็นคนขาดความอบอุ่นรึเปล่า แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่…อันนาไม่ทำให้คนเป็นแม่ผิดหวัง ลูกสาวเธอตั้งหน้าตั้งตาเรียน ขวนขวายหาความรู้อยู่สม่ำเสมอ จนตอนนี้กลายเป็นที่พึ่งของแม่ไปซะแล้ว

“แม่คะ! อันว่าจะถามนานแล้ว ช่วงหลังมานี้ แม่ออกจากบ้านพร้อมกับอันตลอด เมื่อก่อนแม่ไม่ได้ออกเช้าขนาดนี้นี่คะ”

“เจ้านายคนใหม่เขาทำงานเช้าน่ะ เลขาอย่างแม่ก็ต้องไปก่อน”

อันนาขมวดคิ้วมุ่น แม่เธอวัยเข้าใกล้เลขหกเข้าไปทุกที ให้ไปทำงานเหมือนหนุ่มสาวก็เห็นว่าจะไม่เหมาะ

“อันว่าแม่ลาออกมาอยู่บ้านดีกว่าไหมคะ ไปทำงานทำไมให้มันเหนื่อย รถหรือบ้านอันก็ผ่อนใกล้จะหมดแล้วด้วย”

“แม่ทำงานมาทั้งชีวิตนะอัน ให้อยู่บ้านเฉยๆ แม่คงเบื่อตาย แล้วที่สำคัญคุณพิมายก็ฝากฝังให้ช่วยดูแลคุณวรินทร์ในช่วงที่เพิ่งผลัดตำแหน่งใหม่ๆ ด้วย” เปรมจิตเห็นลูกสาวทำหน้างง จึงขยายความต่อ “คุณพิมายเป็นประธานคนเก่า ส่วนคุณวรินทร์เป็นลูกสาวของท่าน ซึ่งแม่รับหน้าที่เป็นเลขาให้อยู่”

“คนที่ทำงานเช้าน่ะเหรอคะ”

“ใช่ คุณวรินทร์เป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก แม่เลยต้องพลอยตรวจนู่นตรวจนี่ คอยเช็คงานไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หรือไม่ก็ห้ามพูดอะไรขัดหู เดี๋ยวจะโดนคุณดุเอา”

ได้ยินดังนั้นอันนายิ่งทำหน้ามุ่ยเข้าไปใหญ่ “ดุเลยเหรอคะ เจ้านายแม่เขาอายุเท่าไหร่”

“ยี่สิบกว่าๆ อ่อนกว่าลูกอีกแหนะ”

“โห!” อันนาอุทาน “อายุเท่านี้ทำตัวอย่างกับคนแก่”

เปรมจิตหัวเราะกับประโยคของลูกสาว “อันน่าจะเข้าใจเจ้านายแม่ดีนะ อายุน้อยแต่ต้องแบกทุกอย่างไว้บนบ่า ก็อย่างที่ลูกพูดไง…ความรับผิดชอบสูง บวกกับความคาดหวังของบุคคลรอบข้าง”

อันนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่บางเรื่องก็ยังคาใจเธออยู่ “เมื่อกี้ที่แม่บอกว่า ถ้าแม่พูดขัดหูเธอหน่อยจะโดนดุเอา แล้วแม่ไปพูดอะไรขัดหูเขาล่ะคะ”

เปรมจิตยิ้มเหยียดเล็กน้อยกับคำถามนั้น “อันรู้ใช่มั้ย ว่าอาชีพเลขามันเติบโตยาก ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวความรู้จากงานที่เจ้านายมอบหมายได้มากขนาดไหน แล้วเปลี่ยนสายงานไป หรือออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ยิ่งแม่เป็นเลขาของผู้บริหาร งานก็จะผ่านมือแม่จากหลายแผนก หลายสายงาน ความรู้มันก็อยู่ในนั้นให้เราประยุกต์ใช้เอาเอง แต่เราก็ไม่มีทุนรอน แล้วตอนนี้แม่ก็แก่เกินแกงแล้ว”

เปรมจิตสูดลมหายใจแล้วพูดต่อ “กว่าจะสะสมประสบการณ์จนเจ้านายไว้วางใจมาเป็นเลขาผู้บริหาร แม่ต้องฝ่าฟันมามากขนาดไหน แล้วที่คุณวรินทร์ดุน่ะ เพราะแม่ไปพูดติเตียนเลขาคนเก่าของคุณเค้าว่าเป็นเด็กเส้น…แม่น่ะ เกลียดคนจำพวกนี้ที่สุด ไม่ทำอะไรซักอย่างแต่กลับก้าวหน้า”

“แล้วที่แม่พูดน่ะ มันจริงไหมคะ”

“เค้าลือฟุ้งกันทั้งบริษัท จบใหม่ไม่มีประสบการณ์ มาสมัครงานก็ได้เป็นเลขาท่านรองฯ ทันที ไม่รู้ว่าคุณวรรณพเห็นอะไรในตัวเด็กนั่น ถึงเจาะจงเลือกมาตอนสัมภาษณ์”

“คงถูกชะตามั้งคะ” อันนามองในแง่ดี

เปรมจิตไม่ตอบ แต่ในใจคิดไปในแง่ร้ายเสียแล้ว “แล้วรู้มั้ยว่าเจ้านายแม่ดุว่าอะไร คุณรินทร์พูดเสียงเขียวเชียวนะ ว่าดูออกเรื่องที่ใครทำงานดีใครทำงานไม่ดี แล้วบอกว่าเด็กนั่นน่ะทำงานเก่ง ถึงจะดูเอ๋อไปบ้าง แต่ก็น่ารักดี”

เปรมจิตหยุดพูด แล้วมองลูกสาวที่กำลังสำลักข้าวที่เคี้ยวอยู่หลังฟังเรื่องเล่า คนเป็นแม่จึงส่งกระดาษทิชชู่ไปให้

“ไอ้ประโยคหลังนี่แหละ ที่แม่นั่งงอยู่ตั้งนาน…งงๆ เอ๋อๆ แต่ก็น่ารักดี แม่ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับทำงานดีหรือแย่ตรงไหน หรือว่าแม่จะหัวโบราณ เลยไม่เข้าใจวัยรุ่นสมัยนี้”
อันนาไอโขกจนหน้าแดง มือเรียวปิดปากเพื่อกั้นเสียงไอ  เมื่อหายจากอาการแล้วจึงถามต่อด้วยความสนใจ

“แล้วเจ้านายของแม่สวยไหมคะ”

“สวยสิ สวยมากด้วย แม่ยังนึกแปลกใจที่คุณยังไม่มีแฟน ข่าวเรื่องผู้ชงผู้ชายก็ไม่มี” วรินทร์ไม่เคยมีเพื่อนผู้ชาย หรือคนที่ใกล้เคียงกับคำว่าคนรู้ใจมาหา มีแต่พีชญาเพื่อนสาวคนสนิทที่มาอย่างสม่ำเสมอ

“เค้าอาจจะมีแฟน แต่ไม่มีใครในบริษัทรู้ก็ได้นี่คะ”

“โอ๊ย! ไม่มีหรอก เลิกงานก็ค่ำจะมืดอยู่แล้ว จะมีเวลาที่ไหนไปเอาใจแฟน ถ้ามีล่ะก็ คงขอเลิกหมด เพราะไม่มีเวลาให้” เปรมจิตเอ่ยอย่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่หลังเห็นลูกสาวทำหน้าพินิจพิเคราะห์จึงเอ่ยปากถาม

“ถามทำไมเรื่องหน้าตาเจ้านายแม่”

“ก็แค่อยากรู้น่ะคะ ไม่มีอะไรหรอก” อันนาเอ่ยพลางยิ้มบาง แต่ในหัวกลับคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่ได้ฟังมาเมื่อกี้

ถ้ามีโอกาส เธอก็อยากจะเจอหน้าคุณวรินทร์คนนี้ซักหน่อย…อยากเจอให้รู้ว่าสมมติฐานที่เธอตั้งไว้จะถูกหรือว่าผิดกันแน่
มาดูกันว่า เจ้านายคนนี้ของแม่

…จะเป็นพวกเดียวกันกับเธอหรือเปล่า



นรีกมลนั่งอมยิ้ม มองข้อความในโทรศัพท์อยู่นานสองนาน นึกแปลกใจตัวเองที่เผลอว่างเป็นไม่ได้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ในขณะที่ใจก็คิดย้อนไปถึงกลางดึกของเมื่อวาน ที่เธอส่งข้อความแสดงความห่วงใยไปให้ใครอีกคน

เหนื่อยมั้ยคะ? ดูแลตัวเองด้วยนะ

แล้วเจ้าของชื่อ My boss is so hot ก็ส่งเพียงอิโมติคอนยิ้มกลับมา ปล่อยให้คนรอนั่งมองอยู่อย่างนั้นทั้งคืน นรีกมลอยากจะโทรไปหา แต่ใจก็ไม่กล้าพอ เช้าวันเสาร์จึงได้แต่นั่งเอ้อระเหยถอนใจเฮือกๆ อยู่อย่างนี้

เสียงเคาะประตูทำให้นรีกมลหลุดจากภวังค์ เช้าขนาดนี้ ใครกันนะที่มาเคาะประตู ปกติเธอแทบจะไม่มีแขกมาหาถึงคอนโด ถ้าเป็นเพื่อนๆ ก็มักจะนัดไปเจอที่ร้านอาหารหรือในห้างสรรพสินค้าซะส่วนใหญ่

คนตัวเล็กเดินไปทางต้นเสียงอย่างเอื่อยเฉื่อย เมื่อถึงประตูห้องจึงเขย่งปลายเท้าเพื่อมองลอดตาแมว และทันทีที่เห็นคนนอกห้อง นรีกมลก็ทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆ อยู่ตรงนั้น

เสียงเคาะประตูที่ดังถี่ขึ้นกว่าเดิม คล้ายจะเร่งเร้าให้คนในห้องเปิดประตู นรีกมลหุบริมฝีปาก แล้วรีบยกมือขึ้นจัดเผ้าจัดผม ก่อนจะเปิดประตูออกเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน

วรินทร์มองเจ้าของห้องที่ยื่นเพียงหน้าเหรอหราออกมามองกัน ก็ได้แต่หัวเราะอย่างขบขัน มือเรียวดึงประตูให้เปิดออกกว้าง เพื่อแทรกตัวเข้าไปข้างใน

ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์ไม่มากนัก ที่เห็นจะเด่นที่สุดคือเตียงนอนขนาดควีนไซส์ ตรงข้ามกันเป็นโต๊ะวางโทรทัศน์แอลอีดี มีโต๊ะทำงานถัดไปทางขวา ข้างๆ ที่เธอยืนอยู่เป็นตู้เสื้อผ้าสีขาวประกอบกับโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนมุมห้องติดประตูเป็นครัวเล็กๆ ไว้ประกอบอาหาร

วรินทร์เดินไปแหวกผ้าม่านออก เห็นเป็นระเบียงให้ออกไปชมทิวทัศน์ พอหันกลับมาจะถามเจ้าของห้อง นรีกมลก็ก้มหน้างุดๆ มองพื้น ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อแลน่าเอ็นดู วรินทร์หัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปลูบหัวอีกคน

“อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอคะ”

น้ำเสียงทุ้มที่นรีกมลนึกชอบ ทำให้เธออยากมองคนพูดว่ามีสีหน้ายังไง พอเงยหน้าขึ้นไป ความห่วงใยที่ฉายชัดมาจากแววตาดำขลับ ทำให้นรีกมลต้องส่ายหน้าตอบกลับพร้อมรอยยิ้มสดใส

“ไม่เหงาหรอกค่ะ ถึงพ่อแม่ของไนน์จะอยู่ต่างจังหวัดค่ะ แต่ไนน์ก็โทรไปหาพวกท่านบ่อยๆ”

วรินทร์พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วส่งยิ้มสวยมาพร้อมกับนัยน์ตาที่นรีกมลไม่กล้าที่จะสบตรงๆ

คนหน้าหวานทำเป็นมองไปทางอื่น แล้วเอ่ยถามเสียงอ้อมแอ้ม “มาได้ยังไงคะเนี่ย”

“นั่งรถมา”

นรีกมลเผลอตวัดสายตาคล้ายกับจะดุคำตอบยียวนของอีกคน “เอาดีๆ สิคุณรินทร์”

“ก็แค่ขับรถมาตามที่อยู่ของเธอ ไม่เห็นจะยาก”

“ค่ะคุณเจ้านายคนเก่ง แต่ไปอยู่เมืองนอกมาตั้งนาน ชินทางในกรุงเทพฯ แล้วเหรอคะ ถึงกล้าขับมาคนเดียว”

“ฉันถามทางมาจากคนขับรถ คนที่เค้าเคยพาเจ้ารถญี่ปุ่นของเธอมาส่งไง” วรินทร์อธิบาย แล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียง นรีกมลร้องอ๋ออย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยประโยคคำถามต่อไปแทบจะทันที

“แล้วมาทำไมคะเนี่ย”

“แค่อยากมาหาคนที่ชอบ” วรินทร์เงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาหวาน “มาไม่ได้เหรอคะ”

“คำว่าชอบของคุณรินทร์สำคัญขนาดไหนคะ” นรีกมลถามเรื่องที่คาใจมานาน โดยเฉพาะประโยคว่าชอบที่เคยบอกกัน คิ้วสวยของคนฟังขมวดเป็นปมกับคำถาม

“สำคัญมากสิ”

“ยังไงคะ”

“มีคนชอบก็ยังดีกว่ามีคนเกลียด สำคัญตรงนี้ล่ะ” วรินทร์พยักหน้ากับคำพูดของตัวเอง “แล้วตอนนี้ฉันก็มีคนที่ชอบ ดังนั้นขั้นต่อไปก็ทำให้รักล่ะนะ”

นรีกมลเบิกตากว้างกับประโยคนั้น “คุณรินทร์หมายความว่ายังไง”

“ฉันจะทำให้เธอรักฉันไง” ว่าแล้วมือเรียวก็ฉุดคนตัวเล็กให้ลงมานั่งบนตัก วรินทร์วางหน้าไว้บนไหล่บาง ก่อนจะใช้คางสวยถูไถไปมาคล้ายจะออดอ้อน

นรีกมลเบนหน้าไปแอบยิ้มแต่ก็ต้องรีบกลั้นเอาไว้ เพราะคนข้างหลังเอียงหน้าสวยๆ มามองกัน

“ชอบล่ะสิ ไม่ต้องมาทำเป็นเขินหรอก”

“เอ๊ะ! คุณรินทร์เนี่ย” นรีกมลตีแขนสีน้ำผึ้งเบาๆ อย่างหมั่นไส้

ตั้งแต่เกิดมานรีกมลก็เพิ่งเคยถูกคนสวยคลอเคลียหนักถึงขนาดนี้ โดนทั้งจูบ ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งหมดนั้นให้ความรู้สึกประหลาด แต่ก็เถียงไม่ได้ว่ามันรู้สึกดี ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่วรินทร์ เธอคงขยะแขยงน่าดู

นั่นสิ! ถ้าไม่ใช่วรินทร์…

“คิดอะไรอยู่คะ”

นรีกมลทำหน้าไม่ถูกกับน้ำเสียงแบบนี้ทุกที ไหนจะนิ้วสวยๆ ที่จิ้มมาที่แก้มเธออีก

“ไม่มีอะไรค่ะ” ทำไมวรินทร์จะไม่รู้ว่าคนตัวเล็กโกหก แต่เธอก็ไม่อยากจะถามอะไรมาก การเซ้าซี้อาจจะทำให้นรีกมลรำคาญก็เป็นได้

“คุณเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่าคะ” อยู่ๆ คนบนตักก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“มีสิ” คนหน้าสวยนึกย้อนถึงอดีต ด้วยรอยยิ้มประหลาด มันทั้งสุข เศร้า แล้วก็เหงา ผสมปนเปกันไปหมด นรีกมลเดาไม่ได้ว่าวรินทร์อยู่ในอารมณ์ไหน

“หญิงหรือชายคะ”

“ฉันชอบผู้หญิง” คำตอบเรียบๆ นั้นทำให้คนฟังถึงกับกลั้นหายใจ วรินทร์หัวเราะในลำคอแล้วเอ่ยต่อ “เธอเคยบอกว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันประหลาด แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาบอกชอบกันล่ะ”

สมองของนรีกมลกำลังแล่นอย่างเร็วจี๋เพื่อหาคำตอบ ใจพาลนึกโกรธตัวเองที่พูดไม่คิด แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าตอนนั้นคนฟังจะรู้สึกยังไง…เสียใจหรือเปล่านะ

“ไนน์ไม่ได้ชอบผู้หญิงค่ะ” นรีกมลแอบลอบมองใบหน้าที่นิ่งไปของอีกคน แล้วก็รีบเอ่ยต่อ เพราะเกรงอดีตเจ้านายจะผลักเธอตกจากตักซะก่อน “แต่ชอบที่ตัวคุณ แม้ว่าจะอยู่ในเพศอะไร หญิงหรือชาย…ไนน์ก็จะชอบคุณ”

วรินทร์ยิ้มกว้างก่อนจะถอนหน้ากลับมา แล้วซุกไว้ที่แผ่นหลังนุ่มของคนบนตัก

“ขอบคุณมากนะที่ไม่รังเกียจคนอย่างฉัน” น้ำเสียงเศร้าสร้อยนั้นทำให้นรีกมลรู้สึกใจไม่ดีตาม “ฉันรักใครยากนะ แต่พอค้นความรู้สึกดูแล้ว ดูเหมือนว่า…ฉันจะรักเธอเข้าแล้วล่ะ”

วรินทร์ปล่อยคนตัวเล็กให้ยืนขึ้นเพื่อมองหน้ากัน หัวใจบีบรัดจนทรมานอย่างประหลาด ยามเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกคน

“ฉันแค่บอกไว้เฉยๆ ช่างเถอะ! เรามาเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า” วรินทร์พยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่จุกอยู่ในลำคอได้อย่างยากเย็น ก่อนจะเอ่ยต่อเหมือนเรื่องที่พูดนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไร “เธอทานข้าวเช้าหรือยังเนี่ย ฉันน่ะได้ทานแค่…”

วรินทร์ไม่อยากถาม เพราะกลัวคำตอบจะทำร้ายให้ต้องเจ็บอีก เบื่อตัวเองที่ใจไม่เย็นพอ ได้คืบทีไรก็จะเอาศอก ยิ่งคนที่เธอรักเป็นผู้หญิงแท้ๆ ไม่เคยมองผู้หญิงด้วยกันในแง่นี้มาก่อน เพียงบอกว่าชอบที่ตัวเธอ เท่านี้ก็น่าจะพอใจได้แล้ว…

จะหวังสูงไปทำไมกันนะ วรินทร์

“ทานแค่กาแฟเองค่ะ”

“คุณนี่แย่จัง มื้อเช้านี่สำคัญ ต้องทานนะคะ” วรินทร์ลุกขึ้นจากเตียงนอน “เดี๋ยวฉันทำอะไรให้ทานดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ”

วรินทร์ดุนหลังนรีกมลให้ไปนั่งรอที่โต๊ะทานอาหาร ทำหน้าดุใส่อีกทีเมื่ออีกคนจะอ้าปากค้าน เมื่อคนตัวเล็กนั่งนิ่งพลางทำตัวหดลีบอย่างไม่กล้าปฏิเสธ รอยยิ้มจึงถูกแต่งแต้มขึ้นมาบนริมฝีปากสวย

“ยังเหลือข้าวอยู่ในหม้อค่ะ บอกไว้ก่อนเพราะยังไงไนน์ก็เถียงสู้คุณไม่ได้อยู่แล้ว” นรีกมลทำหน้างอ

“เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทน่ะดีแล้ว เจ้านายจะได้รักไงคะ” วรินทร์ทิ้งประโยคคลุมเครือให้คนฟังได้หน้าแดง ก่อนจะเดินไปค้นของสดในตู้เย็น เมื่อพบสิ่งที่ต้องการแล้วจึงเดินไปหยุดที่มุมครัวของห้อง

นรีกมลลอบมองทุกการเคลื่อนไหวของเจ้านายคนสวย ตั้งแต่มือเรียวที่ยกขึ้นรวบผมยาวสลวยของตัวเองให้อยู่ในทรงหางม้า หลังใช้ยางมัดผมจนเรียบร้อยก็ก้มๆ เงยๆ มองของบนเคาน์เตอร์พร้อมรอยยิ้มบาง นรีกมลเพิ่งจะสังเกตว่าเจ้านายของเธอมีลูกผมเยอะ ยามที่เจ้าลูกผมพวกนี้คลอเคลียอยู่บนหน้าผากหรือบริเวณหลังคอ หญิงสาวนึกอยากจะไปจัดให้เข้าที่เข้าทางซะเหลือเกิน
เอวที่คอดกิ่วรับกับสะโพกผาย ประกอบกับเรียวขายาวอย่างกับนางแบบ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวหรือจะทำอะไรก็ดูน่ามองไปหมด นรีกมลเลื่อนสายตามาที่บั้นท้ายงอนงาม แล้วก็ต้องเบนหน้าสีระเรื่อหนีไปทางอื่นอย่างกับเจอของแสลง นึกด่าตัวเองในใจที่เผลอคิดอะไรลามกแบบนั้น

บ้า! นับวันความคิดเธอชักจะเตลิดไปกันใหญ่แล้ว

กลิ่นไข่หอมๆ ตลบอบอวลไปทั่วห้อง นรีกมลกะไว้อยู่แล้วเชียวว่าอีกคนคงทำไข่เจียวให้เธอทาน

“มาแล้วค่ะ” วรินทร์ยกอาหารทั้งของตัวเองและเจ้าของห้องมาวางบนโต๊ะ

นรีกมลอ้าปากหวอมองอาหารตรงหน้า มันไม่ใช่ไข่เจียว แต่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ไข่ที่ราดอยู่บนข้าวเป็นไข่ที่ด้านล่างสุก แต่ด้านบนเยิ้มๆ ผสมกับแฮม

“เค้าเรียกว่าไข่ข้นแฮมค่ะ” วรินทร์บอกราวกับอ่านใจเธอออก “จะไม่ใส่แฮม เปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นเป็นหน้าก็ได้นะ จะไข่ข้นกุ้ง ไข่ข้นเห็ดก็อร่อยทั้งนั้น”

วรินทร์ตักขึ้นมาทานคำโต แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนกับเด็กๆ อย่างไม่รักษามาดคนเป็นนาย นรีกมลเห็นดังนั้นจึงทำตามบ้าง ทันทีที่คำแรกเข้าปาก เธอก็ตักทานต่ออย่างไม่มีหยุดจนหมดจาน

“อร่อยจังค่ะ” วรินทร์นั่งท้างคางมองคนพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ท่าทางจะทำไม่ยาก คุณรินทร์สอนไนน์ทำได้มั้ยคะ”

วรินทร์พยักหน้า ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยข้าวที่ริมฝีปากของคนตัวเล็กออก นรีกมลนั่งนิ่งแข็งอย่างหมดคำพูด ปล่อยให้คนหน้าสวยจัดการกับริมฝีปากของตัวเองจนพอใจ

“กินเลอะจัง”

พูดแล้วอย่ายิ้มได้ไหมคะ รู้ไหมว่าคนมองทำสีหน้าไม่ถูก

“อิ่มแล้วก็ล้างจาน…มา ส่งจานมาค่ะ”

นรีกมลส่ายหน้าปฏิเสธ เธอพยายามยื้อจานที่อีกคนกำลังจะหยิบไปรวมกับจานตัวเอง

“คุณทำ ไนน์ล้าง ตกลงไหมคะ” วรินทร์ยักไหล่ แล้วส่งจานไปให้คุณเลขาโดยไม่ได้โต้เถียงอะไร

นรีกมลย่นจมูกแล้วชูนิ้วโป้งให้อย่างอารมณ์ดี วรินทร์ส่ายหน้ากับกิริยานั้น ก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กไปที่อ่างล้างจาน

“คุณรินทร์ไปดูทีวีรอดีกว่าค่ะ ยืนมองอย่างนี้ไนน์ล้างจานไม่ได้”

“ทำไมล้างไม่ได้ล่ะ” วรินทร์เอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าคิดว่าเกะกะ ฉันจะได้ไป”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” นรีกมลดึงแขนเสื้อของคนหน้านิ่งแต่ขี้ใจน้อยให้หยุดเดิน มือเปียกๆ ของเธอทำให้แขนเสื้อของวรินทร์เปื้อนน้ำไปด้วย

“บอกแล้วเห็นไหม เสื้อคุณเลอะหมดเลย” นรีกมลปล่อยมือ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคน

“ไม่ได้เกะกะหรอกค่ะ แต่แววตาอย่างนี้ของคุณรินทร์ ทำให้ไนน์…” คนตัวเล็กเสมองไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบตาคู่นั่นเสียจริงๆ “ทำอะไรไม่ถูก”

คำพูดนั้นทำให้เสี้ยวความคิดหนึ่งของคนฟังอยากที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง วรินทร์หักห้ามความคิดนั้นเอาไว้…เธอรู้ มันยังไม่ถึงเวลา

แต่เรื่องบางเรื่องก็ควรที่จะเสี่ยงไม่ใช่เหรอ โดยเฉพาะเรื่องของความรัก

“ถ้า…”

วรินทร์ขึ้นต้นประโยดอย่างไม่มั่นใจ ก่อนจะหลับตาสูดลมหายใจ แล้วลืมตาขึ้นมาใหม่พร้อมความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม หากเธอพูดไปแล้ว ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ

“ถ้าเธอจะให้โอกาสฉันพิสูจน์” วรินทร์จ้องลึกไปในดวงตาคู่หวาน “พิสูจน์ว่าความรักระหว่างเราสองคนมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้วิปริตแบบที่สังคมตราหน้า เธอจะว่ายังไง จะ…จะลองคบกับฉันดูไหม”

นรีกมลนิ่งค้างไปนานกับคำถามนั้น หญิงสาวไม่กังขาวรินทร์ในเรื่องที่บอกว่าชอบ ไม่ใช่สิ! จะรักเธอจริงๆ นั้นเป็นอันตกอันดับไป  ตอนนี้ในหัวเธอพร่ำบอกว่ามันยังเร็วเกินไปสำหรับเรื่องอย่างนี้ ยอมรับว่าตัวเองก็รู้สึกดีๆ กับวรินทร์ แต่จริงๆ แล้ว…

…เธอรู้สึกกลัวกับความสัมพันธ์แบบนี้

“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันยังไม่พร้อม” นรีกมลเอ่ยอย่างเสียใจ “ตอนนี้มันยังเร็วเกินไป ไว้ในอนาคตตอนที่ไนน์พร้อม ไนน์จะบอกคุณทันที”

ผลลัพท์จากคำตอบไม่ได้เรียกความเสียใจให้ปรากฏบนใบหน้าสวย วรินทร์พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าผลต้องออกมาเป็นแบบนี้

รอยยิ้มบางกับการพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจดี ทำให้นรีกมลใจชื้นขึ้นได้ ว่าเจ้านายสาวคงไม่ได้เก็บไปคิดมากให้วุ่นวายใจ คนเป็นเลขาจึงเดินเข้าไปโอบกอดคนตรงหน้าอย่างปลอบใจ โดยที่ไม่ได้แสร้งทำเพื่อเอาใจ หรือมีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้อง

เธอก็แค่ไม่อยากเห็นอีกคนเศร้าใจก็เท่านั้น

ดวงหน้าสวยอย่างนี้ เหมาะกับการตีสีหน้านิ่งเฉยและการขยันแจกยิ้ม มากกว่าจะบิดเบี้ยวไปเพราะความเศร้าเสียใจ มันไม่เหมาะกันแม้แต่นิดเดียว

“ฉันผิดเอง” วรินทร์คลายอ้อมกอด แล้วลูบหัวคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู “ฉันผิดที่เร่งเร้าเธอมากเกินไป ไว้รอให้เธอพร้อม ฉันจะมาทวงสัญญาจากเธอ”

วรินทร์ลูบริมฝีปากบางๆ ของคนตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วส่งยิ้มสุดท้ายเป็นการบอกลา

“ฉันคงไม่อยู่รบกวนวันหยุดของเธอไปนานกว่านี้ ไว้เจอกันที่บริษัทนะ” นรีกมลยังไม่ทันจะได้เอ่ยท้วงอะไร คนเป็นนายก็เดินเร็วๆ ออกจากห้องไปแล้ว

แม้จะคิดไว้อยู่แล้วว่าจะโดนปฏิเสธ และก็คิดในใจว่าจะไม่เสียใจเป็นอันขาด แต่สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้ วรินทร์ขึ้นไปนั่งในรถ แล้วเหวี่ยงประตูปิดตามหลังอย่างแรงจนเสียงปังดังสนั่น วงหน้าสวยเงยหน้ามองเพดานรถเพื่อกักน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

เวลาเท่านั้นที่ช่วยได้ และเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่า…


…ความรักของเธอจะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในใจของนรีกมลได้บ้างหรือเปล่า





 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.